Tuesday, 24 June 2025
Hard News Team

ศาล สั่งจำคุก ‘สิระ เจนจาคะ’ 1 ปีไม่รอลงอาญา พร้อมตัดสิทธิ์ 20 ปี คดีลักไก่ลงสมัครเลือกตั้งสส.

ศาล สั่งคุก ‘สิระ’ 1 ปี ไม่รอลงอาญา พร้อมตัดสิทธิ์ลงเลือกตั้ง 20 ปี จากเหตุลักไก่ลงสมัครสส.ปี 62 ทั้งที่ตัวเองขาดคุณสมบัติ

(31 มี.ค. 68) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ห้องพิจารณาคดี 903 ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีดำอ.3200/2566ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ฟ้องนายสิระ เจนจาคะ อดีต สส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นจำเลยฐานกระทำผิดรัฐธรรมนูญ 2560, พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 มาตรา4,42(12),151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง พ.ศ.2560 มาตรา 9 (5) ,24,25 และขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจำเลย 20 ปีด้วย

โดยอัยการโจทก์ระบุฟ้องความผิดจำเลยสรุปว่า เมื่อวันที่ 4 ก.พ.2562 จำเลยได้บังอาจลงลายมือชื่อสมัครรับเลือกตั้ง สส.เขต 9 กทม.โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิรับเลือกตั้งเป็น สส. อันเป็นลักษณะต้องห้าม เนื่องจากจำเลยเคยต้องโทษคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลแขวงปทุมวัน ให้จำคุก 4 เดือนฐานฉ้อโกง อันเป็นความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ตามคดีอาญาหมายเลขดำอ 812/2538 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2218/2538 ลงวันที่ 21 พ.ย.2538

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในวันนี้นายสิระเดินทางมาเข้าฟังการพิพากษาในเวลา 09.00 น. โดยไม่ให้สัมภาษณ์ใด ๆ กับผู้สื่อข่าว

ต่อมาที่ห้องพิจารณา 903 ศาลพิพากษาว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประกาศให้ผู้ประสงค์เข้าสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือ ตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ถึง 8 กุมภาพันธ์ 62 โดยในเขตเลือกตั้งที่ 9 และมีประการประกาศรับสมัครที่อาคารกีฬาเวช 2 จำเลยได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสส.เขต 9 พรรคพลังประชารัฐต่อมาจำเลยได้รับเลือกตั้ง

ต่อมาวันที่ 17 ธ.ค.2563 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสมาชิกสภาพของจำเลยนั้นสิ้นสุดลงหรือไม่เนื่องจากปรากฏว่าจำเลยมีคุณสมบัติขาดคุณสมบัติรองรับสมัครการเลือกตั้ง เนื่องจากต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลแขวงปทุมวันในคดีทุจริตเกี่ยวกับทรัพย์เป็นเวลา 4 เดือน

ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าสมาชิกสภาพของจำเลยได้สิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 24 มี.ค. 62 การกระทำของจำเลยเป็นการเป็นการฝ่าฝืนการเลือกตั้งโดยคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ทำการไต่สวนโดยให้เพิกถอนจำเลยและดำเนินคดีอาญากับจำเลยเนื่องจากเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติลงรับสมัครการเลือกตั้ง

ศาลเห็นว่าคำเบิกความของพยานโจทก์และพยานหลักฐานพบว่าจำเลยต้องโทษคำพิพากษาถึงที่สุดที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลย ต่อศาลแขวงปทุมวันว่าคดีที่พ.ต.อ.เขมรินทร์ พิศมัย แจ้งความดำเนินคดีกับพนักงานสอบสวนต่อนายสิระในข้อหาฐานฉ้อโกงทรัพย์จำนวน 200,000 บาท ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 เป็นความผิด 2 กระทงจำคุกกระทงละ 4 เดือน รวม 8 เดือน

คำรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดให้กึ่งหนึ่งคงจำคุกจำเลย 4 เดือน ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่าจำเลยต้องโทษคำพิพากษาคดีถึงที่สุดของศาลแขวงปทุมวันจำเลยจึงเป็นบุคคลต้องห้ามไม่มีสิทธิ์ลงรับสมัครเลือกตั้งส.ส.

มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่าจำเลยรู้ตัวเองอยู่แล้วว่าไม่มีคุณสมบัติต้องห้ามในการลงรับสมัครการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่ยังลงรับสมัครเลือกตั้ง เห็นว่าจะพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีน้ำหนักและน่าเชื่อถือเพียงพอส่วนข้อต่อสู้ของจำเลยเป็นเพียงการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานโจทย์ได้เชื่อว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติรับสมัครการเลือกตั้ง เห็นว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องจริง

พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. พ.ศ 2561 มาตรา 4,42 (12),151 ให้ลงโทษจำคุก 1 ปีและให้เพิกถอนสิทธิ์ในการลงสมัครรับเลือกตั้ง 20 ปีนับตั้งแต่วันมีคำพิพากษา

ต่อมาทนายความของนายสิระ ได้ยื่นหลักทรัพย์ต่อศาลเพื่อขอปล่อยชั่วคราว ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล

กองทัพเรือสาธารณรัฐประชาชนจีน จัดงานเลี้ยงรับรองกำลังพลหมู่เรือฝึกผสม Blue Strike 2025 บนเรือรบจีน

(31 มี.ค. 68) บนเรือรบจีน บริเวณท่าเทียบเรือ Maxie เมืองจ้านเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน กองทัพเรือสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้จัดงานเลี้ยงรับรองกำลังพลหมู่เรือฝึกผสม Blue Strike 2025 บนเรือรบจีน ในโอกาสที่เดินทางเข้าร่วมการฝึกผสม Blue Strike 2025  

โดยมี พลเรือโท กรวิทย์ ฉายะรถี รองผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ผู้แทนกองทัพเรือ และพลเรือตรี วีระชัย หลีค้า รองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ผู้แทน ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน พร้อมด้วยคณะผู้บังคับบัญชา และกำลังพลหมู่เรือฝึกผสม Blue Strike 2025 รวมทั้งนักเรียนนายเรือ ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงรับรองบนเรือรบจีน บริเวณท่าเทียบเรือ Maxie เมืองจ้านเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ไมตรี เสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และพัฒนาความร่วมมือในการรักษาสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

กมธ.อุตสาหกรรม หนุน ‘รมว.เอกนัฏ’ ตรวจมาตรฐานเหล็กอาคารถล่ม พร้อมเสนอตรวจมาตรฐานคอนกรีตเพิ่ม เร่งปราบเหล็กไร้มาตรฐาน

กมธ.อุตสาหกรรม หนุน รมว.เอกนัฏ เดินหน้าสั่งก.อุตสาหกรรม ลุยตรวจมาตรฐานเหล็กอาคารถล่ม เสนอตรวจมาตรฐานคอนกรีตเพิ่ม ลุยปราบเหล็กไร้มาตรฐานสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน

(31 มี.ค. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงกรณีนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้ลงพื้นที่อาคารที่ทรุดตัวจากเหตุแผ่นดินไหว พร้อมได้นำตัวอย่างเหล็กไปตรวจสอบ ว่า 

ทางกรรมาธิการการอุตสาหกรรมขอสนับสนุนนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมที่ได้มีข้อสั่งการที่รวดเร็ว และทันท่วงที ที่ได้ให้ทางสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม(สมอ.) ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างเหล็กข้ออ้อยของอาคารดังกล่าวไปตรวจสอบว่าได้มาตรฐานหรือไม่ เพื่อเป็นข้อมูลที่สำคัญสำหรับการวิเคราะห์หาสาเหตุที่แท้จริงของการพังทลายของอาคารนั้น ทางคณะกรรมการและวิศวกรที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลที่รับผิดชอบในการตรวจสอบสาเหตุจะมีผลสรุปที่ชัดเจนเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายดังนั้นผลการตรวจสอบของกระทรวงอุตสาหกรรมจะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการพิจารณาตรวจสอบวิเคราะห์หาสาเหตุเรื่องดังกล่าว

โดยในส่วนของมาตรฐานของเหล็กข้ออ้อย คาดว่าในเร็ววันนี้จะได้ทราบผลการทดสอบอย่างแน่ชัด ซึ่งหากไม่ได้มาตรฐาน ตนขอสนับสนุนให้ทางกระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการสืบหาแหล่งที่มา รวมถึงตรวจสอบอาคารอื่น ๆ ที่อาจจะมีการใช้เหล็กชุดเดียวกันในการก่อสร้างเพื่อหามาตรการแก้ไขอาคารที่มีการนำเหล็กชุดดังกล่าวมาก่อสร้างอาคารไปแล้วหรือหลงเหลืออยู่ในท้องตลาดจะได้ดำเนินการตามกฎหมายโดยเรียกกลับมาตรวจสอบ อายัดไว้เพื่อไม่ให้มีการนำมาใช้ในการก่อสร้างเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชนผู้ใช้อาคาร และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุที่น่าสลดเช่นนี้ซ้ำในอนาคต

นอกจากนี้ทางกรรมาธิการการอุตสาหกรรม ยังมีข้อเสนอแนะให้ทางสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม(สมอ.) ได้ขยายผลในการตรวจสอบมาตรฐานของคอนกรีตที่ใช้ในการก่อสร้างด้วย เนื่องจากคอนกรีตเป็นส่วนที่สำคัญในการทำให้อาคารมีความมั่นคงแข็งแรงไม่แพ้เหล็ก นอกจากนี้ยังเป็นผลิตภัณฑ์ควบคุมของ สมอ. อีกด้วย 

"เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชน ทางคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมขอสนับสนุนทางกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งที่ผ่านมาได้เร่งตรวจสอบเหล็กข้ออ้อยที่ไม่ได้มาตรฐานอย่างต่อเนื่องก่อนเกิดเหตุแผ่นดินไหวในครั้งนี้ตามนโยบายของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเช่น ชุดตรวจการสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ดำเนินการตรวจยึดและดำเนินคดีกับโรงงานผลิตเหล็กที่ผลิตเหล็กไม่ได้มาตรฐานมาแล้ว" นายอัครเดช กล่าว

‘หมอเหรียญทอง’ แชร์เคสผู้ป่วยเข้าโครงการ 3,000 ผ่าตัดทุกโรค ตอบโจทย์ผู้ป่วยสิทธิบัตรทองที่พร้อมจ่ายบางส่วนไม่ต้องรอคิว

(31 มี.ค. 68) พลตรี เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ชื่อ จีรนันท์ ประยงค์อุทัย ได้โพสต์ถึงผม เมื่อ 29 มี.ค.68 เวลา 13.59 น. ความว่า

"คุณหมอคะวันนี้หนูตัดสินใจพาแฟนไปรักษาไส้เลื่อนที่มงกุฎวัฒนะโดยใช้โครงการ 3000 ผ่าตัดทุกโรค 
พอไปถึงกรอกข้อมูลที่เวชระเบียนพยาบาลให้ขึ้นไปพบหมอที่ชั้น 5 คุณหมอซักประวัติแล้วนัดมาตรวจปอดตรวจหัวใจวันอังคารเลยค่ะ 

หมอบอกว่าถ้าไม่มีอะไรจะนัดผ่าในวันที่ 4 เลย แฟนหนูดีใจมากเขาบอกว่าไม่ต้องทนเจ็บไม่ต้องเดินขาถ่างอีกแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้หนูกับแฟนไปคลินิก - รพ.รัฐ เป็นเวลาเกือบ 2 ปี ต้องหยุดทำงาน หยุดขายของ เทียวไปเทียวมาไม่รู้กี่รอบ สุดท้าย รพ.รัฐ เลื่อนผ่าไปอีก 2-3 ปี เพราะคิวเต็ม 

มาถึงวันนี้หนูรู้สึกเหมือนเทวดามาช่วยคนธรรมดาอย่างเรา หนูขอบพระคุณคุณหมอมากๆค่ะ"

โครงการ '3,000 บาท ผ่าตัด(หัตถการรักษา)ทุกโรค ไม่ต้องรอผ่าตัดนานข้ามปี เฉพาะผู้ป่วยสิทธิบัตรทองเท่านั้น ทุกเขต ทุกจังหวัดทั่วราชอาณาจักร ไม่ต้องขอใบส่งตัว 

โทร. 02-574-5000 กด 0 แล้วแจ้งปัญหาการรอผ่าตัด หรือ หัตถการรักษา ...โอปะเรเตอร์จะโอนสายไปยังแผนกที่เกี่ยวข้อง หรือ สำนักงาน ผอ.รพ.

โครงการนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ
1. แก้ปัญหาให้แก่ผู้ป่วยบัตรทองที่รอคอยการผ่าตัดหรือการรักษานานข้ามปี
2. แก้ปัญหา รพ.รัฐ ที่มีผู้ป่วยบัตรทองจำนวนมากรอคอยการผ่าตัดหรือการรักษา
3. แก้ปัญหาความยากลำบากในการขอใบส่งตัวให้แก่ผู้ป่วยบัตรทอง

นี่คืออีกหนึ่งแคมเปญย่อยของโครงการบัตรทองแพลตตินั่ม รพ.มงกุฎวัฒนะ 'ผู้ป่วยบัตรทอง กัดฟันพึ่งตนเอง จ่ายค่ารักษาเองในราคา รพ.รัฐ หากต้องแอดมิตใช้สิทธิบัตรทอง สปสช.จ่ายให้ ผู้ป่วยบัตรทองจากทุกคลินิก ทุกเขต ทุกจังหวัด ไม่ต้องใช้ใบส่งตัว'

พลตรี เหรียญทอง แน่นหนา
ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ
30 มี.ค.68 เวลา 8.46 น.
หมายเหตุ ผมไม่ใช่เทวดานะครับ ผมเป็นแค่ 'คนทำมาหากินกับคนป่วย' เท่านั้น

สื่อนอกตีข่าว ยูเครนเปลี่ยนแผนกะทันหันโดยไม่แจ้งพันธมิตร ทำให้การโจมตีโต้กลับรัสเซีย ในปี 2023 พังตั้งแต่ต้นเกม

(31 มี.ค. 68) สำนักข่าว The New York Times (NYT) รายงานว่า รัฐบาลยูเครนและพันธมิตรตะวันตกเคยคาดหวังว่าการโต้กลับครั้งใหญ่ในปี 2023 จะเป็นจุดจบของสงครามระหว่างยูเครนและรัสเซีย ไม่ว่าจะนำไปสู่ชัยชนะอย่างเด็ดขาดของเคียฟ หรืออย่างน้อยก็ผลักดันให้ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ต้องยอมเปิดโต๊ะเจรจาสันติภาพ

แผนการและความคาดหวัง ในช่วงต้นปี 2023 ยูเครนได้เตรียมปฏิบัติการโต้กลับครั้งสำคัญโดยได้รับการสนับสนุนจากอาวุธยุทโธปกรณ์และข้อมูลข่าวกรองจากประเทศพันธมิตรตะวันตก

โดยมีเป้าหมายคือการโจมตี “เมลิโตโปล” ทางตอนใต้เพื่อพยายามตัดเส้นทางไปยังแหลมไครเมีย แต่ในนาทีสุดท้าย ผู้นำยูเครนกลับเปลี่ยนแผนโดยพลการและเลือกเปิดการบุกพร้อมกันถึง 3 แนวรบ โดยไม่ได้แจ้งให้พันธมิตรรับทราบ 

ผลที่ตามมาคือ กำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมากที่ถูกฝึกมาเพื่อใช้ในแนวรบทางใต้กลับถูกส่งไปที่เมืองบัคมุตแทนซึ่งทำให้การโต้กลับหลักล้มเหลวตั้งแต่ช่วงแรก 

เมื่อผลลัพธ์ที่ไม่เป็นไปตามคาด และสถานการณ์กลับไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้ กองกำลังยูเครนต้องเผชิญกับแนวป้องกันที่แข็งแกร่งของรัสเซีย รวมถึงกับระเบิดจำนวนมหาศาล โดรนโจมตี และกำลังเสริมของมอสโกที่สามารถต้านทานการบุกของยูเครนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่ากองทัพยูเครนจะสามารถรุกคืบบางพื้นที่ได้ แต่ก็ต้องเผชิญกับความสูญเสียอย่างหนักและไม่สามารถบรรลุเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่วางไว้

เจ้าหน้าที่ยูเครนคนหนึ่งกล่าวกับ The New York Times ว่า การเห็นการตัดสินใจที่จะโจมตีบัคมุตนั้น “เหมือนกับการดูการล่มสลายของการโจมตีเมลิโตโปลก่อนที่จะเริ่มการโจมตีเสียอีก” และเจ้าหน้าที่อเมริกันอาวุโสคนหนึ่งกล่าวว่า สหรัฐฯ “ควรจะถอยห่าง” จากการให้คำแนะนำแก่ยูเครนหลังจากการเปลี่ยนแผน

นอกจากนี้ การขาดแคลนกำลังพลและอาวุธสำคัญ เช่น ระบบป้องกันภัยทางอากาศและกระสุนปืนใหญ่ ทำให้ยูเครนไม่สามารถเดินหน้าการรุกได้อย่างเต็มที่ ขณะเดียวกัน รัสเซียก็สามารถปรับตัวและเสริมกำลังแนวรบของตนได้อย่างต่อเนื่อง

ผลกระทบและทิศทางของสงคราม ความล้มเหลวของการโต้กลับในปี 2023 ทำให้สงครามยืดเยื้อออกไปโดยไม่มีสัญญาณของการเจรจาสันติภาพที่ชัดเจน ความขัดแย้งยังคงดำเนินต่อไปในปี 2024 โดยทั้งสองฝ่ายยังคงพยายามรักษาพื้นที่และเพิ่มอำนาจต่อรองของตนในการเจรจาในอนาคต

รายงานของ NYT สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่ยูเครนต้องเผชิญ และชี้ให้เห็นว่าปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความช่วยเหลือจากตะวันตก สถานการณ์ในรัสเซีย และความแข็งแกร่งของกองทัพยูเครนเอง จะเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดทิศทางของสงครามในระยะต่อไป

‘นักวิชาการด้านเเผ่นดินไหว’ ชี้ ‘รอยเลื่อนสะกาย’ เป็นแผ่นดินไหวแบบซูเปอร์เชีย เคลื่อนตัวแนวระนาบส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือน - การพังทลายสูง

(31 มี.ค. 68) ดร.ไพบูลย์ นวลนิล นักวิชาการด้านแผ่นดินไหว โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Namom Thoongpoh ว่า แผ่นดินไหวแบบซูเปอร์เชีย (supershear earthquake) คือแผ่นดินไหวที่ความเร็วของการพังทลาย (rupture propagation) เร็วกว่าความเร็วของคลื่นเอส มีการกระจายคลื่นแบบกรวย เหมือน คลื่นซูเปอร์โซนิค ทำให้เกิดการซ้อนคลื่นขึ้น ส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนสูงกว่าปกติ

แผ่นดินไหวแบบนี้จะเกิดในรอยเลื่อนแบบเคลื่อนตัวแนวระนาบ (strike slip fault) ซึ่งรอยเลื่อนสะกายเป็นรอยเลื่อนชนิดนี้

จากข้อมูลงานวิจัยที่ผ่านมา มีแผ่นดินไหวในลักษณะนี้เกิดขึ้นหลายที่หลายที่ เช่น 

2023 Turkey–Syria earthquakes, Mw 7.8, Anatolian Fault
2020 Caribbean Sea earthquake, Mw 7.7, Oriente transform fault 
2018 Sulawesi earthquake, Mw 7.5, Palu-Koro Fault
2008 Sichuan earthquake, Mw 7.9,  Longmenshan Fault
2001 Kunlun earthquake, Mw 7.8 , Kunlun fault
เป็นต้น

ดังนั้นก่อนที่จะสรุปว่าเหตุใด กทม. จึงได้รับผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือนมาก ต้องติดตามข้อมูลจากนักแผ่นดินไหววิทยากันต่อไป ไม่ใช่ดินอ่อนเพียงอย่างเดียว ดังที่เราเข้าใจ

สบส.จัดสัมมนาพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการและสถาบันการศึกษาด้านการบริการเพื่อสุขภาพเสริมมาตรฐานการเรียนการสอน

กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข จัดสัมมนาพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ ในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ สถาบันการศึกษาภาครัฐและเอกชน เดินหน้าพัฒนา ควบคุม กำกับมาตรฐาน การจัดการเรียนการสอนด้านการบริการเพื่อสุขภาพ รวมถึงสร้างความรู้ ความเข้าใจในการเป็นแหล่งฝึกปฏิบัติทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติที่มีคุณภาพ พร้อมส่งบุคลากรด้านการบริการเพื่อสุขภาพสู่การทำงานจริง ทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (2566-2570) หมุดหมายที่ 4 ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง

ซึ่งกรม สบส. มีนโยบายในการดำเนินงานเพื่อตอบรับกับแผนชาติ ด้วยการส่งเสริม พัฒนาควบคุม กำกับมาตรฐานสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ บุคลากร และมาตรฐานการจัดการเรียนการสอนหลักสูตรด้านการบริการเพื่อสุขภาพของสถาบันการศึกษา หน่วยงาน หรือองค์กรต่าง ๆ  ซึ่งปัจจุบันมีสถานประกอบการที่ผ่านการอนุญาต 17,093 แห่ง แบ่งเป็น กิจการสปา 1,153 แห่ง กิจการนวดเพื่อสุขภาพ 14,673 แห่ง กิจการนวดเพื่อเสริมความงาม 233 แห่งและกิจการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง 1,034 แห่ง และมีสถาบันการศึกษาที่ผ่านการรับรองหลักสูตรฯ 

จากกรม สบส. 621 สถาบัน ได้แก่ หลักสูตรนวดสปา 419 แห่ง หลักสูตรผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง 202 แห่ง
และเพื่อเป็นการส่งเสริมพัฒนา ควบคุม กำกับมาตรฐานสถาบันการศึกษาและสถานประกอบการเพื่อสุขภาพให้มีมาตรฐานตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดตามพระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. 2559 และยกระดับมาตรฐานการศึกษาและการฝึกปฏิบัติการทำงานจริงไปพร้อมกับการเรียนรู้ให้มีคุณภาพสูงขึ้น ตอบสนองต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอย่างยั่งยืน จึงได้จัดสัมมนาพัฒนาศักยภาพสถาบันการศึกษา หน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ ที่จัดการเรียนการสอนด้านการบริการเพื่อสุขภาพ และสถานประกอบการเพื่อสุขภาพขึ้น

ทันตแพทย์อาคม รองอธิบดีกรม สบส. กล่าวต่อว่า การสัมมนาครั้งนี้นับเป็นการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสุขภาพ สร้างกระบวนการพัฒนาบุคลากรและการให้บริการที่เป็นมาตรฐาน ตลอดจนถือเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านการบริการเพื่อสุขภาพ ทำให้ผู้รับบริการในสถานประกอบการได้รับการบริการและการดูแลที่มีคุณภาพมาตรฐานจากบุคลากรที่มีคุณภาพ เพื่อให้เศรษฐกิจสุขภาพเติบโตอย่างยั่งยืน

เจนกิจ นัดไธสง รายงาน

สงครามกลางเมืองปะทะภัยธรรมชาติ ประชาชนเผชิญความสิ้นหวัง หายนะที่ยังไร้จุดจบ

(30 มี.ค. 68) เมียนมาเผชิญกับอนาคตที่มืดมนยิ่งขึ้น หลังจากเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 7.7 เมื่อวันศุกร์ที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง และส่งผลกระทบไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย ตามรายงานของ เดลิเมล สื่ออังกฤษ

ขอบเขตของผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และความเสียหายจากแผ่นดินไหวครั้งนี้ยังไม่แน่ชัด โดยเฉพาะในเมียนมา ซึ่งกำลังอยู่ท่ามกลางสงครามกลางเมืองและการควบคุมข้อมูลข่าวสารอย่างเข้มงวด อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1,600 ราย ในเมียนมา และอีกอย่างน้อย 10 รายในกรุงเทพฯ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่ายอดผู้เสียชีวิตสุดท้ายอาจแตะระดับหลายพันคน

ก่อนเกิดแผ่นดินไหว สถานการณ์ในเมียนมาก็เลวร้ายอยู่แล้ว ประชาชนมากกว่า 3 ล้านคนต้องพลัดถิ่นฐาน และอีกหลายแสนคนถูกตัดขาดจากโครงการช่วยเหลือด้านอาหารและสาธารณสุข ผลจากสงครามกลางเมืองที่ดำเนินมานานกว่า 4 ปี โดยองค์กรสิทธิมนุษยชนกล่าวหารัฐบาลทหารว่าใช้ปฏิบัติการทางทหารโจมตีพลเรือนอย่างไม่เลือกหน้า

เมียนมาตกอยู่ในความวุ่นวายตั้งแต่กองทัพยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของ อองซาน ซูจี เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021 จุดชนวนให้เกิดการต่อต้านทั่วประเทศ การประท้วงที่เริ่มต้นอย่างสันติถูกปราบปรามอย่างรุนแรง ทำให้ประชาชนจำนวนมากต้องจับอาวุธต่อต้าน ส่งผลให้ความขัดแย้งกระจายไปทั่วประเทศ

หลังเกิดแผ่นดินไหว รัฐบาลทหารเมียนมาออกแถลงการณ์ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก ขอรับความช่วยเหลือจากนานาชาติ โดยระบุว่าต้องการโลหิตเป็นจำนวนมากในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนัก

เทเลกราฟ รายงานโดยอ้างแพทย์คนหนึ่งในเมียนมาว่า ระบบสาธารณสุขในประเทศอ่อนแออยู่แล้ว และไม่มีทรัพยากรหรือบุคลากรทางการแพทย์เพียงพอรับมือกับภัยพิบัติครั้งนี้ ขณะที่ ทอม แอนดรูว์ ผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชนในเมียนมา ให้สัมภาษณ์กับ ไทม์เรดิโอ ว่า

“นี่อาจเป็นหายนะซ้อนหายนะ ประชาชน 20 ล้านคนต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมตั้งแต่ก่อนแผ่นดินไหวแล้ว มีผู้พลัดถิ่น 3 ล้านคน และมากกว่าครึ่งของประชากรเมียนมาดำดิ่งสู่ความยากจนขั้นรุนแรง”

โจ ฟรีแลนด์ นักวิจัยด้านเมียนมาของ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า “แผ่นดินไหวเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของเมียนมา ซึ่งกำลังเผชิญกับภาวะวิกฤติด้านมนุษยธรรมที่ร้ายแรงอยู่แล้ว”

แผ่นดินไหวครั้งนี้ยังส่งผลกระทบต่อไทย โดยมีรายงานว่ากรุงเทพฯได้รับแรงสั่นสะเทือนและมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 10 ราย นอกจากนี้ ยังมีความกังวลว่ามาตรการตัดลดงบประมาณช่วยเหลือต่างประเทศของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งประกาศระงับโครงการช่วยเหลือต่างประเทศเป็นเวลา 90 วัน อาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง โดยเฉพาะในแคมป์ผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาในไทยที่มีผู้พักพิงมากกว่า 100,000 คน

โครงการอาหารโลก (WFP) รายงานว่าการปันส่วนอาหารในเมียนมาจะถูกตัดขาดเกือบทั้งหมดในเดือนเมษายน แม้ว่าประเทศกำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหารรุนแรง

ปัจจุบัน มีประชากร 15.2 ล้านคน หรือเกือบ 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด ไม่มีอาหารเพียงพอ และราว 2.3 ล้านคน ต้องเผชิญกับภาวะหิวโหยระดับฉุกเฉิน

สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ (USGS) คาดการณ์ว่า ยอดผู้เสียชีวิตอาจสูงถึง 10,000 - 100,000 ราย พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย กล่าวผ่านสถานีโทรทัศน์เมียนมาว่า “ยอดผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นกว่านี้”

รัฐบาลทหารประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินใน 5 ภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบหนัก ได้แก่ มัณฑะเลย์, สะกาย, มะกเว, ฉาน และบะโก ด้านองค์การสหประชาชาติจัดสรรงบประมาณ 5 ล้านดอลลาร์ สำหรับความช่วยเหลือเบื้องต้น

อย่างไรก็ตาม ภาพถ่ายจากพื้นที่ภัยพิบัติแสดงให้เห็นถนนแตกร้าว สะพานถล่ม และเขื่อนแตก สร้างความกังวลว่าทีมกู้ภัยจะเข้าถึงพื้นที่ประสบภัยได้ยาก ในประเทศที่กำลังจมดิ่งสู่ภาวะวิกฤติอยู่แล้ว

หนังสือพิมพ์ Global New Light of Myanmar รายงานว่า เมืองและหมู่บ้าน 5 แห่ง พบเห็นอาคารพังถล่ม และมีสะพานพัง 2 แห่ง หนึ่งในนั้นเป็นสะพานหลักที่เชื่อมไปยัง มัณฑะเลย์ โดย โมฮัมเหมด ริยาส ผู้อำนวยการด้านเมียนมาของ คณะกรรมการกู้ภัยระหว่างประเทศ (IRC) ระบุว่า

"อาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะทราบถึงขอบเขตความเสียหายที่แท้จริง และอาจมีผลกระทบร้ายแรงกว่าที่เราคาดการณ์ไว้"

จากสงครามกลางเมืองที่ยังไม่มีจุดจบ สู่ภัยธรรมชาติร้ายแรงที่ซ้ำเติม เมียนมาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากยิ่งขึ้น ความช่วยเหลือจากนานาชาติจะเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ขณะที่ประชาชนจำนวนมากยังต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดในประเทศที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

กลุ่มติดอาวุธต่อต้านรัฐบาลทหารพม่า ประกาศหยุดสู้รบ 2 สัปดาห์ เพื่อเปิดพื้นที่ให้กู้ภัยช่วยเหลือเหยื่อแผ่นดินไหว

(30 มี.ค. 68) กลุ่มติดอาวุธต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา ประกาศหยุดยิงเป็นเวลา 2 สัปดาห์ เพื่อเปิดทางให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยและองค์กรด้านมนุษยธรรมสามารถเข้าไปช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก โดยเฉพาะในเขตเนปิดอว์ ภาคซะไกง์ และภาคมัณฑะเลย์

แถลงการณ์จากแนวร่วมกลุ่มติดอาวุธระบุว่า การหยุดยิงชั่วคราวครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยสามารถดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดอุปสรรคจากสถานการณ์สู้รบ และป้องกันไม่ให้ประชาชนต้องเผชิญความยากลำบากมากขึ้นจากทั้งภัยพิบัติและความขัดแย้งทางทหาร

“กองกำลังพิทักษ์ประชาชน (PDF) จะหยุดดำเนินการปฏิบัติการทางทหารเชิงรุกเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ยกเว้นปฏิบัติการเชิงป้องกัน ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวเริ่มตั้งแต่วันที่ 30 มี.ค. 2568” รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) ที่เป็นรัฐบาลเงาระบุในคำแถลง

ด้านองค์กรบรรเทาทุกข์ระหว่างประเทศและกลุ่มสิทธิมนุษยชนได้ออกมาเรียกร้องให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างจริงจัง และเปิดทางให้ความช่วยเหลือเข้าถึงทุกพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ พร้อมทั้งเน้นย้ำว่าการเมืองไม่ควรเป็นอุปสรรคต่อการช่วยเหลือผู้ที่กำลังเดือดร้อน

ขณะที่รัฐบาลทหารเมียนมายังไม่มีท่าทีตอบสนองต่อแถลงการณ์หยุดยิงดังกล่าว อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าองค์กรกาชาดสากล และศูนย์ประสานงานอาเซียนด้านมนุษยธรรม (AHA Centre) กำลังเร่งประสานงานกับทั้งสองฝ่ายเพื่อส่งความช่วยเหลือไปยังพื้นที่ภัยพิบัติโดยเร็วที่สุด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top