Monday, 19 May 2025
Hard News Team

‘เอกนัฏ’ คิกออฟ 'แจ้งอุต' แจ้งปัญหาอุตสาหกรรมง่ายๆ ผ่านไลน์ ดึงปชช. ร่วมปราบ โรงงานเถื่อน – สินค้าไร้มาตรฐาน - ฝุ่นพิษ

กระทรวงอุตสาหกรรม คิกออฟ 'แจ้งอุต' แพลตฟอร์มแจ้งเรื่องร้องเรียนปัญหาอุตสาหกรรมผ่าน ทางไลน์ โดยเทคโนโลยี 'ทราฟฟี่ ฟองดูว์' ซึ่งผู้ร้องสามารถติดตามสถานการณ์แก้ปัญหาจนแล้วเสร็จ ทราบผลรวดเร็วทันใจ สร้างการมีส่วนร่วมพัฒนาอุตสาหกรรมไทย

(31 ม.ค.68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม มีความเอาจริงเอาจังกับการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อปฏิรูปอุตสาหกรรมทั้งการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการให้การประกอบกิจการเป็นเรื่องง่าย (Ease of Doing Business) และเพิ่มความคล่องตัวสำหรับประชาชนทั่วไปในการติดต่อกับกระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้มอบหมายให้ “คณะกรรมการเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อการปฏิรูปอุตสาหกรรม” นำโดย นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมหาแนวทางขับเคลื่อนร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหา 'ทราฟฟี่ฟองดูว์' (Traffy Fondue) จัดทำช่องทางร้องเรียนออนไลน์ของกระทรวงอุตสาหกรรม ในชื่อ 'แจ้งอุต' ที่จะเป็นตัวกลางระหว่างประชาชนกับกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นการเพิ่มช่องทางแจ้งเรื่องและตามติดสถานะของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการประกอบกิจการอุตสาหกรรมแบบทันใจยกระดับการมีส่วนร่วมภาคประชาชนเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมไทยให้สะอาด โปร่งใส และเพิ่มประสิทธิภาพให้ภาครัฐโดยการใช้เทคโนโลยีที่อำนวยให้ข้าราชการทำงานง่ายขึ้น อย่างเทคโนโลยีประมวลผลอัจฉริยะ (AI) ที่ช่วยเจ้าหน้าที่ประเมินสถานการณ์ แนะนำแนวทางการแก้ปัญหาอัตโนมัติ เพื่อลดระยะเวลาทำงาน

“ช่วงที่ผ่านมา เราเข้มงวดบังคับใช้กฎหมายกับการจัดระเบียบอุตสาหกรรมไทย กับโรงงานที่ไม่ปฏิบัติตามกฎกติกา ก่อให้เกิดฝุ่น PM2.5 สินค้าไม่ได้มาตรฐานมากมายยังแทรกซึมในตลาด ลำพังกำลังพลของข้าราชการอุตสาหกรรม เราทำได้ไม่เพียงพอเป็นแน่ ผมจึงอยากให้ 'แจ้งอุต' ซึ่งเป็นเหมือนเครื่องมือที่ช่วยรับฟังเสียงจากประชาชนที่เดือดร้อน เพื่อแก้ปัญหา ในขณะเดียวกันยังเป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับประชาชน ในการต่อสู้เพื่อพังวงจรอุตสาหกรรมสีเทา โรงงานเถื่อน เอาผิดผู้ประกอบการไร้ความรับผิดชอบ ลักลอบฝังขยะอันตราย ปิดตายสินค้าข้ามชาติราคาถูกที่ไร้มาตรฐาน ช่วยกันพลิกฟื้นอุตสาหกรรมไทยให้สะอาด โปร่งใส ไม่ให้มีอะไรซุกใต้พรมอีกต่อไป แจ้งอุตมา เราสุดซอยให้แน่ครับ” นายเอกนัฏกล่าว

นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า การทำงานของแพลตฟอร์ม 'แจ้งอุต' นั้น สามารถเข้าใช้งานโดยผ่านระบบของทราฟฟี่ฟองดูว์ (Traffy Fondue) และเลือกไปยัง แจ้งอุต รวมทั้งการสแกนผ่าน QR Code และ Link ซึ่งสามารถแจ้งเรื่องร้องเรียนในเรื่องต่าง ๆ แบ่งออกเป็น 6 ด้าน คือ 1. โรงงาน (ปัญหาเกี่ยวกับการประกอบกิจการโรงงานกลิ่นเหม็น/เสียงดัง/ฝุ่นละออง/ถนนและระบบสาธารณูปโภคภายในนิคมอุตสาหกรรม) 2. อ้อย (ปัญหาเผาอ้อย/รถบรรทุกอ้อยน้ำหนักเกิน) 3. เหมือง (ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ) 4. มาตรฐานสินค้า 5. บริการอุตสาหกรรม (ร้องเรียนการให้บริการส่งเสริมผู้ประกอบการ SME ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม) และ 6. ด้านอื่นๆ นอกจากนี้ยังสามารถร้องเรียนการใช้ผลิตภัณฑ์และบริการของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย 

ในระยะแรก กระทรวงอุตสาหกรรมจะรับแจ้งจัดการเรื่องการร้องเรียนของทุกหน่วยงานในสังกัด จำนวน 8 แห่ง ส่วนระยะต่อไปจะพัฒนาการติดตามสถานะการขอรับบริการ เช่น การขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน การขอมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และสถานะการสมัครเข้าร่วมโครงการของผู้ประกอบการ เอสเอ็มอี สถานะการขอสินเชื่อของผู้ประกอบการ เป็นต้น ทั้งนี้ ระบบใน Traffy Fondue ได้พัฒนาการแสดงผลภาพรวม (dashboard) และฐานข้อมูลการใช้บริการ เช่น สถิติการร้องเรียน พื้นที่ที่ถูกร้องเรียน ประวัติการส่งเรื่องร้องเรียน และจำนวนที่ได้รับการแก้ไข เพื่อให้ผู้รับผิดชอบสามารถนำไปวางแผนการจัดการปัญหาในพื้นที่นั้น ๆ และในอนาคต กระทรวงอุตสาหกรรมมีแผนที่จะเชื่อมโยงแจ้งอุตกับระบบต่าง ๆ ที่มีอยู่ของกรม เช่น I-Dee Pro และระบบอื่น ๆ ต่อไป เพื่อให้ข้อมูลและการจัดการต่าง ๆ เชื่อมโยงถึงกัน 

โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้มีการจัดฝึกอบรมการใช้งาน 'แจ้งอุต' เมื่อวันที่ 27 มกราคม ที่ผ่านมา ให้กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกว่า 500 คน ทั้งที่ห้องประชุมและทางออนไลน์ เพื่อนำแนวทางและเทคนิคของการจัดการเรื่องร้องเรียนมาฝึกปฏิบัติให้สามารถนำระบบ 'แจ้งอุต' ไปปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้อง รวดเร็วและพร้อมให้บริการประชาชน ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมมีเรื่องร้องเรียนเฉลี่ยปีละ 500-550 เรื่อง โดยเรื่องร้องเรียนมากที่สุด 11 อันดับ ได้แก่ 1. กลิ่นเหม็นและไอสารเคมี (ร้อยละ 29) 2. ฝุ่นละอองและเขม่าควัน (ร้อยละ 21) 3. เสียงดังและแรงสั่นสะเทือน (ร้อยละ 15) 4. น้ำเสีย (ร้อยละ 8) 5. อื่น ๆ (ร้อยละ 6) 6. ประกอบการในเวลากลางคืน (ร้อยละ 6) 7. กากอุตสาหกรรมและวัตถุอันตราย (ร้อยละ 5) 8. ประกอบการโดยไม่ได้รับอนุญาต (ร้อยละ 5) 9. ความปลอดภัยในการทำงานและสุขภาพ (ร้อยละ 3) 10. คัดค้านการประกอบการ (ร้อยละ 2) 11. เหมืองแร่ (ร้อยละ 0.3) นอกจากนี้ยังมีการร้องเรียนจากเหตุภาวะฉุกเฉิน เฉลี่ยจำนวน 15 เรื่องต่อเดือน อาทิ เหตุเพลิงไหม้ สารเคมีรั่วไหล การชุมนุมคัดค้าน อุบัติเหตุจากการทำงานหรือเครื่องจักรกล เหตุระเบิด เป็นต้น 

การพัฒนาแพลตฟอร์ม 'แจ้งอุต' เป็นการยกระดับการให้บริการของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยการนำเทคโนโลยี และนวัตกรรม มาใช้ในการแก้ปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการข้อร้องเรียน นำร่อง รับแจ้งเรื่อง 6 ประเภทเรื่องสำคัญของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งประชาชนสามารถแจ้งเรื่องผ่านคิวอาร์โค้ด หรือไลน์ไอดี 'traffyfondue' โดยเริ่มอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 2568 เป็นต้นไป

ทรัมป์โทษนโยบายหลากหลาย ทำจราจรทางอากาศพัง จ้างคนไร้ความสามารถทำงาน ต้นเหตุปมเครื่องบินชนเฮลิคอปเตอร์ดับ

(31 ม.ค.68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แถลงข่าวถึงเหตุโศกนาฏกรรมเครื่องบินสายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ ชนเข้ากับเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอวก์ของกองทัพ ตกกลางแม่น้ำโปโตแมค ที่กรุงวอชิงตัน ขณะกำลังลงจอดที่สนามบินเรแกนในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 67 ราย โดยไม่มีผู้รอดชีวิต

ซึ่งแม้ว่าสาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้ยังอยู่ระหว่างการสอบสวน แต่ทรัมป์กล่าวโทษว่าปัญหาดังกล่าวเกิดจากการขาดประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายส่งเสริมความหลากหลายและความเท่าเทียม (DEI) ที่ส่งเสริมการเปิดรับบุคคลจากกลุ่มต่าง ๆ ให้เข้ามาทำงานแทนที่บุคคลที่มีความสามารถสูงสุด โดยทรัมป์กล่าวว่า 

"คนที่ทำงานควบคุมการจราจรทางอากาศต้องเป็นคนที่ฉลาดที่สุด ไม่เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาหรือเชื้อชาติ สิ่งสำคัญที่สุดคือความสามารถ" ทรัมป์กล่าว พร้อมวิจารณ์ว่าการเปิดรับบุคคลจากกลุ่มที่หลากหลายเข้าทำงานแทนที่จะพิจารณาจากความสามารถ อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดร้ายแรง  

เมื่อนักข่าวถามว่าทำไมเขาจึงสรุปว่านโยบาย DEI เป็นสาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้ ทรัมป์ตอบว่า “เพราะผมมีคอมมอนเซนส์ แต่โชคร้ายที่คนอื่นไม่มี”

ทรัมป์ยังกล่าวหาว่ารัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา และโจ ไบเดน ให้ความสำคัญกับนโยบาย DEI มากเกินไป จนทำให้เกิดผลกระทบต่อมาตรฐานขององค์กร เช่น องค์การบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐฯ (FAA) ซึ่งในสมัยของโอบามา เคยเรียกร้องให้เพิ่มความหลากหลายทางเชื้อชาติภายในองค์กร แทนที่จะคัดเลือกพนักงานจากความสามารถโดยตรง

นอกจากนั้นทรัมป์ยังเผยว่า เขาเตรียมลงนามคำสั่งให้กระทรวงคมนาคมยกเลิกนโยบายความหลากหลายและความเท่าเทียม (DEI) ในภาคการบิน หลังเหตุการณ์เครื่องบินโดยสารของอเมริกันแอร์ไลน์สชนกลางอากาศกับเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอว์กของกองทัพสหรัฐฯ ดังกล่าวด้วย

ด้านรองประธานาธิบดี เจ.ดี. แวนซ์ และ ฌอน ดัฟฟี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ต่างสนับสนุนแนวทางของทรัมป์ โดยแวนซ์ระบุว่านโยบาย DEI ทำให้มาตรฐานการจ้างงานในหอบังคับการบินตกต่ำลง ขณะที่ดัฟฟียืนยันว่าจะมีการปฏิรูปเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก  

ข้อมูลเบื้องต้นระบุว่า บนเที่ยวบินของอเมริกันแอร์ไลน์สมีผู้โดยสารและลูกเรือรวม 64 คน ส่วนเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอว์กมีผู้โดยสาร 3 คน หนึ่งในกลุ่มผู้โดยสารคือทีมสเก็ตลีลาจากเมืองบอสตัน ซึ่งมีนักกีฬาวัย 16 ปี 2 คน พร้อมมารดาและโค้ชชาวรัสเซียอยู่บนเครื่อง  

ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งสอบสวนสาเหตุของอุบัติเหตุ โดยเบื้องต้นพบว่าเครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์เดินทางมาตามเส้นทางปกติ ระบบสื่อสารไม่มีปัญหา แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจุดบกพร่องเกิดขึ้นที่ใด ขณะที่สำนักงานดับเพลิงและบริการการแพทย์ฉุกเฉินของกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ระบุว่า โอกาสพบผู้รอดชีวิตเป็นไปได้น้อยมาก ปฏิบัติการกู้ภัยจึงเปลี่ยนเป็นการเก็บกู้ศพ

กต.แถลงยืนยัน 5 คนไทยพ้นฮามาส เร่งประสานช่วยอีก 1 คนที่เหลือ

เมื่อวานนี้ (30 ม.ค.68) กระทรวงการต่างประเทศแถลงยืนยันว่าคนไทย 5 คนที่ถูกจับเป็นตัวประกันในฉนวนกาซาได้รับการปล่อยตัวแล้ว และขณะนี้อยู่ในพื้นที่ปลอดภัยเพื่อรับการดูแลทางการแพทย์ โดยรัฐบาลไทยกำลังดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือตัวประกันไทยอีก 1 คนที่ยังคงถูกควบคุมตัวอยู่  

นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ได้รายงานว่าตัวประกันไทยทั้ง 5 คนได้รับการปล่อยตัวในวันนี้ และกำลังถูกนำตัวไปยังโรงพยาบาลเพื่อรับการตรวจสุขภาพ  

ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศได้จัดส่งเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตฯ และเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศไปให้ความช่วยเหลือ พร้อมติดต่อครอบครัวของตัวประกันในประเทศไทยทันที  

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เตรียมส่งผู้ช่วยรัฐมนตรีเดินทางไปยังอิสราเอลคืนนี้ เพื่อประสานงานรับตัวแรงงานไทยกลับประเทศ กระทรวงการต่างประเทศขอแสดงความยินดีต่อครอบครัวของผู้ที่ได้รับการปล่อยตัว และขอบคุณประเทศที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือ ได้แก่ กาตาร์ อียิปต์ อิหร่าน ตุรกี สหรัฐอเมริกา รวมถึงสภากาชาดสากล  

รัฐบาลไทยยังขอบคุณอิสราเอลที่ให้ความร่วมมือในการดูแลและอำนวยความสะดวกให้กับคนไทยทั้ง 5 คนในการเดินทางกลับประเทศ และหวังว่าตัวประกันไทยที่เหลืออยู่ รวมถึงตัวประกันทุกคนในฉนวนกาซา จะได้รับอิสรภาพโดยเร็วที่สุด  

นายนิกรเดช กล่าวเพิ่มเติมว่า นับตั้งแต่เกิดความขัดแย้ง มีแรงงานไทยเสียชีวิตจากสงครามในตะวันออกกลางแล้ว 46 ราย ขณะที่ตัวประกันไทยได้รับการปล่อยตัวแล้ว 28 ราย และยังเหลืออีก 1 รายที่อยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อขอให้ได้รับอิสรภาพ  

สำหรับแรงงานไทย 5 คนที่ได้รับการปล่อยตัว ได้แก่  
1. นายเสถียร สุวรรณคำ  
2. นายพงษ์ศักดิ์ แทนนา  
3. นายวัชระ ศรีอ้วน  
4. นายสุรศักดิ์ ลำเนา  
5. นายบรรณวัชร แซ่ท้าว  

ส่วนอีก 1 ราย คือ นายณัฐพงษ์ ปินตา ขณะนี้ยังไม่มีการยืนยันสถานะ แต่รัฐบาลไทยกำลังดำเนินการอย่างเต็มที่ โดยประสานงานกับประเทศที่สามารถเจรจากับกลุ่มฮามาส เพื่อให้ตัวประกันไทยคนสุดท้ายได้รับการปล่อยตัวและเดินทางกลับสู่มาตุภูมิอย่างปลอดภัยโดยเร็วที่สุด

ส่อง 20 อันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศจีน

จีน กำลังก้าวขึ้นไปเป็นมหาอำนาจในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการทหาร ด้านเศรษฐกิจ หรือ แม้กระทั่งการศึกษา เพราะต้องยอมรับว่า การศึกษา คือหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้จีน พัฒนาประเทศได้อย่างก้าวกระโดด กระทั่งสามารถขึ้นมาเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของชาติมหาอำนาจตะวันตกในปัจจุบัน

สำหรับมหาวิทยาลัยชั้นนำในจีน มีที่ใดบ้าง และ Liang Wenfeng ผู้คิดค้น DeepSeek เอไอตัวใหม่ที่กำลังเขย่าโลกอยู่ในขณะนี้ เรียนจบจากมหาวิทยาลัยไหน ไปส่องกันเลย

โรงรับจำนำ กทม. คึกคักยอดจำนำทะลุ 8,700 ล้านบาท เตรียม เปิดสาขาใหม่ 'ศรีนครินทร์,ภาษีเจริญ,หนองแขม' สร้างโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน

นายชนาธิป ล.วีระพรรค ผู้อำนวยการสำนักงานสถานธนานุบาลกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่าภาพรวมของโรงรับจำนำทั่วประเทศ เมื่อปี พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา ขยายตัวพอสมควร โดยดูจากมีการเพิ่มขึ้นของโรงรับจำนำของรัฐและเอกชน ซึ่งคาดว่าในปี พ.ศ. 2568 ยอดการรับจำนำมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง สาเหตุมาจากหลายปัจจัย อาทิ ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงอยู่ในปัจจุบัน ประชาชนยังมีรายได้ไม่สมดุลกับรายจ่าย ผู้ประกอบการ SME ที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียน ขณะที่ธนาคารและnonBank มีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ จึงส่งผลให้ความต้องการใช้บริการโรงรับจำนำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

นายชนาธิป กล่าวว่า ในส่วนของโรงรับจำนำ กทม. ซึ่งเป็นโรงรับจำนำของกรุงเทพมหานคร ได้รับนโยบาย จากนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้โรงรับจำนำ กทม. เป็นหน่วยงานที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างคุณภาพชีวิตของคนกทม. ให้ดีขึ้น โดยเป็นแหล่งเงินทุนให้กู้ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อนำเงินไปประกอบอาชีพหรือใช้จ่ายในครัวเรือน ลดการพึ่งพาเงินกู้นอกระบบหรือสภาพคล่องทางการเงินแต่ไม่สามารถเข้าถึงระบบธนาคารพาณิชย์ได้ 

ปัจจุบัน โรงรับจำนำ กทม. มีอัตราดอกเบี้ยรับจำนำที่ต่ำมาก เมื่อเปรียบเทียบกับโรงรับจำนำเอกชน และผู้ให้บริการทางด้านการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non Bank) เนื่องจากเป็นหน่วยงานภาครัฐ จึงไม่มุ่งแสวงหากำไร แต่เน้นช่วยเหลือประชาชนให้พ้นวิกฤตทางการเงินมากกว่า ส่วนกลุ่มเป้าหมาย นอกจากจะเป็นประชาชนทั่วไปแล้ว ยังมุ่งเน้นไปที่กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs เนื่องจากในปัจจุบันธนาคารพาณิชย์มีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น พร้อมกับเงื่อนไขและข้อจำกัดต่างๆ โดยเฉพาะการพิจารณาถึงความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ และใช้เวลานานในการอนุมัติจากธนาคาร มาใช้บริการที่โรงรับจำนำ จะได้รับการบริการที่สะดวกรวดเร็ว ได้เงินง่ายภายใน 5 นาที ทำให้ปัจจุบันกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs เข้ามาใช้บริการที่โรงรับจำนำ กทม. เพิ่มมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา 

นอกจากนี้ โรงรับจำนำ กทม. ยังมีโครงการต่างๆ ที่จัดขึ้นเพื่อแบ่งเบาภาระทางการเงินให้กับประชาชน เช่น โครงการลดดอกเบี้ยเพื่อแบ่งเบาภาระให้กับผู้ปกครอง นักเรียน นิสิต นักศึกษา ในช่วงเปิดภาคเรียน หรือ โครงการของขวัญให้เพื่อน ลดดอกเบี้ยในช่วงเทศกาลปีใหม่ เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในช่วงที่ประชาชนจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น ซึ่งโครงการต่างๆ เหล่านี้ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี จากการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์ของโรงรับจำนำ กทม. ทุกช่องทาง และมีเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ให้ข้อมูลกับประชาชนโดยตรง 

สำหรับผลการดำเนินงานปี พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา มีอัตราเติบโตเมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2566 ทั้งในแง่ของการรับจำนำ และจำนวนรายผู้ใช้บริการ โดยในปี พ.ศ. 2567 มีการรับจำนำ จำนวน 8,740 ล้านบาท เติบโต 24 %เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2566 ที่มีการรับจำนำจำนวน 7,095 ล้านบาท ส่วนจำนวนรายผู้ใช้บริการ ในปี พ.ศ. 2567 มีจำนวน 428,061 ราย เติบโต 13 % เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2566 มีจำนวนรายผู้ใช้บริการ จำนวน 379,421 ราย ส่วนหนึ่งเป็นผลจากราคาทรัพย์สินที่นำมาจำนำมีมูลค่าสูง โดยเฉพาะราคาทองคำซึ่งปรับตัวสูงขึ้น ส่วนในปีพ.ศ. 2568 ตั้งเป้าหมายการเติบโตไว้ที่ 5 %

ส่วนความท้าทายต่อไปของโรงรับจำนำ กทม. นายชนาธิป กล่าวว่า เนื่องจากในปัจจุบันประชาชนมีทางเลือกในการใช้บริการสินเชื่อประเภท NonBank เพิ่มขึ้น โจทย์สำคัญคือ ทำอย่างไรให้ประชาชนเลือกใช้บริการกับเราแนวทางหนึ่งก็คือการขยายสาขาเพิ่มขึ้น เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงโรงรับจำนำ กทม. ได้สะดวกมากขึ้น โดยในปี พ.ศ. 2568 จะเปิดให้บริการสาขาใหม่ จำนวน 3 สาขา ได้แก่ สาขาศรีนครินทร์ สาขาภาษีเจริญ และสาขาหนองแขม โดยการเลือกสถานที่เพื่อเปิดสาขาใหม่นั้น พิจารณาจากความหนาแน่นของประชากรในพื้นที่ และตามความต้องการของประชาชน เป็นสำคัญ 

ท้ายสุด นายชนาธิป กล่าวย้ำว่า “โรงรับจำนำ กทม. ถือเป็นแหล่งเงินทุนให้ประชาชนกู้ยืมเงินของกรุงเทพมหานคร ที่มีวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าทางการเงินให้กับประชาชนอย่างแท้จริง ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก และพร้อมให้บริการด้วยความรวดเร็ว สะดวก ซึ่งเป็นจุดเด่นในการใช้บริการ เพราะไม่ต้องยื่นเอกสาร ไม่ต้องค้ำประกัน ไม่ต้องรอพิจารณาผล ไม่ตรวจเครดิตบูโร เพียงมีทรัพย์สินมีค่าและบัตรประชาชนเข้ามาใช้บริการ ภายใน 5 นาที ก็สามารถรับเงินสดได้เลย ดังสโลแกน โรงรับจำนำ กทม. ทรัพย์ปลอดภัย ได้เงินง่าย จ่ายดอกเบี้ยต่ำ” 

31 มกราคม 2514 ยานอพอลโล 14 ถูกปล่อยสู่อวกาศ ยานลำที่ 3 พามนุษย์เหยียบดวงจันทร์

เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2514 ยานอพอลโล 14 พร้อมนักบินอวกาศ 3 คน ได้เริ่มออกเดินทางจากแหลมคานาเวอรัล รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา เพื่อทำภารกิจสำรวจดวงจันทร์ ภารกิจครั้งนี้นำโดย อเลน บี. เชพเพิร์ด เจ อาร์ (Alan Shepard) ผู้บัญชาการภารกิจ ซึ่งเป็นนักบินอวกาศชาวอเมริกันคนแรกที่ได้เดินทางสู่อวกาศ และเป็นนักบินคนที่ 5 ที่ได้เหยียบพื้นผิวดวงจันทร์ ภารกิจนี้ถือเป็นภารกิจสุดท้ายในอาชีพการทำงานอวกาศของเขา

โดยยังมีนักบินอวกาศอีกสองคนร่วมทริปคือ เอดการ์ ดี. มิทเชลล์ (Edgar Mitchell) นักบินโมดูลดวงจันทร์ และ สตูท เอ. รูสา (Stuart Roosa) นักบินโมดูลคำสั่ง ซึ่งสำหรับมิทเชลล์และรูสา ภารกิจอพอลโล 14 ถือเป็นการเดินทางสู่อวกาศครั้งแรกและครั้งเดียวของทั้งสองคน

ภารกิจอพอลโล 14 มีจุดมุ่งหมายสำคัญคือการสำรวจภูมิภาค Fra Mauro บนดวงจันทร์ นักบินอวกาศได้รับการฝึกฝนด้านธรณีวิทยาเพื่อสำรวจและรวบรวมตัวอย่างหินและดินจากพื้นผิวดวงจันทร์ รวมถึงการติดตั้งอุปกรณ์ทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่จะช่วยให้มนุษย์เข้าใจสภาพแวดล้อมของดวงจันทร์มากยิ่งขึ้น

ยานอพอลโล 14 ออกเดินทางในวันที่ 31 มกราคม 2514 เวลา 16.03 น. ตามเวลาท้องถิ่น ภารกิจนี้ใช้เวลาเดินทางไปยังดวงจันทร์ 3 วัน นักบินอวกาศใช้เวลา 2 วันบนดวงจันทร์ และอีก 3 วันสำหรับการเดินทางกลับมายังโลก

ระหว่างที่อยู่บนดวงจันทร์ เชพเพิร์ดและมิทเชลล์ใช้เวลาประมาณ 34 ชั่วโมงเพื่อปฏิบัติภารกิจสำรวจ ติดตั้งอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ และเก็บตัวอย่างหินและดินน้ำหนักรวมกว่า 42 กิโลกรัม ก่อนเดินทางกลับสู่โลกในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2514 โดยยานลงจอดอย่างปลอดภัยที่มหาสมุทรแปซิฟิก

ภารกิจอพอลโล 14 เป็นยานอวกาศลำที่ 8 ของโครงการอพอลโลที่นำมนุษย์ไปสู่ดวงจันทร์ และเป็นภารกิจที่สำเร็จต่อจากอพอลโล 13 ซึ่งประสบปัญหาจนไม่สามารถไปถึงดวงจันทร์ได้ โดยในภารกิจครั้งนี้ เชพเพิร์ดได้แอบนำหัวไม้กอล์ฟและลูกกอล์ฟ 2 ลูกขึ้นไปยังดวงจันทร์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนาซา ด้วยความช่วยเหลือจากวิศวกรเพื่อนร่วมงาน เขาได้ดัดแปลงอุปกรณ์เก็บตัวอย่างหินให้สามารถติดกับหัวไม้กอล์ฟได้

หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจเก็บตัวอย่างหิน เชพเพิร์ดใช้หัวไม้กอล์ฟหวดลูกกอล์ฟบนพื้นผิวดวงจันทร์ ลูกแรกกระเด็นได้ระยะไม่ไกลเนื่องจากติดทราย แต่ลูกที่สองถูกหวดอย่างเต็มแรง และคาดการณ์ว่ามันอาจพุ่งไปไกลถึง 200-300 เมตร ซึ่งลูกกอล์ฟก็ยังคงอยู่บนดวงจันทร์จนถึงทุกวันนี้ 

'ห่วงใย ดูแลกัน' กิจกรรมเดินเท้าเข้าบ้านตรวจเยี่ยมคุณภาพชีวิตของกำลังพลและครอบครัว

พลเรือตรี เอตม์ ยุวนางกูร ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง คุณอริสรา ยุวนางกูร ประธานชมรมภริยาหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชา ชมรมภริยาหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง และหน่วยแพทย์ กองพันพยาบาลหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ร่วมจัดกิจกรรมเดินเท้าเข้าบ้าน ตรวจเยี่ยมคุณภาพชีวิตของกำลังพลและครอบครัว ประจำปีงบประมาณ 2568 เพื่อเยี่ยมสำรวจภาวะสุขภาพ สิ่งแวดล้อมสุขาภิบาล 

โดยมอบกระเป๋าที่บรรจุพืชผักสวนครัว สิ่งของจำเป็นเบื้องต้น ให้กับครอบครัวของกำลังพล และรับฟังปัญหาข้อขัดข้องตามบ้านต่าง ๆ ณ บริเวณบ้านพักอาศัยข้าราชการ หมู่ที่ 1 และ หมู่ที่ 2 หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายของ ผู้บัญชาการทหารเรือ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับกำลังพล อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของกำลังพลให้สอดคล้องกับความต้องการของกำลังพล

กฟผ. ยันไม่ใช่ต้นตอก่อปัญหาฝุ่น PM2.5 ย้ำ คุมเข้มปล่อยฝุ่น โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ - ใต้

กฟผ. ตระหนักถึงความสำคัญการดูแลคุณภาพอากาศ เผยควบคุมการปล่อยมลสารจากโรงไฟฟ้า กฟผ. ค่ามาตรฐานที่กฎหมายกำหนดไว้ พร้อมร่วมมือกับชุมชนบรรเทาปัญหาลดฝุ่น ย้ำมีมาตรการลดฝุ่น โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ - ใต้

(30 ม.ค.68) นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า ในช่วงนี้สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 โดยรวมของประเทศสะสมเกินค่ามาตรฐานอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ในส่วนของการดำเนินงานของ กฟผ. ควบคุมดูแลคุณภาพอากาศอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นน้ำของการผลิตไฟฟ้า โดยเลือกใช้เทคโนโลยีในการผลิตกระแสไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูง ควบคุมการเผาไหม้ของโรงไฟฟ้าให้สมบูรณ์เพื่อลดการเกิดฝุ่น โดยใช้ระบบควบคุมปริมาณการระบายก๊าซออกไซด์ไนโตรเจน (Dry Low NOx Burner) ร่วมกับการฉีดน้ำเข้าไปยังห้องเผาไหม้ (Water Injection) เพื่อควบคุมอุณหภูมิในการเผาไหม้ ลดปริมาณการเกิดออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) ติดตั้งอุปกรณ์ชุดกรองฝุ่น (Inlet Air Filter System) เพื่อกรองฝุ่นที่ปนมากับอากาศที่ใช้ในการเผาไหม้ และติดตั้งระบบตรวจสอบคุณภาพอากาศแบบต่อเนื่อง (Continuous Emission Monitoring System) ที่ปล่องของโรงไฟฟ้า เพื่อตรวจวัดอัตราการระบายอย่างต่อเนื่อง 

สำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมของ กฟผ. ดังเช่นโรงไฟฟ้าพระนครเหนือและโรงไฟฟ้าพระนครใต้ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งถือเป็นเชื้อเพลิงที่ปล่อยมลสารน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงฟอสซิลประเภทอื่น โดยพบว่าโรงไฟฟ้าของ กฟผ. ทุกแห่งควบคุมการปล่อยมลสารได้ดีกว่าค่าควบคุมตามที่กำหนดไว้ในรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ก่อนการพัฒนาโครงการ ซึ่งเป็นค่าที่เข้มงวดกว่าค่ามาตรฐานตามประกาศของกรมโรงงานอุตสาหกรรม 

อีกทั้ง กฟผ. ยังใส่ใจในเรื่องวิกฤต PM2.5 ได้ศึกษาวิจัยร่วมกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย สำรวจมลสารทางอากาศ และจำแนกแหล่งกำเนิดของฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ 

ผศ.ดร.สุดจิต ครุจิต อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ที่ปรึกษาของโครงการวิจัยเผยผลวิจัยว่า ฝุ่นจากปล่องของโรงไฟฟ้าพระนครเหนือไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณฝุ่นในบรรยากาศทั่วไปของชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียงโรงไฟฟ้าพระนครเหนือที่พุ่งสูงขึ้น โดยพบว่า สัดส่วนขององค์ประกอบทางเคมีของฝุ่น (DNA) จากปล่องโรงไฟฟ้าพระนครเหนือแตกต่างจาก DNA ของฝุ่นในบรรยากาศในพื้นที่ชุมชน นอกจากนี้ ผลการศึกษาการปล่อยฝุ่น PM2.5 จากแหล่งกำเนิดต่าง ๆ ในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าพระนครเหนือในรัศมี 5 กิโลเมตร พบว่าฝุ่น PM2.5 มาจากการสัญจรบนถนนสายหลักและถนนสายรองมากถึง 73.5% รองลงมาเป็นโรงงานอุตสาหกรรม 13.4% และที่พักอาศัย 5.4% โดยเป็นฝุ่นจากโรงไฟฟ้าพระนครเหนือคิดเป็นสัดส่วนเพียง 1.8% เท่านั้น ส่วนการปล่อยสาร NOx คิดเป็นเพียง 11% ของแหล่งกำเนิดทุกประเภท

นอกจากนี้โรงไฟฟ้า กฟผ. กำลังพิจารณาแนวทางเพื่อช่วยลดปริมาณฝุ่นในพื้นที่ โดยการเพิ่มอุณหภูมิปากปล่องโรงไฟฟ้า (Stack Temperature) ให้สูงขึ้นในบางช่วงเวลา เพื่อช่วยระบายฝุ่นในชั้นบรรยากาศออกไปด้วย 

ในขณะเดียวกันโรงไฟฟ้าและเขื่อน ของ กฟผ. ทั่วประเทศยังดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อช่วยคลี่คลายปัญหาฝุ่นให้กับชุมชนโดยรอบพื้นที่ กฟผ. อาทิ ผลักดันการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ภายในประเทศ ติดตั้งเซนเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบ Real Time ผ่านแอปพลิเคชัน Sensor for All กว่า 1,250 จุดทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนเฝ้าระวังและสามารถวางแผน การใช้ชีวิตประจำวันได้ รวมถึงสนับสนุนภารกิจป้องกันไฟป่าและหมอกควันตามที่ได้รับการร้องขอจากหน่วยงานต่าง ๆ

‘ทักษิณ’ เซ็ง ‘พรรคร่วมรัฐบาล’ เยอะ ทำงานได้ช้า ลั่น เลือกตั้งครั้งหน้า เอาพรรคอื่นน้อย ๆ ขอเพื่อไทยเยอะๆ มี รมต.พรรคเดียวกัน งานเร็ว พูดรู้เรื่อง ไม่มีเลศนัย ไร้เล่ห์เหลี่ยม

(30 ม.ค.) ที่จ.ลำพูน นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ช่วยนายอนุสรณ์ วงศ์วรรณ ผู้สมัครนายก อบจ.ลำพูน ในนามพรรคเพื่อไทย หาเสียง โดยนายทักษิณ ปราศรัยตอนหนึ่งว่า วันนี้เห็นลำพูนเจริญขึ้นกว่าแต่ก่อน ดูแล้วมีคนอยู่สองกลุ่มคือกลุ่มค้าขายกับกลุ่มเกษตรกรรม แม่บ้าน เราจะต้องทำให้ลำพูนเป็นเมืองแฝดกับเชียงใหม่ เพราะหากประชาสัมพันธ์ร่วมกันในเรื่องของวัฒนธรรมด้วยกันได้เศรษฐกิจก็จะดีขึ้น

นายทักษิณ กล่าวว่า ตอนนี้ปัญหาคือบ้านเราไม่ค่อยมีเงินใช้ แต่ปีนี้รัฐบาลจะสร้างโอกาสหลายอย่างเพื่อช่วยเหลือให้ประชาชนให้มีรายได้ที่ดีขึ้นและปรับโครงสร้างหนี้ให้ได้มากที่สุด การบริหารประเทศมีความจำเป็นที่จะต้องให้รัฐบาลกลางได้เชื่อมกับท้องถิ่นให้ได้ ไม่เช่นนั้นงบประมาณจะลงไม่ถึงประชาชน มาที่นี่ก็อยากขอให้นายอนุสรณ์เป็นนายก อบจ.ลำพูน อีกครั้ง ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ

“เลือกตั้งครั้งหน้าก็ขอให้เลือกเพื่อไทยให้หมด เพราะคราวที่แล้วได้น้อยไปหน่อย มีพรรคร่วมรัฐบาลเยอะ ทำงานได้ แต่ช้า คราวหน้าให้มีพรรคร่วมน้อยๆ เอาเพื่อไทยเยอะๆ รับรองว่าทำงานแล้วจะรวยเหมือนสมัยพรรคไทยรักไทย พรรคมันใหญ่ ทำงานได้เร็ว เพราะรัฐมนตรีทุกคนอยู่สังกัดพรรคเดียวกันหมด พูดรู้เรื่อง ไม่มีเลศนัย ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมมาก พูดตรงไปตรงมามันง่ายดี คราวหน้ามั่นใจเพื่อไทยจะมาที่หนึ่ง 200กว่าเสียง“ นายทักษิณ กล่าว

ตะวันตกล้อมกรอบ 'DeepSeek'แห่ปิดกั้น-สั่งสอบ กล่าวหาขโมยเทคโนโลยี-เสี่ยงข้อมูลผู้ใช้งานรั่ว

(30 ม.ค.68) เพียงไม่กี่วันที่บริษัท DeepSeek ของจีนเปิดตัวโมเดล AI ที่ใช้ต้นทุนต่ำแถมมีประสิทธิภาพไม่แพ้ ChatGPT ของบริษัท OpenAI จนสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วซิลิคอนวัลเลย์ ถึงขั้นที่หุ้นของบรรดาบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติสหรัฐหลายแห่งร่วงระนาว แต่ล่าสุดดูเหมือนว่าบรรดาบริษัทเอกชนฝั่งตะวันตก และบรรดาชาติตะวันตกบางแห่งจะระแวงบริษัท AI จีนที่กำลังมาแรงในขณะนี้ 

ล่าสุดดูเหมือนว่าบริษัทเอกชนและรัฐบาลบางประเทศในตะวันตกเริ่มแสดงความกังวลต่อการเติบโตของบริษัท AI จากจีน โดยเฉพาะ DeepSeek ที่กำลังมาแรงในขณะนี้ มีรายงานว่า คณะกรรมาธิการการค้าของสหรัฐอเมริกา (FTC) กำลังเตรียมตรวจสอบธุรกิจคลาวด์ของไมโครซอฟท์ (Microsoft) เพื่อประเมินว่ามีการละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดหรือไม่ 

แหล่งข่าวจากรอยเตอร์เปิดเผยว่า การตรวจสอบของ FTC จะมุ่งเน้นไปที่ข้อสงสัยว่าไมโครซอฟท์อาจใช้อิทธิพลในฐานะผู้ผลิตซอฟต์แวร์รายใหญ่ กำหนดเงื่อนไขที่อาจกีดกันไม่ให้ลูกค้าย้ายข้อมูลจากบริการคลาวด์ Azure ไปยังแพลตฟอร์มของคู่แข่ง นอกจากนี้ FTC ยังกำลังพิจารณาข้อกล่าวหาที่ไมโครซอฟท์ปรับขึ้นค่าธรรมเนียมสมาชิกในราคาสูงสำหรับลูกค้าที่ต้องการยกเลิกบริการคลาวด์ และทำให้ผลิตภัณฑ์ Office 365 ไม่สามารถทำงานร่วมกับระบบคลาวด์ของคู่แข่งได้

ขณะเดียวกัน DeepSeek ก็กำลังถูกจับตาจากหลายประเทศเช่นกัน โดยหน่วยงานกำกับดูแลข้อมูลส่วนบุคคลของอิตาลี (Garante) ได้สั่งให้ Apple และ Google ถอดแอปพลิเคชัน DeepSeek ออกจาก App Store และ Play Store ชั่วคราว ส่งผลให้ผู้ใช้งานในอิตาลีไม่สามารถดาวน์โหลดแอปได้ในขณะนี้ 

Garante ระบุว่ามีความกังวลเกี่ยวกับการเก็บข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน DeepSeek จึงได้ส่งคำถามไปยังผู้พัฒนาเพื่อขอคำชี้แจงภายใน 20 วัน พร้อมตรวจสอบเพิ่มเติมว่า DeepSeek ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับทั่วไปเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูล (GDPR) ของสหภาพยุโรปหรือไม่  

นอกจากอิตาลีแล้ว หน่วยงานกำกับดูแลข้อมูลของไอร์แลนด์ก็เริ่มตรวจสอบการเก็บข้อมูลของ DeepSeek เช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกาที่กำลังสืบสวนว่า DeepSeek ใช้ข้อมูลใดในการฝึกฝนโมเดลปัญญาประดิษฐ์ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top