Wednesday, 14 May 2025
Hard News Team

จบ ป.ตรีเอกภาษาจีน มาชงกาแฟขาย ริมทางด้วย ‘รถมอไซต์’ หอมอร่อยจ้า!! เพราะใช้ ‘อราบิก้า - โรบัตต้า’ อย่างดี หอมมาก

(29 ธ.ค. 67) เพจ ‘ขยี้ข่าว’ โพสต์ข้อความ ระบุว่า ...

พี่เขา จบ ปริญญาตรีเอกภาษาจีน ตกงานเลยย้ายมาจากภูเก็ตมาหางานในอมตะแต่ยังหางานไม่ได้ก็เลยมาขๅยกาแฟริมทางด้วยรถมอไซต์ 1 คัน แก้วละ 40บ. รสชาติดีนะ กาแฟหอม เขาใช้กาแฟอราบิก้าเชียงรายผสมโรบัตต้าจากภาคใต้ ลงตัวดีแหะ รอนานหน่อยแต่คุ้มค่า สายชิลต้องลอง

ให้กำลังใจคนสู้ชีวิต!!

พิกัด ตรงสะพานลอย หน้าวิทยาลัยอีเทค ฝั่งวิทยาลัย ใครผ่านมาแถวหนองตำลึง อีเทค มาช่วยพี่เขาซื้อกันนะคะ

‘รมว.ขิง’ โพสต์เฟซ!! ขอบคุณทุกฝ่ายที่คอยสนับสนุน พีระพันธุ์ เเละ รทสช. ในการทำงาน ชี้!! ‘นิด้าโพล’ เพิ่มขึ้น พร้อมเดินหน้าทุ่มเท พังทุกปัญหา เพื่อพัฒนาประเทศ

(29 ธ.ค. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า …

เดินหน้าทำงาน…

วันนี้ เมื่อเทียบเวลาเดียวกันกับปลายปีที่แล้ว คะแนนนิยม วัดโดยนิด้าโพล เพิ่มขึ้น
ของ #หัวหน้าพี จาก 2.4% เป็น 10.25%
ของพรรค #รวมไทยสร้างชาติ จาก 3.2% เป็น 10.6%
ล่าสุดทะลุ 10% ทั้งคู่แล้ว

ขอบคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุนพวกเรา คอยช่วยสื่อสารประชาสัมพันธ์ผลงานของพรรคและหัวหน้า #พีระพันธุ์
เราจะเดินหน้าทุ่มเททำงาน แก้ปัญหา พัฒนาประเทศ ด้วยจุดยืนที่มั่นคง ตามแบบ #DNAลุงตู่

‘ลิณธิภรณ์’ ฟาดใส่!! ‘โรม’ ไร้มารยาท เหตุ!! วิจารณ์ ‘อันวาร์’ หารือ ‘ทักษิณ’

(29 ธ.ค. 67) น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน พาดพิงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ พบหารือนายดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียว่า งงกับนายรังสิมันต์ที่ตั้งคำถามเหมือนคนไม่ตามข่าวสาร ว่า นายกรัฐมนตรีมาเลเซียซึ่งกำลังรับตำแหน่งเป็นประธานอาเซียนในปี 2568 แต่งตั้งอดีตนายกฯ ทักษิณเป็นที่ปรึกษาประธานอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ไม่ใช่เพราะท่านทักษิณเป็นล็อบบี้ยิสต์หรือเป็นเสมือนนายกรัฐมนตรีอย่างที่นายรังสิมันต์ยัดเยียด แต่เพราะนายกฯ มาเลเซียชี้แจงว่า “ท่านทักษิณเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญอันโดดเด่น และจะเปิดโอกาสอันประเมินค่าไม่ได้กับมาเลเซียและอาเซียน”

น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวต่อว่า แม้อดีตนายกฯ ทักษิณ จะไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการในรัฐบาลนี้ แต่การหารือที่เกิดขึ้นนั้น นายกฯ อันวาร์ก็เน้นย้ำวิสัยทัศน์การพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างประเทศร่วมกับนายกฯ แพทองธาร ซึ่งเป็นผู้นำรัฐบาลไทย ดังนั้นเป้าหมายของเหล่าผู้นำ และประสบการณ์ที่ผู้นำต่างประเทศยกย่องเชิดชูอดีตนายกฯ ทักษิณ ล้วนแล้วแต่จะเป็นประโยชน์สูงสุดกับประเทศและภูมิภาค

“มัวแต่จ้องจับผิดจนลามถึงผู้นำต่างประเทศ ที่เขาแต่งตั้งอดีตนายกฯ ทักษิณเป็นที่ปรึกษา นับว่านายรังสิมันต์ตั้งคำถามแบบไม่มีมารยาท สุ่มเสี่ยงยุแยงความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ โดยที่พรรคประชาชนไม่เคยรับผิดชอบ เลิกอ้างประชาชนอยากรู้ เพราะประชาชนทั่วไปต่างติดตามประโยชน์ของชาติ ที่มีอดีตผู้นำที่มีความสัมพันธ์อันดีกับนานาชาติ นำพาการเจรจาร่วมมือไปได้อย่างราบรื่น ต่างจากการมองโลกในแง่ลบ ตีทุกอย่างในแง่ร้าย เกิดประโยชน์อะไรกับประเทศ” น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวทิ้งท้าย

‘สาธารณสุขจังหวัดตาก’ เอาจริง!! สั่งสอบข้อเท็จจริง ‘คลิปพยาบาล’ สั่ง!! ไม่ให้ดูแลผู้ป่วย หากผิดจริงเอาผิด ‘ทางกฎหมาย – ทางวินัย’

(29 ธ.ค. 67) นพ.พิทักษ์พงษ์ จันทร์แดง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดตาก กล่าวถึงกรณีสื่อสังคมออนไลน์มีการโพสต์คลิปวิดีโอ ผู้สวมชุดพยาบาลดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายในหอผู้ป่วยของโรงพยาบาล ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในโรงพยาบาลแม่ระมาด จังหวัดตาก ซึ่ง นพ.สุภโชค เวชภัณฑ์เภสัช รักษาการผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 2 ได้มอบหมายให้เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยด่วน เบื้องต้นได้สั่งการให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงระดับโรงพยาบาลแล้ว โดยให้เรียกผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดมาให้ข้อมูลเมื่อช่วงบ่ายวันนี้ และให้ย้ายผู้ที่ปรากฏอยู่ในคลิปทั้งหมด ไปทำหน้าที่อื่น ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วยก่อน

เมื่อได้ข้อสรุปเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว หากผิดจริงจะดำเนินการทางกฎหมายต่อไป โดยในส่วนของโรงพยาบาลแม่ระมาด ได้ออกประกาศชี้แจงเหตุการณ์แล้ว โดยยืนยันว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และโรงพยาบาลมีนโยบายห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่ราชการอยู่แล้ว รวมถึงจะเข้มงวดไม่ให้มีเหตุการณ์ที่ไม่เหมาะสมเกิดขึ้นอีก

“การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานพยาบาล จะมีความผิดตามมาตรา 31 พ.ร.บ.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2541 ซึ่งกำหนดเรื่องสถานที่ห้ามดื่ม เช่น วัด สถานที่ทางศาสนา สถานพยาบาล สถานที่ราชการ สถานศึกษา ปั๊มน้ำมัน สวนสาธารณะของราชการ เป็นต้น ผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนจะผิดวินัยขั้นใดขอให้รอผลการพิจารณาของคณะกรรมการก่อน รวมถึงเรื่องความผิด ทางจริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพ ตรงนี้จะเป็นหน้าที่ของสภาวิชาชีพอย่างสภาการพยาบาลในการพิจารณา เพราะหนึ่งในการประพฤติตนตามจริยธรรมและจรรยาบรรณ คือ จะต้องไม่กระทำผิดต่อกฎหมาย” นพ.พิทักษ์พงษ์ กล่าวทิ้งท้าย

‘จตุพร’ คอนเฟิร์ม!! ‘พีระพันธุ์’ ขวางผลประโยชน์ของนายทุน เป็นห่วงจะถูกกำจัดทิ้ง หลังปีใหม่ ชี้!! ไม่น่าจะยื้อได้นาน

(28 ธ.ค. 67) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ได้แสดงความเป็นห่วง นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ได้ทุ่มเททำงานทุกอย่าง เพื่อผลประโยชน์ของประชาชน และประเทศชาติ ซึ่งในขณะนี้ก็ได้เข้าไปขัดขวางผลประโยชน์ของนายทุน โดยนายจตุพร ได้ระบุว่า ...

คุณพีระพันธุ์ แม้ว่ามีเจตนาจะทําแต่ละเรื่องราว เพื่อจะลดราคาพลังงาน ไม่ว่าน้ำมัน แก๊ส ค่าไฟฟ้า ก็ตาม

ก็เป็นอุปสรรค ถูกขัดขวาง จากกลุ่มทุนผูกขาดที่นายกรัฐมนตรี และคุณทักษิณ ประกาศจะทลายนะครับ เมื่อวานก็ตีกอล์ฟ อยู่ด้วยกันนะครับ กําลังทลายกันอยู่นะครับ

ผมเองก็มองเห็นว่าคุณพีระพันธุ์เองนั่นแหละครับ ผมไม่รู้ว่า เขาจะอยู่ได้อีกสักกี่วัน หลังจากปีใหม่ เพราะเค้าคือลําดับต่อไป เพราะว่าเค้าไปยืนขวางทุกอย่างที่เป็นเรื่องของของผลประโยชน์

ถ้ารัฐบาล โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี ที่ประกาศลดค่าน้ำมัน ค่าแก๊ส ค่าไฟฟ้าทันทีเนี่ย 

ความเป็นจริงต้องเอื้อกับคุณพีระพันธุ์ มันจึงจะทําอย่างนั้นได้

เพราะคุณพีระพันธุ์เนี่ยนะครับ ผมคิดว่าเค้าคงจะไม่ทนกับคุณพีระพันธุ์ เพราะคุณพีระพันธุ์ไปยืนขวางอยู่หลายโครงการมากนะครับ เพราะว่าแต่ละโครงการมันเต็มไปด้วยผลประโยชน์ เพราะฉะนั้นเค้าจึงเป็น ‘พีระพัง’ทุกเรื่องนะครับ ไปขัดขวางผลประโยชน์ของนายทุน ถ้าไม่ใช่ผลประโยชน์ของชาติ เขาก็ไปยืนพัง

แต่ผมเชื่อว่า เขาไม่น่าจะยื้อได้นาน ยกเว้นว่า จะมีการคํารามของคู่แคนดิเดตนายกเขานะครับ ซึ่งก็ยังมากด้วยฤทธิ์ มากด้วยบารมี

แต่ว่า ชะตากรรมของคุณพีระพันธ์ที่ไปยืนขวางนั้น เป็นหมากหนึ่ง ที่ต้องถูกกําจัด ถัดจากพลเอกประวิตรนะครับ ไม่รู้ว่าเขาจะยื้อได้สักเพียงไหน

“ผบช.ภ.2” สั่งคุมเข้มอาวุธ ป้องกันเมาทะเลาะวิวาทในแหล่งท่องเที่ยว กำชับทำคดีอย่างเป็นธรรม เหตุแทงหนุ่มญี่ปุ่นดับ พร้อมประสานสถานทูต ช่วยเหลือจัดการศพ

(29 ธ.ค. 67) พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) สั่งการตำรวจ สภ.เมืองพัทยา จว.ชลบุรี สอบสวนคดีทำร้ายชาวญี่ปุ่นจนเสียชีวิต หน้าสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง เมื่อเช้าตรู่ที่ผ่านมา อย่างเป็นธรรมรอบคอบ และกำชับให้ออกมาตรการเข้มในการเฝ้าระวังกลุ่มคน บุคคลที่มีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยง ป้องปรามการทะเลาะวิวาท การดื่มสุรา การรวมกลุ่มสังสรรค์ ของประชาชน และนักท่องเที่ยวที่อาจสุ่มเสี่ยงนำไปสู่การทะเลาะวิวาทรุนแรง โดยย้ำว่าต้องเพิ่มความถี่ในการออกตรวจ แสดงกำลังหรือปรากฏกายของเจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งการสุ่มตรวจค้นอาวุธอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยวที่มีผู้คนจำนวนมาก

ผบช.ภ.2 เผยถึงเหตุการณ์ทำร้ายชาวญี่ปุ่นว่า รับรายงาน จาก พ.ต.อ.นาวิน ธีระวิทย์ ผกก.สภ.เมืองพัทยา ว่า เมื่อเวลาประมาณ 05.57 น. วันนี้ (29 ธันวาคม 2567) ตำรวจ สภ.เมืองพัทยา รับแจ้งเหตุตรวจสอบพบชายชาวญี่ปุ่นถูกอาวุธมีดแทงที่หน้าอกได้รับบาดเจ็บสาหัส ในย่าน วอล์กกิ้งสตรีท พัทยา โดยนอนหมดสติ ทราบชื่อ นายเซตะ อายุ 27 ปี ประสานนำส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ส่วนผู้ก่อเหตุ ชื่อนายเดวิด อายุ 36 ปี ชาวไทย สามารถควบคุมตัวได้ทันทีในที่เกิดเหตุ สอบสวนผู้อยู่ในเหตุการณ์ทราบว่าผู้เสียชีวิตเห็นผู้ก่อเหตุมีปากเสียงกับแฟนสาว ถึงขั้นทำร้ายร่างกายอยู่ริมถนน จึงเข้าห้าม เกิดการชกต่อยกัน ก่อนแยกย้าย แต่ผู้เสียชีวิตได้กลับมาหาผู้ก่อเหตุอีกครั้งพุ่งเข้าจะชกต่อย ผู้ก่อเหตุจึงใช้มีดแทงไปที่ผู้เสียชีวิตจนล้มลง แล้ววิ่งหนี แต่ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคุมตัวไว้ได้

“คดีนี้ตำรวจ สภ.เมืองพัทยา ตรวจสถานที่เกิดเหตุ ยึดมีดของกลาง สอบปากคำพยานผู้เห็นเหตุการณ์ ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณที่เกิดเหตุ ให้ผู้เห็นเหตุการณ์ชี้ภาพยืนยันตัวผู้ก่อเหตุ นำร่างผู้เสียชีวิตส่งชันสูตร รพ.ตำรวจ ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายผู้ต้องหา ตรวจปัสสาวะหาสารเสพติดในร่างกายผู้ต้องหา โดยได้กำชับให้ดำเนินคดีอย่างเป็นธรรม รอบคอบ พร้อมประสานสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เพื่ออำนวยความสะดวกในการประสานญาติ และจัดการศพด้วย” ผบช.ภ.2 กล่าว

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตรวจสภาพการจราจรถนนพระราม 2 และตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง สถานีตำรวจทางหลวงวังมะนาว อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี และจุดบริการประชาชนเขาย้อย จ.เพชรบุรี”

วันนี้ (29 ธ.ค. 67) เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมคณะ ได้เดินทางตรวจสภาพการจราจร ถนนพระราม 2 ต่อเนื่องถนนเพชรเกษม พบว่าสภาพการจราจรสายตะวันตกและสายใต้ เส้นทางถนนพระราม 2 (ทล.35) และถนนเพชรเกษม (ทล.4) วันนี้การจราจรคล่องตัวเดินทางสะดวก สาเหตุเนื่องจากผู้ใช้ทางส่วนใหญ่ทยอยเดินทางกลับตั้งแต่ช่วงวันที่ 25-28 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวานนี้ (28 ธันวาคม 2567) ถนนพระราม 2 มีการจราจรหนาแน่นตลอดทั้งวัน เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงได้เปิดช่องทางพิเศษในจุดที่มีการจราจรหนาแน่น และอยู่ประจำจุดอำนวยความสะดวกตลอดเส้นทาง 

จากนั้นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ตรวจเยี่ยมเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง ณ สถานีตำรวจทางหลวง 2 กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจทางหลวง ในพื้นที่วังมะนาว อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี และจุดบริการประชาชนเขาย้อย จ.เพชรบุรี เพื่อให้กำลังใจข้าราชการตำรวจในสังกัดที่ปฏิบัติหน้าที่ให้บริการประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งมีสภาพการจราจรคับคั่ง เนื่องจากพี่น้องประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาและไปท่องเที่ยวต่างจังหวัด ในส่วนหน่วยบริการตำรวจทางหลวงวังมะนาว ซึ่งเป็นหน่วยบริการขนาดใหญ่ มีผู้มาใช้บริการจำนวนมาก เช่น แวะสอบถามทาง แวะเข้าห้องน้ำ รวมถึงมีผู้ที่ต้องเดินทางในระยะทางไกล มาลงทะเบียนเข้าพักค้างตามโครงการ “ห้องพักทั่วไทย จากใจตำรวจทางหลวง” เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงได้ให้บริการผู้เข้าพักได้รับความประทับใจ และชื่นชมกับโครงการนี้

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มอบนโยบายในการปฏิบัติงานกำชับให้ข้าราชการตำรวจทุกนายปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ และมีจิตสาธารณะในการให้บริการช่วยเหลือประชาชนที่สัญจรเดินทาง รวมถึงจะต้องประพฤติตนอย่างเหมาะสมโดยเฉพาะในเวลาสวมเครื่องแบบปฏิบัติหน้าที่ ในขณะเดียวกันก็จะต้องเตรียมความพร้อมเต็ม 100% เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาสภาพการจราจรและอุบัติเหตุ ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากขึ้นในช่วงเทศกาลสำคัญ พร้อมนี้ได้มอบหมวกนิรภัยให้แก่ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ไม่ได้สวมหมวกนิรภัย เพื่อเป็นการรณรงค์ให้การขับขี่ปลอดภัยยิ่งขึ้น

‘กบฏบวรเดช’ ประวัติศาสตร์ที่ต้องมองให้รอบด้าน!! หลังมีนักวิชาการ สร้างความเชื่อที่ผิด ทำลายข้อเท็จจริง

‘กบฏบวรเดช’ ประวัติศาสตร์ที่ต้องมองรอบด้าน

ในวงสนทนาทางวิชาการบางท่าน...ก็ มีผู้พยายามแสดงความเห็นว่า "...การพ่ายแพ้ของกบฏบวรเดชในปี 2476 คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ประชาธิปไตยในประเทศไทยตั้งมั่นอย่างมั่นคง.."

นี่คือแนวคิดที่ข้าพเจ้าขอทักท้วง ....
เพราะการมองว่าฝ่ายรัฐบาลในขณะนั้นเป็น "ผู้พิทักษ์ประชาธิปไตย" และฝ่ายบวรเดชเป็น 'ผู้ทำลาย' เป็นการลดทอนความซับซ้อนของบริบทและข้อเท็จจริงในช่วงเวลานั้น

เพื่อให้เข้าใจบริบทของเหตุการณ์นี้อย่างถ่องแท้ เรา จำเป็นต้องย้อนกลับไปพิจารณาภาพรวมของการได้มาซึ่งประชาธิปไตยในสังคมไทย และความสัมพันธ์ระหว่างผู้มีบทบาทสำคัญในช่วงเวลานั้น

การเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 นำโดยกลุ่มคณะผู้ก่อการ เปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งรวมถึงบุคคลสำคัญเช่น พระยาพหลพลพยุหเสนา พระยาทรงสุรเดช พระยาฤทธิอัคเนย์ และ พระประศาสน์พิทยายุทธ ...อีกทั้งยังต้องนับรวมไปถึงพระองค์เจ้าบวรเดชอีกด้วย นะครับ!!!

บุคคลเหล่านี้ส่วนใหญ่มีแนวคิดอยากเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปสู่ระบบรัฐธรรมนูญที่คล้ายคลึงกับประเทศอังกฤษ ซึ่งมีการถ่วงดุลอำนาจระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์และประชาชน อย่างไรก็ตาม แนวทางนี้กลับถูกสั่นคลอนเมื่อแนวคิดของของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม(อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ )ซึ่งนำเสนอระบบที่ใกล้เคียงกับลัทธิคอมมิวนิสต์ เริ่มก่อตัวขึ้นในช่วงเดียวกัน ช่วงชิงการนำในวันปฏิวัติ เกิดเป็นประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1 นั่นเอง

ความขัดแย้งเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นเมื่อรัชกาลที่ 7 ทรงทักท้วงแนวทางการร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวของอาจารย์ปรีดีและแสดงความกังวลในเอกสาร ‘สมุดปกเหลือง’ ทรงเห็นว่าระบบที่กำลังจะเกิดขึ้นอาจไม่เหมาะสมกับประเทศไทยที่ยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับประชาธิปไตยและสิทธิหน้าที่ของพลเมือง ข้อทักท้วงเหล่านี้กลับสร้างความตึงเครียดระหว่างกลุ่มผู้นำของคณะราษฎร และแบ่งแยกมุมมองระหว่างทหารและประชาชน จะเห็นได้ว่าคณะราษฎรใน ณ ที่นี้ จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่มที่มีแนวความคิดแบบอังกฤษ กับอีกกลุ่มนึงมีแนวความคิดแบบที่นำลัทธิคอมมิวนิสต์เข้ามาประยุกต์ใช้

ในตอนที่เหตุการณ์การก่อกบฏของพระองค์เจ้าบวรเดชเกิดขึ้นนั้น...
คณะบวรเดชเกิดขึ้นจากกลุ่มผู้นำทหารที่ไม่พอใจกับแนวทางการบริหารของคณะราษฎร นำโดยพระองค์เจ้าบวรเดชและพระยาศรีสิทธิสงคราม ซึ่งมองว่ารัฐบาลในขณะนั้นเริ่มละเลยหลักการที่ควรจะสนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์ในฐานะผู้ประสานงานแห่งชาติ แต่อย่างไรก็ตาม ฝ่ายคณะราษฎรและฝ่ายคณะบวรเดช ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ในนามของพระเจ้าแผ่นดินเพื่อสร้างความชอบธรรมในการเคลื่อนไหวของตน

การสู้รบที่เกิดขึ้นกลายเป็นสงครามกลางเมืองในท้ายที่สุดส่งผลให้ฝ่ายรัฐบาลเป็นผู้ชนะ แต่ความสูญเสียในครั้งนี้มิได้จำกัดอยู่เพียงในแง่ชีวิตและทรัพย์สิน แต่ยังส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยในสังคมไทย ความขัดแย้งภายในและการต่อสู้ที่อ้างประชาธิปไตยกลับกลายเป็นปัจจัยที่ทำให้สังคมไทยล้าหลังในเรื่องนี้

ฝ่ายที่ชนะใช้เงื่อนไขที่ชนะกดดันรัชกาลที่ 7 ให้พระองค์ทรงรับผิดชอบกับการกระทำของฝ่ายกบฏโดยอ้างว่าพวกเขาได้รับการสนับสนุน จากสถาบันฯ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายบวรเดชก็ล้วนเป็นคนสนิทของรัชกาลที่ 7 ทั้งนั้น กลับไม่มีใครฟังพระองค์เลย...

‘บทเรียนจากอดีต’

เหตุการณ์กบฏบวรเดชไม่ได้เป็นเพียงความขัดแย้งทางการเมือง แต่ยังสะท้อนถึงรากเหง้าของปัญหาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่เร่งรัดเกินไป โดยขาดการเตรียมพร้อมและความเข้าใจร่วมกันในสังคม ความพยายามของทั้งฝ่ายคณะราษฎรและฝ่ายบวรเดชล้วนมีเป้าหมายเพื่อปกป้องชาติในแนวทางที่แตกต่าง แต่การเดินทางสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริงกลับถูกบิดเบือนด้วยความขัดแย้งและการแย่งชิงอำนาจ

บทเรียนสำคัญจากเหตุการณ์นี้คือ ประชาธิปไตยไม่สามารถตั้งมั่นได้ด้วยชัยชนะทางการทหารหรือการใช้ความรุนแรงต่อฝ่ายตรงข้าม แต่ต้องเกิดจากความร่วมมือและการสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งในหมู่ประชาชน การละเลยเสียงของผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ เช่น รัชกาลที่ 7 ซึ่งทรงพยายามเตือนถึงความเสี่ยงของความแตกแยกในสังคม กลายเป็นสัญญาณเตือนถึงความล้มเหลวของการบริหารในเวลานั้น

การมองเหตุการณ์กบฏบวรเดชในมิติเดียวว่าเป็น ‘ชัยชนะของประชาธิปไตย’ อาจทำให้เราพลาดโอกาสที่จะเข้าใจความซับซ้อนของปัญหาในเชิงโครงสร้างที่ยังคงส่งผลกระทบต่อการเมืองไทยจนถึงปัจจุบัน อดีตไม่ได้มีไว้เพื่อโต้แย้งหรือกล่าวโทษ แต่มีไว้เพื่อเรียนรู้และหลีกเลี่ยงความผิดพลาดในอนาคต หากเราต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริง เราต้องฟังและเข้าใจเสียงของทุกฝ่ายในสังคม เพื่อสร้างอนาคตที่สมดุลและยั่งยืน

‘น้ำยำปลาร้าแม่บุญล้ำ’ ย้ำ!! ความแซ่บ ‘ผู้ได๋ก็ยำได้’ อร่อยซู๊ดปาก อีหลีเด้อ พร้อมทาน ทันทีที่ หมอชิต 2 แค่ลองเขย่า แล้วเท อร่อยเฮ!!นัวคัก ทั้งหมู่บ้าน

(29 ธ.ค. 67) ร่วมส่งท้ายปี การันตีความแซ่บ กับ ‘น้ำยำปลาร้าแม่บุญล้ำ แค่เขย่า แล้วเท ก็ได้รสชาติกลมกล่อมพร้อมทาน ผู้ได๋ก็ยำได้’ 

แจกน้ำยำและยำฟรีที่สถานีขนส่งใหญ่ (สถานีขนส่งหมอชิต 2, สถานีกลางกรุงอภิวัฒน์, สถานีขนส่งสายใต้ใหม่ และสถานีนครชัยแอร์) 

ให้ทุกคนได้ลิ้มลองความแซ่บแบบฟรีๆ ส่งท้ายปี 2567

สตม. เร่งตรวจสอบคนไทย 2 ราย บนเครื่องบิน “เซจู แอร์” หลังประสบอุบัติเหตุที่เกาหลีใต้

จากกรณี เครื่องบิน เซจู แอร์ ที่บินออกจากไทยเมื่อวันที่ 29 ธ.ค.67 เวลา 01.30 ตามเวลาประเทศไทย ประสบอุบัติเหตุขณะลงจอดที่เกาหลีใต้ ผู้โดยสาร 175 ราย เผยเสียชีวิตแล้ว 28 ราย ขณะนี้ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นใครบ้าง 

ล่าสุด วันนี้ (29 ธ.ค.67) เวลา 10.30 น. พ.ต.อ.คธาธร คำเที่ยง รอง ผบก.ตม.3 โฆษกสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เปิดเผยว่า พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. ได้สั่งการให้เร่งตรวจสอบ และประสานงานอย่างใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายเกาหลีใต้ ทราบว่า สาเหตุที่เกิดจากระบบในการลงจอดขัดข้อง เป็นเหตุให้เครื่องบินกระแทกกับรันเวย์ แล้วลื่นไถลไปประสบอุบัติเหตุ แล้วเกิดระเบิดที่ตัวเครื่องขึ้น เบื้องต้นมีผู้เสียชีวิตแล้ว 28 คน

โฆษก สตม. กล่าวว่า เครื่องบิน เซจู แอร์ ลำนี้ บรรทุกผู้โดยสารทั้งหมด 175 คน เป็นชาวเกาหลีใต้ 173 คน โดยมีคนไทย จำนวน 2 คน และยังมีลูกเรืออีก 6 คน รวมเป็น 181 คน เบื้องต้นกำลังเร่งตรวจสอบว่าผู้เสียชีวิตทั้ง 28 คนเป็นใครบ้าง ทั้งนี้ ผบช.สตม.ได้สั่งการให้เร่งประสานข้อมูล โดยหากทราบข้อมูลแล้วจะรีบรายงานให้ทราบในทันที 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top