Monday, 19 May 2025
Hard News Team

ขั้วอำนาจโลกเปลี่ยน ไทยต้องเลือกจุดยืนให้มั่น กับความสัมพันธ์ ‘จีน-อเมริกา’ ทิศทางการพัฒนา ‘พลังงาน-ปัญญาประดิษฐ์ AI’ เพื่อรองรับการเติบโต ในอนาคต

(2 ก.พ. 68) เมื่อขั้วอำนาจโลกเปลี่ยน ไทยต้องเลือกจุดยืนให้มั่น 

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ระบบขั้วอำนาจโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ไม่ต่างจากการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้แผ่นดินโลกเป็นผืนเดียวกัน ก่อนที่จะแตกออกเป็นทวีปต่างๆ ในปัจจุบัน เมื่อแผ่นดินแยกจากกัน มนุษย์ก็เริ่มสร้างเส้นแบ่งเขตแดน เกิดเป็นรัฐชาติ อารยธรรม และมหาอำนาจที่แย่งชิงอิทธิพลกันเรื่อยมา

โลกเปลี่ยน: จากแผ่นดินเดียวสู่ขั้วอำนาจที่พลิกผัน

เมื่อย้อนมองประวัติศาสตร์ โลกเคยถูกแบ่งออกเป็น "แผ่นดินโลกเก่า" (ยุโรป เอเชีย แอฟริกา) และ "โลกใหม่" (อเมริกา) พร้อมกับการขยายอาณานิคมในศตวรรษที่ 15-19 โลกถูกจัดลำดับใหม่ตามความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ การทหาร และการปกครอง โลกเก่าถูกมองว่าเป็นศูนย์กลางอารยธรรม แต่เมื่อโลกใหม่พัฒนา อเมริกากลายเป็นขั้วอำนาจหลักในศตวรรษที่ 20 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง

ทว่าทุกยุคย่อมมีจุดพลิกผัน วันนี้สิ่งที่เคยเป็นโลกใหม่อย่างอเมริกา กำลังเผชิญความท้าทายที่บั่นทอนอำนาจของตน ขณะที่โลกเก่าอย่างจีนและอินเดียกำลังกลับมาโดดเด่น เอเชียกำลังก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจและการเมืองโลก อารยธรรมที่มีรากฐานยาวนานกว่า 4,000 ปี กำลังแสดงให้เห็นถึงพลังแฝงที่อาจพลิกขั้วอำนาจโลกในศตวรรษที่ 21

ไทยอยู่ตรงไหนในจังหวะเปลี่ยนขั้วอำนาจโลก??

เมื่อมหาอำนาจเดิมเริ่มถดถอย และมหาอำนาจใหม่กำลังผงาดขึ้น ประเทศไทยในฐานะที่ตั้งอยู่ใจกลางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จำเป็นต้องกำหนดจุดยืนให้ชัดเจน การเป็นรัฐขนาดกลางที่มีความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์กับทั้งจีน อเมริกา และประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ไทยอยู่ในจุดที่ต้องเลือกทางเดินอย่างรอบคอบ

1. ความเป็นกลางที่แท้จริงหรือเพียงแค่คำพูด??
ไทยมักใช้ยุทธศาสตร์ "ความเป็นกลาง" ในการรักษาผลประโยชน์ของตน แต่ในโลกที่แบ่งขั้วกันอย่างชัดเจน ไทยจะสามารถรักษาสถานะนี้ได้จริงหรือไม่? หรือสุดท้ายจะถูกบีบให้เลือกข้าง??

2. โอกาสในโลกที่เอเชียกำลังนำ
หากเอเชียก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการเมืองโลก ไทยจะใช้โอกาสนี้อย่างไร? จะกลายเป็นแค่ลูกค้าทางเศรษฐกิจของจีนและอินเดีย หรือจะสามารถสร้างความแข็งแกร่งของตัวเองขึ้นมา??

3. ภัยคุกคามจากขั้วอำนาจที่ถดถอย
เมื่ออเมริกาและยุโรปเห็นว่าขั้วอำนาจกำลังเปลี่ยนไป พวกเขาอาจใช้มาตรการกดดันประเทศในเอเชียให้อยู่ในกรอบที่ตนต้องการ ไทยจะรับมือกับแรงกดดันนี้อย่างไร??

การเลือกที่สำคัญ: ไทยต้องเตรียมพร้อม

เมื่อโลกเปลี่ยน ไทยจะไม่สามารถยืนอยู่ตรงกลางได้ตลอดไป การตัดสินใจในวันนี้จะกำหนดอนาคตของประเทศไปอีกหลายทศวรรษ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกเสริมสร้างความสัมพันธ์กับขั้วอำนาจใหม่ หรือการปรับยุทธศาสตร์เพื่อรักษาสมดุล ไทยต้องมี "ยุทธศาสตร์ชาติ" ที่ไม่ใช่แค่การตามกระแส แต่ต้องเป็นการกำหนดอนาคตของตัวเองให้มั่นคงและแข็งแกร่งในโลกที่กำลังเปลี่ยนไป

พลังงานและ AI: จุดเปลี่ยนของยุทธศาสตร์ไทยในศตวรรษที่ 21

หลังจากที่เราได้วิเคราะห์ถึงการเปลี่ยนขั้วอำนาจโลก และความจำเป็นที่ไทยต้องกำหนดจุดยืนในยุทธศาสตร์โลก บทต่อไปที่เราต้องเจาะลึกคือ "พลังงาน" และ "AI" ซึ่งเป็นสองปัจจัยหลักที่จะกำหนดอนาคตเศรษฐกิจไทยและโครงสร้างแรงงานในยุคถัดไป

ในเวลานี้ ประชากรส่วนใหญ่ของโลกอยู่ภายใต้กลุ่มประเทศ BRICS ซึ่งกำลังขยายอำนาจทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม พวกเขาเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคหลักของโลก โดยมีจีนเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยี AI และพลังงานใหม่ ดังนั้น พลังงานและเทคโนโลยีจะเป็นตัวแปรสำคัญ ที่กำหนดว่าใครจะเป็นผู้นำในโลกอนาคต

AI: หัวใจของแรงงานยุคใหม่

AI และหุ่นยนต์จะไม่ใช่เพียงแค่เครื่องมือเสริมของมนุษย์อีกต่อไป แต่มันจะกลายเป็น "แรงงานหลัก" ในทุกอุตสาหกรรม ตั้งแต่แพทย์ ทหาร วิศวกร นักวิทยาศาสตร์ ไปจนถึงศิลปิน แม้แต่นักดนตรีก็ต้องเรียนรู้การใช้ AI เป็นเครื่องมือเสริม เพื่อแข่งขันในโลกที่อัลกอริธึมสามารถสร้างผลงานคุณภาพสูงได้

แต่ปัญหาสำคัญที่มาพร้อมกับ AI คือ พลังงาน AI ต้องใช้พลังงานมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นการประมวลผลข้อมูลของโมเดล AI หรือการใช้พลังงานในการขับเคลื่อนหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ หากประเทศไทยจะพัฒนาอุตสาหกรรม AI ของตนเอง ไทยต้องตอบคำถามสำคัญว่า "เราจะหาพลังงานจากที่ไหน??"

พลังงาน : ปัจจัยที่ 5 ของมนุษยชาติ
ในอดีต ปัจจัยสี่ของมนุษย์ประกอบไปด้วย อาหาร น้ำ ที่อยู่อาศัย และเครื่องนุ่งห่ม แต่ในศตวรรษที่ 21 พลังงานไฟฟ้าได้กลายเป็นปัจจัยที่ 5 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อ AI และหุ่นยนต์กำลังกลายเป็นหัวใจของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
เราจะพึ่งพา พลังงานฟอสซิล ต่อไปไม่ได้ เพราะทรัพยากรเหล่านี้กำลังลดลงและก่อให้เกิดวิกฤตสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ไทยต้องคิดใหม่เกี่ยวกับโครงสร้างพลังงานของตนเอง ซึ่งตัวเลือกหลักที่กำลังได้รับความสนใจคือ พลังงานนิวเคลียร์

นิวเคลียร์ : พระอาทิตย์เทียมแห่งอนาคตไทย?

ปัจจุบันจีนได้พัฒนาเทคโนโลยี "พระอาทิตย์เทียม" (Artificial Sun) หรือเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิวชันที่สามารถผลิตพลังงานได้มหาศาลโดยไม่ทิ้งกากกัมมันตรังสีแบบพลังงานนิวเคลียร์ฟิชชันแบบเก่า หากเทคโนโลยีนี้สำเร็จ มันจะเปลี่ยนโครงสร้างพลังงานของโลก อย่างสิ้นเชิง และหากไทยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ เราจะสามารถสร้างพลังงานสะอาดในปริมาณที่มหาศาลเพื่อรองรับเศรษฐกิจ AI ได้อย่างมั่นคง แต่การเปลี่ยนผ่านไปสู่นิวเคลียร์ไม่ใช่เรื่องง่าย การลงทุนต้องอาศัยวิสัยทัศน์ทางการเมือง และต้องมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการศึกษาควบคู่กันไป

พลังงานสะอาด : เสริมทัพนิวเคลียร์
นอกจากนิวเคลียร์ ไทยควรเสริมด้วย พลังงานขยะ เช่นเดียวกับที่ประเทศสวีเดนทำ การแปลงขยะเป็นพลังงาน ไม่เพียงช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยสร้างพลังงานทางเลือกที่ยั่งยืน โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ซึ่งมีปริมาณขยะมหาศาลแต่ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์เต็มที่
หากไทยสามารถสร้างระบบ บูรณาการพลังงาน ที่มีทั้ง พลังงานนิวเคลียร์ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานขยะ และพลังงานลม ไทยจะสามารถลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงาน และสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของตนเอง

การปฏิรูปหน่วยงานรัฐ: กุญแจสู่ยุคพลังงานใหม่
ปัญหาของไทยไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่คือ "ระบบรัฐที่ล้าหลัง" ทุกวันนี้ หน่วยงานพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานรัฐอื่นๆ ยังทำงานแบบแยกส่วน ซึ่งทำให้การพัฒนาพลังงานล่าช้า ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำคือ การออกแบบระบบรัฐใหม่ ที่สามารถ บูรณาการพลังงานและเทคโนโลยี ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้นำรัฐบาลในอนาคตจะต้องเป็นผู้ที่เข้าใจทั้ง AI และพลังงาน ไม่ใช่แค่การบริหารแบบเดิมๆ เพราะพลังงานคือรากฐานของเศรษฐกิจใหม่ และ AI คือแรงขับเคลื่อนของโลกอนาคต หากไม่มีพลังงานที่เพียงพอ AI ก็ไม่มีทางเติบโต และหากไม่มี AI แรงงานมนุษย์ไทยจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

ไทยต้องเลือก : จะเป็นศูนย์กลาง AI หรือเพียงผู้ตาม?
ในช่วงปี 2570 เป็นต้นไป ประเทศที่สามารถ จัดการเรื่องพลังงานได้ดี จะเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของโลก ไทยจะต้องตัดสินใจว่าจะเป็น ‘ศูนย์กลางอุตสาหกรรม AI ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้’ หรือจะปล่อยให้ประเทศอื่นแซงหน้าไป

1. เราจะพัฒนานิวเคลียร์หรือไม่??

2. จะใช้พลังงานสะอาดอย่างไรให้คุ้มค่า??

3. ระบบรัฐจะปรับตัวได้ทันหรือไม่??

4. แรงงานไทยพร้อมสำหรับ AI หรือไม่??

คำถามเหล่านี้ต้องการคำตอบที่ชัดเจนจากทุกภาคส่วน เพราะโลกกำลังเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และไทยจะไม่มีเวลารออีกต่อไป

‘อัครเดช’ ขอบคุณ!! ปชช. ที่เลือก ‘ตัวแทนพรรครวมไทยสร้างชาติ’ ให้นั่งนายกฯ อบจ. ย้ำ!! ประสาน ‘การเมืองท้องถิ่น’ สู่ ‘การเมืองระดับประเทศ’ เพื่อประโยชน์ของคนไทย

(2 ก.พ. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า ในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ ขอขอบคุณพ่อแม่พี่น้องทุกคนที่ออกมาใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกผู้สมัคร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(นายกอบจ.) และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด(สมาชิกอบจ.) ซึ่งถือเป็น การเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ที่มีความสำคัญอย่างมาก

โดยการเลือกตั้งในครั้งนี้ มีบุคลากรของพรรครวมไทยสร้างชาติ และผู้สมัครที่เป็นกลุ่มแนวร่วมของพรรครวมไทยสร้างชาติ ลงสมัครเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(นายกอบจ.) และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด(สมาชิกอบจ.) ในพื้นที่ต่าง ๆ เช่น สุราษฎร์ธานี, พัทลุง, สมุทรสงคราม, ภูเก็ต และนราธิวาส ในศึกการเลือกตั้งนายก อบจ. 2568  และพรรครวมไทยสร้างชาติ ขอแสดงความยินดีกับผู้สมัครของพรรคทุกคนที่ได้รับการเลือกตั้งให้เข้าไปทำหน้าที่ในนามสมาชิกอบจ. ซึ่งพรรคยืนยันว่า บุคลากรในนามตัวแทนของพรรครวมไทยสร้างชาติ จะมุ่งมั่นทำงานพัฒนาท้องถิ่นของตนเองอย่างเต็มที่ ให้เกิดการพัฒนา อันมีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่พ่อแม่พี่น้องทุกคนในจังหวัด

ทั้งนี้ การทำงานจะประสานการทำงานเชื่อมโยงการเมืองท้องถิ่นกับการเมืองระดับประเทศในทุกมิติ เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีเอกภาพ เกิดความต่อเนื่องและสอดคล้องร่วมกัน เพื่อให้สามารถพัฒนาทั้งจังหวัดและประเทศไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยพัฒนาอย่างมีระบบตามความต้องการของพ่อแม่พี่น้องประชาชน

“พรรครวมไทยสร้างชาติ ขอขอบคุณทุกคะแนนเสียงของพี่น้องที่มอบให้กับผู้แทนของพรรครวมไทยสร้างชาติ ในการเลือกตั้งนายก อบจ.  ที่ทำให้บุคลากรของพรรคได้รับความไว้วางใจจากพ่อแม่พี่น้องในหลายพื้นที่ และพรรคขอให้คำมั่นว่าจะประสานการทำงานระหว่างการเมืองท้องถิ่นกับการเมืองระดับประเทศให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้ประโยชน์สูงสุดแก่บ้านเมือง" นายอัครเดช กล่าวทิ้งท้าย

เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัย ในประเทศไทย ได้คะแนนจากผู้จ้างงานสูง

เว็บไซต์ QS World University Ranking ได้มีการจัดอันดับในหมวดหมู่มหาวิทยาลัยที่ได้คะแนนจากผู้จ้างงานทั่วโลกพึงพอใจมากที่สุด เฉพาะของประเทศไทย

10 อันดับ มหาวิทยาลัยไทย ได้คะแนนจากผู้จ้างงานสูง จบที่นี่มีโอกาสได้งานง่าย

สาวไปเชียร์!! คู่หมั้นแข่งเบสบอล จู่ ๆ เจอ ‘แมวจร’ กระโดดนอนตัก สภาพสุดสงสาร!! ต้องพาไปหาหมอ สุดท้ายผูกพัน พากลับประเทศด้วย

(2 ก.พ. 68) ‘แนท รูโมโร’ หญิงสาวจากสหรัฐได้เดินทางไปเชียร์คู่หมั้นแข่งเบสบอลที่เปอร์โตริโก และต้องพบกับการต้อนรับสุดไม่คาดคิดจาก ‘ลูกแมวจร’ ตัวหนึ่ง ที่จู่ ๆ ก็กระโดดขึ้นมาบนตักของเธออย่างสบายใจและไม่ยอมลุกไปไหน

ภาพความน่ารักครั้งนี้ทำให้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งเดินเข้ามาทักว่า “ดูเหมือนลูกแมวตัวนี้จะเลือกคุณแล้วนะ” ซึ่งขณะนั้นเธอยังไม่ใช่ทาสแมวจึงตอบชายคนดังกล่าวไปว่า เธอคงไม่พาเจ้าลูกแมวตัวนี้กลับบ้านด้วยแน่นอน

เมื่อการแข่งขันเบสบอลจบลง ลูกแมวก็วิ่งหายไป เธอคิดว่าลูกแมวคงไม่กลับมาอีกแล้วจึงเตรียมตัวกลับบ้าน อย่างไรก็ตาม หางตาเธอเหลือบเห็นลูกแมวตัวหนึ่งหน้าตาคุ้น ๆ วิ่งมา แล้วก็นั่งลงตรงเท้าของเธอ ราวกับไม่ยอมให้เธอจากไปไหน

เนื่องจากเป็นช่วงเวลาดึก เธอและคู่หมั้นจึงต้องตัดสินใจว่า พวกเขาควรปล่อยลูกแมวไป หรือควรนำกลับไปที่ Airbnb ด้วย และเมื่อพิจารณาสภาพของลูกแมวที่มีแผลหลายแห่ง พวกเขาจึงเลือกที่จะช่วยมัน

เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขารีบพาลูกแมวไปพบสัตวแพทย์ ลูกแมวได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไรในหู ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่หลังจากได้รับยาปฏิชีวนะและยารักษา ลูกแมวก็เริ่มดีขึ้นอย่างรวดเร็ว

หลังจากผ่านทุกสิ่งทุกอย่างมาด้วยกัน เธอและคู่หมั้นตัดสินใจพาลูกแมวกลับไปยังรัฐเคนทักกี้ ของสหรัฐด้วย พร้อมตั้งชื่อให้ใหม่ว่า ‘เจ้าโทโร่’ และแม้ว่าหลายสิ่งในชีวิตโทโร่จะเปลี่ยนไป แต่บางสิ่งก็ยังคงเหมือนเดิม นั่นคือมันยังคงเดินตามเธอไปทุกที่ และชอบนั่งบนตักของเธอเป็นเวลาหลายชั่วโมง

‘กระทรวงอุตสาหกรรม’ อัดฉีดเงิน 20 ล้านบาท ผ่าน 4 โครงการเด็ด เสริมแกร่ง!! สร้างความเท่าเทียมในการแข่งขัน รับเศรษฐกิจยุคใหม่

(2 ก.พ. 68) นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอี ตามแนวประชารัฐ เปิดเผยว่า ตามนโยบายการปฏิรูปอุตสาหกรรม สู่เศรษฐกิจยุคใหม่ที่ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เน้นย้ำเรื่องการสร้างความเท่าเทียมในการแข่งขันของ SME ไทยนั้น กระทรวงอุตสาหกรรมเล็งเห็นถึงความสำคัญของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย คิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 99.5 ของผู้ประกอบการทั้งหมด และมีบทบาทสำคัญในการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชากรกว่า 12.8 ล้านคนทั่วประเทศ 

ปัจจุบัน SMEs กำลังเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งจากสภาวะเศรษฐกิจ การแข่งขันที่รุนแรง และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว กระทรวงอุตสาหกรรมจึงมุ่งมั่นที่จะให้ความช่วยเหลือ SMEs อย่างครบวงจร ทั้งในด้านการเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ การพัฒนาศักยภาพธุรกิจ และการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ได้รับงบประมาณจำนวน 20 ล้านบาท เพื่อดำเนิน "โครงการส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอี" โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับศักยภาพของ SMEs ไทย ให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก และเติบโตอย่างยั่งยืน

สำหรับ ‘โครงการส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอี’ ประกอบด้วย 4 โครงการย่อย ที่ครอบคลุม ความต้องการของ SMEs ในทุกมิติ ดังนี้

1. โครงการเสริมแกร่งการเงิน เพิ่มทุนหนุนธุรกิจ (สุขใจ) มุ่งเน้นเสริมสร้างความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับ SMEs ทุกขนาด(Micro/Small/Medium) ในทุกสาขาอุตสาหกรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาศักยภาพ SMEs ในด้านการบริหารจัดการ และช่วยให้สามารถเข้าถึง
แหล่งเงินทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ กิจกรรมในโครงการประกอบด้วยอบรมเชิงปฏิบัติการ ‘บริหารเงิน ฉบับ SMEs’ การจัด Business Matching เชื่อมโยง SMEs กับแหล่งเงินทุน และการให้คำปรึกษาแนะนำ
ด้านการเงินแบบตัวต่อตัว โดยตั้งเป้าหมายไว้ที่ 60 กิจการ และ 300 คน ด้วยงบประมาณ 1.08 ล้านบาท

2. โครงการยกระดับธุรกิจเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน (เปิดใจ) มุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจ SMEs ในอุตสาหกรรมศักยภาพ (S-Curve) สู่ยุคดิจิทัล และปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยนำเทคโนโลยี นวัตกรรม และโมเดลเศรษฐกิจ BCG มาประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดต้นทุน และสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยมีกิจกรรมต่างๆ เช่น การอบรม ‘Digital Transformation for SMEs’ การศึกษาดูงานธุรกิจต้นแบบด้าน BCG และการสนับสนุนการเข้าถึงเทคโนโลยีและเครื่องจักรที่ทันสมัย โครงการนี้ตั้งเป้าหมาย ไว้ที่ 200 กิจการ และ 400 คน ด้วยงบประมาณ 10 ล้านบาท

3. โครงการพัฒนาฮาลาลไทย รับรองได้ ขายส่งออกชัวร์ (มั่นใจ) มุ่งพัฒนาศักยภาพธุรกิจฮาลาลของ SMEs ให้ได้มาตรฐานสากล พร้อมขยายตลาดสู่ต่างประเทศ โดยให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการทุกขนาด (Micro/Small/Medium) ในอุตสาหกรรมฮาลาล ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น การให้คำปรึกษาแนะนำการขอรับรองมาตรฐานฮาลาล การอบรม ‘เจาะตลาดฮาลาลโลก’ และการพัฒนาบรรจุภัณฑ์และกลยุทธ์ทางการตลาดสำหรับ
สินค้าฮาลาลเพื่อผลักดันให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ โดยตั้งเป้าหมายไว้ที่ 100 กิจการ และ 300 คน ด้วยงบประมาณ 7 ล้านบาท

4. โครงการพลิกชีวิต ฟื้นธุรกิจ ปรับหนี้ให้อยู่รอด (สู้สุดใจ) มุ่งช่วยเหลือ SMEs ที่กำลังประสบปัญหาหนี้สิน ให้สามารถฟื้นฟูกิจการและกลับมาดำเนินธุรกิจได้อีกครั้ง โดยเปิดโอกาสให้ลูกหนี้ของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ทุกขนาด (Micro/Small/Medium) ในทุกสาขาอุตสาหกรรมเข้าร่วมโครงการ เพื่อรับคำปรึกษาแนะนำ ในการปรับโครงสร้างหนี้ การเจรจาไกล่เกลี่ยหนี้กับเจ้าหนี้และการอบรม ‘ปรับแผนธุรกิจ สร้างโอกาสใหม่’ โดยตั้งเป้าหมายช่วยเหลือ SMEs ไว้ที่ 40 กิจการด้วยงบประมาณ 1.92 ล้านบาท

“โครงการส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอีนี้ จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยคาดว่าจะช่วยให้ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และช่วยให้ลูกหนี้ของกองทุนฯ สามารถแก้ไขปัญหาหนี้สิน และพลิกฟื้นธุรกิจกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง” ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวทิ้งท้าย

สาวซื้อหมึกย่าง เปิดถุง!! เจอครบเซต ทั้ง ‘สำเนาบัตรปชช.–เอกสารผู้ป่วย’

(2 ก.พ. 68) สาวซื้อหมึกย่าง เปิดถุงเจอสำเนาบัตรปชช.-เอกสารผู้ป่วย ชาวเน็ตถาม ความเป็นส่วนตัวอยู่ไหน

เรียกได้ว่าเจอ บ่อยจนชาวบ้านชักเริ่มชิน กับข้อมูลส่วนตัวจากเอกสารสำคัญที่ไปโผล่บนถุงกล้วยทอด ล่าสุด โผล่อีกบนถุงหมึกย่าง ครบทั้งข้อมูลผู้ป่วย สำเนาบัตรประชาชน

โดยผู้ใช้สื่อโซเชียลรายหนึ่งได้โพสต์ในกลุ่ม ‘พวกเราคือผู้บริโภค’ โดยระบุข้อความว่า 

“ซองปลาหมึกย่าง แถวประชาอุทิศ เอกสารผู้ป่วยเอย สำเนาบัตร ปชช. เอย”

โดยหลังจากโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไปก็ได้มีผู้ใช้สื่อโซเชียลรายอื่นๆ เข้ามาแสดงความคิดเห็นว่า 

“Privacy อยู่ไหน”

‘ค่ายน้ำเงิน - บ้านใหญ่’ คว้าชัยพรึ่บ!! ผลเลือกตั้งนายกฯ อบจ. อย่างไม่เป็นทางการ ‘เพื่อไทย’ ไม่แลนด์สไลด์ ‘ปชน.’ปักธงลำพูน ‘ชาติไทยพัฒนา’ คว้าสุพรรณบุรี

(2 ก.พ. 68) ผลการเลือกนายก อบจ.อย่างไม่เป็นทางการ เบื้องต้นพบว่าพรรคประชาชนซึ่งส่งผู้สมัครมากถึง 17 จังหวัด กลับได้มาเพียง 1 จังหวัดคือ จังหวัดลำพูน นายวีระเดช ภู่พิสิฐ ส่วนพรรคเพื่อไทย ส่ง 14 จังหวัด ได้รับเลือก 9 จังหวัด, พรรคชาติไทยพัฒนา ได้ไป 1 เก้าอี้ ที่จังหวัดสุพรรณบุรี นายอุดม โปร่งฟ้า ส่วนที่เหลือเป็นบ้านใหญ่และผู้สมัครที่พรรคภูมิใจไทยให้การสนับสนุน

เป็นที่น่าสังเกตว่า จังหวัดที่นายทักษิณ ชินวัตร ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อไทยลงไปปราศรัยนั้น หลายจังหวัดผู้สมัครของพรรคสอบตก เช่น ที่จังหวัดเชียงราย นางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช พ่ายให้กับนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ ที่พรรคภูมิใจไทยสนับสนุน ที่จังหวัดศรีสะเกษ นายวิวัฒน์ชัย โหตระไวศยะ พ่ายให้กับนายวิชิต ไตรสรณกุล กลุ่มฅนท้องถิ่น ที่พรรคภูมิใจไทยสนับสนุน เป็นต้น

มีรายงานว่า ในหลายพื้นที่ภาคอีสานและภาคใต้ ซึ่งว่ากันว่าเป็นเป้าหมายของเครือข่ายสีน้ำเงินของพรรคภูมิใจไทย พบว่าหลายพื้นที่มีแนวโน้มชนะ เช่น ที่ จ.บึงกาฬ บุรีรัมย์ อำนาจเจริญ สตูล เชียงราย ลพบุรี พังงา พัทลุง เป็นต้น ทั้งที่พรรคภูมิใจไทยประกาศไม่ส่งผู้สมัครนายก อบจ.ในนามพรรคก็ตาม

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้ตอบคำถามสื่อมวลชน ภายหลังทราบผลคะแนนว่า 

“เป็นความต้องการของประชาชน ที่ผ่านมา ผมก็ไม่ได้ลงไปช่วยใครหาเสียง เพราะด้วยตำแหน่ง หน้าที่ มันทำไม่ได้ เลยต้องวางตัวเป็นกลาง จะชนะหรือแพ้ก็เป็นการตัดสินใจของประชาชนเอง”

‘สุพิศ’ ผู้สมัครเบอร์ 5 คว้าชัย!! นายกฯ อบจ.สงขลา ยัน!! พร้อมทำงานทันที หลัง ‘กกต.’ ประกาศรับรอง

(2 ก.พ. 68) ที่จ.สงขลา สำหรับผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการของการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ปรากฏว่า ผู้ที่มีคะแนนนำสูงสุด คือ นายสุพิศ  พิทักษ์ธรรม ผู้สมัครเบอร์ 5 ที่ได้รับการสนับสนุน จากสองแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ คือนายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรมช.มท.  และนายเดชอิศม์ ขาวทอง รมช.สธ. ผู้ที่มีคะแนนอันดับ 2 คือ นายประสงค์  บริรักษ์  ผู้สมัครเบอร์ 3 และอันดับ 3 คือนายนิรันดร์  จินดานาค ผู้สมัครจากพรรคประชาชน เบอร์ 2  

นายสุพิศ  พิทักษ์ธรรม อดีตอธิบดีกรมฝนหลวงฯพร้อมทีมบริหารได้กล่าว ขอบคุณทุกคะแนนเสียงที่ประชาชนชาวสงขลามอบให้ และไว้วางใจให้นั่งเก้าอี้นายก อบจ.สงขลาและทุกคะแนนเสียงที่มอบให้ทีมผู้สมัครส.อบจ.ของทีมเราทุกคะแนนโดยทันทีที่ กกต.ประกาศรับรองก็จะเดินหน้าทำงานทันทีตามแนวทางที่ได้เคยประกาศไว้ขอบคุณครอบครัวและทุกท่านที่เป็นกำลังใจให้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

โดยในวันนี้ (2 ก.พ.) ‘ทีมสงขลาพลังใหม่’ มีกำหนดการขึ้นรถแห่ขอบคุณชาวสงขลาโดยเริ่มจากอำเภอหาดใหญ่และอำเภอเมืองสงขลาและอำเภออื่นๆ

สมุทรปราการ-ครอบครัวพาณิชย์พิศาล ร่วมกับชมรมโฮปฯ จัดตั้งโรงทาน แจกข้าวสารช่วยเหลือผู้ยากไร้

(2 ก.พ. 68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเช้าของวันนี้ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568 ครอบครัวพาณิชย์พิศาล โดย นายอัครนันท์ พร้อมด้วย นางธัญยธรณ์ พาณิชย์พิศาล นายธนิตพงษ์ นางทิพย์ประภา วรัณวงศ์เจริญ และนางสาวปิยนุช พาณิชย์พิศาล ประธานชมรมโฮปสะพานบุญแห่งความหวังและศรัทธา

เดินทางไปยังศาลเจ้าไต้ฮงกง ถนนท้ายบ้าน อ.เมือง สมุทรปราการ เพื่อกราบสักการะขอพรองค์หลวงปู่ไต้ฮงกงเพื่อความเป็นสิริมงคล นอกจากนี้ ทางครอบครัวพาณิชย์พิศาลยังได้มีการจัดตั้งโรงทาน ด้วยการนำไอศครีม และก๋วยเตี๋ยวเป็ดเจ ร้านเฮง เฮง 168 ข้างโรงพยาบาลเมืองสมุทร นำมาแจกจ่ายให้กับพี่น้องประชาชนที่เดินทางมากราบขอพรที่ศาลเจ้าแห่งนี้ รวมถึงประชาชนในระแวกใกล้เคียงได้กินฟรีอีกด้วย 

จากนั้น ในช่วงบ่ายนางสาวปิยนุช พาณิชย์พิศาล ประธานชมรมโฮปสะพานบุญแห่งความหวังและศรัทธา นำคณะเจ้าหน้าที่โฮปฯ เดินทางไปยังวัดหัวลำภูทองสิบสองธันวาราม ถนนสุขุมวิท ต.ท้ายบ้านใหม่ อ.เมือง สมุทรปราการ เพื่อนำข้าวสารและน้ำดื่มไปมอบให้กับผู้สูงอายุ และประชาชนในชุมชนคลองหัวลำภู จำนวน 200 คน เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ยากไร้ในชุมชนแห่งนี้ โดยมีทางคณะกรรมการชุมชนร่วมให้การต้อนรับและร่วมกันแจกจ่ายข้าวสาร พร้อมด้วยน้ำดื่มให้แก่ประชาชนที่พักอาศัยอยู่ภายในชุมชนแห่งนี้

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

ผู้ช่วย ผบ.ตร.และคณะ ให้กำลังใจตำรวจไทยโชว์ศักยภาพในการแข่งขัน UAE SWAT CHALLENGE 2025 ณ นครดูไบ

วันแรกทำคะแนนเยี่ยมเป็นลำดับที่ 4 พร้อมใช้โอกาสนี้กระชับความสัมพันธ์และเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างประเทศ 

พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ต.ชูสวัสดิ์ จันทร์โรจนกิจ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล , พล.ต.ต.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และคณะเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวม 9 นาย เดินทางเข้าร่วมชมการแข่งขัน UAE SWAT CHALLENGE 2025 ที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อให้กำลังใจนักกีฬาตำรวจไทยที่เข้าร่วมการแข่งขันทั้ง 3 ทีม ซึ่งเข้าร่วมการแข่งขันระหว่างวันที่ 1-5 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งการแข่งขัน UAE SWAT CHALLENGE 2025 เป็นเวทีสำคัญที่แสดงถึงความสามารถของตำรวจไทยในการปฏิบัติภารกิจยุทธวิธีในระดับสากล พร้อมทั้งเป็นโอกาสในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านความมั่นคงกับหน่วยงานตำรวจนานาชาติ 

วานนี้ (1 กุมภาพันธ์ 2568) เป็นการแข่งขันในวันแรก โดยก่อนการแข่งขันคณะผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ให้กำลังใจนักกีฬา โดยทีมตำรวจไทย 2 ทีมที่แข่งขันในช่วงเช้า ได้แก่ ทีม C (ทีมตำรวจหญิง) ลงแข่งเป็นลำดับที่ 9 , ทีม A ลงแข่งเป็นลำดับที่ 13 และทีม B ลงแข่งขันในช่วงบ่าย จากนั้นคณะเข้าร่วมพิธีเปิดการแข่งขัน UAE SWAT CHALLENGE 2025 โดยมีผู้บัญชาการตำรวจดูไบเป็นประธาน ผลการแข่งขันวันที่ 1 ตำรวจไทยทำผลงานน่าประทับใจ โดย Stage 1 : Assault Event (สถานการณ์โจมตี) จากทั้งหมด 105 ทีมที่เข้าร่วม ปรากฏว่าทีมตำรวจไทย ทีม B คว้าอันดับที่ 4 ทำเวลา 1.43.61 นาที , ทีม C (ตำรวจหญิง) คว้าอันดับที่ 32 ทำเวลา 2.19.15 นาที , ทีม A คว้าอันดับที่ 34 ทำเวลา 2.25.32 นาที 

นอกจากนี้ พล.ต.ท.สำราญฯ และคณะ ยังได้พบกับ พล.ท.อับดุลลาห์ คาลิฟา อัล มาร์รี (Lieutenant General Abdullah Khalifa Al Marri) ผู้บัญชาการตำรวจนครดูไบ พร้อมเยี่ยมชม สถานีตำรวจอัจฉริยะ (Smart Police Station) ในย่าน Al Seef ซึ่งเป็นสถานีตำรวจไร้เจ้าหน้าที่ ซึ่งเปิดให้ประชาชนแจ้งเหตุและดำเนินการต่าง ๆ ผ่านระบบตู้คีออส (kiosk) และในช่วงบ่าย คณะได้เดินทางไปให้กำลังใจทีม B ที่ลงแข่งขัน และพบกับ Mr. Andrew Kamarchevakul เจ้าหน้าที่ประสานงานจาก NYPD ประจำนครดูไบ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านความร่วมมือทางการบังคับใช้กฎหมาย ก่อนเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำตามคำเชิญของ น.ส.นิภา นิรันดร์นุต กงสุลใหญ่ ณ นครดูไบ ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญในการหารือประเด็นความร่วมมือด้านความมั่นคง โดยเฉพาะการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าและค้ายาเสพติด รวมถึงการค้ามนุษย์ในลักษณะถูกหลอกมาค้าประเวณี โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติมุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพของเจ้าหน้าที่ เพื่อยกระดับมาตรฐานความมั่นคงของประเทศให้ทัดเทียมระดับสากล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top