Wednesday, 25 June 2025
Hard News Team

ยุโรป ‘แจกไก่’ บ้านละ 2 ตัว แก้ปัญหา ‘ขยะอาหาร’ ประชาชน!! แฮปปี้มี ‘ไข่กินฟรี’ ทั้งปี จากไก่ที่เลี้ยง

(23 มี.ค. 68) ในช่วงอีสเตอร์ของปี 2015 แผนกเก็บขยะในหมู่บ้านโคลมาร์ หมู่บ้านเล็ก ๆ ของฝรั่งเศสอย่าง เริ่ม ‘แจกไก่’ ให้กับชาวบ้าน เพื่อลด ‘ขยะอาหาร’ 

โครงการนี้เป็นแนวคิดของกิลเบิร์ต เมเยอร์ ที่ได้รับเลือกตั้งนายกเทศมนตรี เมื่อปี 2014 เจ้าของนโยบาย ‘ไก่หนึ่งตัว หนึ่งครอบครัว’ มุ่งหวังที่จะส่งเสริมให้ชาวบ้านรับเลี้ยงไก่ โดยได้รับความร่วมมือกับฟาร์มไก่สองแห่งในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งชาวบ้านต่างยินดีที่จะเข้าร่วมโครงการนี้ เพราะนอกจากจะได้กำจัดเศษขยะอาหารแล้ว ยังได้ไข่ฟรีจากไก่ที่เลี้ยงอีกด้วย

ปัจจุบันได้แจกไก่ไปแล้วถึง 5,282 ตัว โดยแต่ละบ้านรับไก่บ้านละ 2 ตัว อาจเป็นไก่แดง หรือไก่อัลเซเชี่ยน ซึ่งเป็นไก่เบรสสายพันธุ์พื้นเมืองเก่าแก่ คนที่รับไก่ไปจะต้องลงนามในคำมั่นสัญญาว่าจะเลี้ยงไก่ และหน่วยงานของรัฐสามารถดำเนินการตรวจสอบสวัสดิภาพของสัตว์ได้ตลอดเวลา

อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ไม่ได้มีเล้าไก่ให้ด้วย ชาวบ้านต้องสร้างหรือซื้อเอง อีกทั้งกำหนดให้แต่ละบ้านที่มีพื้นที่เพียงพอสำหรับเลี้ยงไก่ ด้วยขนาด 8-10 ตร.ม. ขณะนี้กำลังเปิดรับใบสมัครสำหรับการแจกจ่ายรอบต่อไปในเดือนมิถุนายน 2025

ไก่เหล่านี้ยังจะช่วยลดปริมาณขยะอาหารได้มาก สตรอมันน์กล่าวว่า ไก่แต่ละตัวสามารถกินขยะอินทรีย์ได้วันละ 150 กรัม และมีอายุขัยเฉลี่ยถึง 4 ปี โดยประเมินกันว่านับตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา ไก่เหล่านี้กินขยะอินทรีย์ไปแล้ว 273.35 ตัน 

ขยะอาหารก่อให้เกิดก๊าซมีเทนในชั้นบรรยากาศมากกว่าวัสดุอื่น ๆ ที่ถูกฝังกลบ เนื่องจากมีอัตราการสลายตัวที่รวดเร็ว ในสหรัฐ ก๊าซมีเทนที่ปล่อยออกมาในชั้นบรรยากาศจากหลุมฝังกลบประมาณ 58% มาจากขยะอาหาร แม้ว่าก๊าซมีเทนจะมีอายุสั้นกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ แต่ส่งผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนมากกว่า คาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า 80 เท่าในช่วงเวลา 20 ปี

ในแต่ละปีอาหารที่ผลิตขึ้นมาถูกทิ้งหรือได้รับความเสียหายระหว่างทางมากถึงปีละ 1,300 ตัน ซึ่งคิดเป็นหนึ่งในสามของทั้งหมด อีกทั้งขยะอาหารคิดเป็น 8-10% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อปีทั่วโลก สูงกว่าการปล่อยรปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคการบินทั้งหมดถึงเกือบ 5 เท่า

‘หอการค้าไทย’ ประกาศ!! สนับสนุนผลักดันโครงการแลนด์บริดจ์ ชุมพร–ระนอง ชี้!! ไม่เพียงท้องถิ่นจะได้ประโยชน์ แต่ยังส่งผลดีต่อ เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

(23 มี.ค. 68) ที่ศาลากลางจังหวัดชุมพร นายเธียรชัย ชูกิตติวิบูลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร นายอภิชาติ สาราบรรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร นายกมล เรืองตระกูล ประธานหอการค้าจังหวัดชุมพร ได้ให้การต้อนรับ นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย คุณภูมินทร์ หะรินสุต รองประธานกรรมการหอการค้าไทย นายสลิล โตทับเที่ยง รักษาการประธานหอการค้าภาคใต้ และคณะผู้บริหารระดับสูงหอการค้าไทย เพื่อประชุมหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในการขับเคลื่อนและกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ ร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการ คณะกรรมการหอการค้าไทย คณะกรรมการหอการค้าจังหวัดชุมพร และ YEC หอการค้าจังหวัดชุมพร ณ ห้องเกาะเสม็ด ศาลากลางจังหวัดชุมพร ชั้น 4

ช่วงบ่าย นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยนายสลิล โตทับเที่ยง รักษาการประธานหอการค้าภาคใต้ นายภูมินทร์ หะรินสุต รองประธานกรรมการหอการค้าไทย นายกมล เรืองตระกูล ประธานหอการค้าจังหวัดชุมพร นายไพบูลย์ ลิ้มเลิศวาที ที่ปรึกษาหอการค้าจังหวัดชุมพร และคณะกรรมการหอการค้าไทย เดินทางไปหาดแหลมริ่ว ต.บางน้ำจืด อ.หลังสวน จ.ชุมพร เพื่อลงพื้นที่ที่จะก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกชุมพร(แหลมริ่ว)ในโครงการแลนด์บริดจ์ เพื่อรับฟังข้อมูลในการดำเนินงานของโครงการจากทาง ผู้แทนสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข) และผู้แทนการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ตลอดจนข้อมูล

ของประชาชนในพื้นที่ นำโดย นายจีรศักดิ์ แสงหอย นายอำเภอหลังสวน นายสุชาติ ตังสุรัตน์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางน้ำจืด เพื่อเป็นประโยชน์ในการศึกษาในทุกมิติ ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมให้มีความสอดคล้องกัน อยู่ร่วมกันได้เป็นอย่างดี

นายสนั่น อังอุบลกุล กล่าวว่า ได้รับฟังปัญหาในหลายๆด้าน โดยทางหอการค้าไทยให้การสนับสนุนการสร้างโครงการ แลนด์บริดจ์ ชุมพร –ระนอง ซึ่งคิดว่าถ้าโครงการออกมาแล้วจะสร้างประโยชน์ไม่เพียงแต่ให้ท้องถิ่นเท่านั้น แต่โครงการโดยรวมแล้วเศรษฐกิจของประเทศไทยได้ประโยชน์ เรายินดีที่จะสนับสนุนเต็มที่

นายภูมินทร์ หะรินสุต รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวเพิ่มเติม เป็นโครงการสมัยท่านนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชาซึ่งหอการค้าเราก็ได้ให้การสนับสนุนและเพื่อที่จะแก้ไขปรับปรุงเพื่อจะให้มีโครงการแลนด์บริดจ์ขึ้นอย่างสมบูรณ์โดยควรพิจารณาอย่างรอบคอบเพราะเป็นโครงการระหว่างจังหวัดชุมพรและจังหวัดระนอง ทั้งสองจังหวัดจะต้องพร้อมโครงการก็จะดำเนินเดินหน้าไปได้หากจังหวัดใดจังหวัดหนึ่งไม่พร้อมโครงการก็อาจจะเกิดการสะดุดได้จึงลงมาดูพื้นที่และแก้ไขปัญหาให้กับจังหวัดชุมพรและจังหวัดระนองเพื่อที่จะดำเนินการต่อไป 

นายกมล เรืองตระกูล ประธานหอการค้าจังหวัดชุมพร ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า โครงการแลนด์บริดจ์ นอกจากส่วนท่าเรือน้ำลึกแล้ว ส่วนที่สำคัญมากที่ทำให้เกิดgame changer คือ พื้นที่หลังท่าเรือชุมพร ที่มีจำนวนมากหลายหมื่นไร่ ที่จะพัฒนาเป็นนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวขนาดใหญ่ คำนึงถึงพลังงานสะอาดและสิ่งเเวดล้อม จะเปลี่ยนทิศทางsupply chain ประเทศไทยจากผู้ซื้อเป็นผู้ผลิตได้เลย เช่น ด้านเกษตร เนื่องจากประเทศไทยเป็นเมืองเกษตร โดยเฉพาะชุมพรและภาคใต้เป็นแหล่งวัตถุดิบทางการเกษตรและประมงมหาศาลพร้อมแปรรูป หรือด้านอาหารฮาลาล หรือ ด้านอุตสาหกรรมไฮเทค หรือ ผลิตภัณฑ์ด้านอื่นๆที่สามารถขนส่งผ่านทางรางจากเหนือลงใต้(รถไฟรางคู่ปัจจุบันถึงชุมพรแล้ว)และทางหลวงแผ่นดิน(อนาคตจะขยายเป็น8เลน) จะทำให้พื้นที่นี้มีศักยภาพสูงในการหาวัตถุดิบป้อนแหล่งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ หากมีการพัฒนาจัดสรรใช้ประโยชน์พื้นที่อย่างเต็มที่ เช่น โครงการของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ นิคมอุตสาหกรรมของเอกชนขนาดใหญ่ สินค้าที่สำเร็จรูปผลิตแล้วจัดส่งที่ท่าเรือน้ำลึกชุมพรหรือระนองเพื่อส่งตลาดโลกได้ทันที ทำให้มีการใช้ประโยชน์ท่าเรืออย่างคุ้มค่า ไม่ต้องหวังลูกค้าจากสายเรืออย่างเดียว อีกส่วนที่สำคัญ คือ เส้นทางวางท่อส่งน้ำมัน หากพิจารณาให้ดีจะสร้างประโยชน์มหาศาลให้กับประเทศ ดังนั้น หากจะมองความคุ้มค่าของโครงการ อย่ามองเพียงส่วนหนึ่งส่วนใดจะทำให้หลงทาง บางส่วนอาจขาดทุนก่อน บางส่วนอาจกำไรเร็วกว่า บางส่วนไม่หวังกำไรแต่ต้องมี ต้องถอยมามองภาพใหญ่ให้ครอบคลุมทุกมิติแล้วจะเห็นทั้งหมด หากโครงการแลนด์บริดจ์เสร็จสมบูรณ์ในทุกส่วนแล้ว ยามที่เครื่องจักรทางเศรษฐกิจของไทยอ่อนแรงแทบทุกตัวแล้ว เชื่อว่าโครงการนี้จะเป็นหัวรถจักรตัวใหม่ที่จะฉุดเศรษฐกิจของไทยให้กลับทะยานไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่ง สร้างชีวิตใหม่ให้กับชาวไทยได้ครั้งใหญ่อีกครั้ง 

อนึ่ง วันนี้จึงนับเป็นข่าวดีมากสำหรับชาวไทย ที่ทางหอการค้าไทยได้ประกาศชัดเจน เดินหน้าสนับสนุนโครงการแลนด์บริดจ์อย่างเต็มที่ ตามนโยบายรัฐบาล

‘ดร.พิริยะ’ มอง!! ไม่ควรใส่ใจ กับการจัดอันดับของ World Population Review ชี้!! เป็นเรื่องของ ‘การรับรู้’ มากกว่าการใช้ ‘ข้อมูลทางสถิติ’ ที่เชื่อถือได้

(23 มี.ค. 68) ศาสตราจารย์ ดร.พิริยะ ผลพิรุฬห์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ การจัดอันดับของ World Population Review โดยมีใจความว่า ...

‘อย่าไปซีเรียสมากกับการจัดอันดับของ World Population Review’

ทุกครั้งที่มีหน่วยงานไหนจัดอันดับการศึกษาของโลกออกมา และพบว่าประเทศไทยเราอยู่ในอันดับต่ำ (หรือต่ำกว่าประเทศที่เราคิดว่าเราน่าจะสูงกว่า) ก็จะมีสื่อต่างๆ ออกมาประกาศและซ้ำเติมระบบการศึกษา (โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาไทย) เราอยู่บ่อยครั้ง ล่าสุดจากการที่นักข่าวไปขุดผลการจัดอันดับการศึกษาของ World Population Review ที่รายงานว่าประเทศไทยเรามีอันดับการศึกษาที่อันดับ 107 (จาก 203 ประเทศ) โดยต่ำเป็นอันดับ 8 ของอาเซียน (และทีี่ข่าวเอามาขยี้ที่สุดคือต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านเราอย่าง สปป.ลาว และเหนือกว่าพม่าและกัมพูชาแต่เล็กน้อยเท่านั้น) https://worldpopulationreview.com/.../education-rankings...
แต่เพื่อความแฟร์แล้ว ในฐานะของนักวิจัย เราควรที่จะต้องไปหาดูก่อนว่า ตัดชี้วัดที่จัดอันดับดังกล่าวนั้นมาจากไหน มันเป็นวิธีการวัดที่น่าเชื่อถือและถูกต้องเพียงใด และมันมี "ความคลาดเคลื่อน (Error) ที่อาจจะเกิดขึ้นในประเด็นใดได้บ้าง 

เท่าที่พยายามเข้าไปดูถึงวิธีการคำนวณอันดับคร่าวๆ พบว่า World Population Review "ไม่ได้เป็นหน่วยงาน"ที่ทำการคำนวณอันดับดังกล่าว แต่จะไปเอาข้อมูลจากสองแหล่งได้แก่ 1) US News Best Countries report และ 2) the nonprofit organization World Top 20 (หรือพูดง่ายๆ ก็คือ World Population Review ก็เหมือนกับสำนักข่าวเราดีๆ นี่แหละ ไม่ได้ทำเอง แค่เอาที่เขาประกาศมาทำเป็น graphic สวยๆ และเขียนวิเคราะห์คร่าวๆ เฉยๆ)

โดยถ้าเข้าไปดูในส่วนของ US News Best Countries Report (ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลหลัก) เป็นรายงานที่ทำในปี 2024 https://www.usnews.com/.../best-countries-for-education ซึ่งเป็นการสำรวจมิติของประเทศในด้านต่างๆ ได้แก่ Quality of Life, Heritage, Adventure, Citizenship, Open for Business, Entrepreneurship, Social Purpose, และ Cultural Influence (คล้ายๆ กับการสำรวจ Soft Power Index ของ Brandfinance) โดยข้อมูลที่ได้มาจากการสำรวจความคิดเห็นของผู้คน 17000 คนจากประเทศต่างๆ ใน 78 ประเทศ จากนั้นจัดอันดับประเทศเหล่านั้นตามการตอบแบบสำรวจ ส่วนในด้านการศึกษาของแบบสำรวจนั้น ผู้ตอบแบบสำรวจจะถูกถามคำถามที่ประเมินปัจจัยต่างๆ เช่น

1) คุณภาพของระบบการศึกษาของรัฐ: ผู้ตอบแบบสำรวจจะประเมินว่าระบบการศึกษาของรัฐในแต่ละประเทศนั้นพัฒนาและมีประสิทธิภาพเพียงใด

2) ความน่าสนใจในการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย: ผู้ตอบแบบสำรวจจะประเมินว่าประเทศนั้นๆ มีความน่าสนใจในการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยมากน้อยเพียงใด

3) คุณภาพของการศึกษาโดยรวม: ผู้ตอบแบบสำรวจจะประเมินว่าประเทศนั้นๆ มีการให้การศึกษาที่มีคุณภาพสูงเพียงใด
หลังจากนั้นรายงานได้รวบรวมข้อมูลจากการสำรวจและนำมาถูกนำมาวิเคราะห์และประมวลผลและทำการใส่น้ำหนักของแต่ละปัจจัย เพื่อให้ได้คะแนนรวมสำหรับแต่ละประเทศ

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การจัดอันดับที่ได้นั้นจึงเป็นการจัดอันดับที่เกิดจาก "การรับรู้ (Perception)" ของคนประเทศต่างๆ เกี่ยวกับระบบการศึกษาของประเทศนั้น โดยอาศัยคำถามที่เจาะจงเกี่ยวกับคุณภาพและความน่าสนใจของการศึกษาในแต่ละประเทศ โดยการสำรวจได้จัดทำขึ้นระหว่างเดือน มีนาคม-พฤษภาคมปี 2023

จากข้อมูลคร่าวๆ นี้ก็พอสรุปได้ว่า "เราไม่ควรจะต้องไปใส่ใจกับอันดับที่ World Population Review นี้รายงานออกมา" เพราะมันเป็นเรื่องของ Perception มากกว่าการใช้ข้อมูลทางสถิติที่เชื่อถือได้

แต่อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าคุณภาพการศึกษาของเรา ‘ยังไม่ดี’ จริงๆ ซึ่งปัญหามันก็เหี่ยวกับกระทรวงศึกษาเพียงส่วนหนึ่ง แต่ยังมีอีกหลายบริบทมากๆๆๆ ที่เกี่ยวข้องซึ่งถ้าให้เขียนต่อมันก็จะยาวมากๆ

‘เอ็ม บี เค’ ออกจดหมายแจง!! เหตุทะเลาะวิวาท ยัน!! มีมาตรการตรวจสอบอาวุธ อย่างเข้มงวด

(23 มี.ค. 68) ศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ ได้ออกจดหมายแถลงการณ์ มีใจความว่า ...

ตามที่เกิดเหตุการณ์นักศึกษาสองสถาบันทะเลาะวิวาท เมื่อวันเสาร์ที่ 22 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 19.15 น. 

ทางศูนย์การค้าฯ ขอยืนยันว่า ได้มีมาตรการตรวจสอบอาวุธอย่างเข้มงวด และจากกรณีมีข่าวว่ามีเสียงดังคล้ายอาวุธปืนนั้น ไม่เป็นความจริง โดยเสียงดังกล่าวเกิดจากป้ายโฆษณาโครงเหล็กกระทบพื้น

ขออภัยในความไม่สะดวก!! 

‘อุ๊งอิ๊ง’ อวยพร!! ‘วู้ดดี้ วุฒิธร-โอ๊ต อัครพล’ ในงานแต่งงาน บรรยากาศชื่นมื่น หลังจดทะเบียนสมรสอย่างเป็นทางการ ถูกต้องตามกฎหมาย ‘สมรสเท่าเทียม’

เมื่อวานนี้ (22 มี.ค. 68) นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร พร้อมคู่สมรส ร่วมงานมงคลสมรสของ ‘วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา และ โอ๊ต อัครพล จับจิตรใจดล’ หลังจดทะเบียนสมรสอย่างเป็นทางการ และถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีนายทะเบียนจากสำนักงานเขตปทุมวัน ดำเนินการจดทะเบียนสมรสตาม พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา 

สำหรับงานมงคลสมรสของ ‘วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา และ โอ๊ต อัครพล จับจิตรใจดล’ วันนี้บรรยากาศเป็นด้วยความชื่นมื่น มีรัฐมนตรี เพื่อนๆ และผู้มีชื่อเสียงในหลากหลายวงการร่วมงานด้วยความยินดี

‘อ.เจษฎา’ โพสต์ข้อความ!! วอน ‘ท่านนายกฯ’ สั่งย้าย อุเทนถวาย ชี้!! มันจบทุกขั้นตอนแล้ว ก็ยังดื้อ ไม่ยอมไปซักที ทำชาวบ้านเดือดร้อน

(23 มี.ค. 68) รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า …

ขอท่านนายกฯ อิงค์ กรุณาลงนามคำสั่งย้ายอุเทนถวาย เถอะครับ มันจบทุกขั้นตอนแล้ว ก็ยังดื้อ ไม่ยอมไปซักที ชาวบ้านเดือดร้อน

‘เกลือ เป็นต่อ’ โพสต์เฟซ!! หลังทัวร์ลง!! จากเหตุ ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ มอบ ‘คอร์สปรับพฤติกรรม’ ให้เกรียนคีย์บอร์ด พร้อมอนุโมทนาให้เจริญขึ้น

(23 มี.ค. 68) จากกรณีที่นายกิตติ เชี่ยววงศ์กุล หรือที่รู้จักในชื่อ ‘เกลือ เป็นต่อ’ ได้โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลว่า “ทีนี้เด็กๆ เห็นความสำคัญของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกันรึยังลูก?” จนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยมีสื่อและเพจบางเพจนำข้อความดังกล่าวไปเผยแพร่ เรียกกระแสทัวร์จากผู้ที่ไม่เห็นด้วยเข้ามาคอมเมนต์โจมตีอย่างดุเดือด ถึงขั้นมีการใช้ถ้อยคำหยาบคาย

ความคืบหน้าล่าสุด นายกิตติ ได้ออกมาตอบกลับผ่านคอมเมนต์ใต้โพสต์ของตัวเอง โดยระบุว่า…

“ผ่านเวลามาประมาณสองวันแล้วคิดว่าคนที่อยากจะเข้ามาแสดงความคิดเห็นคงจะหมดลงแล้ว บางท่านเห็นด้วย บางท่านไม่เห็นด้วย ผมก็ได้อ่านบ้าง แต่ข้อความทั้งหมดส่วนใหญ่ก็จะมีอีกทีมอ่าน ผมจึงมีเรื่องอยากจะพูดคุยกับทุกท่านโดยแบ่งเป็นสามกลุ่มดังนี้ 

1.กลุ่มคนที่เห็นคุณค่า และเข้าใจความหมายของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ผมดีใจและชื่นชมเป็นอย่างมากที่ได้เห็นทุกคนมาช่วยกันให้ข้อมูลความรู้นี้ แก่บุคคลที่อาจจะยังไม่เข้าใจให้ได้เข้าใจความหมายและคุณค่าของเศรษฐกิจพอเพียง พวกท่าน่ารักและมีจิตใจดีมากครับ และผมเชื่อว่าในการดำเนินชีวิตต่อไปของท่าน จะเป็นการการันตีได้ว่าท่านจะมีภูมิคุ้มกันที่ดีในชีวิต และสามารถผลิตและรับความสุขกับทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวได้อย่างแน่นอน

2.กลุ่มที่ไม่เห็นด้วย และพยายามเข้ามาโต้แย้ง แสดงทัศนคติของท่าน แต่ยังใช้ถ่อยคำสุภาพ ผมก็จะบอกท่านว่าการที่ท่านไม่เชื่อ ไม่เห็นด้วย ก็แล้วแต่ตัวท่านเช่นกัน เพราะการที่ท่านจะชื่อสิ่งใดหรือไม่เชื่อสิ่งใด ประโยชน์อยู่ที่ตัวท่านไม่ใช่ตัวผม ถ้าทัศนคติแบบนี้ทำให้ท่านมีความสุขในสังคม ไม่ร้อนรุ่มเที่ยวเกลียดชังใคร มองโลกและปัญหาอย่างมีความสุข ก็ตามสบายได้เลย และบุคคลประเภทชอบมาตั้งคำถามให้ผม หรือบุคคลอื่นพยายามตอบ โดยคำถามนั้นท่านไม่ได้ต้องการคำตอบจริงๆ(ซึ่งท่านก็รู้อยู่แก่ใจว่าท่านคิดสิ่งใดอยู่ เราทุกคนก็รู้เช่นกันว่าตอบท่านไปก็เปล่าประโยชน์) ก็ต้องบอกว่า พวกเราไม่ใช่ครูบาอาจารย์ของท่าน ท่านควรจะหาความรู้ด้วยตัวเอง ตั้งคำถามและโต้แย้งให้ตัวเองให้เป็นจะได้ไม่เดือดร้อนกับผู้อื่น ฉะนั้นนี้คือเหตุผลที่ผมจะไม่ตอบคำถามใดๆกับท่าน แต่ก็ขอบคุณที่ยังมีความสุภาพครับ

3.เอาล่ะถึงกลุ่มสุดท้าย เป็นกลุ่มที่อยากจะคุยด้วยมากที่สุด การที่ท่านไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ผมเขียนนั้น ความคิดของผมให้ไปอ่านที่ข้อ2. แต่การที่ท่านใช้วาจาสอดเสียด รุนแรงด่าทอ หรือแม้กระทั่งการพยายามทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงนั้น(ใครไม่ได้ทำตามนี้ไม่ต้องร้อนตัวกันนะครับ) เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และผิดกฏหมาย ฉะนั้นผมขอมอบโอกาสนี้ในการมอบคอร์สการปรับพฤติกรรม(ด้วยสิ่งไม่พึงพอใจ) มันจะเป็นอย่างนี้นะครับ เดี๋ยวจะมีซองๆนึงส่งไปหาท่านที่บ้าน เนื้อความคงจะประมาณว่าเชิญท่านมา เพื่อจะให้ท่านมาร่วมทำบุญด้วยกัน เงินนี้ผมจะนำไปทำบุญซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ให้กับโรงเรียนที่ขาดแคลนสื่อการเรียนการสอน ซึ่งต้องใช้เงินมากประมาณนึงเลยทีเดียวฉะนั้นท่านอ่านจะต้องช่วยเหลือผมมากหน่อยนะครับ หวังว่าการมอบสิ่งไม่พึงพอใจครั้งนี้ จะสามารถปรับพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของท่านได้ หากท่านคิดได้ ผมก็ขออนุโมทนา ให้บุญกุศลนี้ส่งผลให้ท่านเจริญยิ่งขึ้นไป หากท่านยังคิดไม่ได้ถึงแม้ว่าผมได้มอบบทเรียนนี้แก่ท่าน ก็ไม่เป็นไรครับ เพราะเราทำบุญร่วมกันไปแล้ว ผมก็คงจะได้มอบบทเรียนแก่ท่านได้อีกในชาติถัดไป

ส่วนใครที่กลับตัวกลับใจได้ ก็พิมพ์ข้อความมาขอโทษที่ใต้โพสนี้นะครับ จะถือว่ายกเว้นให้ ส่วนใครที่พยายามจะลบข้อความก็ต้องบอกว่าได้มีทีมพยายามเก็บข้อมูลทั้งหมดไว้แล้วถ้าท่ารอดได้ ก็ถือว่าแต้มบุญท่านสูงมาก

ส่วนทุกท่านที่อยู่ในที่นี้มีใครอยากจะร่วมทำบุญกับผมครั้งนี้ ก็สามารถทำบุญร่วมกันได้นะครับ เดี๋ยวผมจะแปะข้อมูลทั้งหมดไว้ด้านล่าง เมื่อได้รับข้อความนี้แล้ว เชิญกล่าวอนุโมทนาด้วยกันเทอญ สาธุ!!

‘เอกนัฏ’ ดึง ‘ดีเอสไอ’ ติดดาบคดีพิเศษ กำราบ!! โรงงานตัวแสบ ที่ดื้อด้าน ลั่น!! ถอนรากถอนโคน ทั้งขบวนการ หมายหัวต้นตอ!! นำเข้าขยะอันตราย

(23 มี.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่ กระทรวงอุตสาหกรรม ได้เปิดปฏิบัติการตรวจสุดซอย ในการเข้าตรวจสอบเชิงรุกดูแลโรงงานและผู้ประกอบการเกี่ยวกับการบำบัดกำจัดกากอุตสาหกรรม ตลอดจนการผลิตสินค้าให้ได้ตามมาตรฐาน โดยใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างเข้มข้น และต่อเนื่อง ด้วยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน แต่ก็ยังพบว่ามีผู้ประกอบการที่ถูกดำเนินคดีแล้ว ยังคงจงใจฝ่าฝืนคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ ลักลอบประกอบกิจการโรงงานอย่างไม่มีความเกรงกลัว และยำเกรงต่อกฎหมาย จึงได้ประสานความร่วมมือกับ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม ในการยกระดับบางกรณีที่เข้าลักษณะและองค์ประกอบเป็นคดีพิเศษ เพื่อดำเนินคดีและลงโทษกับผู้กระทำความผิด และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด

นายเอกนัฏ เปิดเผยด้วยว่า เบื้องต้นได้ร่วมหารือกับ พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว อดีตรองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะที่ปรึกษาดีเอสไอ โดยมี นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ถึงกรณี บริษัท ทีแอนด์ที เวสท์ แมเนจเม้นท์ 2017 จำกัด ตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.ศรีมหาโพธิ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี ที่จดประกอบกิจการหลายประเภทที่เกี่ยวข้องกับรีไซเคิลจัดการของเสีย และวัตถุอันตราย แต่พบว่าประกอบกิจการที่ฝ่าฝืนกฎหมายโรงงาน และกฎหมายวัตถุอันตรายอย่างร้ายแรงในหลายประการ เช่น มีการจัดการขยะอันตรายไม่ถูกต้อง และปล่อยสารเคมีอันตรายสู่สิ่งแวดล้อม ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ข้างเคียง และแม้จะถูกสั่งหยุดกิจการ ยึดอายัดของกลาง ดำเนินคดี รวมถึงยึดใบอนุญาต แต่ก็ยังคงมีการลักลอบกระทำผิดอยู่ จนเชื่อว่าคงมีผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง

“กรณี บริษัท ทีแอนด์ทีฯ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในการกระทำความผิดซ้ำซาก โดยไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง จึงต้องยกระดับมาตรการลงโทษ ตลอดจนใช้กลไกของ ดีเอสไอ ในการขยายผลกวาดล้าง ขุดรากถอนโคนไปถึงต้นตอของขบวนการอย่างรัดกุม” นายเอกนัฏ ระบุ

ด้าน น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงาน รมว.อุตสาหกรรม กล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมาได้ร่วมกับ ชุดตรวจการสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม และเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) เข้าตรวจจับกุม บริษัท ทีแอนด์ที เวสท์ แมเนจเม้นท์ 2017 จำกัด หลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็พบว่า ยังคงลักลอบกระทำความผิด ที่สุด กรมโรงงานอุตสาหกรรม จึงมีคำสั่งยึดใบอนุญาต แต่ก็ยังพบว่า มีการลักลอบเคลื่อนย้ายของกลางที่เป็นวัตถุอันตรายไปยังพื้นที่จังหวัดอื่น ทั้ง จ.ฉะเชิงเทรา หรือ จ.สมุทรสาคร อีก จึงมีความจำเป็นต้องยกระดับเพื่อจัดการกับกรณีบริษัทที่ไม่ยำเกรงต่อกฎหมายเช่นนี้ โดย รมว.อุตสาหกรรม ได้กำชับและขอให้ทาง ดีเอสไอ ดำเนินการขยายผลให้ถึงต้นตอและจัดการขบวนการนำเข้าพลาสติก ขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือสินค้าไม่ได้มาตรฐานอุตสาหกรรมให้ถึงที่สุด

“กระทรวงอุตสาหกรรม วางแนวปฏิบัติร่วมกับ ดีเอสไอ หากพบกรณีที่มีของกลางและกากของเสียอุตสาหกรรมในปริมาณที่มาก และมีผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจำนวนมาก เข้าข่ายเป็นคดีพิเศษจะเชิญ ดีเอสไอ ร่วมตรวจเพื่อยกระดับการสืบสวนขยายผลหาข้อเท็จจริง และลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาดเพื่อให้เข็ดหลาบโดยเร็วที่สุด” น.ส.ฐิติภัสร์ ระบุ

น.ส.ฐิติภัสร์ กล่าวด้วยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม เร่งตรวจสอบและขยายผลขบวนการที่เกี่ยวข้องทั้งหมดและเร่งนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน โดยกระทรวงอุตสาหกรรมยืนยันจะดำเนินการเชิงรุกอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม ลดปัญหาการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม และสร้างคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ดีให้ประชาชนในทุกพื้นที่

‘กฟผ.’ ชวนอัพเดท!! เทรนด์เทคโนโลยี โอกาสทางธุรกิจ ‘สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า’

(23 มี.ค. 68) นายสายัณห์ ปานซัง ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารธุรกิจ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นประธานเปิดงาน EGAT EV : Charge Up Your Business งานสัมมนาสำหรับผู้สนใจในธุรกิจสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า โดยนำเสนอข้อมูลทางธุรกิจ แนวคิด เทคโนโลยี และโอกาสความร่วมมือที่จะสามารถต่อยอดให้กับผู้ประกอบการที่ต้องการเข้าสู่การให้บริการในธุรกิจสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เช่น การขายเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า การติดตั้ง ดูแล บำรุงรักษา ตลอดจนผู้ประกอบการที่ต้องการติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านทางการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงเพื่อสร้างรายได้เพิ่มต่อยอดจากธุรกิจเดิมที่มีอยู่ โดยมีผู้ประกอบการให้ความสนใจเข้าร่วมกว่า 300 คน ณ อาคาร 50 ปี กฟผ. สำนักงานใหญ่ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี 

นายสายัณห์ ปานซัง ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารธุรกิจ กฟผ. เผยว่า ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา กฟผ. ได้ร่วมขับเคลื่อนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ผ่านการให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EleX by EGAT การให้บริการแอปพลิเคชัน EleXA เพื่ออำนวยความสะดวกและตอบสนองความต้องการผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ตลอดจนการพัฒนาระบบบริหารจัดการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า BackEN EV เพื่อร่วมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) ของประเทศ ผ่านการนำเสนอข้อมูล แนวคิด เทคโนโลยี และแนวทางความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน รวมถึงสนับสนุนภาคธุรกิจที่มองหาโอกาสในการลงทุนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน 

ด้านนางณิศรา ธัมมะปาละ ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการธุรกิจนวัตกรรมพลังงาน กฟผ. เสริมว่า กฟผ. มีความตั้งใจที่จะส่งมอบความรู้ ข้อมูล และประสบการณ์ รวมถึงขยายผลนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ได้พัฒนาขึ้นเพื่อให้บริการ EGAT EV Business Solutions โดยเฉพาะระบบ BackEN EV ซึ่งเป็นระบบบริหารจัดการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร ผู้ใช้งานสามารถค้นหาสถานีและใช้ผ่านแอปพลิเคชัน EleXA เจ้าของสถานีสามารถควบคุมและตรวจสอบการทำงานของสถานีชาร์จแบบเรียลไทม์ รองรับเครื่องชาร์จได้หลากหลายยี่ห้อและการใช้งานพร้อมกันได้จำนวนมาก ชาญฉลาดด้วยระบบแสดงผลและวิเคราะห์ข้อมูลอัจฉริยะ พร้อมรายงานข้อมูลการใช้งานและรายงานทางบัญชี ทำให้ผู้ประกอบการสามารถปรับกลยุทธ์และดำเนินธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ถูกต้อง สร้างรายได้และการเติบโตอย่างยั่งยืน ปัจจุบันจึงมีผู้ประกอบกิจการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์เข้ามาใช้บริการ BackEN EV มากกว่า 110 ราย และตั้งเป้ารุกขยายตลาดไปยังกลุ่มบริษัท องค์กร ผู้ประกอบกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ธุรกิจติดตั้งโซลาร์เซลล์ สถานีบริการน้ำมัน และบริษัทที่ติดตั้งระบบไฟฟ้า

นอกจากนี้ กฟผ. ยังเตรียมเปิดตัวโครงการ EGAT Academy เพิ่มขีดความสามารถบุคลากรในธุรกิจสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า โดยร่วมกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพเพื่อออกใบรับรองมาตรฐานอาชีพสาขาวิชาชีพบริการยานยนต์ สาขายานยนต์ไฟฟ้า อาชีพช่างเทคนิคติดตั้งและซ่อมบำรุงสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและความมั่นคงเชื่อถือได้ให้กับระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า 

สำหรับผู้สนใจธุรกิจในการประกอบธุรกิจสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในด้านต่าง ๆ สามารถติดต่อรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจ EGAT EV Business Solutions กฟผ. โดยไม่มีค่าใช้จ่าย 

หรือติดตามรายละเอียดได้ที่ Facebook Page: EGAT EV เว็บไซต์ egatev.egat.co.th และ Line OA: @BackenEV


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top