Tuesday, 10 June 2025
Hard News Team

ศาลสั่งจำคุกอีก 2 ปี ‘อานนท์ นำภา’ คดี 112 ปราศรัยหน้าสน.บางเขน รวมโดนโทษจำคุกแล้ว 22 ปี

ศาลอาญาสั่งจำคุก 3 ปี 'อานนท์ นำภา' อดีตแกนนำม็อบราษฎร บุกชุมนุมที่หน้าสน.บางเขน อีกคดี แต่ให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุก 2 ปี และนับโทษต่อจากคดีอื่น ส่วนเพนกวิน หลบหนีออกนอกประเทศ ศาลให้ออกหมายจับและสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว

ที่ห้องพิจารณาคดี 806 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีหมิ่นเบื้องสูง อ.910/2561 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ฟ้องนายอานนท์ นำภา ทนายความและอดีตแกนนำกลุ่มราษฎร 2563 กับนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวินอดีตแกนนำกลุ่มราษฎร 2563เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และความผิดฐานร่วมกันโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง โดยไม่ได้รับอนุญาต

จากกรณีเมื่อวันที่ 21 ธ.ค.2563 จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายด้วยการปราศรัยแสดงความคิดเห็นต่อประชาชนผ่านเครื่องขยายเสียง โดยมีชุมนุมประมาณ 150 คน จัดการชุมนุมที่หน้าสน.บางเขน จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ แต่เมื่อสืบพยานไปบ้างแล้วจำเลยที่ 1ให้คำรับสารภาพ เรื่องใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนจำเลยที่ 2 ได้รับการปล่อยชั่วคราว แต่หลบหนี ศาลจึงให้ออกหมายจับและจำหน่ายคดีนายพริษฐ์ จำเลยที่ 2 ชั่วคราว

โดยวันนี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัว นายอานนท์ จำเลยที่ 1 มาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว พิพากษาว่านายอานนท์ จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พระราชบัญญัติควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. 2493 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง มาตรา 9 วรรคหนึ่ง ฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จำคุก 3 ปี คำรับสารภาพของ นายอานนท์ จำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี ฐานทำการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้ปรับเป็นพินัย 100 บาท ไม่ชำระ ค่าปรับเป็นพินัยให้บังคับตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 มาตรา 30, 31 นับโทษจำคุก นายอานนท์ จำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2841/2566 ของศาลนี้ จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่อ56/2567 ของศาลนี้และจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.4019/2567 ของศาลนี้

ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุก นายอานนท์จำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลย ที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ2887/2564 ของศาลนี้ จำเลยที่ 1 ในคดีอาญา หมายเลขดำที่ 62888/2564 ของศาลนี้ และจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 2948/2564 ของศาลนี้ คดีดังกล่าวจำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธศาลมีคำสั่งแยกฟ้องและจำหน่ายคดีในส่วนของจำเลยที่ 1 แล้ว ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ต่อจาก โทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ1186/2565 ของศาลแขวงดุสิต จำเลย ที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ415/2566 ของศาลแขวงปทุมวันนั้น ศาลมีคำพิพากษาปรับ และคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ1802/2564 ของศาลอาญากรุงเทพ ใต้ศาลมีคำพิพากษารอการลงโทษ จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

รวมทุกคดี นายอานนท์ นำภา โดนโทษจำคุกรวม 22 ปี 25 เดือน 20 วัน

อุบลราชธานี-ด่วน!!! 'เสียงปืนแตก' ยิงปะทะทหารกัมพูชาที่ช่องบก ล่าสุดทหารไทยปลอดภัย ยังคงตรึงกำลังเข้มในพื้นที่

(28 พ.ค.68) ที่กองบัญชาการกองทัพบก พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยถึงสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ว่าเมื่อเวลา 05.30 น. หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี รายงานว่าได้เกิดเหตุปะทะกับกำลังทหารกัมพูชาที่เข้ามาวางกำลังในพื้นที่อ้างสิทธิ์ ซึ่งไม่เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างสองประเทศ

ฝ่ายไทยได้ส่งชุดประสานงานเข้าพูดคุยตามแนวทางปกติ แต่เกิดความเข้าใจผิดจากฝ่ายกัมพูชาที่เข้าใจว่าเป็นการเคลื่อนกำลัง จึงเปิดฉากใช้อาวุธยิงใส่ ทำให้ฝ่ายไทยต้องตอบโต้ โดยการปะทะกินเวลาราว 10 นาที

ต่อมาในเวลา 05.55 น. พลตรี ทล โซะวัน รองผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ของกัมพูชา ได้โทรศัพท์ประสานกับ พันเอก บุญเสริม บุญบำรุง รองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ฝ่ายไทย เพื่อยุติการปะทะ ทั้งสองฝ่ายตกลงหยุดยิงและตรึงกำลังในพื้นที่

ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาผ่านกลไกทวิภาคี เพื่อหาข้อยุติในประเด็นการอ้างสิทธิ์ และวางแนวทางปฏิบัติร่วมกันอย่างสันติ โดยกองทัพบกยืนยันว่า กำลังพลฝ่ายไทยทุกนายปลอดภัย ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต พร้อมรายงานความคืบหน้าเพิ่มเติมให้ทราบในโอกาสต่อไป

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ทุ่มงบกว่า 8 แสนบาท มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพแก่ผู้ประสบอุทกภัยยากไร้ มอบวีลแชร์แก่ผู้พิการ และมอบจักรยานให้แก่โรงเรียนในพื้นที่ชนบทในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกบริการประชาชนฟรี

(28 พ.ค.68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการ นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ และนางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมลงพื้นที่มอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยยากไร้จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 32 ครัวเรือน คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 804,530 บาท เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างความสุขสู่ชุมชน สังคม และประเทศชาติอย่างยั่งยืน 

โดยมี นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และนายวรงค์ แสงเมือง รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เป็นประธานร่วมในพิธี และคณะมูลนิธิเชียงใหม่สามัคคีการกุศล จังหวัดเชียงใหม่ เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี  พร้อมด้วย อาสาสมัครศิลปินมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายนพดล ทรงแสง (จิ้ม ชวนชื่น) และนายสวิช เพชรวิเศษศิริ (บี๋) ร่วมในพิธี นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังได้มอบรถเข็นวีลแชร์ แก่ผู้พิการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ 8 อำเภอ ได้แก่ ฝาง แม่วาง สันทราย ดอยเต่า หางดง สันป่าตอง เวียงแหง แม่อาย รวมจำนวน 14 คัน และมอบรถจักรยานแก่โรงเรียนชนบทที่ขาดแคลน จำนวน 2 โรงเรียน รวมจำนวน 20 คัน เพื่อให้นักเรียนที่ประสบปัญหาในการเดินทางได้ยืมเรียน รวมถึงเป็นการแบ่งเบาภาระค่าพาหนะแก่ผู้ปกครองได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังเสริมสร้างให้นักเรียนได้ออกกำลังกาย เรียนรู้กฎจราจร เรียนรู้การแบ่งปัน และดูแลรักษาสาธารณสมบัติร่วมกัน 

รวมมูลค่าการดำเนินการช่วยเหลือชาวเชียงใหม่ในครั้งนี้ทั้งสิ้น 876,130 บาท (แปดแสนเจ็ดหมื่นหกพันหนึ่งร้อยสามสิบบาทถ้วน) โดยมีประชาชน เยาวชน และผู้แทนจากสถาบันการศึกษา เป็นผู้รับมอบ  อีกทั้ง มูลนิธิฯ ยังได้จัดหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมแพทย์อาสาฯ เจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ ทีมบรรเทาสาธารณภัย (กู้ชีพ) และอาสาสมัครลงพื้นที่ให้บริการประชาชนฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ทันตกรรม คัดกรองเบาหวาน กิจกรรมนันทนาการ ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผม ฯลฯ ณ มูลนิธิเชียงใหม่สามัคคีการกุศล อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

จากเหตุมหาอุทกภัยทางภาคเหนือเมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา มูลนิธิฯ ได้ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งทีมบรรเทาสาธารณภัยลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทันที โดยได้ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือถึง 2 ครั้ง หลังจากนั้น ทีมสาธารณภัย ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ จะดำเนินการประสานหน่วยงานในพื้นที่เพื่อบรรเทาทุกข์ ฟื้นฟูหลังน้ำลด โดยแจกเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น รวมถึงมอบเงินค่าฌาปนกิจศพแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากอุทกภัย รายละ 20,000 บาท รวมงบประมาณการฟื้นฟูหลังน้ำลดแก่ผู้ประสบอุทกภัยภาคเหนือเมื่อปี 2567 ที่ผ่านมากว่า 9 ล้านบาท

โครงการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้สนับสนุนอุปกรณ์ประกอบอาชีพ ช่วยเหลือครัวเรือนยากจน ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือแก้ไขปัญหาความยากจน ระหว่างกรมการพัฒนาชุมชนและมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ซึ่งมูลนิธิฯ ได้จัดงบประมาณดำเนินการเพื่อจัดหาวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพมอบให้แก่ครัวเรือนยากจน ให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว โดยในกลุ่มเป้าหมายแรกดำเนินการในพื้นที่ภาคกลาง 17 จังหวัด รวม 98 ครัวเรือน ต่อมาได้ดำเนินการในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือ 17 จังหวัด รวม 230 ครัวเรือน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 20 จังหวัด จำนวน 485 ครัวเรือน รวมดำเนินการไปแล้ว 3 ภาค รวม 54 จังหวัด  813 ครัวเรือน รวมงบประมาณกว่า 15.6 ล้านบาท

ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุก ๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน 'มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต'

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

ป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418 ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

กรมพระศรีสวางควัฒนฯ ทรงพัฒนายารักษามะเร็งสำเร็จ ภายใต้ชื่อ ‘HERDARA’ ผลิตโดยนักวิจัยไทย ผ่าน อย.

เมื่อวันที่ (26 พ.ค.68) ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงประกาศความสำเร็จในการพัฒนายาชีววัตถุ 'ทราสทูซูแมบ' สำหรับรักษาโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งชนิดอื่น ๆ โดยไม่อาศัยการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ นับเป็นนวัตกรรมยาชีววัตถุผลิตโดยคนไทยเพื่อคนไทยเป็นครั้งแรก

ยาดังกล่าวได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้ว ภายใต้ชื่อ 'HERDARA' ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งสามารถเข้าถึงยารักษาได้ง่ายขึ้นและมีต้นทุนที่ถูกลง โดยเฉพาะในบริบทที่โรคมะเร็งยังคงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งในไทย ขณะที่ยานำเข้าจากต่างประเทศมีราคาสูง

ภายใต้พระวิสัยทัศน์อันกว้างไกล กรมพระศรีสวางควัฒนฯ ทรงริเริ่มโครงการ 'ศูนย์วิจัยและพัฒนาชีววัตถุ' มุ่งเน้นการพึ่งพาตนเองด้านยา พัฒนาศักยภาพนักวิจัยไทย และวางรากฐานความมั่นคงทางยา ลดการสูญเสียทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

การวิจัยและผลิตยาดังกล่าวยังสอดคล้องกับเป้าหมายการยกระดับระบบสุขภาพไทย และส่งเสริมโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มวัยเข้าถึงการรักษาอย่างเท่าเทียม สะท้อนพระปณิธานอันแน่วแน่ของพระองค์ในการนำวิทยาศาสตร์มารับใช้ประชาชนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ ร่วมกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดโครงการ Money Management & Investment “ค่ายส่งสุขทางการเงิน เพื่อครอบครัวตำรวจไทย” ปี 2568 

(28 พ.ค. 68) เวลา 08.30 น. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ ร่วมกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดกิจกรรม “Happy Money in Action เส้นทางสร้างสุขทางการเงิน” ตามโครงการ Money Management & Investment “ส่งสุขทางการเงิน เพื่อครอบครัวตำรวจไทย” ซึ่งเป็นกิจกรรมการเข้าค่ายส่งเสริมความรู้ด้านการวางแผนการเงินและบริหารจัดการหนี้ สำหรับข้าราชการตำรวจและครอบครัว โดยมีข้าราชการตำรวจ และคู่สมรส เข้าร่วมโครงการ จำนวน 27 ครอบครัว และบุคคล 6 คน รวม 60 คน ระหว่างวันที่ 28-30 พฤษภาคม 2568 ณ The Cop Seminar & Resort อ.บางละมุง จ.ชลบุรี

โดยมี พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล เป็นประธานกล่าวเปิดงาน , คุณณฐิกา ปิตะนีละบุตร อุปนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ในฐานะที่ปรึกษาโครงการ Money Management & Investment กล่าวรายงานวัตถุประสงค์การจัดโครงการ และ คุณเศรษฐพล ธรรมจินดา ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงความร่วมมือส่งเสริมความรู้ทางการเงิน ระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สมาคมแม่บ้านตำรวจ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมด้วย คณะสมาคมแม่บ้านตำรวจ และผู้ร่วมโครงการ ร่วมพิธีเปิดโครงการ 

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ ตระหนักถึงสภาพปัญหาทางการเงินและหนี้สินของข้าราชการตำรวจ และต้องการส่งเสริมให้มีความรู้ความเข้าใจ มีวินัยทางการเงิน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับข้าราชการตำรวจและครอบครัว สร้างขวัญกำลังใจของข้าราชการตำรวจ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายการบริหารราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้จัดทำโครงการ Money Management & Investment “ส่งสุขทางการเงิน เพื่อครอบครัวตำรวจไทย” ขึ้นเพื่อส่งเสริมความรู้ด้านการเงินและการลงทุน นำไปสู่การสร้างความมั่นคงทางการเงินระยะยาว และการมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ คุณกนกวรรณ พันธุ์เพ็ชร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ มอบหมายให้ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นหัวหน้าคณะทำงานโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตข้าราชการตำรวจและครอบครัว และ คุณณฐิกา ปิตะนีละบุตร อุปนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ เป็นที่ปรึกษาโครงการฯ โดยมีแผนงานการส่งเสริมความรู้ทางการเงิน แก่ข้าราชการตำรวจและครอบครัว 3 โครงการหลัก ได้แก่

1. โครงการ Money Management & Investment “ค่ายส่งสุขทางการเงิน เพื่อครอบครัวตำรวจไทย” ผ่านหลักสูตร Happy Money in Action เส้นทางสร้างสุขทางการเงิน เพื่อปลูกฝังแนวคิดและทักษะเรื่องการบริหารเงินและจัดการหนี้สิน ต่อยอดความรู้ผ่านการฝึกปฏิบัติจริง รับคำปรึกษาจากวิทยากร เพื่อให้สามารถวางแผนการเงินและบริหารจัดการหนี้สินได้อย่างยั่งยืนแก่ข้าราชการตำรวจและครอบครัว รวมทั้ง ต่อยอดความรู้ด้านการเงิน และการลงทุน แก่บุคคลต้นแบบและต้นกล้าผ่านแคมเปญ 21-Day Challenge กองทุนรวม เสริมสร้างนิสัยการเรียนรู้การลงทุนใน 21 วัน เพื่อช่วยเพิ่มความมั่นใจและโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวผ่านกองทุนรวม

2. โครงการ Happy Money, Happy Young Old ปูนนี้ (ก็) มีใช้ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับเกษียณแก่ข้าราชการตำรวจ เสริมทักษะและฝึกวางแผนการเงินจริง ผ่าน Workshop ผ่านหลักสูตรบริหารเงินหลังเกษียณ ให้สามารถจัดสรรเงินออมก้อนสุดท้ายได้อย่างเหมาะสม นำไปสู่การมีชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุข

3. การส่งเสริมความรู้ผ่าน SET e-Learning ชุดหลักสูตร “การวางแผนการเงินและบริหารจัดการหนี้” 3 หลักสูตร ได้แก่ 1. หลักสูตรเงินทองต้องวางแผน 2. หลักสูตรรู้ก่อนเป็นหนี้จะได้ไม่รู้งี้ทีหลัง และ 3. หลักสูตรเป็นหนี้แล้ว จัดการยังไง โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติและตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีแผนจะดำเนินการพัฒนาและเชื่อมต่อระบบ e-Learning เพื่อให้ข้าราชการตำรวจและครอบครัว นักเรียนนายร้อยตำรวจ และนักเรียนนายสิบตำรวจ ได้เข้าถึงองค์ความรู้ที่เหมาะสม สามารถบริหารจัดหนี้ วางแผนการออม และมีเงินไว้ใช้จ่ายเพียงพอในยามเกษียณ

พล.ต.ท.อาชยนฯ กล่าวว่า ในครั้งนี้ เป็นการดำเนินกิจกรรมที่ 1 คือ โครงการ Money Management & Investment “ค่ายส่งสุขทางการเงิน เพื่อครอบครัวตำรวจไทย” ผ่านหลักสูตร Happy Money in Action เส้นทางสร้างสุขทางการเงิน เป็นเวลา 3 วัน 2 คืน เพื่อให้ทุกคนเปิดใจ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายของตัวเอง รู้จักวางแผนการใช้จ่าย วางแผนการออมเงิน วางแผนเกษียณอย่างเป็นสุข เก็บเงินไว้ใช้หลังเกษียณ มีเงินออมไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นการสร้างความสุขที่ยั่งยืนให้กับครอบครัว และเพื่อสร้างบุคคลต้นแบบและบุคคลต้นกล้าทางการเงินต่อไป

คุณณฐิกา ปิตะนีละบุตร อุปนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ในฐานะที่ปรึกษาโครงการฯ กล่าวว่า การดำเนินโครงการ Money Management & Investment จากปี 2564 ถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลา 5 ปี ข้าราชการตำรวจและครอบครัวได้รับความรู้ทางด้านการเงินรวมทั้งสิ้นกว่า 25,000 นาย คิดเป็นร้อยละ 10 ของข้าราชการตำรวจทั้งหมด และได้สร้างต้นแบบและต้นกล้าทางการเงินประเภทบุคคลและครอบครัวจาก 12 กองบัญชาการ รวมทั้งสิ้น 34 คน เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางการเงิน อาทิ ประหยัดค่าใช้จ่าย 171,000 บาท มีเงินออมเพิ่มขึ้น 375,000 บาท และหนี้สินลดลง 781,000 บาท

โดยในปีนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังคงตระหนักถึงสภาพปัญหาทางการเงินและหนี้สินของข้าราชการตำรวจ และเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างขวัญกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจและครอบครัว ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายการบริหารราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่จะสนับสนุนการส่งเสริมความรู้ทางการเงินให้กระจายอย่างทั่วถึง ให้ทุกกองบัญชาการมีต้นแบบทางการเงิน จึงจัดให้มีโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของข้าราชการตำรวจและครอบครัว และจัดการอบรมโครงการ Money Management & Investment “ส่งสุข ทางการเงิน เพื่อครอบครัวตำรวจไทย” เพื่อปรับทัศนคติในการใช้ชีวิต ให้ความรู้ความเข้าใจด้านการวางแผนการเงิน การออม การลงทุน และการจัดการหนี้สินอย่างถูกต้อง โดยมีที่ปรึกษาทางการเงินประกบระยะเวลา 2 เดือน และสร้างครอบครัวต้นแบบและต้นกล้า เพื่อส่งต่อและแบ่งปันประสบการณ์ความสำเร็จจากการแก้ไขปัญหาการเงินที่ทำให้เค้าชีวิตมีความสุขมากขึ้น ให้กับเพื่อนข้าราชการตำรวจด้วยกัน

‘พิธา’ เตรียมเปิดตัว “The Almost Prime Minister” บันทึกการเมืองหลังชนะเลือกตั้งแต่ไม่ได้นั่งเก้าอี้นายกฯ

(28 พ.ค. 68) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Pita Limjaroenrat - พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ถึงการเตรียมเปิดตัวหนังสือว่า...

“The Almost Prime Minister”
หนังสือเล่มนี้...ไม่มีชื่อภาษาไทยครับ
มันเป็น political memoir — บันทึกการเมืองของผมที่ไม่เคยถูกเล่าที่ไหนมาก่อน
เรื่องเล่าของชัยชนะที่ถูกขวาง การเดินทางที่ไม่ถอย
และเรื่องราวของประเทศหนึ่ง ที่ประชาชนกำลังพยายามเปลี่ยนแปลงอนาคตของตัวเอง

ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ขณะเดินทางไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะที่ฮาร์วาร์ด ยุโรป หรือเวทีโลกต่าง ๆ
ผมมักถูกถามด้วยความงุนงงว่า
“เกิดอะไรขึ้นกับการเมืองไทยกันแน่?”
“คุณชนะเลือกตั้ง แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่บอสตัน?”
และเมื่อผมเล่าเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เพื่อนต่างชาติและนักศึกษาหลายคนจึงตั้งชื่อเล่นให้ผมว่า

“The Almost Prime Minister”
หรือบางคนเรียกผมว่า “29.5”
เพราะผมคือคนที่ประชาชนเลือก
แต่ยังไปไม่ถึงเบอร์ 30
ติดอยู่กลางทาง — ระหว่างความหวังของประชาชน
กับกำแพงของรัฐพันลึก ที่ยังบล็อกฉันทามติของผู้คนไว้อย่างแน่นหนา
หนังสือเล่มนี้บอกเล่าเรื่องราวจาก "ยุบสภา ถึง ยุบพรรค"
วันที่ประชาชนตัดสินใจเปิดทางให้ความเปลี่ยนแปลง
ต่อเนื่องถึงชัยชนะในการเลือกตั้ง
และการเผชิญหน้ากับ “นิติสงคราม” และ "กลไกต่อต้านเสียงข้างมาก" ต่างๆนานาๆ สกัดกั้นเจตจำนงของผู้คน ก่อนจะนำไปสู่จุดจบของพรรคที่ประชาชนไว้วางใจ

นี่คือเส้นทางที่เต็มไปด้วยบททดสอบของศรัทธา
บทพิสูจน์ของการยึดมั่นในหลักการ
และบทเรียนสำคัญของประชาธิปไตยไทยในยุคเปลี่ยนผ่าน
แม้หนังสือเล่มนี้จะเล่าผ่านมุมมองส่วนตัว
แต่ผมขอยืนยันว่า มันห่างไกลจากการเป็นเรื่องของผมคนเดียว

เพราะนี่คือเรื่องราวของ “พวกเรา” ทุกคน
ของประชาชนกว่า 14 ล้านเสียงที่ร่วมกันจุดประกายความหวังครั้งประวัติศาสตร์
หวังที่จะเห็นประเทศไทยเดินหน้าไปในทิศทางที่ดีกว่า
เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ เป็นประเทศที่ทุกคนมีอนาคต
มีศักดิ์ศรี และมีโอกาสอย่างเท่าเทียมกัน

ผมเข้าใจดีว่า การเดินทางครั้งนี้อาจทำให้หลายคนรู้สึกเหนื่อยล้า
ผิดหวัง และเต็มไปด้วยคำถาม
แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่เคยสูญเสียไปเลย คือคำว่า “ความหวัง”
แม้การเมืองไทยจะยังซับซ้อน และหลายครั้งดูเหมือนไม่มีทางออก
แต่ทุกรอยยิ้ม ทุกกำลังใจ และทุกความเชื่อมั่นที่ประชาชนมอบให้
คือเชื้อเพลิงที่ทำให้ผม — และพวกเราทุกคน —
ยังคง “ก้าวต่อไป” อย่างไม่ย่อท้อ

หนังสือเล่มนี้จึงไม่ใช่แค่บันทึกความทรงจำทางการเมือง
แต่มันคือหลักฐานของความพยายามที่เราร่วมกันสร้าง
คือภาพจำของช่วงเวลาที่ประวัติศาสตร์เกือบเปลี่ยนทิศ
และคือเครื่องเตือนใจว่า —
ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
ถ้าเรายังร่วมมือกัน
คำว่า “Almost” จะถูกขีดฆ่าทิ้งไป
และเราจะไปถึงเส้นชัย...ไปเปลี่ยนประเทศนี้ด้วยกัน
พบกัน 29.5 นี้ครับ

‘ม.ฮาร์วาร์ด’ อาจถูกตัดงบ 100 ล้านดอลลาร์ หลังถูกกล่าวหาเลือกปฏิบัติ-ต่อต้านชาวยิว

(28 พ.ค. 68) รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมให้หน่วยงานรัฐทบทวนเงินทุนที่มอบให้มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยอาจยุติหรือโอนงบประมาณไปยังหน่วยงานอื่น หากพบว่าไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งถือเป็นความพยายามล่าสุดในการกดดันสถาบันการศึกษาชั้นนำแห่งนี้

สำนักงานบริหารบริการทั่วไป (GSA) เตรียมส่งจดหมายถึงหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้ระบุสัญญาที่ทำไว้กับฮาร์วาร์ด ซึ่งคาดว่ามีมากถึง 30 ฉบับ รวมมูลค่าราว 100 ล้านดอลลาร์ (ราว 3,650 ล้านบาท) ขณะที่ร่างจดหมายฉบับนี้กล่าวหาว่าฮาร์วาร์ดมีพฤติกรรมเลือกปฏิบัติและต่อต้านชาวยิว

แม้รัฐบาลจะยังไม่ตัดงบทันที แต่จะเริ่มกระบวนการประเมินว่าเงินทุนใดจำเป็นต่อผลประโยชน์ของรัฐ โดย GSA จะเสนอให้ยกเลิกสัญญาที่ไม่ผ่านเกณฑ์ พร้อมโยกงบประมาณไปยังโครงการอื่น ด้านฮาร์วาร์ดยังไม่ออกแถลงการณ์ แต่เตือนว่าการวิจัยสำคัญ เช่น มะเร็งและโรคติดเชื้อ อาจหยุดชะงักหากขาดเงินสนับสนุน

ความตึงเครียดระหว่างรัฐบาลทรัมป์กับฮาร์วาร์ดทวีความรุนแรงขึ้นในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ทั้งจากการอายัดงบวิจัย 2.2 พันล้านดอลลาร์ และคำสั่งระงับสิทธิ์รับนักศึกษาต่างชาติ ซึ่งสร้างความโกลาหลให้กับนักเรียนหลายพันคน ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งชะลอการบังคับใช้คำสั่งดังกล่าวชั่วคราว

อลงกรณ์" ดึง AI สร้างแอปฯ Foundue สู้คอร์รรัปชั่น ประกาศเจตนารมณ์ผนึกภาคีเครือข่าย”ไยแมงมุม” สกัดโกง!

(28 พ.ค. 68) อลงกรณ์ ประกาศนำสถาบัน FKII Thailand ผนึกองค์กรภาคีต่อต้านการทุจริต สร้างเครือข่าย”ใยแมงมุม” สกัดโกง ดึงเทคโนโลยี AI “Corruption Foundue” สร้างช่องทางตรวจสอบข้อมูลที่โปร่งใส ให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมแจ้งเบาะแส ตรวจสอบ ขยายผลหวังลดปัญหาฉ้อฉลเงินแผ่นดิน

ที่สวนเสียงไผ่ สถาบันทิวา ทาวน์อินทาวน์ เมื่อวันที่ 28 พ.ค.68 นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบัน FKII Thailand พร้อมด้วย เครือข่ายพันธมิตร อาทิ ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ประธานสถาบันการสร้างชาติ, นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.), ดร.มานะ นิมิตมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รรัปชั่น (ประเทศไทย), ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผช.ผอ.สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), นายชยดิษฐ์ หุตานุวัชร์ ประธานสถาบันทิวา และผอ.สถาบัน FKII Thailand, พลเอก ดร.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ เลขาธิการภาคีเครือข่ายธรรมาภิบาลแห่งชาติ, ดร.เอก์ เหลืองสะอาด นายกสมาคมผู้สื่อข่าวต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย), ดร.โรจนศักดิ์ แสงธศิริวิไล นายกสมาคมเครือข่ายผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนนานาชาติ, นายจิรวัฒน์ ตั้งกิจงามวงศ์ ประธานมูลนิธิยุวไทยสากล และนายกสมาคมธุรกิจค้าไม้ และนายสุปรีย์ ทองเพชร ประธานสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย ร่วมกันแถลงข่าวเปิดตัวแพลตฟอร์ม คอร์รัปชั่น ฟ้องดู (Corruption Foundue) 

นายอลงกรณ์ กล่าวตอนหนึ่งระหว่างบรรยายหัวข้อ“คอร์รัปชั่นเทคโนโลยี คอร์รัปชั่น ฟ้องดู โครงการใยแมงมุมต้านโกง” ว่า การรวมตัวของภาคีเครือข่ายฯครั้งนี้ เพื่อประกาศเจตนารมณ์ในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยยึดโยงกับวันแรก (28 พ.ค.) ที่สภาผู้แทนราษฎร กำลังพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ในวาระแรก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปีที่รัฐบาลจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล และต้องกู้ยืมเงินมากกว่า 9 แสนล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของประเทศ ทั้งยังถือเป็นการกลัดกระดุมเม็ดแรกในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยเฉพาะในแวดวงราชการ ซึ่งสถาบัน FKII Thailand มองเห็นช่องโหว่ใหญ่ที่เป็นปัญหาของประเทศจากพฤติกรรมดังกล่าว
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมได้ทำหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชั่นของนักการเมืองและผู้เกี่ยวข้อง ในยุคของรัฐบาลที่มีอำนาจมากที่สุดยุคหนึ่ง จนถูกฟ้องร้องดำเนินคดีรวมเกือบ 20 คดี แต่ในที่สุดศาลท่านก็ได้ตัดสินให้ผมชนะในทุกคดี แม้จะไม่สามารถเอาผิดคนโกงได้ทุกคดี แต่ก็ทำให้อดีตรัฐมนตรีท่านหนึ่งและเลขานุการของรัฐมนตรีท่านนั้น ถูกจำคุกฐานฉ้อโกงเงินภาษีของประชาชนได้ ซึ่งบทเรียนจากการทำหน้าที่ประธานตรวจสอบการการทุจริตคอร์รัปชั่นในครั้งนั้น ก็น่าจะเป็นบทเรียนและเป็นประโยชน์ต่อการทำหน้าที่นับจากนี้ไป”

ประธานสถาบัน FKII Thailand กล่าวย้ำว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่พวกเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นภาคีเครือข่ายฯ หรือภาคประชาชน จะต้องกล้าเดินไปด้วยกัน เพื่อต่อต้านและขจัดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น และร่วมกันสร้างแสงสว่างแห่งความดีงาม เพื่อป้องกันความดำมืดของการทุจริตคอร์รัปชั่นให้ลดลงไปจากประเทศไทย

ด้าน ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ กล่าวว่า การจัดการปัญหาคอร์รัปชั่นสามารถทำได้ หากเข้าใจกลไกอันเป็นต้นตอของปัญหา กล่าวคือตัวบุคคล ระบบ และบริบทสังคม ทั้งหมดมีความเชื่อมโยงถึงกัน ทั้งนี้ ต้องยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่า “สันดานมนุษย์ซื้อได้ด้วยผลประโยชน์” ขอให้จ่ายในสัดส่วนที่มากพอ ก็สามารถจะซื้อคนๆ นั้นได้แล้ว วิธีการแก้ไขคือจะต้องสร้างระบบที่ทำให้ “คนชั่วทำดีโดยไม่รู้ตัว” โดยเฉพาะการสร้างแสงสว่างในที่มืดให้มากที่สุด ส่วนตัวเสนอให้ทุกภาคส่วน เปิดเผยข้อมูลทุกอย่างที่ไม่กระทบต่อปัญหาความมั่นคงของชาติอย่างแท้จริง เพราะหากทุกอย่างเปิดเผย โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้แล้ว เชื่อว่าปัญหาการปัญหาคอร์รัปชั่นก็จะค่อยๆ ลดลงไปโดยปริยาย

ส่วน นายพิศิษฐ์ กล่าวว่า การจัดตั้งองค์กรตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชั่น นับแต่ที่มี สตง., ต่อมาก็มี ป.ป.ป., ปปท., ดีเอสไอ และ ปปง. ทั้งหมดสะท้อนว่าปัญหาวิกฤติด้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ยังคงเติบโตและขยายตัวไปอย่างต่อเนื่อง ในฐานะ “อดีตผู้ว่าการ สตง.” มีหลายคนถามตนว่า “ทำไม ตึก สตง.ถึงถล่ม!” คำตอบง่ายๆคือ เพราะเป็น “ของหลวง” แต่หากเป็นตึกของภาคเอกชน ก็จะมีกระบวนการตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณ และขั้นตอนการก่อสร้างที่ดีพอ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมตึกของเอกชนจึงไม่ถล่มพังลงมา ส่วนตัวเคยคิดว่าการตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องที่ยาก แต่หลังจากที่มีแอปพลิเคชั่น “Corruption Foundue” แล้ว เชื่อว่าปัญหานี้จะลดลงตามมา

ขณะที่ ดร.มานะ  กล่าวว่า ก่อนหน้านี้การพูดว่าจะแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น เสมือนเป็นการพูดใส่กำแพง กล่าวคือพูดให้ตัวเองได้ยิน แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้เลย ที่ผ่านมาพบว่าแต่ละปีมีการโครงการก่อสร้างของภาครัฐรวมกันสูงมากถึง 1.7 ล้านล้านบาท และหากมีการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยการเรียกเก็บเงินใต้โต๊ะจากโครงการแค่ 10-20% นั่นก็หมายความว่าประเทศจะสูญเสียเงินไปราวๆ 1.7 - 3.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นเม็ดเงินที่สูงมาก เฉพาะหน่วยงานในสังกัด องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นพบว่า การทำหน้าที่ของ อบจ.ทั้ง 76 จังหวัด มีโครงการก่อสร้างถนนในพื้นที่ รวมกันมากถึง 3 แสนล้านบาท แต่กลายเป็นว่า 63% เป็นการซ่อมแซมถนนที่ชำรุดทรุดโทรม ซึ่งไม่ก่อประโยชน์ต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่แต่อย่างใด มันสะท้อนว่าที่ผ่านมาภาครัฐไม่ได้ใส่ใจต่อการต่อต้านปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นแต่อย่างใด แต่จากนี้ การมีเทคโนโลยี ฟ้องดู แม้จะช่วยให้การตรวจสอบทำได้ง่ายขึ้น แต่จำเป็นจะต้องสร้างความร่วมมือจากภาคประชาชน รวมถึงนักวิชาการ และสื่อมวลชน เพื่อให้เครือข่ายทุกภาคส่วนสามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อการเข้าถึงข้อมูลและทำหน้าฟ้องประชาชนไปด้วย

ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผู้คิดค้นแอปพลิเคชั่น “Traffy Foundue” ก่อนจะขยายผลและเชื่อมโยงไปสู่แอปพลิเคชั่น “Corruption Foundue” กล่าวว่าแนวคิดของการแอปพลิเคชั่นแจ้งเบาะแสหรือปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นคือต้องทำ (ใช้งาน) ได้ง่าย และเห็นความก้าวหน้า ที่สำคัญผู้แจ้งเบาะแสจะต้องปลอดภัย ซึ่งทั้งหมดจะช่วยให้กระบวนการทำงานในการตรวจสอบและป้องกันปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ข้อมูลที่ได้รับการแจ้งเบาะแสและผ่านการตรวจสอบแล้วจะถูกใช้และขยายผลเพื่อเป็นข้อมูลในการดำเนินการที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติต่อไป

ทั้งนี้ พลเอก ดร.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ เลขาธิการภาคีเครือข่ายธรรมาภิบาลแห่งชาติ ระบุว่า ภาคีเครือข่ายธรรมาภิบาลแห่งชาติ พร้อมจะเข้าร่วมเป็นภาคีต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นของ สถาบัน FKII Thailand เพราะไม่ต้องการเห็นการเติบโตของปัญหาดังกล่าว นำไปสู่ความร่วมมือในการสร้างสังคม “ธรรมภิบาล” ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว

ขณะที่ ดร.เอก์ เหลืองสอาด นายกสมาคมผู้สื่อข่าวต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) กล่าวว่า ครั้งหนึ่ง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เคยกล่าวปาฐกถาในงานเสวนาของสมาคมฯ ถึงปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นว่าเป็นเสมือน “การปล้นชาติ” จำเป็นจะต้องเร่งแก้ไขปัญหาที่ “ต้นน้ำ” นั่นจึงเป็นที่มาทำให้ สมาคมฯมุ่งเน้นไปที่สร้างเครือข่ายเยาวชนคนรุ่นใหม่ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ในระดับอุดมศึกษา โดยรวมมือกับมหวิทยาลัยทั่วประเทศ ซึ่งการเกิดขึ้นของ แอปพลิเคชั่น “Corruption Foundue” จะช่วยทำให้ความร่วมมือของทุกภาคส่วนเป็นไปอย่างเข้มข้นและเข้มแข็ง และทำให้การขับเคลื่อนเดินหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างเกาะป้องกันปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นได้อีกทางหนึ่ง

BLACKPINK WORLD TOUR <DEADLINE> in BANGKOK วันที่ 24-26 ตุลาคม 2568 ณ ราชมังคลากีฬาสถาน

BLACKPINK WORLD TOUR <DEADLINE> in BANGKOK วันที่ 24-26 ตุลาคม 2568 ณ ราชมังคลากีฬาสถาน
พรีเซลส์ Weverse BLINK MEMBERSHIP จะเปิดจำหน่ายวันที่ 10 มิถุนายนนี้ เวลา 10:00 น.
ขอบคุณรูปภาพ FB : BLACKPINK Thailand


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top