Sunday, 22 June 2025
Hard News Team

จีนแต่งตั้ง ‘หลี่ เฉิงกัง’ อดีตทูตฯ WTO ตัวแทนเจรจาการค้าคนใหม่ แทนที่ ‘หวัง โซ่วเหวิน’ รับมือศึกภาษีเดือดกับสหรัฐฯ

(17 เม.ย. 68) รัฐบาลจีนประกาศแต่งตั้ง นายหลี่ เฉิงกัง (Li Chenggang) วัย 58 ปี ขึ้นดำรงตำแหน่ง รองรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ และ ตัวแทนเจรจาการค้าระหว่างประเทศคนใหม่แทนที่ นายหวัง โซ่วเหวิน (Wang Shouwen) ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

การเปลี่ยนตัวผู้เจรจาเกิดขึ้นในช่วงที่ทั้งสองชาติมหาอำนาจกำลังเผชิญภาวะ “สงครามภาษี” ครั้งใหม่ โดยรัฐบาลวอชิงตันภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ทยอยขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนจนรวมสูงถึง 145% ขณะที่จีนตอบโต้ด้วยภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ สูงสุดถึง 125%

หลี่ ซึ่งมีประสบการณ์ทำงานด้านการค้าระหว่างประเทศมาอย่างยาวนาน และเคยดำรงตำแหน่งทูตประจำ องค์การการค้าโลก (WTO) ได้รับการมองว่าเป็นบุคคลที่มีศักยภาพในการคลี่คลายความตึงเครียด และอาจนำพาการเจรจาให้เดินหน้าต่อไปได้

อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถูกมองว่ามาอย่างกะทันหัน โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการค้ารายหนึ่งให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Reuters ว่า “การเปลี่ยนแปลงนี้กะทันหันมาก และอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อทิศทางการเจรจา โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ตึงเครียดในปัจจุบัน” 

ผู้เชี่ยวชาญรายดังกล่าวยังระบุเพิ่มเติมว่า นายหวัง โซ่วเหวิน มีบทบาทสำคัญในการเจรจากับสหรัฐฯ มาตั้งแต่ยุคทรัมป์ชุดแรก และการถอดถอนเขาออกจากตำแหน่งอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ของจีน

อัลเฟรโด มอนตูฟาร์-เฮลู ที่ปรึกษาอาวุโสจากศูนย์จีนของ Conference Board วิเคราะห์ว่า “อาจเป็นไปได้ว่าในมุมมองของผู้นำระดับสูงของจีน เนื่องจากความตึงเครียดที่ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาต้องการคนอื่นมาคลี่คลายความขัดแย้ง... และเริ่มการเจรจาในที่สุด”

ขณะที่นักวิเคราะห์อีกคนหนึ่งให้ความเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงนี้อาจไม่ได้มีนัยทางการเมืองมากนัก โดยมองว่า “อาจเป็นเพียงการเลื่อนตำแหน่งแบบปกติที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ตึงเครียดเป็นพิเศษ”

ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีเหอ หลี่เฟิง ยังคงดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะเจรจาการค้าระดับสูงของจีน และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างจีนกับสหรัฐฯ

ด้าน ทำเนียบขาวได้ออกแถลงการณ์ระบุว่าสหรัฐฯ “พร้อมเจรจาข้อตกลงการค้า” กับจีน แต่ต้องการให้ 'ปักกิ่งเป็นฝ่ายเริ่มก่อน' ท่ามกลางแรงกดดันจากภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมในประเทศที่ต้องรับมือกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ศึกเงาของ ‘ทรัมป์’ ปะทะ ‘โซรอส’ เกมอำนาจเบื้องหลังเลือกตั้งแอลเบเนีย นักวิเคราะห์ชี้เป็นสนามประลองอุดมการณ์ระดับโลก กลางสมรภูมิการเมืองยุโรป

(17 เม.ย. 68) แอลเบเนียกำลังเผชิญการเลือกตั้งที่ร้อนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศ เมื่อการต่อสู้ในสนามเลือกตั้งครั้งนี้ถูกมองว่าไม่ใช่แค่การแย่งชิงเก้าอี้รัฐสภา แต่คือสงครามตัวแทนของสองขั้วอุดมการณ์ระดับโลก ระหว่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” กับ “จอร์จ โซรอส”

อดีตเอกอัครราชทูตแอลเบเนียประจำสหรัฐฯ นายอากิม เนโช เผยว่า การเลือกตั้งในวันที่ 11 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ เป็นมากกว่าการแข่งขันทางการเมืองภายในประเทศ หากแต่สะท้อนการต่อสู้ระหว่างฝ่ายอนุรักษนิยมที่ต่อต้านการแทรกแซงจากภายนอก กับฝ่ายเสรีนิยมที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศ

นายกรัฐมนตรีเอดี รามา ผู้นำพรรคสังคมนิยม ที่ครองอำนาจต่อเนื่องมากว่า 12 ปี ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนหัวก้าวหน้า อาทิ อเล็กซ์ ซอรอส บุตรชายของจอร์จ ซอรอส ตลอดจนโครงการของ USAID และมูลนิธิ Open Society Foundations (OSF) ซึ่งฝ่ายค้านกล่าวหาว่าเป็นกลไกแทรกแซงการเมืองแอลเบเนีย

ด้านฝ่ายค้านนำโดยนายซาลี เบริชา อดีตผู้นำประเทศและหัวหน้าพรรคประชาธิปไตยฝ่ายขวา ได้รับการหนุนหลังจากนายคริส ลาซีวิตา อดีตผู้จัดการหาเสียงของโดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมออกแถลงการณ์โจมตีว่า รัฐบาลรามาคือ “หุ่นเชิดของโซรอส” และให้คำมั่นจะนำแอลเบเนียกลับสู่ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับสหรัฐฯ ในแบบที่เคยมีในยุคทรัมป์

สถานการณ์ซับซ้อนยิ่งขึ้นเมื่อเบริชาถูกตัดสิทธิทางกฎหมายในประเทศ และเผชิญคดีทุจริตตั้งแต่ปี 2023 ซึ่งเขาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยระบุว่าเป็นการกลั่นแกล้งจากฝ่ายรัฐบาลและกลุ่มอิทธิพลต่างชาติ

ไม่เพียงเท่านั้น นายอิลีร์ เมตา อดีตประธานาธิบดีและผู้นำพรรคเสรีประชาธิปไตยสายกลาง ก็ถูกจับกุมในข้อหาทุจริตเช่นกัน ยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อระบบตุลาการของประเทศที่ฝ่ายค้านกล่าวหาว่า “ถูกใช้เป็นอาวุธทางการเมือง”

รายงานจาก European Center for Law & Justice ชี้ว่า Open Society Foundations ได้ลงทุนในแอลเบเนียมากกว่า 131 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 1992 โดยมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการปฏิรูปตุลาการ ซึ่งถูกมองว่าเป็นช่องทางการควบคุมอำนาจจากภายนอก

เนโช สรุปว่าการเลือกตั้งครั้งนี้อาจเป็นอีกครั้งที่ประชาชนแอลเบเนียต้องเผชิญกับความไม่เป็นธรรม พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปเร่งผลักดันการเลือกตั้งที่โปร่งใส หรือพิจารณาเลื่อนวันเลือกตั้งออกไป จนกว่าจะมีหลักประกันในกระบวนการประชาธิปไตยที่แท้จริง

‘วิชัย ทองแตง’ เชื่อมั่นคนไทยรับมือสงครามการค้าได้ ยก ‘ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง’ ของในหลวง ร.9 คือหนทางพ้นวิกฤต

เมื่อวันที่ (16 เม.ย. 68) นายวิชัย ทองแตง นักธุรกิจและนักลงทุนชื่อดัง ได้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับการขึ้นภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมการเตรียมรับมือ TRUMP WAR ว่า…  
ผมติดตามข่าวสารการเมืองในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ที่ Donald Trump สามารถช่วงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี มาครองได้เป็นครั้งที่ 2 คนทั่วไปเรียกปรากฏการณ์ครั้งนี้ว่า เป็น Trump 2.0 

ทว่า ปรากฎการณ์ครั้งนี้ได้ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกไปทั่วโลก เมื่อ Trump ได้ประกาศ เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ให้ขึ้นภาษีศุลกากร (Tariff) จนช็อคไปทั้งโลก ครอบคลุม 185 ประเทศทั่วโลกจาก 193 ประเทศ กล่าวขานกันว่ากลายเป็น TRADE WAR ที่เข้มข้นรุนแรงที่สุดในรอบ 100 ปี ทำให้ตลาดหุ้น รวมทั้งตลาดตราสารหนี้ทั่วโลกร่วงอย่างหนัก ทุกประเทศต้องปรับตัวและปรับกลยุทธเพื่อความอยู่รอด ที่กระทบุรุนแรงที่สุดน่าจะเป็น ประเทศจีน ญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ แม้ Trump จะมีประกาศเลื่อนเวลาออกไป 90 วัน นับแต่วันที่ 8 เมษายน 2568 สะท้อนให้เกิดการปรับตัวขึ้นของตลาดฯ แต่ก็ยังไม่สามารถคลายกังวลได้ว่า สถานการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร คำถามที่ดังที่สุดที่ทั่วโลกกังวลคือ จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) หรือไม่ และสภาวะเช่นนี้จะดำรงอยู่ยาวนานขนาดไหน "บางคนคิดเลยเถิดไปถึงว่า สงครามการค้านี้จะก่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือไม่ 

ในฐานะที่เคยเป็นนักธุรกิจ ที่คร่ำหวอดในตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้มายาวนานปัจจุบันแม้จะล้างมือไปแล้วเมื่อตอนอายุครบ 70 ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงประเทศชาติอันเป็นที่รักของพวกเราทุกคน ผมจึงได้สั่งให้ทีมงานติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และต้องยอมรับว่าวิกฤติครั้งนี้มันน่าห่วงจริง ๆไม่น่าเชื่อว่าคนชื่อ Trump เพียงคนเดียว จะสามารถสร้างความปั่นป่วนโกลาหลให้เกิดขึ้นกับโลกทั้งใบได้เพียงคำกล่าวไม่กี่ประโยค 

คนไทยพร้อมรับมือมั้ยครับ ? ส่วนตัวผมยังเชื่อว่า คนไทยยังขาดความพร้อมหลายด้านโลกการเงินมันซับซ้อนครับ ยิ่งเราเป็นประเทศเล็ก อำนาจต่อรองมีไม่มาก ความสามามารถในการแข่งขัน(Competitiveness) ของเรายังไม่แกร่งพอ ต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอกอยู่ไม่ใช่น้อย ในท่ามกลางโลกแห่งเทคโนโลยี ที่ AI กำลังมา Disrupt เกือบทุกสิ่งอย่างบนโลกใบนี้ เมื่อมาประจวบเหมาะกับ TRUMP WAR จะยิ่งทำให้เราป้องกันตัวได้ยากขึ้นในการวางแผนเผชิญวิกฤติ 

ทุกท่านอย่าเพิ่งสิ้นหวังนะครับ ประเทศไทยยังมีจุดแข็งบางอย่างที่ทำให้เราหลุดพ้นวังวนที่เชี่ยวกรากเหล่านั้นได้ ขอเพียงมี "สติ" 

ยังพอจำกันได้มั๊ยครับ ในช่วงวิกฤติการเงินในเอเชีย เมื่อปี พ.ศ.2540 ประเทศไทยได้น้อมนำเอา "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาใช้ในการแก้ปัญหา ทำให้เราผ่านวิกฤตินั้นมาได้ อันที่จริงพระองค์ท่านตรัสไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2517 แล้วครับ ปรัชญานี้ยังคงดำรงอยู่ เป็นแก่นแกนอยู่กลางใจพสกนิกรชาวไทยทุกคน ลองไปหาอ่านกันดูอีกครั้งนะครับ เป็นหลักปรัชญาที่ทำให้พวกเราเข้าใจการดำเนินชีวิตแบบทางสายกลางโดยตั้งอยู่บนหลักสำคัญสามประการ คือ ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้นกันกันที่ดีความสนใจของผม ทำให้ผมยอมรับเป็นประธานกิตติมศักดิ์ "มูลนิธิครอบครัวพอเพียง" เพื่อสนับสนุนส่งเสริมคนรุ่นใหม่ให้เข้าใจปรัชญานี้ และประพฤติปฏิบัติตนตามครรลองอย่างเหมาะสม จนท่านดร.จงรักษ์ วัชรินทร์รักษ์ อดีตอธิการบดี แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (ผู้ล่วงลับ) ได้ให้เกียรติเรียนเชิญเป็นผู้บรรยายวิชา "ศาสตร์แห่งแผ่นดิน" ในช่วงปฐมนิทศนักศึกษา 

ผมและครอบครัวยึดถือ และนำเอาหลักปฏิบัติของปรัชญานี้ มาใช้อย่างต่อเนื่องและยาวนานแล้วครับ อยากให้รัฐบาลน้อมนำมาสื่อสาร ถ่ายทอดอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง จะเป็นการดีมากอย่างน้อยฉุดรั้งและตักเตือนให้คนไทยมีสติ มีความหวัง ไม่ตื่นตระหนก หวาดกลัวต่อสงครามอารยะแบบไร้อารยะ ที่มนุษย์บางประเภทกำลังเบ่งพองซึ่งอำนาจของตน

พี่น้องครับ ลูกหลานครับ การประกาศ TRUMP WAR ครั้งนี้ ได้ให้บทเรียนสำคัญแก่เราอีกครั้งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นสนามรบ หรือ สนามการค้า ทุกอย่างล้วนมาจากเป้าหมายเรื่อง เงินและผลประโยชน์ ถามว่า ประเทศไทย และปวงชนชาวไทย ปรารถนาเช่นเดียวกันนี้หรือเปล่า อย่าลืมว่าเรามี"ภูมิคุ้มกัน" ที่พ่อหลวงทรงสังสอนเป็นแนวปฏิบัติที่ส่งผลต่อความผาสุกและยังยืน เชื่อหรือไม่ครับ ลูกชายคนเล็กของผมเรียนจบด้านธุรกิจากมหาวิทยาลัย ABAC แต่เขาเลือกทางเดินชีวิตของเขาเอง ด้วยการมาขออนุญาตคุณพ่อ คุณแม่ว่า เขาขอเป็นเกษตรกร... เน้นด้วยว่า บนแนวทาง "ศาสตร์พระราชา" คุณแม่เขาบอกว่า เราต้องยอมเขาเลยนะพ่อ เชื่อได้ว่าเขาจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุด เพราะเขาจะอยู่กับธรรมชาติและความพอเพียง โดยเหตุนี้ "สวนสมดุล" จึงก่อกำเนิดขึ้นเมื่อปี พ.พ.ศ. 2562 เขาทุ่มเทใส่ใจต่อแปลงวนเกษตร ที่ปลอดจากสารเคมีทั้งปวง พร้อมเปิดร้านกาแฟ ออแกนิก เล็ก ๆ อยู่อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม ริมแม่น้ำแม่กลอง โดยขอย้ายสำมะโนครัวจากการเป็นคนคนกรุงเทพ ไปเป็นคนแม่กลอง และเปิดวิสาหกิจชุมชนเล็ก ๆ ร่วมกับชาวบ้านที่นั่น 

วันนี้เขาค้นพบว่า "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" คือ ปรัชญาที่ดีที่สุดที่จะช่วยจรรโลง และผดุงสังคมไทยให้ปลอดภัย และเป็นสุข ไม่ว่าวิกฤตจะเกิดขึ้นสักกี่ครั้งก็ตาม 

ฝากทุกท่านให้ศึกษาและทำความเข้าใจให้ถ่องแท้นะครับ

ผบ.ตร.ส่งกำลังใจให้ตำรวจดูแลประชาชนช่วงสงกรานต์ พอใจภาพรวมเป็นไปด้วยดี อุบัติเหตุลดลง วันนี้คาดเดินทางกลับสูงสุด กำชับเตรียมช่องทางพิเศษรองรับ โครงการฝากบ้านกว่า 7,500 ราย ยังไร้เหตุ 

เมื่อวานนี้ (16 เม.ย.68) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงการดูแลความปลอดภัยและการอำนวยความสะดวกการเดินทางของพี่น้องประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ว่า วันนี้ถือเป็นวันเดินทางกลับเข้าสู่กรุงเทพมหานครของพี่น้องประชาชน รวมถึงยังมีบางพื้นที่จัดงานสงกรานต์ ซึ่งภาพรวมของมาตรการดูแลความปลอดภัยเทศกาลสงกรานต์ การอำนวยความสะดวกจราจร การป้องกันลดอุบัติเหตุ โครงการ "ร่วมใจยกระดับความปลอดภัยบ้านประชาชนช่วงเทศกาลสำคัญ (ฝากบ้าน 4.0)” ในช่วงวันที่ 11-15 เมษายน 2568 ถือว่าเป็นไปด้วยดี 

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พอใจการทำงานของตำรวจในการดูแลพี่น้องประชาชนในทุกมิติ เช่น การป้องกันและลดอุบัติเหตุ มีการตั้งจุดตรวจ 2,514 แห่งทั่วประเทศ จับกุมกว่า 361,342 ราย โดยเฉพาะข้อหาเมาแล้วขับ และขับรถเร็ว ทำให้ภาพรวมสถิติอุบัติเหตุลดลง สะสม 5 วัน เกิด 1,216 ครั้ง ลดลง 22.89% เสียชีวิต 171 ราย ลดลงกว่า 24.67%

สำหรับการอำนวยความสะดวกการจราจรพี่น้องประชาชน ผบ.ตร.กำชับตำรวจทางหลวงร่วมกับแขวงการทาง และตำรวจท้องที่ จัดการจราจร เปิดช่องทางพิเศษ เร่งระบายตามแยกสัญญาไฟ ซึ่งเมื่อวานนี้ (15 เมษายน 2568) สามารถส่งพี่น้องกลับเข้ากรุงเทพมหานคร 521,913 คัน การจราจรมีความคล่องตัวดี คาดว่าวันนี้จะมีการเดินทางมากที่สุด โดยตำรวจได้มีการเตรียมการวางแผนไว้แล้ว

โครงการฝากบ้าน 4.0 มีพี่น้องประชาชนสนใจเข้าร่วมโครงการ 7,514 หลัง ส่งคืนไปแล้ว 100 หลัง ยังไม่พบการรายงานเหตุ ทุกหลังมีความปลอดภัยดี

การดูแลความปลอดภัยการจัดงานเทศกาลสงกรานต์ขนาดใหญ่ทั่วประเทศ ที่ผ่านมาพบว่าเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยเฉพาะจุดที่มีประชาชนเข้าร่วมกว่า 5 หมื่นราย เช่น ถนนข้าวสาร สนามหลวง และสีลม สร้างความประทับใจให้ประชาชน นักท่องเที่ยวที่เข้าร่วมงานได้เป็นอย่างดี 

นอกจากนี้ โฆษก ตร. กล่าวว่า ผบ.ตร.ขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างหนักในการดูแลประชาชน และขอชื่นชมในห้วงที่ผ่านมา ทุกท่านได้ทำหน้าที่ได้อย่างดี แต่ภารกิจยังไม่จบสิ้น วันนี้ยังมีการเดินทางกลับ มีการจัดงานสงกรานต์ ที่ตำรวจยังคงต้องทำหน้าที่ดูแลพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะงานจราจรที่คาดว่าจะมีประชาชนเดินทางกลับมากที่สุด  
 
ผบ.ตร.ได้ฝากความห่วงใยถึงพี่น้องประชาชน ในการเดินทางกลับเข้ากรุงเทพมหานคร ขอให้เอื้ออาทรในการใช้รถใช้ถนนต่อกัน ขอให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ขับรถเร็ว ไม่เมาแล้วขับ ง่วงจอดแวะพัก ขอให้เดินทางถึงที่หมายด้วยความปลอดภัย 

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนต้องการสอบถามข้อมูลจราจรสามารถติดต่อตำรวจทางหลวงที่หมายเลข 1193 หรือติดตามที่เพจ “ตำรวจทางหลวง” ที่จะมีการไลฟ์สดจุดที่มีการจราจรติดขัด หรือหากต้องการแจ้งเหตุด่วน ขอความช่วยเหลือ ติดต่อได้ที่สายด่วน 191 หรือ 1599 ตลอด 24 ชั่วโมง

ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่ง เตือนเข้ม เมาแล้วขับตรวจพบถูกจับซ้ำ ต้องรับโทษสูงขึ้น

เมื่อวันที่ (14 เม.ย.68) พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการศึกษา ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานฝ่ายเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สรุปการเกิดอุบัติเหตุช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 สะสม 3 วัน (11-13 เมษายน 2568) มียอดจับกุม เมาแล้วขับสูงถึง 11,801 ราย ซึ่งในจำนวนนี้มีผู้ที่ถูกตรวจพบว่าเป็นการกระทำผิดซ้ำ ภายใน 2 ปี นับแต่วันที่กระทำความผิดครั้งที่ผ่านมา มากถึง 63 ราย 

พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม “มาตรา 160 ตรี/1 ผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรา 160 ตรี (เมาแล้วขับ) และได้กระทำความผิดซ้ำอีกภายใน 2 ปี นับแต่วันที่กระทำความผิดครั้งแรก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับตั้งแต่ 50,000 – 100,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่าหนึ่งปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่“ ซึ่งผู้ที่กระทำผิดซ้ำนี้ จะถูกส่งตัวเพื่อไปฟ้องยังศาลจังหวัด และต้องถูกฝากขังตามอัตราโทษของศาลจังหวัด นอกจากนั้นกฎหมายยังกำหนดให้ศาลใช้ดุลพินิจลงโทษจำคุกและปรับโดยเสมอ โดยความผิดเมาแล้วขับในครั้งแรก อัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 

พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรทุกนายเพิ่มความเข้มข้นในการปฏิบัติหน้าที่ในห้วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งมีประชาชนเดินทางไปร่วมงานในสถานที่ต่างๆ รวมถึงมีการดื่มสังสรรค์ เพื่อควบคุมและลดการเกิดอุบัติเหตุทางถนนที่มีสาเหตุมาจากการดื่มแอลกอฮอล์แล้วไปขับขี่ยานพาหนะ 

ทั้งนี้ ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอแจ้งประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชนที่ใช้รถใช้ถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ขอให้รักษากฎหมายจราจร เพราะหากเกิดอุบัติเหตุจะสร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ดังนั้น จึงขอความร่วมมือประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนขับขี่ด้วยควยความระมัดระวัง มีน้ำใจต่อกัน เมาไม่ขับ เพื่อสร้างความปลอดภัยให้แก่ตัวท่านและผู้ที่ร่วมใช้ทางได้ฉลองเทศกาลสงกรานต์ได้อย่างมีความสุขและปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เคยถูกจับกุมในความผิดฐานเมาแล้วขับในห้วงระยะเวลา 2 ปี ที่ผ่านมา หากมีความจำเป็นที่จะต้องไปดื่มสังสรรค์นั้น ขอให้หลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะ ขอให้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ รวมถึงต้องถูกดำเนินคดีที่ต้องถูกส่งฟ้องในอัตราโทษที่สูงขึ้นตามที่กฎหมายกำหนดไว้

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตรวจเยี่ยมการดูแลประชาชนวันสงกรานต์ ถ.ข้าวสาร และ สนามหลวง กำชับดูแลความปลอดภัยเต็มที่

เมื่อวันที่ (13 เม.ย.68) เวลา 17.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วย , พล.ต ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล , พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว , พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล/โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (โฆษก ตร.) , พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1/รองโฆษก ตร. , พล.ต.ต.วรศักดิ์ พิสิษฐบรรณกร ผู้บังคับการกองสารนิเทศ/รองโฆษก ตร. , พล.ต.ต.นรเศรษฐ์ สุวรรณนิกขะ ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว 1 และผู้เกี่ยวข้อง เดินทางไปตรวจเยี่ยมการดูแลความปลอดภัยเทศกาลสงกรานต์ ถ.ข้าวสาร ที่ สน.ชนะสงคราม โดยร่วมประชุมและฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์ ณ ศูนย์ปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกการจราจร เทศกาลสงกรานต์ 2568 สน.ชนะสงคราม 

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า วันนี้มาดูการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งขอชื่นชมผู้ปฏิบัติหน้าที่ทุกนาย ที่มีจิตบริการ มีทัศนคติที่ดี ในการดูแลความปลอดภัยอย่างเต็มที่ ซึ่งส่วนนี้เป็นผลสะท้อน ให้พี่น้องประชาชนและชาวต่างชาติเชื่อมั่นในการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป

นอกจากนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ในวาระดิถีปีใหม่ไทย วันสงกรานต์ 13 เมษายน 2568 นี้ ทราบว่าตำรวจทุกนายต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเหน็ดเหนื่อย เสียสละเวลาเพื่อดูแลพี่น้องประชาชน ขอสวัสดีปีใหม่ และขอให้ทุกท่านพร้อมด้วยครอบครัว มีความสุข โชคดี สุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง ปลอดภัยจากภยันตรายทั้งหลายทั้งปวง และพบแต่สิ่งอันเป็นมงคลแห่งชีวิต 

จากนั้นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตรวจจุดคัดกรองทางเข้า ถ.ข้าวสาร และเดินตรวจบรรยากาศ การเล่นน้ำสงกรานต์ตลอด ถ.ข้าวสาร และบริเวณจัดงานสงกรานต์ที่ท้องสนามหลวง  ซึ่งทั้ง 2 แห่ง มีประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวงานจำนวนมาก

ผอ.ศรชล.ภาค 1 ตรวจเยี่ยมศูนย์อำนวยความสะดวกและความปลอดภัยทางน้ำร่วม เทศกาลสงกรานต์ 

พลเรือโท อาภา ชพานนท์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 ในฐานะ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 (ผอ.ศรชล.ภาค 1) พร้อมคณะฯ ตรวจเยี่ยมศูนย์อำนวยความสะดวกและความปลอดภัยทางน้ำร่วมเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2568 ณ ท่าเทียบเรือเทศบาลเพ ต.บ้านเพ อ.เมือง จว.ระยอง เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เมื่อ 12 เม.ย.68

ในการนี้ ศรชล./ศคท.จว.รย. โดย น.อ.ธรรมนูญ จันทร์หอม  รอง ผอ.ศรชล.จว.รย. น.ท.ภณ ทิพย์ทอง จนท.ประสานงานความมั่นคง ศคท.จว.รย. นายชวภัทร ทัดมาลี หัวหน้าตรวจการขนส่งทางน้ำ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาระยอง และ จนท. ศรชล./ศคท.จว.รย. จนท.สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาระยอง ให้การต้อนรับ ในการเดินทางไปตรวจเยี่ยมศูนย์อำนวยความสะดวกและความปลอดภัยทางน้ำเทศกาลสงกรานต์ และตรวจความพร้อมของท่าเรือโดยสารเส้นทาง บ้านเพ - เกาะเสม็ด ณ ท่าเทียบเรือเทศบาลเพ พร้อมทั้ง ตรวจเยี่ยมเรือ ต.235 ที่ไปปฏิบัติราชการเตรียมความพร้อมช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางน้ำพื้นที่ จว.ระยอง - เกาะเสม็ด

“ศรชล.เป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ที่ได้รับการยอมรับในระดับภูมิภาคเพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนของประเทศชาติและประชาชน”

เหตุด่วน เหตุร้าย ภัยทางทะเล แจ้งสายด่วน 1465 หรือ 02 888 1465 ตลอด 24 ชั่วโมง

"ท่องเที่ยว ปลอดภัย มั่นใจ ศรชล"

'อดีตรัฐมนตรีอลงกรณ์' วิเคราะห์โอกาสในวิกฤติของไทยภายใต้สถานการณ์สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ ไทยแลนด์เขียนบทวิเคราะห์โพสต์ในเฟสบุ้คเรื่องโอกาสและภัยคุกคามจากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนโดยแบ่งเป็นยุคทรัมป์1.0และ2.0ด้วยมุมมองของผู้มีประสบการณ์เจรจากับสหรัฐและจีนรวมทั้งเข้าร่วมการประชุมAPECและอาเซียน+3+6โดยเคยดำรงตำแหน่งอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ปฏิบัติราชการรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนและยังติดตามความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจ-การเมืองระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่องจึงนำมาเสนอเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณชนต่อไปโดยมีเนื้อหาตอนที่ 1 ดังนี้

สงครามการค้าสหรัฐกับจีนยุคทรัมป์ 1.0-2.0 :โอกาสในวิกฤตของไทย (1)
โดย นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ ไทยแลนด์
13 เมษายน 2025

ก่อนจะวิเคราะห์ถึงปัญหาและโอกาสในวิกฤตของไทยในสงครามภาษีการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนและประเทศต่างๆในปี 2025 ควรจะต้องทราบถึงสงครามครั้งแรกในยุคทรัมป์ 1.0 เมื่อ 7 ปีที่แล้วเป็นการปูพื้นฐานความเข้าใจก่อนที่จะวิเคราะห์โอกาสในวิกฤติที่จะเกิดขึ้นจากนโยบายทรัมป์ 2.0

เปิดศึกเทรดวอร์(Trade War)

สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ.และจีนที่เริ่มขึ้นในปี 2018 ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ 1.0 สร้างความตึงเครียดทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างสองมหาอำนาจ โดยมีเหตุการณ์และผลกระทบสำคัญดังนี้
1.การเริ่มต้นมาตรการภาษี (มีนาคม 2018) สหรัฐฯ ใช้ มาตรา 301ของกฎหมายการค้า เพื่อลงโทษจีนในประเด็นการขโมยทรัพย์สินทางปัญญาและบังคับถ่ายโอนเทคโนโลยี  

ทั้งยังประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนมูลค่า 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องจักร ในขณะที่จีนตอบโต้ด้วยภาษีสินค้าสหรัฐฯ เช่น ถั่วเหลือง เนื้อสุกร และรถยนต์

2. การขยายวงภาษี (2018-2019) ทั้งสองฝ่ายทยอยเพิ่มภาษีสินค้ากว่า 3.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของจีนถึง 25% ในปี 2019 ส่วนจีนตอบโต้ด้วยการลดการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ

3.เปิดศึกเทควอร์(Tech War) สหรัฐฯเปิดสงครามเทคโนโลยี(Tech War)กับจีน(2019-2020) สหรัฐฯ ประกาศแบน Huawei และ ZTE จากตลาดสหรัฐฯ รวมถึงจำกัดการเข้าถึงชิปเซมิคอนดักเตอร์ ทำให้จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ เช่น ชิป 5G

เจรจาหย่าศึกดีลแรก

ข้อตกลงระยะที่หนึ่ง (Phase One Deal มกราคม 2020) จีนตกลงซื้อสินค้าสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ใน 2 ปี สหรัฐฯ ยกเลิกภาษีบางส่วน แต่ยังคงภาษีส่วนใหญ่ไว้

ผลกระทบของคลื่นสงคราม

1. ผลกระทบต่อสหรัฐฯ ผู้บริโภคและธุรกิจ ต้นทุนสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้น เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้า เกษตรกร สูญเสียตลาดส่งออกถั่วเหลืองและเนื้อสุกรหลักในจีน อุตสาหกรรมบางส่วน ได้รับการปกป้อง เช่น เหล็ก แต่บริษัทที่พึ่งห่วงโซ่อุปทานจีนเสียหาย  

2. ผลกระทบต่อจีน เศรษฐกิจชะลอตัว การส่งออกลดลง เร่งการพึ่งพาตลาดในประเทศ  
การย้ายฐานการผลิต บริษัทต่างชาติกระจายความเสี่ยงไปยังเวียดนาม อินเดีย เม็กซิโก  
เร่งพัฒนานวัตกรรม ลงทุนสูงในเทคโนโลยีหลัก (Semiconductor, AI) เพื่อลดพึ่งพาต่างชาติ  

3. ผลกระทบระดับโลก

องค์การการค้าโลก (WTO) คาดการณ์การค้าโลกลดลง 0.5% ในปี 2019 ห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงัก หลายบริษัทปรับโครงสร้างการผลิตใหม่  

4. ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้าสะท้อนการแข่งขันด้านเทคโนโลยีและอำนาจระหว่างสหรัฐฯ-จีน  ได้ส่งผลต่อประเด็นอื่น เช่น ความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ สถานะของไต้หวัน  

ไทยกับผลกระทบ ประโยชน์ 2 ทาง

จากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนครั้งแรก (2018–2020) ทำให้ไทยได้รับประโยชน์หลายด้านจากการปรับตัวของห่วงโซ่อุปทานโลกและการแสวงหาทางเลือกใหม่ของนักลงทุน 
1. การขยายตัวของการลงทุนตรงจากต่างชาติ (FDI) บริษัทที่ย้ายฐานการผลิตจากจีน  หลายบริษัทข้ามชาติเลือกไทยเป็นฐานผลิตแทนจีนเพื่อเลี่ยงภาษีสหรัฐฯ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (เช่น ฮาร์ดดิสก์ ชิปเซมิคอนดักเตอร์) และยานยนต์ ข้อมูลจาก BOIระบุว่าในปี 2019 การลงทุนต่างชาติในไทยเพิ่มขึ้น 68%จากปีก่อนโดยจีนและญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนหลัก  

ตัวอย่างเช่นบริษัทจีนเช่น BYD (รถยนต์ไฟฟ้า) และ Haier (เครื่องใช้ไฟฟ้า) ขยายการผลิตในไทย  
2. การเติบโตของการส่งออก 2 เด้ง สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าไทยแทนจีน
สินค้าไทยที่ได้ประโยชน์ เช่น ฮาร์ดดิสก์ (ครองส่วนแบ่งตลาดโลก 40%) ยางพารา ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป จีนเพิ่มนำเข้าสินค้าเกษตรจากไทยหลังจีนลดซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ ไทยส่งออกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ ยางพารา น้ำตาลและผลไม้ เช่น ทุเรียนเพิ่มขึ้น  

การส่งออกไทยไปสหรัฐฯ เติบโต 4.5%ในปี 2019 ส่วนการส่งออกไปจีนเพิ่ม7%

3. การเป็นศูนย์กลางห่วงโซ่อุปทานใหม่ฐานผลิตในภูมิภาคอาเซียน 
ไทยถูกมองเป็น "China +1" ของนักลงต่างประเทศ ช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาการผลิตในประเทศเดียว การลงทุนใน EEC (ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก)เช่นโครงการรถไฟความเร็วสูง และนิคมอุตสาหกรรมดิจิทัล เช่น EECdดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีและโลจิสติกส์  

4. ประโยชน์ต่อภาคเกษตรและอุตสาหกรรมเป้าหมาย
1.เกษตรกรรม
จีนเพิ่มการซื้อยางพารา มันสำปะหลัง และน้ำตาลจากไทยเพื่อทดแทนการนำเข้าจากสหรัฐฯ  
2.อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV)
การลงทุนจากจีนและญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น เพื่อใช้ไทยเป็นฐานส่งออกไปอาเซียนและตลาดอื่น  

5. การเสริมบทบาททางการค้าในภูมิภาค
1.ความเป็นกลางทางการเมือง
ไทยได้ประโยชน์จากการเป็นพันธมิตรทั้งสหรัฐฯ และจีน ส่งเสริมการเป็น "ฮับการค้า" ในอาเซียน  
2.ข้อตกลงการค้า
ไทยใช้ประโยชน์จากเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) เพื่อส่งออกสินค้าไปจีนโดยได้ภาษีพิเศษ  

6. ผลกระทบทางอ้อม
1.ค่าเงินบาทที่อ่อนตัว
ช่วงสงครามการค้า ค่าเงินบาทอ่อนค่าสัมพัทธ์กับดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งเสริมการส่งออก  
2.การจ้างงาน
อุตสาหกรรมที่ขยายตัวช่วยดูดซับแรงงาน โดยเฉพาะในเขต EEC  

สรุป
สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ไม่เพียงส่งผลทางเศรษฐกิจโดยตรง แต่ยังเปลี่ยนโฉมภูมิทัศน์การค้าโลก กระตุ้นให้ประเทศต่างๆ ปรับกลยุทธ์การค้าและลดการพึ่งพาซัพพลายเชนจากแหล่งเดียว ขณะเดียวกัน ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันด้านเทคโนโลยีและอิทธิพลระหว่างสองมหาอำนาจที่ยังคงดำเนินต่อเนื่องถึงปัจจุบัน

นอกจากนี้สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนยังส่งผลให้ไทยได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต การขยายการส่งออก และการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย แม้จะเผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว แต่ไทยสามารถใช้โอกาสนี้ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและเสริมตำแหน่งทางการค้าในภูมิภาคได้อย่างมีนัยสำคัญ.

:เกี่ยวกับผู้เขียน
นายอลงกรณ์ พลบุตร
ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ ไทยแลนด์
ประธานที่ปรึกษาของรัฐมนตรีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์
ประธานมูลนิธิเวิลด์วิว ไครเมต
อดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ
อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ปฏิบัติราชการรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน
อดีต ส.ส.6สมัย

ถอดรหัสฉลากเบียร์ Carlsberg ปี 1938 ที่จัดส่งมายังสยาม สะท้อนการยอมรับ ‘พระมหากษัตริย์’ องค์น้อยบนเส้นทางประชาธิปไตย

ฉลากเบียร์กับพระราชาองค์น้อย: Carlsberg และการต้อนรับรัชกาลที่ 8 สู่สยาม 
> År. 1938 – i anledning af, at den 13 årige barnekonge af Siam (det tidligere navn for Thailand), kong Ananda Mahidol, i nær fremtid vender hjem til Siam, har Carlsberg i forståelse med ØK ladet sine ølsorter bestemt for Siam forsyne med denne etiket.
นี่คือข้อความในภาษาดัตช์ (Danish) ที่อธิบายข้อมูลฉลากเบียร์ Carlsberg ฉบับหนึ่ง โดยมีความหมายว่า:

> “ในปี ค.ศ. 1938 เนื่องในโอกาสที่กษัตริย์พระองค์น้อยวัย 13 พรรษาแห่งสยาม (ชื่อเดิมของประเทศไทย) คือ พระเจ้าอานันทมหิดล จะเสด็จกลับสู่สยามในอนาคตอันใกล้ ทาง Carlsberg จึงร่วมกับบริษัท ØK (East Asiatic Company) จัดทำฉลากพิเศษนี้สำหรับเบียร์ที่จัดส่งมายังสยาม”

แม้จะเป็นเพียงคำอธิบายสั้น ๆ ประกอบฉลากเบียร์หนึ่งใบ แต่ข้อความนี้เปิดประตูสู่เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของไทยในช่วงเวลาหนึ่ง — ยุคหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 และช่วงที่ราชาธิปไตยกำลังแปรเปลี่ยนรูปเข้าสู่ “พระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ” อย่างเต็มตัว

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8 ทรงขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2477 ขณะมีพระชนมพรรษาเพียง 9 พรรษา หลังการสละราชสมบัติของรัชกาลที่ 7 พระองค์ยังมิได้เสด็จกลับสู่สยามทันที แต่พำนักอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพื่อทรงศึกษา จนกระทั่งปี พ.ศ. 2481 (ค.ศ. 1938) ที่มีข่าวว่าพระองค์จะเสด็จนิวัติพระนครเป็นครั้งแรก

ในห้วงเวลาแห่งการรอคอยนี้เอง บริษัทเบียร์ Carlsberg จากเดนมาร์ก ซึ่งมีสายสัมพันธ์กับบริษัทค้าต่างชาติอย่าง ØK ได้จัดทำ ฉลากเบียร์พิเศษ สำหรับส่งเข้าสู่สยาม โดยมีการพิมพ์คำว่า:
> 'สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และรัฐธรรมนูญ จงเจริญ'
พร้อมภาพพานรัฐธรรมนูญแวดล้อมด้วยฉัตรหลวงและธงไตรรงค์

ฉลากเบียร์ฉบับนี้จึงไม่ใช่เพียงผลิตภัณฑ์เพื่อการค้า หากแต่เป็น สื่อวัฒนธรรมที่สื่อความหมายทางการเมืองและจิตวิญญาณแห่งยุคสมัย กล่าวคือ มันสะท้อนการยอมรับพระมหากษัตริย์องค์ใหม่ของไทย และระบอบใหม่ที่รัฐธรรมนูญมีบทบาทร่วมกับพระราชอำนาจอย่างชัดเจน

น่าสังเกตว่า การออกฉลากนี้มิใช่เพียงแค่การ 'ต้อนรับกษัตริย์องค์ใหม่' เท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งสารว่า โลกภายนอก โดยเฉพาะภาคธุรกิจต่างชาติก็รับรู้และให้ความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของสยาม เช่นกัน

สรุป:
ฉลากเบียร์ Carlsberg ปี 1938 เป็นมากกว่าฉลากเครื่องดื่ม — มันคือ หลักฐานทางวัฒนธรรม ที่บันทึกไว้ถึงช่วงเวลาหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย ที่โลกกำลังจับตา 'พระมหากษัตริย์องค์น้อยแห่งรัฐธรรมนูญ' และประเทศเล็ก ๆ ในเอเชียที่กำลังเรียนรู้จะเดินต่อไปบนเส้นทางประชาธิปไตย

ข่าวเศร้า!! แพทย์หญิงตัสนีม ยานยา แพทย์ชำนาญการพิเศษ รพ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี เสียชีวิตจากเหตุหินถล่มในประเทศปากีสถาน

เมื่อวันที่ (21 เม.ย.68) เกิดเหตุหินถล่มรุนแรงบริเวณถนนสาย Siachen ในเมืองสการ์ดู แคว้นกิลกิต-บัลติสถาน ประเทศปากีสถาน อันเป็นผลจากฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ภูเขา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก โดยหนึ่งในผู้เสียชีวิตเป็นนักท่องเที่ยวหญิงชาวไทย นางสาวตัสนีม ยานยา อายุ 32 ปี แพทย์ชำนาญการพิเศษ ประจำโรงพยาบาลปานาเระ ซึ่งเสียชีวิตในทันทีจากแรงกระแทกของหินที่ถล่มลงมาทับรถยนต์ขณะโดยสารผ่านจุดเกิดเหตุ

จากรายงานระบุว่า ผู้โดยสารที่เดินทางร่วมกับนางสาวตัสนีม อีกหนึ่งราย คือ เสาด๊ะ ดอเลาะ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ อายุ 48 ปี ได้รับบาดเจ็บและถูกนำส่งโรงพยาบาลในเมืองสการ์ดู ขณะนี้อาการอยู่ในขั้นทรงตัว

ทั้งนี้ ทางครอบครัวของผู้เสียชีวิต โดยเฉพาะนางสาวนีสรีน ยานยา พี่สาวของผู้เสียชีวิต ได้ร้องขอผ่านสื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยเร่งดำเนินการช่วยเหลือในการประสานงานเพื่อนำร่างของนางสาวตัสนีมกลับสู่ประเทศไทยโดยเร็วที่สุด พร้อมระบุช่องทางติดต่อที่หมายเลขโทรศัพท์ 082-834-1697

ครอบครัวและญาติผู้เสียชีวิตต่างอยู่ในอาการโศกเศร้า พร้อมเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งดำเนินการประสานงานกับทางการปากีสถาน เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายร่าง และให้ความช่วยเหลือแก่ผู้บาดเจ็บที่ยังรักษาตัวในต่างประเทศอย่างเต็มที่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top