Friday, 25 April 2025
Hard News Team

สื่อแฉ ‘มัสก์’ ขอร้อง ‘ทรัมป์’ ไม่สำเร็จ หวังให้ยกเลิกเก็บภาษีนำเข้า ที่ทำหุ้น Tesla ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง ดิ่งกว่า 42% นับตั้งแต่ต้นปี

(8 เม.ย. 68) สำนักข่าววอชิงตันโพสต์รายงานว่า อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเจ้าของบริษัทเทสลาและหนึ่งในบุคคลทรงอิทธิพลแห่งวงการเทคโนโลยีระดับโลก ได้ร้องขอโดยตรงต่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ให้ยกเลิกนโยบายการเก็บภาษีนำเข้าระดับสูง ซึ่งเป็นมาตรการตอบโต้ต่อประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ แต่ไม่เป็นผล

แหล่งข่าวใกล้ชิดระบุว่า บทสนทนาระหว่างสองผู้นำทางธุรกิจและการเมืองในครั้งนี้มีความตึงเครียดอย่างชัดเจน และอาจนับเป็นรอยร้าวสำคัญระหว่างมัสก์ ผู้เคยให้การสนับสนุนแนวคิดเศรษฐกิจเสรี กับทรัมป์ ผู้เดินหน้าดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าอย่างแข็งกร้าว

การเจรจาระหว่างทั้งสองเกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่ทรัมป์ประกาศมาตรการภาษีศุลกากรขั้นต่ำ 10% สำหรับสินค้าทุกชนิดที่นำเข้าสหรัฐฯ โดยมีบางประเทศที่อาจถูกรีดภาษีเพิ่มขึ้นในระดับสูงเป็นพิเศษ

โดยก่อนหน้านี้ อีลอน มัสก์ ได้ออกมาเรียกร้องให้สหรัฐฯ และยุโรป ยกเลิกภาษีศุลกากรระหว่างกัน โดยเขาย้ำว่า ภาษีนำเข้า ของสหรัฐฯ กำลังสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรม รวมถึงธุรกิจของเขาเอง

คำเรียกร้องของมัสก์เกิดขึ้นในช่วงการปรากฏตัวผ่านวิดีโอคอลในการประชุมของพรรค League ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลฝ่ายขวาของอิตาลี ที่จัดขึ้นในเมืองฟลอเรนซ์เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

มัสก์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านการลดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยของรัฐบาลสหรัฐฯ ยังกล่าวอีกว่า การจัดเก็บภาษีศุลกากรระหว่างประเทศที่เป็นพันธมิตร เช่น สหรัฐฯ และยุโรป ถือเป็นอุปสรรคทางเศรษฐกิจที่ไม่จำเป็น และควรมีการ ลดลงเหลือศูนย์ เพื่อช่วยลดต้นทุนและกระตุ้นการเติบโต

การเรียกร้องครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันอย่างหนักในบริษัทของเขาเอง หลังจาก ยอดขายรายไตรมาสของ Tesla ลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศ ซึ่งได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีของทรัมป์ที่กำหนดอัตราขั้นต่ำ 10% สำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมด รวมถึงรถยนต์จากยุโรป

ปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านการค้าของทรัมป์ ออกมาปฏิเสธแนวคิดของ มัสก์ ในวันจันทร์ (7 เม.ย.) พร้อมระบุว่าไม่แปลกใจที่ได้ยินข้อเสนอเช่นนี้จาก “เจ้าของโรงงานประกอบรถยนต์” 

เนื่องจากหุ้น Tesla ของอีลอน มัสก์ ปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ที่ราคา 233.29 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งลดลงกว่า 42% นับตั้งแต่ต้นปี สะท้อนความไม่มั่นใจของนักลงทุนต่อทิศทางธุรกิจในอนาคต

ขณะเดียวกัน มัสก์กำลังถูกจับตามองจากบทบาทใหม่ในฐานะผู้ก่อตั้ง “แผนกประสิทธิภาพรัฐบาล” ซึ่งมีเป้าหมายในการลดการใช้จ่ายของภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพ แต่กลับถูกวิจารณ์ว่ากลยุทธ์ของเขาอาจไม่ตอบโจทย์ความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ซับซ้อนในปัจจุบัน

นักเศรษฐศาสตร์หลายรายเตือนว่า การขึ้นภาษีนำเข้าอาจทำให้เกิดเงินเฟ้ออีกระลอก เพิ่มภาระค่าครองชีพให้กับครอบครัวชาวอเมริกัน โดยบางครัวเรือนอาจต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มหลายพันดอลลาร์ต่อปี พร้อมเตือนว่าหากดำเนินต่อไป นโยบายนี้อาจเป็นหนึ่งในตัวจุดชนวนของภาวะ เศรษฐกิจถดถอย ในสหรัฐฯ

ทั้งนี้ แม้มัสก์จะเคยสนับสนุนทรัมป์ในหลายโอกาส แต่ความเห็นต่างครั้งนี้สะท้อนถึงความตึงเครียดภายในกลุ่มผู้มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเมืองของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลต่อการกำหนดนโยบายในอนาคตอย่างมีนัยสำคัญ

‘ทักษิณ’ ปัดขู่ขับพรรคร่วมพ้นรัฐบาล ปม กม.คอมเพล็กซ์ ลั่น หากไม่ทันสมัยนี้ ก็ให้รัฐบาลหน้ามาผลักดันต่อได้

(8 เม.ย. 68) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีกระแสข่าวว่ามีการกำชับให้พรรคร่วมรัฐบาลเห็นชอบในวาระรับหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ…. หรือเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ซึ่งหากไม่สนับสนุนจะขับออกจากพรรคร่วมรัฐบาล ว่า เป็นการพูดกันไปเรื่อย มีคุยกับน้อง ๆ ที่เจอกันว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นเพียงการถามความคิดเห็น ไม่มีเรื่องข่มขู่ว่าใครไม่สนับสนุนแล้วต้องพ้นจากพรรคร่วมรัฐบาล แบบนั้นไม่มี

“ที่ผ่านมามีการหารือทั่วไปกับพรรคร่วมรัฐบาลแต่เป็นเพียงการถามความคิดเห็นของแต่ละคน ซึ่งเขาก็ไม่ได้ขัดข้อง และวันนี้นายกรัฐมนตรี บอกว่าจะพิจารณาเรื่องเร่งด่วนทางเศรษฐกิจก่อน คือเรื่องการขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกา เราต้องนำเรื่องนี้มาคุยกันเพราะประชาชนอยากรู้เรื่องนี้ ความสำคัญต้องลดหลั่นไป ทั้งนี้ ไม่ได้ยกเลิกเพียงแต่ขอเลื่อนการพิจารณาไปก่อน” นายทักษิณ กล่าว

เมื่อถามถึง กรณีมีการตั้งข้อสังเกตว่ามีการวางตัวผู้ที่จะได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการสถานบันเทิงครบวงจรไว้ล่วงหน้าแล้วนั้น นายทักษิณ กล่าวว่า ไม่มี ต้องมีการประมูลอย่างโปร่งใส ไม่มีใครสามารถจัดสรรได้ นอกจากมีการประมูล ย้ำว่าไม่มีคำว่ากาสิโน มีแต่คำว่าเอ็นเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์ กาสิโนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ ในนั้น เพราะหลายอย่างที่เราอยากมี ก็มีไม่ได้ ต้องให้เอกชนมาลงทุน เช่น ฮอลล์หรืออารีน่า จัดคอนเสิร์ต หรือสวนสนุกขนาดใหญ่ ที่จะเข้ามาลงทุน เราต้องการการลงทุนและการจ้างงานรวมไปถึงนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น และต้องการภาษีอย่างถูกต้อง โครงการนี้เป็นการพัฒนาประเทศ ตามปกติ ไม่มีอะไรซ่อนเร้น

“อย่าว่าเราขี้อิจฉาริษยากัน มองคนนั้นคนนี้ได้ คนที่เห็นด้วยเยอะแต่เงียบ ที่ไม่เห็นด้วยแล้วออกมา บางครั้งถูกชี้นำในทางที่ผิด เช่น ไปเปรียบเทียบกับบ่อน ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งตรงนั้นเป็นกาสิโนจริงๆ เพราะไม่มีเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์เลย เราไม่ได้ทำแบบนั้น ถ้าเราทำแบบนั้น ประเทศก็พัง และอย่าไปหวั่นไหวหากคิดว่าทำในสิ่งที่ถูกต้อง วันนี้รัฐบาลต้องอธิบายให้ประชาชนเข้าใจ ไม่ต้องอะไร บางพรรคเคยเห็นด้วยเมื่อก่อน เชียร์เต็มที่มีนโยบายพรรค แต่วันนี้ไม่เห็นด้วยแล้ว คือจุดยืนไม่มี มีอย่างเดียวว่าเป็นฝ่ายค้านต้องค้าน เป็นฝ่ายรัฐบาลต้องเชียร์ แบบนี้ไม่ได้” นายทักษิณ กล่าว

เมื่อถามว่า จะต้องมีการทำความเข้าใจกับฝ่ายค้านด้วยหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า “ต้องพูดกันด้วยเหตุผล นี่คือประชาธิปไตย ใครอยากจะค้านก็ค้าน แต่ในที่สุด ก็ต้องพูดคุยกันด้วยเหตุผล ยกตัวอย่างสมัยก่อนเพื่อไทยแข็งแรงจะตาย แต่ถูกค้านเรื่องการซื้อลิเวอร์พูล ซึ่งวันนั้นลิเวอร์พูลถูกจะตาย วันนี้สู้ไม่ได้”

เมื่อถามถึง ตัวแปรหลักทั้งพรรคภูมิใจไทยและรวมไทยสร้างชาติ ที่ไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายดังกล่าวนั้น นายทักษิณ กล่าวว่า บางคนก็เห็นด้วย เห็นด้วยครึ่ง ไม่เห็นด้วยครึ่ง แต่ไม่เป็นอะไร ถ้าถึงเวลาที่ต้องเสนอกฎหมาย ก็ต้องเสนอ โหวตรัฐบาลก็ผ่าน เพียงแต่รัฐบาลไม่ต้องการเห็นความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล

เมื่อถามถึง กรณีที่มีการวิเคราะห์กันว่าพรรคเพื่อไทย มีการยื่นหมูยื่นแมวกับพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อให้ผ่านร่างกฎหมายดังกล่าว นายทักษิณ กล่าวว่า ไม่มีหมู ไม่มีแมว

เมื่อถามว่า การที่พิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวล่าช้าจะทันกับอายุของรัฐบาลเพื่อไทยหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า เราก็วางไว้ถ้าไม่ทันรัฐบาลหน้ามาทำต่อได้ ขั้นตอนกระบวนการเราก็คาดหวังว่า อาจจะไปช้าที่ชั้นสว. ส่วนหากรัฐบาลหน้าไม่ใช่พรรคเพื่อไทย กฎหมายนี้จะถูกตีตกหรือไม่นั้น รัฐบาลหน้าก็พรรคเพื่อไทย ซึ่งในส่วนของสว. หากไม่เห็นด้วยก็มีเวลา 180 วัน

ต่อข้อถามว่า หากร่างกฎหมายดังกล่าวผ่านแล้ว สว.จะยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะต้องทำความเข้าใจกับสว.หรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า “วันนี้ปัญหามันเกิดขึ้นระหว่างสว.กับกระทรวงยุติธรรม ก็เลยเป็นปฏิกิริยา เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องแอกชั่นหรือรีแอกชั่น”

ส่วนมองว่า เป็นเกมการเมืองหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า พวกนักการเมืองก็อยู่กับการเมืองทั้งนั้น อย่างไรก็หนีการเมืองไม่พ้น เราอยู่บนพื้นฐานการตั้งใจดีให้กับบ้านเมือง ไปแค่ไหนก็แค่นั้น ไปได้ก็คือไป ไปไม่ได้ก็คือไม่ไป หากประเมินจากสถานการณ์ปัจจุบัน ถ้าจะให้ไปได้ก็ไปได้ แต่เราก็อยากให้เป็นความพอใจและสมัครใจของทุกฝ่าย ไม่อยากฝืนความรู้สึก

นายทักษิณ กล่าวต่อว่า แน่นอนเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ก็ต้องมีคนไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดา แต่เราก็ตั้งใจทำให้บ้านเมือง ไม่อยากเห็นบ่อนเล็กบ่อนน้อยเต็มไปหมด ยืนยันว่าเรามีระบบตรวจสอบคนที่จะเข้าไปเล่นผ่านระบบ การยืนยันตัวตนที่เพิ่มความปลอดภัยทางการเงิน หรือ KYC ต้องรู้ประวัติและที่มาของเงิน ถ้าไม่มีอาชีพไม่มีรายได้ ก็ไม่ให้เข้า อย่างตนก็เข้าไม่ได้ เพราะเป็นนักการเมืองเขาก็จะไม่ให้เล่น ขณะเดียวกันหากมีเงินแล้วเข้าไปเล่นเป็นประจำ จนติด การพนันก็จะถูกนำไปบำบัด ไม่ใช่ปล่อยเลอะเทอะเหมือนในอดีตที่ไม่ดูแล มันเป็นระบบใหม่อยากให้ทุกคนเข้าใจ

จีนเข้มงวดควบคุมธาตุหายาก 7 ชนิด อาจสั่นคลอนห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก CEO บ.ดังมะกันชี้ เป็นการโจมตีที่แม่นยำต่อการเข้าถึงของสหรัฐฯ

เมื่อวันศุกร์ที่ (4 เม.ย. 68) จีนได้ประกาศมาตรการควบคุมการส่งออก ธาตุหายาก 7 ชนิด ที่สำคัญ โดยระบุว่าจะใช้ข้อจำกัดที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งถือเป็นการเคลื่อนไหวที่อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก

ตามรายงานจากสำนักข่าว Reuters ธาตุหายากที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการใหม่ ได้แก่ ซาแมเรียม, แกโดลิเนียม, เทอร์เบียม, ดิสโพรเซียม, ลูทีเทียม, สแกนเดียม, และอิตเทรียม ซึ่งทั้งหมดมีความสำคัญในการผลิตสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงและระบบทางการทหารต่าง ๆ ตั้งแต่ ยานยนต์ไฟฟ้า, สมาร์ทโฟน, ไปจนถึง เครื่องบินขับไล่, ขีปนาวุธ, และ ดาวเทียม

จีนเป็นผู้ผลิตแร่ธาตุหายากมากถึง ร้อยละ 90 ของการผลิตทั่วโลก และเป็นผู้นำด้านอุปทานธาตุหายากที่สำคัญมาอย่างยาวนาน การประกาศควบคุมการส่งออกนี้มีศักยภาพในการทำให้ห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศที่กำลังเผชิญกับความเปราะบางจากปัจจัยภายนอกอยู่แล้ว กลายเป็นไม่มั่นคงยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาธาตุหายากเหล่านี้ในการผลิต

มาตรการควบคุมการส่งออกใหม่ของจีนอาจกระทบต่อหลายประเทศและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า และ เทคโนโลยีการทหาร ที่ต้องใช้ธาตุหายากเหล่านี้ในการผลิต โดยเฉพาะในช่วงที่ความตึงเครียดทางการค้าและการเมืองระหว่างประเทศกำลังทวีความรุนแรงขึ้น

มาร์ก เอ. สมิธ ซีอีโอของ NioCorp Developments (NASDAQ:NB) ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินการเพื่อสร้างแหล่งจัดหาแร่ธาตุที่สำคัญภายในประเทศของสหรัฐฯ เรียกการกระทำของจีนว่าเป็น “การโจมตีที่แม่นยำ” ต่อห่วงโซ่อุปทานของกระทรวงกลาโหม

“นี่คือการโจมตีอย่างแม่นยำของจีนต่อห่วงโซ่อุปทานของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ” สมิธกล่าวเมื่อวันศุกร์ “สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่โลหะเท่านั้น และหากไม่มีโลหะ ฮาร์ดแวร์ขั้นสูงของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ก็เสี่ยงที่จะหลุดจากความเหนือกว่าไปสู่ความล้าสมัย”

เมื่อปีที่แล้ว NioCorp เริ่มสำรวจความเป็นไปได้ในการรีไซเคิลแร่ธาตุหายาก ควบคู่ไปกับความเป็นไปได้ในการรีไซเคิลแม่เหล็กแร่ธาตุหายากหลังการบริโภค เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าจากจีน

ขณะที่กองทัพสหรัฐฯ ยังคงปรับปรุงเทคโนโลยีต่างๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงอาวุธความเร็วเหนือเสียงและระบบดาวเทียมขั้นสูง ซึ่งการขาดการเข้าถึงองค์ประกอบเหล่านี้อาจมีผลกระทบต่อการจัดหาในระยะยาว

ทั้งนี้ ความตึงเครียดด้านการค้ารอบล่าสุดนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯใช้มาตรการภาษีศุลกากรที่เข้มงวดยิ่งขึ้นและเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนถึง 54 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเดือนมีนาคมทรัมป์ ใช้อำนาจในช่วงสงครามภายใต้พระราชบัญญัติการผลิตเพื่อการป้องกันประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาการพึ่งพาแร่ธาตุสำคัญจากต่างประเทศของประเทศ

‘สุริยะ’ เป็นตัวแทนรัฐบาลไทยร่วมงานฌาปนกิจ ‘พล.อ.คำไต สีพันดอน’ พร้อมร่วมหารือรองนายกฯ สปป.ลาว เชื่อมโยงการเดินทางด้านถนน - ราง

เมื่อวันที่ (7 เม.ย. 68) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทย ได้เข้าร่วมงานฌาปนกิจศพระดับชาติของพลเอก คำไต สีพันดอน อดีตประธานประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ที่ลานพระธาตุหลวง เวียงจันทน์

รองนายกรัฐมนตรีฯ ลงนามในสมุดไว้อาลัยต่อการถึงแก่อสัญกรรมของพลเอก คำไต สีพันดอน พร้อมทั้งกล่าวแสดงความเสียใจในฐานะผู้แทนของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลไทย ต่อนายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรี สปป. ลาว

นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีฯ ยังได้พบหารือกับนายสะเหลิมไซ กมมะสิด รองนายกรัฐมนตรี สปป. ลาว โดยได้รับการแสดงความขอบคุณจากรัฐบาลและประชาชน สปป. ลาว ทั้งยังหารือเกี่ยวกับแนวทางการเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการส่งเสริมความเชื่อมโยงด้านถนนและรางระหว่างสองประเทศ

พลเอก คำไต สีพันดอน มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนความสัมพันธ์ไทย - ลาวให้ก้าวไปข้างหน้า โดยเป็นนายกรัฐมนตรี สปป. ลาวท่านแรกที่เดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2535 ซึ่งถือเป็นการวางรากฐานสำหรับมิตรภาพและความร่วมมือระหว่างสองประเทศ ที่นำมาซึ่งผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมแก่ประชาชนทั้งสองประเทศจนถึงปัจจุบัน

‘นายกฯอิ๊งค์-หัวหน้าพรรคร่วมฯ’ ร่วมแถลงเลื่อน ‘เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์’’ อ้างเร่งรับมือวิกฤติแผ่นดินไหว - ผลกระทบภาษีสหรัฐฯ ปัด ‘ทักษิณ’ กดดันพรรคร่วม

นายกฯ เผยหัวหน้าพรรคร่วมเห็นพ้องเลื่อนพิจารณาร่าง พ.ร.บ.เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ออกไปก่อน อ้างต้องเร่งรับมือวิกฤติแผ่นดินไหว-ผลกระทบเศรษฐกิจจากภาษีสหรัฐฯ ยันไม่ใช่กาสิโนทั่วประเทศ วอนสังคมทำความเข้าใจให้ชัด ปัดข่าว ‘ทักษิณ’ กดดันพรรคร่วม

(8 เม.ย. 68) - นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่าได้หารือร่วมกับหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล และมีมติเห็นตรงกันให้เลื่อนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการประกอบสถานบันเทิงครบวงจร หรือ “ร่าง พ.ร.บ.เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ออกไปก่อน โดยให้เหตุผลว่า ประเทศกำลังเผชิญวิกฤตหลายด้าน ทั้งภัยธรรมชาติจากแผ่นดินไหว การเยียวยาผู้ประสบภัย และกรณีสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย ซึ่งรัฐบาลต้องเร่งหาทางออกอย่างเร่งด่วน

“เรื่องนี้ไม่ใช่การซื้อเวลา แต่เป็นการจัดลำดับความสำคัญ” นายกรัฐมนตรีกล่าว พร้อมยืนยันว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวยังคงอยู่ ไม่ได้ถอนออก เพียงแต่ขอเวลาสื่อสารและทำความเข้าใจกับประชาชนให้ชัดเจน โดยเฉพาะในประเด็นที่หลายฝ่ายเข้าใจว่าเป็นการเปิดทางให้กาสิโนถูกกฎหมายทั่วประเทศ

“เราไม่ได้ทำเพื่อกาสิโน แต่เป็นการสร้างพื้นที่ที่มีความบันเทิงหลากหลายสำหรับทุกเพศทุกวัย การให้ใบอนุญาตกาสิโนในพื้นที่นั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ไม่ใช่ทั้งหมด” นายกฯ ระบุ

ทั้งนี้ ยังปฏิเสธกระแสข่าวที่ว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กดดันให้พรรคร่วมสนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าว โดยย้ำว่า พรรคร่วมรัฐบาลยังอยู่ครบ ไม่มีใครถูกขับออก และตนในฐานะผู้นำรัฐบาลต้องการให้ทุกฝ่าย “เห็นพ้องด้วยใจ ไม่ใช่แค่ตามมติ”

เมื่อถามย้ำว่า การชะลอพิจารณาในสภาคือการยอมถอยจากแรงต้านใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรียืนยันว่า รัฐบาลรับฟังเสียงของประชาชน แต่ต้องดูบริบทและปัญหาสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการก่อน เช่น เรื่องเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุน

“เรามองว่ากฎหมายนี้จะช่วยสร้างเม็ดเงิน กระตุ้นการท่องเที่ยว และการจ้างงาน แต่หากยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อน รัฐบาลก็จะเร่งชี้แจงให้ชัดเจนยิ่งขึ้น” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ฟิลิปปินส์เฝ้าระวังใกล้ชิด ภูเขาไฟคันลาออนปะทุเดือด เถ้าถ่านพุ่งสูง 4 กม. มีโอกาสยกระดับการแจ้งเตือนขั้นวิกฤต

(8 เม.ย. 68) สถาบันภูเขาไฟวิทยาและแผ่นดินไหววิทยาแห่งฟิลิปปินส์ (Phivolcs) รายงานว่า ภูเขาไฟคันลาออน (Kanlaon) บนเกาะเนกรอส ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคกลางของประเทศ เกิดการปะทุขึ้นอีกครั้งในช่วงเช้าวันนี้ โดยพ่นเถ้าภูเขาไฟพุ่งขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศสูงถึงประมาณ 4 กิโลเมตร

นายเทเรซิโต บาโคลโคล ผู้อำนวยการ Phivolcs เปิดเผยว่า มีความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับเปลี่ยนระดับการเตือนภัยในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ขึ้นอยู่กับความเร็วของการเคลื่อนตัวของแมกมาสู่ผิวดิน โดยหากแมกมาเคลื่อนตัวเร็ว อาจมีการยกระดับการเตือนภัยเป็นระดับ 4 ซึ่งเป็นระดับเตือนภัยร้ายแรง แต่หากแมกมาเคลื่อนตัวช้าลงหรือหยุดนิ่ง ก็อาจลดระดับลงมาอยู่ที่ระดับ 2

ปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและหน่วยงานรับมือภัยพิบัติกำลังเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมแนะนำให้ประชาชนหลีกเลี่ยงพื้นที่อันตรายและเตรียมอพยพในกรณีที่มีการปะทุรุนแรงมากขึ้น

ทั้งนี้ ภูเขาไฟคันลาออนถือเป็นภูเขาไฟที่ยังมีพลัง (Active Volcano) ซึ่งตั้งอยู่บนรอยต่อระหว่างจังหวัดเนโกรสโอกซีเดนตัลและเนโกรสโอเรียนตัล โดยเป็นหนึ่งในภูเขาไฟมีพลังจากประมาณ 24 ลูกในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งตั้งอยู่บนแนว “วงแหวนแห่งไฟ” (Ring of Fire) ของมหาสมุทรแปซิฟิก พื้นที่ที่เกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟปะทุบ่อยครั้งมากที่สุดในโลก

อย่างไรก็ดี จนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นอย่างฉับพลันจากพลังของธรรมชาติ

สหรัฐฯ เพิกถอนวีซ่านักเรียนต่างชาติกว่า 300 คน กรีนการ์ดก็ไม่รอด หลังตรวจพบโพสต์โซเซียลมีเดียหนุนกลุ่มฮามาส

(8 เม.ย. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทูตสหรัฐฯ ตรวจสอบกิจกรรมทางโซเชียลมีเดียของผู้สมัครวีซ่าบางราย โดยเฉพาะผู้ที่มีแนวโน้มวิพากษ์วิจารณ์สหรัฐฯ และ อิสราเอล เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่มีทัศนคติเป็นปฏิปักษ์ต่อสหรัฐฯ เข้าประเทศ

โดยคำสั่งดังกล่าวถูกส่งในโทรเลขถึงคณะผู้แทนทางการทูตเมื่อวันที่ 25 มีนาคม กำหนดให้เจ้าหน้าที่กงสุลส่งผู้สมัครวีซ่า นักเรียนและนักท่องเที่ยวแลกเปลี่ยนบางราย ไปที่ “หน่วยป้องกันการฉ้อโกง” เพื่อทำการตรวจสอบโซเชียลมีเดียตามข้อบังคับที่กำหนด

มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า มีนักเรียนต่างชาติอย่างน้อย 300 คนที่ถูกเพิกถอนวีซ่าในช่วงที่รัฐบาลทรัมป์ใช้มาตรการปราบปรามผู้อพยพเข้าเมือง

“เราทำแบบนั้นทุกวัน ทุกครั้งที่ผมพบคนบ้าพวกนี้ ผมก็จะยึดวีซ่าของพวกเขาไป” เขากล่าวเสริม “ผมหวังว่าสักวันหนึ่งเราจะหมดวีซ่าไป เพราะเราได้กำจัดพวกเขาทั้งหมดแล้ว แต่เรายังคงตามหาคนบ้าพวกนี้ที่คอยทำลายข้าวของทุกวัน”

นอกเหนือจากผู้ถือวีซ่านักเรียนแล้ว รัฐบาลทรัมป์ยังดำเนินการกับผู้มีถิ่นพำนักถาวรอย่างถูกกฎหมาย เช่นมะห์มุด คาลิล นักเคลื่อนไหวชาวปาเลสไตน์ ที่ถูกเพิกถอนกรีนการ์ดจากผู้มีถิ่นพำนักถาวรอย่างถูกกฎหมาย 

“รัฐมนตรีต่างประเทศตัดสินใจว่ากิจกรรมในต่างประเทศของผู้สมัคร ก่อให้เกิดหรือมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อความมั่นคงของชาติหรือต่อนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ” รัฐบาลสหรัฐ แถลงการณ์

คำสั่งดังกล่าวเป็นการดำเนินการตามนโยบายของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มุ่งเน้นการเนรเทศชาวต่างชาติที่ถูกมองว่ามี “ทัศนคติเป็นปฏิปักษ์” ต่อสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงการปราบปรามสิ่งที่เขาเรียกว่า “การต่อต้านชาวยิว” โดยเฉพาะการประท้วงที่สนับสนุน “ปาเลสไตน์” ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งส่งผลให้มีการเนรเทศนักศึกษาต่างชาติที่เข้าร่วมการประท้วงดังกล่าว

ทั้งนี้ การตรวจสอบโซเชียลมีเดียของผู้สมัครวีซ่าเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการป้องกันการเข้าประเทศของบุคคลที่อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศหรือมีพฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับค่านิยมของสหรัฐฯ รวมถึงการต่อต้านพันธมิตรสำคัญอย่างอิสราเอล โดยกระบวนการตรวจสอบจะรวมถึงนักเรียนต่างชาติในสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2023 ซึ่งเป็นวันที่ฮามาสโจมตีอิสราเอล

Volkswagen และ Audi สั่งเก็บรถยนต์ไว้ที่ท่าเรือสหรัฐฯ หลัง ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ประกาศเก็บภาษี 25% รถนำเข้าจากยุโรปและเม็กซิโก

(8 เม.ย. 68) บริษัท Audi ในเครือ Volkswagen กำลังเก็บรถยนต์ที่เดินทางมาถึงท่าเรือสหรัฐฯ หลังวันที่ 2 เมษายน ซึ่งเป็นวันที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้มาตรการเก็บภาษี 25% กับรถยนต์ที่นำเข้า จากยุโรปและเม็กซิโก หลังการประกาศดังกล่าว บริษัทต่าง ๆ กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนและพยายามหาทางออกเกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการเก็บภาษีนี้

Audi ระบุเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ว่ามีรถยนต์จำนวนหนึ่งถูกเก็บไว้ที่ท่าเรือของสหรัฐฯ เนื่องจากการนำเข้ารถยนต์ต้องเผชิญกับอัตราภาษีที่สูงขึ้น ซึ่งทำให้ต้องพิจารณาถึงผลกระทบในระยะยาวต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท ขณะที่หลายบริษัทในอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังพยายามหาทางออกว่าจะตอบสนองต่อภาษีใหม่อย่างไร

ส่วนของ Volkswagen แบรนด์อื่นๆ ในกลุ่มบริษัทได้แจ้งว่า มีรถยนต์กว่า 37,000 คัน อยู่ในคลังสินค้าของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเพียงพอสำหรับการขายในตลาดประมาณ 2 เดือน ตามที่โฆษกของบริษัทกล่าว โดยคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทในระยะเวลาอันใกล้ และยังต้องรอดูว่าจะมีมาตรการปรับตัวหรือการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การจัดจำหน่ายอย่างไรในอนาคต

โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ผลิตรถยนต์จะมีสินค้าคงคลังในสหรัฐอเมริกาประมาณ 3 เดือน ตามข้อมูลจาก Cox Automotive ผู้ให้บริการด้านยานยนต์ ซึ่งช่วยให้ผู้ผลิตมีเวลาหายใจและรักษาอุปทานไว้จนกว่าจะกำหนดกลยุทธ์ในระยะยาวสำหรับการรับมือกับภาษีศุลกากร

ในขณะเดียวกัน ผู้บริหารระดับสูงของอุตสาหกรรมยานยนต์จะเข้าพบกับ เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานสหภาพยุโรปในช่วงบ่ายวันจันทร์เพื่อหารือถึงวิธีการตอบสนองต่อภาษีนำเข้า ขณะที่ หุ้นในยุโรป ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 16 เดือน เนื่องจากนักลงทุนหวั่นเกรงว่าราคาสินค้าจะสูงขึ้น ความต้องลดลง และอาจเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก

ทั้งนี้ มาตรการเก็บภาษี 25% ของทรัมป์ เป็นการเพิ่มภาษีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีการผลิตนอกสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการค้าที่ยังคงเป็นประเด็นสำคัญในเวทีการค้าโลก

รัฐบาลญี่ปุ่นเตือน หากเกิดแผ่นดินไหว 9 แมกนิจูด ที่ร่องลึกนันไค เกิดแน่ ‘สึนามิ-อาคารถล่ม’ ซึ่งอาจคร่าชีวิตผู้คนกว่า 298,000 ชีวิต

(8 เม.ย. 68) รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยรายงานประเมินภัยพิบัติฉบับใหม่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยระบุว่าหากเกิดแผ่นดินไหวขนาดรุนแรงประมาณ 9 แมกนิจูด บริเวณร่องลึกนันไค (Nankai Trough) ซึ่งทอดตัวตามแนวชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกของประเทศ อาจมีผู้เสียชีวิตสูงถึง 298,000 คน

รายงานฉบับนี้จัดทำขึ้นโดย คณะผู้เชี่ยวชาญด้านภัยพิบัติและการป้องกันภัยของรัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งระบุว่า สาเหตุหลักของการสูญเสียชีวิตจำนวนมากมาจาก “คลื่นสึนามิ” ที่จะพัดถล่มชายฝั่งภายในเวลาไม่กี่นาทีหลังเกิดแผ่นดินไหว รวมถึงการพังถล่มของอาคารและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ

สำหรับร่องลึกนันไค เป็นพื้นที่ที่นักวิทยาศาสตร์จับตามองมานาน เนื่องจากมีประวัติการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในอดีตหลายครั้ง และมีศักยภาพที่จะปลดปล่อยพลังงานสะสมขนาดมหาศาลในอนาคต

ส่งผลให้ รัฐบาลญี่ปุ่นเตรียมลงทุนกว่า 20 ล้านล้านเยน (ราว 5 ล้านล้านบาท) ภายในระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่ปีงบประมาณ 2569 เพื่อเสริมความสามารถในการรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติ

รัฐบาลเตือนว่า หากเกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวขึ้นจริง หลายเมืองใหญ่ในภูมิภาคคันไซและชูโงกุ รวมถึงบางส่วนของภูมิภาคโทไก อาจได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ทั้งจากคลื่นยักษ์ ความเสียหายของระบบคมนาคม และการหยุดชะงักของโครงข่ายสาธารณูปโภค

ด้าน คณะรัฐมนตรี รัฐบาลกล่าวว่าแผ่นดินไหวจะผลักดันให้การผลิตและบริการภายในประเทศลดลงสูงถึง 45.4 ล้านล้านเยน ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งจะมาจากอุตสาหกรรมยานยนต์และการผลิตอื่น ๆ จึงเรียกร้องให้ผู้ผลิตกระจายฐานการผลิตและซัพพลายเออร์ เพื่อบรรเทาความเสี่ยงและปรับปรุงความต้านทานแผ่นดินไหวของโรงงาน

โดย บริษัทโตโยต้ากำลังพิจารณาความเป็นไปได้ในการย้ายสายการผลิตบางส่วนในภูมิภาคโทไกซึ่งเป็นภูมิภาคหลัก ซึ่งคาดว่าจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากแผ่นดินไหวนันไก ไปยังภูมิภาคโทโฮกุและเกาะคิวชู

ขณะที่ บริษัทฮอนด้า มอเตอร์ ถูกบังคับให้ลดการผลิตรถยนต์มินิวีครุ่นเรือธง N-Box เป็นการชั่วคราว หลังจากที่ซัพพลายเออร์ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงที่เกิดขึ้นในคาบสมุทรโนโตะในปี 2567

“เรากำลังสร้างการจำลองเพื่อให้แน่ใจถึงความปลอดภัยของพนักงานเป็นอันดับแรก และเพื่อรักษาการดำเนินงานให้ได้มากที่สุด แม้ว่าการจัดหาชิ้นส่วนจะหยุดชะงักก็ตาม” เจ้าหน้าที่ของฮอนด้ากล่าว

นอกจากนี้ บริษัท Panasonic Holdings ได้สร้างกำแพงกั้นน้ำทะเลสำหรับโรงงานแห่งหนึ่งในเมืองมัตสึชิเกะ จังหวัดโทคุชิมะ โดยที่โรงงานในเมืองสึ จังหวัดมิเอะ สายการผลิตแปรรูปโลหะที่สำคัญได้ถูกย้ายจากชั้น 1 ไปยังชั้น 3 เป็นที่เรียบร้อย

ทั้งนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นเตรียมลงทุนกว่า 20 ล้านล้านเยน (ราว 5 ล้านล้านบาท) ภายในระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่ปีงบประมาณ 2569 เพื่อเสริมความสามารถในการรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหวขนาดใหญ่จากรอยเลื่อนนังไก ตามร่างแผนฉบับใหม่ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568

ม.โตเกียว เปิดคณะใหม่ครั้งแรกในรอบ 70 ปี คณะ ‘วิทยาลัยการออกแบบ’ หลักสูตรควบตรี-โท สอนอังกฤษล้วน รับต่างชาติครึ่งรุ่น

(8 เม.ย. 68) มหาวิทยาลัยโตเกียว (University of Tokyo) ประกาศเปิดตัวคณะใหม่ในชื่อ “วิทยาลัยการออกแบบแห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว” (UTokyo College of Design) ซึ่งมีกำหนดเปิดการเรียนการสอนในเดือนกันยายน ปี 2027 โดยใช้ ภาษาอังกฤษในการเรียนการสอนทุกชั้นปี ถือเป็นการปฏิรูปการศึกษาครั้งสำคัญที่มุ่งสร้างผู้นำรุ่นใหม่ให้สามารถรับมือกับปัญหาและความท้าทายระดับโลกที่ซับซ้อน

คณะใหม่นี้จะเปิดสอนใน หลักสูตรควบระดับปริญญาตรีและปริญญาโท ระยะเวลา 5 ปี โดยแบ่งออกเป็น การเรียนระดับปริญญาตรีใน 4 ปีแรก และ ระดับบัณฑิตศึกษาในช่วง 1 ปีสุดท้าย 

เนื้อหาหลักสูตรจะครอบคลุมสาขาวิชาหลากหลาย เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษา สำรวจและเลือกเรียนตามความสนใจของตนเอง เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพ การออกแบบระบบนโยบายสาธารณะ และความยั่งยืนในระดับโลก

จำนวนรับนักศึกษาอยู่ที่ 100 คน โดยสงวนที่นั่งสำหรับนักศึกษาต่างชาติไว้ถึงครึ่งหนึ่ง เพื่อส่งเสริมความหลากหลายและการเรียนรู้ข้ามวัฒนธรรม นอกจากนี้หัวหน้าคณะจะเป็นศาสตราจารย์ชาวต่างชาติประจำมหาวิทยาลัยโตเกียว และมีคณาจารย์ร่วมสอนจากทั้งในประเทศญี่ปุ่นและต่างประเทศ รวมถึงนักวิจัยชั้นนำในหลากหลายสาขา

ศาสตราจารย์เทรุโอะ ฟูจิอิ อธิการบดีมหาวิทยาลัยโตเกียว กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยจะสร้างพื้นที่การเรียนรู้รูปแบบใหม่ ที่เปิดกว้างและยืดหยุ่น เพื่อให้นักศึกษาสามารถ เปลี่ยนความฝันให้เป็นจริง โดยใช้ทรัพยากรและศักยภาพของมหาวิทยาลัยอย่างเต็มที่”

สำหรับการเปิดวิทยาลัยการออกแบบในครั้งนี้ นับเป็นการก่อตั้งคณะใหม่ครั้งแรกของมหาวิทยาลัยโตเกียวในรอบเกือบ 70 ปี นับตั้งแต่การจัดตั้งคณะเภสัชศาสตร์เมื่อปี 1958 และสะท้อนถึงแนวทางใหม่ของการศึกษาระดับสูงที่ผสมผสานระหว่างศาสตร์ต่างๆ เพื่อรองรับโลกอนาคตที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top