Wednesday, 25 June 2025
Hard News Team

เชียงใหม่-กองบิน 41 จัดพิธีส่งข้าราชการและทหารกองประจำการไปปฏิบัติราชการสนาม

(24 มี.ค. 68) นาวาอากาศเอก ปรธร จีนะวัฒน์ ผู้บังคับการกองบิน 41 เป็นประธานในพิธีส่งข้าราชการและทหารกองประจำการไปปฏิบัติราชการสนาม พร้อมทั้งให้โอวาทเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่กำลังพลในการเดินทางไปราชการสนาม โดยมีหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกองบิน 41 ร่วมเป็นเกียรติในพิธี ณ หอประชุมเดชะตุงคะ กองบิน 41
     
ทั้งนี้ ได้มีข้าราชการและทหารกองประจำการในสังกัดกองบิน 41 ที่ไปปฏิบัติราชการสนาม ณ ฝูงบิน 416 (เชียงราย) และสถานีรายงานดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ในวาระ 1 เมษายน 2568 รวมจำนวนทั้งสิ้น 38 คน โดยในพิธี ได้ทำการนิมนต์พระสงฆ์ มาประพรมน้ำพระพุทธมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ข้าราชการและทหารกองประจำการที่ไปปฏิบัติราชการสนามในครั้งนี้

‘แยม ฐปณีย์’ ขอใช้สิทธิพาดพิงนอกสภาฯ หลังถูก ‘ภูมิธรรม’ ย้ำปมไม่ได้รับเชิญทำข่าวอุยกูร์ที่จีน

(25 มี.ค. 68) แยม ฐปณีย์ เอียดศรีไชย โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า ขอใช้สิทธิพาดพิงนอกสภาฯค่ะ ว่าจะไม่ตอบโต้อะไรเรื่องการไม่ได้ตามคณะรองนายกรัฐมนตรี นายภูมิธรรม เวชยชัย ไปเยี่ยมชาวอุยกูร์ที่ซินเจียง และที่ผ่านมาก็แค่ตั้งคำถามทั่วไปว่า ทำไมท่าน (รัฐบาล) จึงไม่เลือกให้ไป ไม่เคยจะไปกล่าวหาทางคณะ หรือไปดูถูกเพื่อนสื่อมวลชนที่ร่วมคณะไป

แต่จากการชี้แจงของท่านรองนายกฯภูมิธรรม ที่บอกว่า "ผมเอาสื่อไปด้วยนะครับ ใครจะมาบอกว่าสื่อเหล่านี้ถูกคลอบงำโดยรัฐบาลผมว่ากล่าวหาเขาเกินไป ไม่ว่าใครก็ตามที่กล่าวหาผมมีตัวแทนเนชั่นทีวี ผู้สนใจการเมืองรู้ดีว่าเนชั่นเป็นแบบไหน
ผมมีตัวแทนของช่อง3 ไป อาจไม่ใช่ผู้สื่อข่าวบางส่วน แต่ตัวแทนช่อง 3 ผมเห็นคุณสรยุทธบอกว่าเชื่อมั่นในจรรยาบรรณคนของเค้าจะทำหน้าที่ได้ดี ไม่เหมือนใครหลายคนว่าไม่เหมือนตัวเองก็ไม่รับ"

คือฟังท่านภูมิธรรม ขออนุญาตเรียกพี่อ้วน กล่าวแบบนี้ คนฟังคิดเป็นอื่นไปไม่ได้ว่าต้องเป็นแยม ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ตอนพี่อ้วนบอกว่า มีตัวแทนช่อง 3 ที่อาจไม่ใช่ผู้สื่อข่าวบางส่วน ไม่ใช่บางคน ก็ยังคิดว่าหมายถึงรวมๆ ไหม แต่พอระบุอ้าง คุณสรยุทธ ก็ยิ่งทำให้ชัดเจนว่า ผู้สื่อข่าวที่พี่อ้วน กล่าวถึง ต้องใช่แยมแน่นอน!!

เพราะก่อนหน้านี้ พี่ยุทธ ได้พูดเรื่องนี้ในรายการกรรมกรข่าวคุยนอกจอ มีคนตัดคลิปช่วงที่พี่ยุทธพูด ไปแชร์กันมากมาย รวมถึงไปเขียนลงเพจกัน จนคนเข้ามาแสดงความเห็นในเพจและไปทำข้อความกล่าวหาว่าแยมเป็นนักข่าวไร้สังกัด ไม่มีสังกัด !!! โดยในข่าวระบุว่า

"ถามว่าทำไมนักข่าวท่านหนึ่ง ซึ่งหลายคนคาดหวังว่า เค้าอยากจะไป ผมได้ถามแล้วเพราะว่าเค้าไม่ได้สังกัดช่องนักข่าวท่านนั้นเค้าไม่ได้สังกัดช่อง อันนี้เค้าไปในนามช่องซึ่งต้องทำพูล ทำพูลคือทำในนามช่อง ออกอากาศและให้ทุกช่องออกอากาศ เดี๋ยวมันจะเกิดปัญหา เพาะไม่ได้สังกัดช่องเลย ไม่เข้าใจเงื่อนไข อ่ะที่ถามมา ผมถามให้หมดแล้ว"

นี่คือสิ่งที่พี่ยุทธ เล่าในข่าว ซึ่งจริงๆ แยมว่าจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปแล้ว เพราะทางคณะก็ไปมาแล้วและแยมคิดว่าให้ข่าวที่ออกมาอธิบายตัวมันเองว่าคนไทยจะเชื่อมั่นตามนั้นหรือไม่ ทั้ง ๆ ที่ใจแยมเอง ตั้งใจอยากไปเพื่อจะได้รายงานข่าวว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร 

แต่จากข่าวของพี่ยุทธ ที่รายงานก็ไม่ถูกต้อง และที่บอกว่าผมถามมาหมดแล้วนั้น พี่ยุทธ ไม่เคยถามแยมค่ะ มาถามแยมสักหน่อยจะได้ชี้แจงได้ว่าเรื่องมันเป็นอย่างไร  และหลังข่าวนี้เผยแพร่ไป ก็มีทั้งเพจ IO หรือคนที่คิดต่าง เข้ามาโจมตีกล่าวหาใส่ร้ายแยมอย่างเสียหาย 

แต่พอท่านรองนายกฯ พี่อ้วนเอาคำกล่าวอ้างที่ผิดๆ ของพี่ยุทธ ไปพูดในสภาฯ ไปกล่าวหาด้วยถ้อยคำพูดดูหมิ่นสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน แม้พี่อ้วนจะไม่ได้เอ่ยนาม แต่จากบริบทและความหมาย เป็นใครอื่นไม่ได้นอกจาก แยม

จึงขอใช้สิทธิตรงนี้ ชี้แจงการถูกพาดพิงของท่านรองนายกฯภูมิธรรม รวมถึงชี้แจงไปถึงพี่ยุทธ 

ที่บอกว่าแยมไม่ได้สังกัดช่อง 3 คงไม่ถูก เพราะแยมเป็นผู้สื่อข่าวรายการข่าว 3 มิติ เป็นผู้ช่วยบรรณาธิการรายการข่าว 3 มิติ แม้แยมจะเป็นพนักงานของบริษัทฮอทนิวส์ ของคุณกิตติ สิงหาปัด ที่เป็นบริษัทร่วมผลิตรายการข่าว 3 มิติกับช่อง 3 แยมก็มีสิทธิในการใช้อุปกรณ์และทีมงานของช่อง3 เหมือนทีมงานรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ที่เป็นบริษัทร่วมผลิตของพี่ยุทธ เหมือนกับรายการข่าว3 มิติ 

ถ้าแยมที่เป็นลูกน้องพี่กิตติ ไม่ได้สังกัดช่อง3 แล้วทีมงานพี่ยุทธ รวมถึงพี่ยุทธ ที่ไม่ได้เป็นพนักงานบริษัทของช่อง 3 ก็ไม่ได้สังกัดช่อง 3 ด้วยสิ!!

แยมไม่คิดว่าจะต้องมาอธิบายเรื่องอะไรพวกนี้ให้วุ่นวาย แต่เมื่อถูกพาดพิงในสภาฯ และถูกนำไปวิจารณ์ให้ได้รับความเสียหายแบบนี้ก็เลยต้องบอกย้ำให้จบๆ ว่า แม้แยมจะไม่ได้เป็นพนักงานบริษัทช่อง3 แต่แยมก็ได้รับเกียรติและศักดิ์ศรีในการเป็นคนของช่อง 3 มาโดยตลอด เพราะข่าว 3 มิติ ก็เป็นรายการสังกัดช่อง3 ค่ะ

แล้วที่ผ่านมาแยมก็ได้เป็นตัวแทนพลูไปทำข่าวต่างประเทศกับนายกรัฐมนตรี เช่นนายกฯเศรษฐา ทวีสิน ก็ได้รับเชิญให้ไปทำรายงานพิเศษของรายการข่าว 3 มิติ และท่านรองนายกฯ ภูมิธรรม ก็ยังเชิญแยมไปร่วมทำข่าวพูลในกรณีท่านไปตรวจน้ำท่วมภาคเหนือ แล้วยังจะมีไปทำพลูกับกระทรวงการต่างประเทศ กรณีรมว.กระทรวงการต่างประเทศมาริษ เสงี่ยมพงษ์ ไปรับตัวประกันอิสราเอล ก็ไปทำพูลทั้งในนามรายการข่าว 3 มิติ และ The Reporters ทางรัฐบาลก็เชิญไปแยมไปอยู่ค่ะ ถ้างานนั้นเข้ากับเนื้อหารายการข่าว 3 มิติ หรือแม้แต่คิวพูลสื่อออนไลน์ก็มี ก็จะวนเปลี่ยนกันไป 

ดังนั้นการจะมาอ้างว่าเพราะแยมไม่ได้สังกัดช่อง เลยไม่ได้ไปพูลนั้น ขัดกับความเป็นจริง เพราะใครๆก็รู้ว่าเหตุที่แยมไม่ได้ไป เพราะแยมรายงานข่าวอุยกูร์แบบตรงไปตรงมา ซึ่งแยมเสนอตัวที่จะไปเพราะ ท่านรองนายกฯ ประกาศไว้ในวันแถลงข่าว 27 ก.พ.68 ว่าจะเชิญสื่อไปเยี่ยมชาวอุยกูร์ จะพาไปเยอะๆ ก็คิดว่าท่านจะให้สื่อไปกันเยอะๆ จริง 

แยมก็ส่งข้อความไปบอกท่านรองนายกฯ บอกผ่านท่านทวี บอกผ่านคุณจิรายุ รวมถึงอดีตโฆษกกลาโหม ที่ตอนนั้นทราบข่าวว่าทางกลาโหมจะเลือกสื่อสายทหารเป็นพูลไป

แยมไม่อยากลงลึกในรายละเอียดขั้นตอนว่าทำอะไรไปบ้าง น่าจะพลาดอยู่อย่างเดียวที่ไม่ได้แจ้งหรือถามพี่คนหนึ่งที่เป็นคนตัดสินใจเรื่องสื่อตามนายกรัฐมนตรี และงานสำคัญของรัฐบาล จึงถูกปัดชื่อตกในที่สุด (ทั้ง ๆ ที่มีข่าวว่าจะมีชื่อเป็นคิวพูลไปด้วย)

ไม่นับที่ทางสถานทูตจีนเชิญแยมไปคุยทำความเข้าใจเรื่องอุยกูร์ เขาบอกว่าจะเชิญแยมไปซินเจียงด้วย แต่รอบคณะของนายกฯ คงไม่ทัน เพราะทางรัฐบาลไทยเลือกสื่อไปแล้ว คือจีนเขาก็ไม่ได้จะอคติ ไม่ได้อยากจะสกัดไม่ให้แยมไปซินเจียง แต่ทำไมรัฐบาลไทยถึงไม่ให้ไป 

คือเรื่องอุยกูร์ แยมก็เป็นแค่นักข่าว ที่ไปทำข่าวการพบชาวอุยกูร์กลุ่มนั้นเมื่อ 11 ปีที่แล้ว ก็ทำข่าวมาอย่างต่อเนื่อง การทำข่าวเรื่องนี้จึงอาจมีข้อสงสัยมากมายตามที่มีการตั้งประเด็นคำถามขององค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆ เท่านั้น 

การที่พี่อ้วนกล่าวหาผู้สื่อข่าวบางคนว่า "เหมือนใครหลายคนว่าไม่เหมือนตัวเองก็ไม่รับ" ก็ยิ่งสะท้อนใจ ว่าเรายังอยู่ในรัฐบาลประชาธิปไตยแบบไหน  เราอยู่ในสังคมที่มีเสรีภาพแบบไหน ที่จะพูดปิดปากสื่อ คุกคามสื่อกันกลางสภาฯได้แบบนี้!!

ขอความเป็นธรรมด้วยค่ะ ในฐานะที่เป็นแค่นักข่าวคนหนึ่ง ที่ไม่มีสิทธิพูดในสภาผู้แทนราษฎร

ป.ล.ขอลงคลิปที่มารายงานของพี่ยุทธ และคลิปที่พี่อ้วนพูดในสภาฯ มาประกอบค่ะ และตัวอย่างเพจที่เอาข้อความข่าวไปเสนอต่อจนเกิดการกล่าวหาอย่างเสียหาย

ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้แทนสมาคมแม่บ้านตำรวจ เยี่ยมบำรุงขวัญตำรวจฮีโร่ บาดเจ็บจากการเตะวัตถุระเบิดที่ถูกผู้ไม่หวังดีโยนเข้ามาในกองร้อยควบคุมฝูงชน เพื่อปกป้องประชาชนและเพื่อนตำรวจ

(25 มี.ค.68) เวลา 11.00 น. พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ คุณนภัสนันท์ วุฒิจรัสธำรงค์ กรรมการบริหารสมาคมแม่บ้านตำรวจ ระดับ ตร./ประธานที่ปรึกษาโครงการ “ครอบครัวตำรวจ เราไม่ทิ้งกัน” (ด้านตำรวจทุพพลภาพ) พร้อมด้วย พล.ต.ต.ชัยต์พจน สูวรรณรักษ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 , ผศ.ดร.สุเนตร สุวรรณละออง รองประธานชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 2 รักษาราชการแทนประธานชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 2 , พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี , พล.ต.ต.ประเสริฐ วิจิตรทัศนา ผู้บังคับการอำนวยการ ตำรวจภูธรภาค 2 และคณะแม่บ้านชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 2 ร่วมเดินทางไปเยี่ยมและให้กำลังใจ ร.ต.อ.ธีระเดช เล็กภู่ รองสารวัตรจราจร สถานีตำรวจภูธรแสนสุข ณ บ้านพัก อ.เมือง จ.ชลบุรี

ทั้งนี้ ร.ต.อ.ธีระเดช เล็กภู่ ฮีโร่ผู้กล้าหาญที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชน โดยการเตะวัตถุระเบิดจากกลุ่มผู้ไม่หวังดีที่โยนเข้ามาในกองร้อยควบคุมฝูงชนที่ตั้งด่านอยู่ในพื้นที่สะพานผ่านฟ้า กรุงเทพมหานคร เมื่อปี 2557 เหตุการณ์ครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความเสียสละและความกล้าหาญของ ร.ต.อ.ธีระเดชฯ ที่พร้อมปกป้องประชาชนและเพื่อนข้าราชการตำรวจ และรักษาความสงบเรียบร้อย แม้ต้องเผชิญกับอันตรายถึงชีวิต

ในการเยี่ยมครั้งนี้ พล.ต.ท.ธนายุตม์ฯ และ คุณนภัสนันท์ฯ ได้มอบสิ่งของอุปโภคบริโภค และเงินช่วยเหลือจาก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ , คุณกนกวรรณ พันธุ์เพ็ชร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ , สมาคมแม่บ้านตำรวจ , ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 และเงินช่วยเหลือส่วนตัว เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่ ร.ต.อ.ธีระเดชฯ และครอบครัว พร้อมทั้งชื่นชมในความเสียสละและทุ่มเทในการปฏิบัติหน้าที่

พล.ต.ท.ธนายุตม์ฯ กล่าวว่า ร.ต.อ.ธีระเดชฯ เป็นตัวอย่างของตำรวจที่กล้าหาญและเสียสละ สำนักงานตำรวจแห่งชาติชื่นชมในความกล้าหาญ และขอเป็นกำลังใจให้หายจากอาการบาดเจ็บโดยเร็ว

คุณนภัสนันท์ฯ กล่าวว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจให้เห็นถึงความเสี่ยงและความยากลำบากในการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ แต่พวกเขาก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะปกป้องประชาชนและรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม สมาคมแม่บ้านตำรวจพร้อมให้การสนับสนุนและดูแลครอบครัวของตำรวจที่เสียสละในการปฏิบัติหน้าที่ โดยจะอยู่เคียงข้างเสมอ

รองนายกฯ เซอร์เบียโวย การประท้วงได้รับการหนุนจากต่างชาติ ชี้ USAID คือแหล่งทุนสำคัญในการเคลื่อนไหวครั้งนี้

(25 มี.ค. 68) กระแสความไม่พอใจในเซอร์เบียยังคงเดือดดาล หลังเกิดการประท้วงต่อเนื่องทั่วประเทศตั้งแต่ช่วงปลายปี 2024 โดยล่าสุด นายอเล็กซานดาร์ วูลิน รองนายกรัฐมนตรีเซอร์เบีย ให้สัมภาษณ์กับ Sputnik โดยกล่าวหาว่าการประท้วงที่ลุกลามไปทั่วประเทศเป็นส่วนหนึ่งของ “แผนปฏิวัติสี” ซึ่งได้รับการวางแผนและสนับสนุนจากหน่วยข่าวกรองของชาติตะวันตก

โดยความตึงเครียดในเซอร์เบียยังคงเพิ่มสูงขึ้น ท่ามกลางการประท้วงที่เกิดขึ้นทั่วประเทศตั้งแต่ปลายปี 2024 ล่าสุด ประธานาธิบดี อเล็กซานดาร์ วูชิช ยืนยันว่าเขาได้เตือนถึงความพยายามแทรกแซงจากชาติตะวันตกตั้งแต่ปี 2023 และได้กล่าวถึงเรื่องนี้หลายครั้งในปี 2024 โดยอ้างอิงข้อมูลจาก หน่วยข่าวกรองรัสเซีย ที่ชี้ชัดถึงการเคลื่อนไหวที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างชาติในประเทศเซอร์เบีย

วูลินระบุว่า เห็นสัญญาณของความพยายามแทรกแซงจากภายนอกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากประเทศในกลุ่ม สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป รวมถึง USAID เป็นแหล่งทุนใหญ่ ซึ่งเขาเชื่อว่าการประท้วงที่กำลังเกิดขึ้นอาจเชื่อมโยงกับ “ปฏิวัติสี” (Color Revolution) ที่เคยเกิดขึ้นในหลายประเทศในยุโรปตะวันออกและเอเชียกลางในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา พร้อมชี้ว่า “นี่ไม่ใช่การเคลื่อนไหวของประชาชนเพียงลำพัง แต่เป็นการดำเนินงานตามกลยุทธ์ของต่างชาติที่ต้องการแทรกแซงกิจการภายในของเซอร์เบีย”

คำว่า “ปฏิวัติสี” หมายถึง การลุกฮือของประชาชนที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งมีเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลที่ไม่เป็นที่พอใจของชาติตะวันตก โดยมักเกิดขึ้นในช่วงที่มีความไม่พอใจในรัฐบาล และความเคลื่อนไหวของกลุ่มประชาชนเพื่อเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง

สำหรับการประท้วงในเซอร์เบียครั้งนี้ เกิดการปะทุขึ้นจากหลายปัจจัย ตั้งแต่ปัญหาเศรษฐกิจ คอร์รัปชัน ไปจนถึงความไม่พอใจต่อรัฐบาลของประธานาธิบดีอเล็กซานดาร์ วูซิช 

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเซอร์เบียมองว่าการชุมนุมที่ขยายตัวขึ้นนี้ไม่ใช่เพียงแค่ปฏิกิริยาของประชาชน แต่เป็นแผนการที่มีการจัดตั้งและสนับสนุนจากภายนอก

ด้านผู้จัดการชุมนุมและนักเคลื่อนไหวหลายกลุ่มออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาของรัฐบาล โดยยืนยันว่าการประท้วงเกิดขึ้นจากความไม่พอใจของประชาชนที่มีต่อปัญหาภายในประเทศ และไม่มีอิทธิพลจากต่างชาติแทรกแซง

ขณะที่สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปยังไม่มีแถลงการณ์อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับข้อกล่าวหาดังกล่าว แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมองว่า ประเด็นนี้อาจเพิ่มความตึงเครียดให้กับความสัมพันธ์ระหว่างเซอร์เบียกับชาติตะวันตกมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ การประท้วงยังไม่มีท่าทีจะลดความร้อนแรงลง ท่ามกลางความกังวลว่าสถานการณ์อาจนำไปสู่ความไม่สงบในระดับที่รุนแรงขึ้น ขณะที่รัฐบาลเซอร์เบียยืนยันว่าจะใช้มาตรการที่จำเป็นเพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศต่อไป

ผู้เชี่ยวชาญภาษี ไขปม ‘วิโรจน์’ กล่าวหา นายกฯหนีภาษี ชี้ กรณีใช้ตั๋ว PN นายกฯ หนีภาษีจริงไหม คำตอบคือ ‘ไม่จริง’

เปิดข้อมูลรายได้ นายกแพทองธาร เสียภาษีกี่บาท ตามกฎหมายกรมสรรพากร หลังวิโรจน์ กล่าวหาแรง หนีภาษี ผู้เชี่ยวชาญจาก iTAX อธิบาย นายกหนีภาษีจริงไหม คำตอบคือไม่จริง

ควันหลงเดือด อภิปรายไม่ไว้วางใจ 2568 วันแรกวานนี้ (24 มีนาคม) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวหานางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีว่าหนีภาษี ทำนิติกรรมอำพราง โดยอ้างว่า ซื้อหุ้นจากครอบครัวด้วยสัญญาใช้เงิน หรือ PN

ทั้งนี้ ตั๋ว PN ย่อมาจาก Promissory Note หรือ ตั๋วสัญญาใช้เงิน เป็นเอกสารทางกฎหมายที่ผู้กู้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะชำระเงินคืนให้ผู้ให้กู้ตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ โดยระบุจำนวนเงิน วันที่ครบกำหนดชำระ และอัตราดอกเบี้ย (ถ้ามี) ตั๋ว PN ใช้เป็นหลักฐานในการกู้ยืมเงิน ซึ่งมีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างผู้กู้และผู้ให้กู้

ด้านนางสาวแพทองธาร ลุกขึ้นชี้แจงว่า ไม่ได้หนีภาษี ทุกอย่างทำถูกต้องตามกฎหมาย การกล่าวหาว่าหนีภาษีไม่เป็นความจริง “ที่ท่านสมาชิกอ้างว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นแหล่งทุจริต ข้าราชการผู้ใหญ่จะออกตั๋วสัญญาใช้เงิน ขบวนการค้ายาเสพติดจะออกตั๋วให้กัน อันนี้อาจเป็นเรื่องที่จินตนาการไปมาก เพราะการออกตั๋วสัญญาใช้เงินจะใช้กับธุรกรรมที่ถูกกฎหมาย ผู้ซื้อ-ผู้ขายรับภาระระหว่างกัน ไม่มีการกระทำนอกกฎหมาย”

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังทิ้งประโยคเด็ดถึงนายวิโรจน์ว่า “แม้ดิฉันจะอายุน้อยกว่าท่าน แต่ดิฉันมั่นใจว่าเสียภาษีให้รัฐมากกว่าท่านแน่นอนค่ะ”

นายกแพทองธารเสียภาษีกี่บาท 
อ้างอิงจาก คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่นายกรัฐมนตรียื่นบัญชีทรัพย์สิน ครั้งวาระเข้ารับตำแหน่งนายก พบว่า นางสาวแพทองธารมีรายได้ประจำ ได้แก่ เงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยประชุม และโบนัส จำนวน 3,409,682.58 บาท เป็นเงินเดือนก่อนดำรงตำแหน่งนายกฯ ถึง 15 สิงหาคม และเงินเดือนภายหลังปฏิบัติหน้าที่นายกฯ

มีรายได้จากทรัพย์สินเป็น เงินปันผล 259,267,639.90 บาท ดอกเบี้ย 2,000,000 บาท ค่าเช่า 890,000 บาท รวมรายได้ต่อปี 268,567,322.48 บาท

ขณะที่คู่สมรส ปิฏก สุขสวัสดิ์ มีรายได้จากเงินเดือน 3,746,000 บาท, เงินปันผล 600,000 บาท, ดอกเบี้ย 383,100 บาท, ผลประโยชน์จากโทเคน 400,000 บาท รวมรายได้ต่อปี 5,129,100 บาท

เมื่อตรวจทานกับหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร จะคาดการณ์ได้ว่า นางสาวแพทองธารมีเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร 5,428,132.76 บาท ขณะที่คู่สมรสอยู่ที่ 3,671,943.81 บาท

อย่างไรก็ดี ยังมีรายละเอียดเงื่อนไขอื่นๆ ที่ต้องพิจารณา โดยเฉพาะการลดหย่อน ซึ่งจะทำให้จำนวนเงินเสียภาษีมากน้อยต่างกัน

ผศ.ดร.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ ผู้ก่อตั้ง iTAX โพสต์เฟซบุ๊ก Mickey Yutthana Srisavat ถึงกรณีการอภิปรายปมนายกรัฐมนตรี ใช้นิติกรรมอำพรางเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีว่า นายกฯ หนีภาษีจริงมั้ย?

เรามาทำความเข้าใจข้อเท็จจริงและเรื่องภาษีไปพร้อมกันๆ ก่อนแล้วค่อยมาสรุปว่าท่านนายกฯ หนีภาษีรึเปล่า

1. เอางี้ก่อน มันเกิดอะไรขึ้น?

ก่อนหน้านี้ ท่านนายกฯ เคยได้รับโอนหุ้นจากญาติพี่น้องในรูปแบบสัญญาซื้อขาย มูลค่าประมาณ 4,400 ล้านบาท แต่ยังไม่ได้ชำระเงินค่าหุ้นนะ ติดหนี้ไว้ในรูปแบบตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promissory note: PN) อธิบายง่ายๆ คือ ออกเอกสารฉบับนึงให้เจ้าหนี้ไว้ แล้วบอกว่าตอนนี้ยังไม่พร้อมจะชำระค่าหุ้นนะ เงินไม่พอ แต่เราจะทำตามสัญญาขอเวลาอีกไม่นาน ไว้อยากใช้เงินแล้วให้เอาตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับนี้มาทวง จะใช้เงินให้ทันที

ซึ่งในเรื่องนี้เป็น PN แบบใช้เงินเมื่อทวงถาม และไม่กำหนดดอกเบี้ย แปลว่า เจ้าหนี้ไม่คิดดอกเบี้ย และอยากได้เงินเมื่อไหร่ก็ไปทวงเมื่อนั้น

ตอนนั้นท่านนายกฯ ได้รับโอนหุ้นมาจากญาติพี่น้องหลายคน ได้แก่ แม่ พี่ชาย พี่สาว ลุง ป้าสะใภ้ และทุกคนได้รับ PN ไปก่อนโดยยังไม่ได้รับชำระเงินและยังไม่มีการทวงถามให้ใช้เงินแต่อย่างใด

2. ธุรกรรมนี้ใครต้องเสียภาษี?

ถ้าดูตามหน้ากระดาษ ธุรกรรมนี้คือสัญญาซื้อขาย ท่านนายกฯ ในฐานะผู้ซื้อไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีอยู่แล้ว ส่วนคนขายเป็นคนได้ตัง เลยต้องเป็นคนเสียภาษี แต่เรื่องนี้มี 2 ประเด็นที่ต้องพิจารณาก่อน เพราะคนขายอาจจะไม่ต้องเสียภาษีก็ได้ เช่น
1) ขายหุ้นในราคาขาดทุนหรือเท่าทุน เช่น สมมติว่าพี่สาวขายหุ้นให้ท่านนายกฯ ในราคา 2,388.7 ล้านบาท แต่พี่สาวก็ได้หุ้นมาราคา 2,388.7 ล้านบาทเท่ากัน แบบนี้ต่อให้ได้เงินมาจริง แต่ก็ได้กำไร 0 บาท จึงไม่ต้องเสียภาษีอยู่ดี 

ในทางกลับกัน ถ้าพี่สาวได้หุ้นมาในราคาต่ำกว่า 2,388.7 ล้านบาท แล้วขายหุ้นให้ท่านนายกฯ ในราคา 2,388.7 ล้านบาท แบบนี้พี่สาวซึ่งเป็นคนขายจะได้กำไรและต้องเสียภาษี เว้นแต่จะเป็นการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ แม้จะได้กำไรก็ไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งข้อเท็จจริงเรื่องนี้เป็นการขายหุ้นนอกตลาดฯ จึงไม่น่ามีประเด็นยกเว้นภาษีจากกำไร
2) ขายหุ้นได้กำไรจริง แต่ยังไม่ได้เงินจริง เพราะ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีหลักการรับรู้เงินได้ตามเกณฑ์เงินสด (cash basis) ถ้าแปลง่ายๆ คือ ได้เงินจริงปีไหน ค่อยให้เป็นเงินได้ที่ต้องเสียภาษีปีนั้น

เช่น สมมติว่ารับงาน freelance ตอนเดือน ธ.ค. 67 แต่คนจ้างขอจ่ายเงิน ม.ค. 68 แบบนี้แม้ว่าจะส่งมอบงานเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่ปี 67 แต่เนื่องจากได้รับเงินจริงตอนปี 68 ทำให้เงินค่าจ้างนั้นกลายเป็นเงินได้ของปีภาษี 68 (ปีที่ได้เงินจริง) ไม่ใช่เงินได้ของปีภาษี 67 (ปีที่ส่งงาน)

ถ้าเทียบเคียงกับกรณีขายหุ้นนี้ ท่านนายกฯ ไม่ได้ชำระเป็นเงินสด หรือโอนเงิน หรือจ่ายเช็ค หรือแม้แต่เอาทรัพย์สินหรือประโยชน์ใด เช่น รถหรู กระเป๋าแบรนด์เนม ฯลฯ ไปแลกหุ้นมา มีเพียงตั๋ว PN ที่บอกว่าติดเงินไว้ก่อนนะ ไว้คนขายอยากได้เงินเมื่อไหร่ก็แวะมา ดังนั้น ตราบเท่าที่คนขายยังไม่ได้เงินซักที (เพราะยังไม่ได้ทวงเงินจากคนซื้อ) ก็เลยยังไม่มีกำไรที่ต้องนำไปเสียภาษี

จุดนี้จะมองว่าเป็นช่องสุญญากาศของกฎหมายก็ได้ เพราะที่จริงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตั้งใจเลือกใช้เกณฑ์เงินสดเพื่อความสะดวกและเข้าใจง่ายของประชาชนทั่วไป บุคคลธรรมดาจึงได้ประโยชน์จากการปรับใช้กฎหมายแบบนี้ ซึ่งถ้างานนี้คนขายเป็นบริษัทจะใช้เกณฑ์อีกแบบที่ต้องเสียภาษีทันทีที่ขายได้กำไรแม้จะยังไม่ได้เงินเข้ากระเป๋าก็ตาม

3. ถ้าโอนหุ้นให้โดยไม่ได้เงินและคนขายก็ดูไม่มีวี่แววจะทวงเงินด้วย แบบเราควรจะมองธุรกรรมนี้เป็นการให้เปล่ามากกว่ามั้ย? เพราะถ้าเป็นการให้เปล่าจริงๆ ท่านนายกฯ จะกลายเป็นคนที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีแทน

โดยปกติ การได้รับทรัพย์สินมาเปล่าๆ เช่น โอนหุ้นมาให้เฉยๆ ถ้าปีนึงได้รับไม่เกิน 10 ล้าน จะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี (ถ้าคนให้เป็นบุพการี คู่สมรส หรือลูกหลาน จะได้ขยายเพดานเพิ่มเป็น 20 ล้านบาท) แต่ถ้าได้รับเกินกว่านั้นจะต้องเสียภาษีการรับให้ 5% ของส่วนเกินดังกล่าว 

เช่น สมมติว่าพี่สาวโอนหุ้นให้ท่านนายกฯ มูลค่า 2,388.7 ล้านบาทภายในปีเดียวกันโดยไม่มีค่าตอบแทน พี่สาวไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษี แต่ท่านนายกฯ เองนั่นแหละที่จะมีหน้าที่ต้องเสียภาษีในฐานะผู้ที่ได้รับทรัพย์สินมูลค่าเกิน 10 ล้านบาทในคราวเดียว

แต่ถ้าพี่สาวทยอยให้หุ้นท่านนายกฯ ปีละไม่เกิน 10 ล้านบาท ทั้งท่านนายกฯ และพี่สาวจะมีใครไม่ต้องเสียภาษีเลย และสามารถทำได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายเช่นกัน เพียงแต่กว่าจะโอนหุ้นให้จนหมดอาจจะต้องใช้เวลานานหน่อย ประมาณ 239 ปี

4. แค่ไหนถึงเรียกว่าหนีภาษี?

คำว่า 'หนีภาษี' เป็นคำที่ต้องใช้อย่างระมัดระวังมากๆ เพราะโดยปกติเราจะสงวนไว้ใช้กับพฤติกรรมที่ดำสนิทจริงๆ เช่น เอาบัตรประชาชนของคนอื่นที่มีรายได้น้อยๆ มารับรายได้แทนตัวเองเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียภาษีแพง หรือขายของออนไลน์ได้กำไรเป็นล้านๆ แต่ไม่เคยยื่นภาษีหรือจ่ายภาษีซักบาท เป็นต้น

กรณีของท่านนายกฯ อาจเรียกได้ว่าเป็นการวางแผนภาษีแบบดุดัน (Aggressive tax planning) คือ วางแผนภาษีแบบรัดกุมสุดๆ และถูกกฎหมายทุกประการ แต่ขัดใจความรู้สึกของใครหลายคน และมองว่าเป็นการเลี่ยงภาษี (Tax avoidance) โดยการใช้ช่องว่างทางกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม ถึงกฎหมายจะกำหนดให้คนไทยมีหน้าที่ต้องเสียภาษี แต่ไม่มีกฎหมายข้อไหนบังคับให้ต้องเสียภาษีแพงที่สุดเท่าที่จะเสียได้ ดังนั้น การเลือกหนทางที่ทำให้ตัวเองเสียภาษีน้อยที่สุด ย่อมเป็นสิทธิที่สามารถทำได้ทราบเท่าที่เป็นการดำเนินการที่ถูกต้องตามกฎหมาย

เราอาจจะต้องแยกให้ออกด้วยว่า 'ถูกกฎหมาย' vs. 'ถูกใจ' เป็นคนละเรื่องกัน

เมื่อ 19 ปีก่อน ครอบครัวของท่านนายกฯ ก็เคยขายหุ้น 'ชินคอร์ป' มูลค่า 73,271 ล้านบาท โดยไม่ต้องเสียภาษีซักบาท ซึ่งแม้ภายหลังจะมีคดีขึ้นสู่ศาลภาษีอากรเพื่อเก็บภาษีในส่วนนี้ แต่ท้ายที่สุดศาลพิพากษายกฟ้องอยู่ดี

แน่นอนว่าถึงจะ 'ถูกกฎหมาย' แต่ก็ไม่ได้ 'ถูกใจ' ทุกคนด้วย ยิ่งเกี่ยวข้องกับนายกฯ ก็ต้องเผื่อใจเรื่องความรับผิดชอบทางการเมืองต่อความรู้สึกของประชาชน และการเปิดช่องให้ฝ่ายค้านโจมตีได้ ซึ่งมันก็เป็นไปได้ว่าใครบางคนรู้สึกไม่สบายใจที่ท่านนายกฯ มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกรรมนี้แล้วจะไม่อยากสนับสนุนท่านนายกฯ ต่อ ก็เป็นประเด็นทางการเมืองที่ท่านนายกฯ และพรรคการเมืองที่ท่านสังกัดต้องรับมือต่อไป เพราะท่านต้องรู้อยู่แล้วว่าคนไทยพร้อมใส่ใจท่านนายกฯ เสมอ รถทัวร์ก็รออยู่แล้วหลายคัน งานทอดกฐินก็มีคนพร้อมจองตลอดเวลา อบอุ่นแน่นอน

ซึ่งเรื่องนี้ ท่านนายกฯ ได้ชี้แจงว่าตอนนั้นไม่พร้อมชำระเงินตามตั๋ว PN แต่ได้ตกลงกับครอบครัวแล้วว่าจะชำระเงินค่าหุ้นให้ภายในปีหน้า นั่นหมายความว่าธุรกรรมซื้อขายหุ้นนี้ ในท้ายที่สุดผู้ขายก็จะต้องเสียภาษีอยู่ดี ไม่ใช่ท่านนายกฯ ในฐานะผู้ซื้อหุ้นอยู่แล้ว

แต่มีเกร็ดเล็กน้อยที่น่าสนใจว่า การเสียภาษีช้าหน่อยก็เป็นเทคนิคการประหยัดภาษีรูปแบบนึงเช่นกัน เพราะการยื้อเวลาจ่ายภาษีให้ช้าที่สุด (Tax deferral) ก็ช่วยให้มีกระแสเงินสดไปหมุนเพื่อสร้างรายได้ระหว่างรอชำระภาษีได้ด้วยเหมือนกัน ถึงแม้สุดท้ายจะต้องจ่ายภาษีจำนวนเท่าเดิม แต่การเสียภาษีช้าก็ได้ประโยชน์มากกว่าเสียภาษีทันที

5. สรุปท่านนายกฯ หนีภาษีจริงมั้ย?

จากข้อมูลเท่าที่มีตอนนี้ ถามว่าถึงขั้นหนีภาษีมั้ย? คำตอบคือ “ไม่เป็นความจริง“

ส่วนเหตุเรื่องขายหุ้นไม่เสียภาษีของครอบครัวท่านนายกฯ นี้จะเป็นสารตั้งต้นไปสู่เหตุการณ์แบบปี 2549 ได้อีกหรือไม่? คำตอบคือ “ไม่รู้ๆๆ”

สุดท้ายนี้ ถึงผมจะอายุมากกว่าท่านนายกฯ แต่ผมก็มั่นใจว่าผมเสียภาษีให้รัฐน้อยกว่าท่านแบบถูกกฎหมายแน่ๆ เพราะผมใช้ iTAX

จีนปัดข่าวเจรจาภารกิจสันติภาพกับยูเครนในบรัสเซลส์ ยืนยันหนุนแนวทางการทูต หวังยุติความขัดแย้งด้วยสันติวิธี

(25 มี.ค. 68) รัฐบาลจีนออกแถลงการณ์ปฏิเสธรายงานของสื่อที่อ้างว่าคณะนักการทูตจีนกำลังเจรจาในกรุงบรัสเซลส์เกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการเข้าร่วมภารกิจรักษาสันติภาพในยูเครน โดยระบุชัดว่าข่าวดังกล่าว “ไม่เป็นความจริงโดยสิ้นเชิง”

นายกัว เจียคุน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน แถลงต่อสื่อมวลชนเมื่อวันจันทร์ว่า “จุดยืนของจีนต่อวิกฤตการณ์ในยูเครนนั้นมีความชัดเจนและสอดคล้องกันมาโดยตลอด” พร้อมยืนยันว่าจีนยังคงสนับสนุนแนวทางทางการทูตและการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้ง

แถลงการณ์ดังกล่าวมีขึ้นหลังจากสำนักข่าวหลายแห่งรายงานว่าคณะนักการทูตจีนได้หารือกับเจ้าหน้าที่สหภาพยุโรปเกี่ยวกับบทบาทที่เป็นไปได้ของจีนในภารกิจรักษาสันติภาพในยูเครน

อย่างไรก็ตาม จีนได้ปฏิเสธข่าวลือดังกล่าวอย่างเด็ดขาด พร้อมเน้นย้ำถึงการสนับสนุนแนวทางแก้ไขปัญหาผ่านการเจรจาทางการทูต แทนที่จะมีส่วนร่วมในปฏิบัติการทางทหาร

การตอบโต้อย่างชัดเจนของจีนสะท้อนถึงความพยายามของปักกิ่งในการรักษาภาพลักษณ์ความเป็นกลางในสงครามยูเครน ซึ่งเป็นท่าทีที่จีนดำเนินมาตลอดนับตั้งแต่การรุกรานของรัสเซียเริ่มต้นขึ้น ในขณะที่หลายประเทศตะวันตกเรียกร้องให้จีนมีบทบาทที่ชัดเจนขึ้นในการยุติความขัดแย้ง

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ระบุว่า การปฏิเสธอย่างแข็งกร้าวของจีนสะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลปักกิ่งในการรักษาความสัมพันธ์กับทั้งรัสเซียและชาติตะวันตก โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่จีนต้องเผชิญกับแรงกดดันทางการเมืองและเศรษฐกิจจากนานาชาติ

‘เอกนัฏ’ แจงเหมืองทองอัคราเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ไม่มีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ชาติกับใคร พร้อมย้ำ ก.อุตสาหกรรมคุมเข้มเผาอ้อยต่ำกว่าที่สุดในประวัติศาสตร์ ช่วยลดปัญหา PM2.5 พร้อมมาตรการเข้มสั่งปิดโรงงานน้ำตาลถึง 2 โรง

เมื่อวันที่ (24 มี.ค.68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ชี้แจงในการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ว่า ในครั้งนี้ตนมีกรณีที่จะต้องชี้แจงใน 2 กรณี คือ กรณีแรกเรื่องของเหมืองทองอัครา กรณีที่สองคือการเผาอ้อย

สำหรับกรณีเหมืองทองอัครา ตนขอเรียนว่าตั้งแต่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ไม่มีการดำเนินการต่อรองเพื่อรักษาผลประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่งแน่นอน การดำเนินการทุกขั้นตอนของเรื่องเหมืองทองอัคราเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย และยึดผลประโยชน์ของประเทศของเป็นที่ตั้ง ดังนั้นการดำเนินการทุกขั้นตอนจะต้องทำทุกวิถีทางไม่ให้ประเทศไทยต้องแพ้ ไม่ให้ผลประโยชน์ของชาติต้องสูญเสียไป 

ตนขอย้ำว่า ไม่เคยมีสั่งให้เลื่อนการอ่านผลของการพิจารณาโดยอนุญาโตตุลาการจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม หรือจากรัฐบาล หรือจากนายกรัฐมนตรีทุกอย่างดําเนินการตามขั้นตอนโดยหน่วยงานที่ดําเนินการตามความรับผิดชอบภายใต้กรอบ ภายใต้กฎหมายที่ได้รับมอบหมายทั้งหมดครับ ไม่เคยไปเจรจานอกรอบ หรือไปต่อรองแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทีเดียวรับแต่อย่างใด

กรณีที่กล่าวถึงการออกอาชญาบัตรพิเศษ ที่ผิดกฎหมาย ทับพื้นที่อุทยาน และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า แม้เป็นเรื่องที่เกิดก่อนตนปฏิบัติหน้าที่ แต่การดำเนินการเป็นไปตามกฎหมายเหมืองแร่ ไม่มีออกอาชญาบัตรพิเศษหรือประทานบัตรที่ผิดกฎหมาย ทับซ้อนเขตอุทยาน หรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า

ที่บอกว่ามีการเจรจาต่อรองแลกเปลี่ยนล้มคดี นั้น รัฐบาลนี้หรือใครใหญ่จากไหนไม่มีใครต่อรองแลกเปลี่ยนแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมไทยได้ หากทำได้ ผมมองว่าคงต่อรองเรื่องอื่น ที่มากกว่าการรักษาประโยชน์ให้กับเหมืองทองอัครา นอกจากนั้นไม่เคยแทรกแซงองค์กรอิสระ ทุกอย่างดำเนินการตามขั้นตอนรักษาประโยชน์ประเทศเป็นที่ตั้ง

สำหรับในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 แม้ว่าตนในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมจะไม่ได้กำกับดูแลเรื่องของสิ่งแวดล้อมโดยตรง แต่ตนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นเรื่องของสุขภาพ เรื่องของชีวิตของประชาชนชาวไทย ตนมีการเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่น และสิงคโปร์เพื่อศึกษาและหามาตรการที่จะสามารถแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ได้ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว 

สำหรับประเทศไทยที่เป็นทั้งประเทศผู้บริโภค และประเทศผู้ผลิต ดังนั้นการดูแลสิ่งแวดล้อมจะต้องมาจากความรับผิดชอบของผู้ผลิตด้วยเช่นกัน ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้กำกับดูแลอ้อย จากพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 ซึ่งตนขอยืนยันว่าอ้อยเผาในปีนี้ลดลงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ 

สำหรับการเผาในอ้อยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 การเผาก่อนเข้าไปเก็บเกี่ยว เพื่อความง่ายและความสะดวกในการเก็บเกี่ยว และส่วนที่ 2 คือการเผาหลังเก็บเกี่ยวเพื่อป้องกันการปนเปื้อนและง่ายต่อการเพาะปลูกรอบใหม่

การเผาในส่วนที่ 1 กระทรวงอุตสาหกรรมมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ทำให้อ้อยเผาไม่เหลือไม่ถึง 15% ของอ้อยทั้งหมด นอกจากนี้เรายังเอาจริงเอาจังซึ่งพิสูจน์จากการสั่งปิดโรงงานน้ำตาล 2 แห่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

“ถ้าบอกว่ามาตรการของรัฐบาลในช่วงนี้ไม่ชัด ผมก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรชัดมากไปกว่าการสั่งให้ปิดโรงงานน้ำตาล 2 โรง ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ นี่คือความจริงจัง ความเข้มงวด ซึ่งเป็นการให้ความสำคัญในเรื่องนี้เป็นพิเศษ” นายเอกนัฏ กล่าว

การเผาในส่วนที่ 2 นั้น กระทรวงอุตสาหกรรมไม่ได้ใช้มาตรการเข้มงวดแต่เพียงอย่างเดียว แต่ในขณะนี้กำลังเตรียมตัวเพื่อเพิ่มมูลค่าผ่านการนำเศษชิ้นส่วนจากอ้อย โดยเฉพาะใบอ้อยไปขายยังโรงไฟฟ้าชีวมวล และเตรียมความพร้อมในการสนับสนุนอุปกรณ์ทั้งในการตัดใบอ้อย และกระบวนการรวบรวมจัดการใบอ้อย หรือรวมไปถึงการไถกลบเพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน นอกจากนี้เรายังได้เตรียมความพร้อมในเรื่องของเชื้อเพลิงชีวภาพ เรื่องของพลาสติกชีวภาพ และในท้ายที่สุดอาจจะมีการกำหนดราคาน้ำตาลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกราคาหนึ่ง

กระทรวงอุตสาหกรรมกำลังออกแบบมาตรการเพื่อทำงานร่วมกับโรงงาน และเกษตรกรเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ไม่ให้เป็นภาระต่อเกษตรกร และไม่ให้อ้อยถูกนำไปเผาและสร้าง PM2.5 แล้วย้อนกลับทำร้ายชีวิตของพี่น้องประชาชนอย่างยั่งยืน

สหรัฐฯ เล็งแบนวีซ่านักเรียนจีน อ้างเหตุผลความมั่นคง นักวิชาการเตือน อาจทำลายอนาคตนวัตกรรมอเมริกา

(25 มี.ค. 68) ไรลีย์ มัวร์ (Riley Moore) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกัน รัฐเวสต์เวอร์จิเนีย ได้เสนอร่างกฎหมายในสภาผู้แทนราษฎรชื่อ “Stop CCP VISAs Act” ที่มีเป้าหมายเพื่อห้ามไม่ให้พลเมืองจีนสามารถขอรับวีซ่านักเรียนเข้าสหรัฐอเมริกา โดยให้เหตุผลว่ามาตรการนี้มีความจำเป็นต่อความมั่นคงของประเทศและเพื่อป้องกันการจารกรรมทางเทคโนโลยีและข่าวกรองจากรัฐบาลจีน

มัวร์ระบุว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นความพยายามที่จะจำกัดอิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในสหรัฐฯ และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากนักศึกษาจีนที่มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานของรัฐจีน

“ทุกปี เราอนุญาตให้ชาวจีนเกือบ 300,000 คนเดินทางมายังสหรัฐอเมริกาด้วยวีซ่านักเรียน เราเชิญชวนพรรคคอมมิวนิสต์จีนมาสอดส่องกองทัพของเรา ขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของเรา และคุกคามความมั่นคงของชาติอย่างแท้จริง” มัวร์กล่าว

อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอนี้ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มสิทธิมนุษยชน นักวิชาการ และองค์กรที่สนับสนุนเสรีภาพทางการศึกษา โดยพวกเขาเตือนว่าการจำกัดวีซ่าเช่นนี้อาจกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และส่งผลเสียต่อสถาบันการศึกษาชั้นนำของสหรัฐฯ ที่พึ่งพานักศึกษาต่างชาติในการขับเคลื่อนงานวิจัยและพัฒนา

ขณะที่ แกรี ล็อก (Gary Locke) อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศจีน ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่าร่างกฎหมายที่มัวร์เสนอ “ไม่เพียงแต่เหยียดเชื้อชาติ แต่ยังเป็นการขว้างงูไม่พ้นคอ” เพราะการปิดโอกาสนักเรียนจีนจะบ่อนทำลายความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ ในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม

ล็อกเน้นย้ำว่าความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของสหรัฐฯ อาศัยความสามารถของนักวิจัยและนักศึกษาต่างชาติอย่างมาก และการจำกัดวีซ่าจะเป็นการทำร้ายผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เอง

ด้านรัฐบาลจีนได้ออกมาแสดงท่าทีไม่พอใจต่อร่างกฎหมายนี้เช่นเดียวกัน โดยมองว่าเป็นมาตรการที่ไม่เป็นธรรมและอาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศตึงเครียดมากขึ้น 

อย่างไรก็ดีร่างกฎหมายดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร และยังไม่มีความชัดเจนว่ามาตรการนี้จะได้รับการสนับสนุนมากน้อยเพียงใดจากสมาชิกสภาคองเกรสทั้งสองพรรค

ทั้งนี้ การเสนอร่างกฎหมายนี้สะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นของฝ่ายนิติบัญญัติสหรัฐฯ เกี่ยวกับบทบาทของจีนในด้านเทคโนโลยีและความมั่นคงของประเทศ

ปิด โครงการ 'แด่น้องผู้มีความหวัง' ปีที่ 32 

เมื่อวานนี้ (24 มี.ค.68) น.อ.หญิง อัญชลี  ลี้พูลทรัพย์ หน.กลุ่มงานรังสีวิทยา ผู้แทน ผอ.รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พร. ร่วมพิธีปิด โครงการ “แด่น้องผู้มีความหวัง” ปีที่ 32

โดยมี พล.ร.ต.นิรัตน์ ทากุดเรือ รอง ผบ.นย. เป็นประธาน ณ อาคารมะรีนฮอลล์ ศฝ.นย. ค่ายกรมหลวงชุมพร อ.สัตหีบ จว.ชลบุรี 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top