Sunday, 22 June 2025
Hard News Team

เศรษฐกิจในยุค 'ทรัมป์' ป่วนโลก

‘ดร.อมรเทพ จาวะลา’ แนะแนวทางการรับมือเศรษฐกิจยุค ‘ทรัมป์’ ป่วนโลก พร้อมคู่มืออยู่รอด มีอะไรต้องเตรียมพร้อมบ้างไปดูกัน 

สงกรานต์สุขใจแต่ต้องไม่เสียสุขภาพ อย่าลืมดูแลตัวเอง ‘เช็ก 5 โรคเสี่ยง’ ที่แฝงมากับความสนุกของเทศกาล

(14 เม.ย. 68) เทศกาลสงกรานต์เป็นช่วงเวลาที่หลายคนรอคอยในการเล่นน้ำสนุกสนานและทำกิจกรรมกับครอบครัว แต่การเล่นน้ำในช่วงกลางแดดร้อนอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคบางชนิดที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในช่วงที่อุณหภูมิสูงและความชื้นสูง ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพได้หลายอย่าง ประกอบไปด้วย 

1. โรคลมแดด (Heatstroke) การเล่นน้ำท่ามกลางแสงแดดร้อนจัด อาจทำให้ร่างกายขาดน้ำและเกิดภาวะลมแดดได้ หากร่างกายไม่สามารถระบายความร้อนออกได้เพียงพอ อาจส่งผลให้มีอาการเวียนศีรษะ อ่อนแรง หน้ามืด หรือแม้กระทั่งหมดสติได้ ดังนั้นจึงควรดื่มน้ำให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงการเล่นน้ำในช่วงกลางวันที่มีแสงแดดจัดที่สุด

2. โรคผิวหนังจากแสงแดด การเล่นน้ำท่ามกลางแดดจัดอาจทำให้ผิวหนังเสียหายจากแสงแดด รังสี UV จากแสงแดดสามารถทำลายผิวหนังได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดผิวไหม้ แดง หรือผิวหนังแก่ก่อนวัย ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง และสวมหมวกหรือเสื้อแขนยาวเพื่อป้องกัน

3. โรคตาแดง (Conjunctivitis) การเล่นน้ำที่มีฝุ่นหรือสารเคมีอาจทำให้เกิดการระคายเคืองในตาได้ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคตาแดง โดยเฉพาะเมื่อเล่นน้ำในพื้นที่ที่ไม่สะอาดหรือมีสารเคมีปนเปื้อน ควรระมัดระวังการสัมผัสน้ำและตา

4. โรคน้ำกัดเท้า หรือโรคเชื้อราที่เท้า ซึ่งการแช่เท้าในน้ำเป็นเวลานาน โดยเฉพาะเมื่อน้ำไม่สะอาด อาจทำให้ผิวหนังเท้าเกิดการติดเชื้อราได้ เชื้อราจะเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่อับชื้น อาจทำให้เกิดอาการคัน ผิวลอก แดง หรือแตกระแหง หากไม่รักษาอย่างเหมาะสมอาจลุกลามและติดเชื้อแบคทีเรียได้ง่าย แนะนำให้สวมรองเท้าพลาสติกหรือรองเท้าแตะกันลื่นขณะเล่นน้ำ และรีบล้างเท้าให้สะอาดพร้อมเช็ดให้แห้งทันทีหลังเล่นน้ำ

5. อาการท้องเสียและอาหารเป็นพิษ น้ำที่ใช้ในการเล่นสงกรานต์บางครั้งอาจไม่สะอาด ซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร อาจทำให้ท้องเสียและมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำจากแหล่งที่ไม่แน่ใจว่าสะอาด และควรทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ

สำหรับ คำแนะนำในการป้องกัน ควรดื่มน้ำให้เพียงพอและหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดนานเกินไป ทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกแดด ใช้หมวกหรือเสื้อแขนยาวเพื่อป้องกันแสงแดด เลือกเล่นน้ำในแหล่งน้ำที่สะอาดและปลอดภัย หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ไม่สะอาดหรืออาจมีการปนเปื้อน

ครั้งหนึ่งสหรัฐฯ เคยคิดสร้าง 'อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย' หวังโชว์เสรีภาพให้โลกเห็น แต่สุดท้ายได้เพียงภาพร่างและพิมพ์เขียว

รู้ไหมว่า… สหรัฐอเมริกาไม่เคยมี 'อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย'?

ใช่—อเมริกามีเทพีเสรีภาพ มีอนุสรณ์สถานประธานาธิบดี มีอาคารรัฐสภา และเทพีต่าง ๆ ที่ยืนถือคบเพลิงหรือคัมภีร์กฎหมาย แต่... ไม่มีอนุสาวรีย์แห่ง 'ประชาธิปไตย' โดยตรงเลยสักแห่ง

นั่นคือเหตุผลที่ในปี 1954 มีคนกลุ่มหนึ่งฝันจะสร้างมันขึ้นมาที่ซานเปโดร
ฝั่งตะวันตกของประเทศ ที่ซึ่งผืนน้ำแปซิฟิกทอดตัวยาวออกสู่เอเชีย ออสเตรเลีย และทั่วโลก

โครงการนี้มีชื่อว่า Monument to Democracy — อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

มันไม่ได้เป็นแค่โครงสร้างเหล็กและทองสัมฤทธิ์ แต่มันเป็นถ้อยแถลงของอุดมการณ์ เป็นคำตอบที่อเมริกาต้องการจะมอบให้โลก ในยุคที่กำลังต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์เพื่อจิตวิญญาณของมนุษยชาติ

ผู้ผลักดันคือ John Anson Ford สมาชิกสภาเขตลอสแองเจลิส ที่เชื่อมั่นว่า

> “ประชาธิปไตยไม่ควรเป็นสิ่งสงวนของคนผิวขาว... ประชาชนจากทุกเชื้อชาติกำลังจับตามองอเมริกา ว่าจะรักษาคำมั่นแห่งเสรีภาพไว้ได้จริงหรือไม่”

รูปแบบอนุสาวรีย์ถูกออกแบบโดย Millard Sheets และ Albert Stewart อย่างวิจิตรยิ่งใหญ่ รูปปั้นสูงกว่าเทพีเสรีภาพถึงเท่าตัว ตั้งอยู่บนฐานพิพิธภัณฑ์ศิลปะและประวัติศาสตร์ ที่บอกเล่าเส้นทางของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในการไขว่คว้าสู่เสรีภาพ

แต่... ความฝันนี้ถูกพับเก็บ
ถูกกลืนหายไปกับการเมือง งบประมาณ และความเฉยชา
สหรัฐฯ จึงยังคงไม่มี "อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย" จนถึงทุกวันนี้
ไม่มีสถานที่ที่บอกกับเด็ก ๆ ว่า ประชาธิปไตยคืออะไร และใครเป็นเจ้าของมัน
ไม่มีพื้นที่ที่คนผิวดำ ผิวเหลือง หรือผิวแดงจะรู้สึกว่า “ที่นี่ของฉันด้วย”

สิ่งที่หลงเหลือมีเพียงภาพร่าง พิมพ์เขียว และความเศร้าลึกในใจของนักประวัติศาสตร์ ว่าอเมริกา... อาจเคยใกล้จะมีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่สุดในโลกแล้ว — แต่กลับปล่อยให้มันสูญหายไปในม่านหมอกของอดีต

🌍💸 ประเทศที่ประชากรรวยที่สุดในโลก ปี 2025

อันดับ 1 คือ ลักเซมเบิร์ก ตามด้วย สวิตเซอร์แลนด์ และ ไอร์แลนด์ สิงคโปร์ ตัวแทนอาเซียน ติดท็อป 5 ด้วย

หลายประเทศในลิสต์นี้อาจตัวเล็ก แต่เศรษฐกิจกลับทรงพลัง เพราะโฟกัสที่คุณภาพมากกว่าปริมาณ 💼📈

อ่านแล้วอยากให้ไทยโตแบบยั่งยืนบ้างเนอะ 🇹🇭✨

สถาปัตยกรรมแห่งโรงเบียร์ Carlsberg กับคำ “จงทำงานเพื่อแผ่นดินเกิด” สะท้อนภาพทั้งไทย - เดนมาร์ก ยังต้องการคนทำงานที่รักชาติรักแผ่นดิน

กลางเมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก มีสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นแห่งหนึ่งที่ไม่ใช่พระราชวังหรือมหาวิทยาลัยเก่าแก่ หากแต่เป็น 'ประตูช้าง' ของโรงเบียร์ Carlsberg ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1901 รูปปั้นช้างหินทั้งสี่ตัวแบกเสาหินขนาดใหญ่ไว้บนหลัง ด้วยสายตาที่สงบนิ่งแต่ทรงพลัง เปรียบเสมือนผู้พิทักษ์เงียบแห่งอุตสาหกรรมเบียร์ที่เคยรุ่งเรืองที่สุดในยุโรป

บนซุ้มด้านบนของประตู มีอักษรละตินสลักไว้ว่า “Laboremus pro Patria” แปลว่า
“จงทำงานเพื่อแผ่นดินเกิด”

คำเพียงไม่กี่คำนี้ กลายเป็นหัวใจของบทเรียนทางวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงระหว่างสยามกับเดนมาร์กได้อย่างแนบแน่น

ย้อนกลับไปในวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 1934 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ได้เสด็จเยือน Carlsberg อย่างเป็นทางการ นับเป็นหนึ่งในหมุดหมายของความสัมพันธ์ทางการทูตและวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งระหว่างสองราชวงศ์ Carlsberg ถึงกับผลิตเบียร์พิเศษที่มีชื่อว่า Royal Siam Lager พร้อมสัญลักษณ์ตราครุฑ ธงช้างเผือก และธงชาติเดนมาร์ก เพื่อเฉลิมฉลองการเสด็จครั้งนั้น

สิ่งที่น่าประทับใจคือ การที่สัญลักษณ์ 'ช้าง' ปรากฏทั้งในฝั่งไทยและเดนมาร์กโดยมิได้นัดหมาย ในสยาม ช้างคือสัตว์คู่บ้านคู่เมือง เป็นสัญลักษณ์ของพระมหากษัตริย์และอำนาจอันชอบธรรม ขณะที่ในเดนมาร์ก ช้างทั้งสี่ตัวคือภาพแทนของพลัง ความมั่นคง และความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง

คำว่า “จงทำงานเพื่อแผ่นดินเกิด” ที่ถูกสลักไว้อย่างมั่นคงบนประตูแห่งนี้ มิใช่เพียงถ้อยคำปลุกใจในยุคอุตสาหกรรม หากยังเป็นหลักคิดอันทรงพลังที่ส่งผ่านมายังผู้คนในทุกยุคทุกสมัย โดยเฉพาะในยุคที่โลกหมุนเร็ว ความรักชาติไม่ควรเป็นแค่คำพูด หรือสัญลักษณ์ แต่ควรเป็นการลงมือทำ—ในสิ่งเล็กที่สุดแต่เต็มไปด้วยความหมาย

ไม่ว่าจะอยู่ในอาชีพใด ศาสนาใด หรือแผ่นดินใด คำว่า “ทำงานเพื่อแผ่นดินเกิด” ย่อมไม่สิ้นความหมาย หากยังมีผู้ศรัทธาว่าการลงมือทำ ด้วยความซื่อสัตย์และมุ่งมั่น คือการตอบแทนบ้านเกิดด้วยมือของเราเอง

บางที... ช้างหินที่นิ่งเงียบเหล่านั้น อาจไม่ได้เป็นแค่ประติมากรรมเพื่อการเฉลิมฉลอง หากแต่เป็นคำเตือนใจอันมั่นคง ว่าแม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไป แต่แผ่นดินยังคงต้องการคนทำงานรักชาติรักแผ่นดิน

ททท. เผย ‘สงกรานต์ 2568’ นักท่องเที่ยวทะลุ 4.8 ล้านคน ปักหมุด ‘กรุงเทพฯ’ ครองใจตลอดกาล เมืองรอง ‘ชุมพร-เลย’ ฮอตไม่แพ้เมืองหลัก

(13 เม.ย. 68) เทศกาลสงกรานต์ปีนี้ยังคงเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขและการกลับมารวมตัวของครอบครัวคนไทยทั่วประเทศ โดยถือเป็น 'วันขึ้นปีใหม่ไทย' ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดประเพณีหนึ่ง 

โดยข้อมูลล่าสุดจาก ทราเวลโลก้า (Traveloka) เผยให้เห็นว่า กรุงเทพมหานครยังคงครองแชมป์จุดหมายปลายทางยอดนิยมตลอดกาล สำหรับนักเดินทางชาวไทยและต่างชาติ แสดงให้เห็นถึงบทบาทของเมืองหลวงในฐานะ ศูนย์กลางแห่งการเฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์

ขณะเดียวกัน เทรนด์การท่องเที่ยวของชาวไทยเริ่มเปลี่ยนไป โดยเริ่มให้ความสนใจกับจุดหมายปลายทาง 'นอกกระแส' มากขึ้น เช่น ชุมพร นครพนม และเลย ซึ่งกำลังกลายเป็นดาวรุ่งในหมู่นักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์ท้องถิ่นแท้ ๆ

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดว่า สงกรานต์ปี 2568 จะมีรายได้จากการท่องเที่ยวรวมกว่า 26,564 ล้านบาท แบ่งเป็น 7,324 ล้านบาทจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ และ 19,240 ล้านบาทจากการท่องเที่ยวในประเทศ โดยตัวเลขนักท่องเที่ยวรวมกว่า 4.8 ล้านคน

Traveloka เปิดโผจุดหมายสงกรานต์ยอดนิยมในปีนี้ ได้แก่ 

1. กรุงเทพฯ เตรียมจัดงานสงกรานต์อย่างยิ่งใหญ่ อาทิ Siam Songkran Music Festival (11-14 เม.ย.) และ Water Festival มหาสงกรานต์ มหาสนุก (12-15 เม.ย.) ใน 12 พื้นที่ทั่วเมือง 
2.เชียงใหม่ ผสานวัฒนธรรมล้านนาเข้ากับกิจกรรมสุดมัน เช่น Water War Chiang Mai (13 เม.ย.) 
3. ชลบุรี งาน 'วันไหล' ระหว่างวันที่ 6–20 เม.ย. มอบประสบการณ์สงกรานต์ยาวนาน 
4. ภูเก็ต ร่วมสาดน้ำริมชายหาด พร้อมปาร์ตี้ค่ำคืนที่บางลา และกิจกรรมทำบุญที่เมืองเก่า 
5. หาดใหญ่ สงกรานต์สุดคึกคักที่เซ็นทรัลเฟสติวัลและลีการ์เด้นส์ พลาซ่า พร้อมคอนเสิร์ต ขบวนแห่ และกิจกรรมชุ่มฉ่ำ

ส่วนจุดหมายดาวรุ่งมาแรง ที่นักเดินทางรุ่นใหม่แห่ค้นหาความสงบและวัฒนธรรม อิงข้อมูลจากทราเวลโลก้าเผยว่า การค้นหาเมืองรองอย่าง ชุมพร เพิ่มขึ้น 95% นครพนม (+68%) สกลนคร (+53%) เลย (+46%) และน่าน (+40%)

นอกจากนี้ ตัวเลือกที่พักในช่วงสงกรานต์ก็หลากหลายมากขึ้น ทั้งโรงแรมระดับพรีเมียม รีสอร์ท โฮสเทล ไปจนถึงอพาร์ตเมนต์เช่าระยะยาว เพื่อตอบโจทย์นักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม

ซีซาร์ อินทรา ประธานบริษัททราเวลโลก้า กล่าวถึงพฤติกรรมการท่องเที่ยวว่า “นักท่องเที่ยวไทยในปัจจุบันมองหาประสบการณ์ที่ผสมผสานระหว่างประเพณีและการพักผ่อนที่ยืดหยุ่น พร้อมความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว”

‘ทุงสะเทวี’ นางสงกรานต์ 2568 ผู้เสด็จมาบนหลังครุฑลักษณะไสยาสน์หลับเนตร พร้อมคำทำนายประจำปีนี้ทั้งด้านดีและร้าย

เข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องราวของ 'นางสงกรานต์' หรือ 'เทวีสงกรานต์' ซึ่งเป็นหนึ่งในธรรมเนียมสำคัญของไทยที่สืบทอดกันมาช้านาน เป็นการทำนายแนวโน้มของปีนั้น ๆ ทั้งในเรื่องของบ้านเมือง เศรษฐกิจ และสภาพอากาศ โดยอิงจากตำแหน่งของดวงดาวตามโหราศาสตร์ไทย 

ใครคือนางสงกรานต์ประจำปี 2568
นางสงกรานต์ประจำปี 2568 มีนามว่า ทุงสะเทวี (หรือทุงษเทวี) เทวีองค์นี้เป็นหนึ่งในเจ็ดนางที่ผลัดเปลี่ยนกันมาในแต่ละปี โดยตำราโบราณระบุไว้ว่าลักษณะของเทวีจะสะท้อนถึงสถานการณ์ในปีนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นความอุดมสมบูรณ์ ความเปลี่ยนแปลง หรือภัยที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างคติความเชื่อและการดูดวงดาวอย่างลึกซึ้ง เทวีประจำปีจึงเปรียบเสมือน 'โหรหญิง' แห่งจักรวาล ที่มาบอกแนวทางชีวิตของปี 2568 นี้

ในปีนี้ ทุงสะเทวี ทรงพาหนะคือ ครุฑ เสด็จโดยท่านอนหลับเนตร (นอนหลับตา) ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษในปีนี้ โดยมีรายละเอียดเพิ่มเติมคือ ทรงพาหุรัด ทัดดอกทับทิม อาภรณ์แก้วปัทมราค ภักษาหารคือผลมะเดื่อ (อุทุมพร) พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงสังข์ สื่อถึงพลังอำนาจ การปกป้อง และการรู้แจ้งในสรรพสิ่ง เสด็จมาเหนือหลังครุฑซึ่งเป็นพาหนะสำคัญที่สื่อถึงความมั่นคงและความศักดิ์สิทธิ์ในทางโหราศาสตร์

สำหรับคำทำนายนางสงกรานต์ประจำปี 2568 ปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ ซึ่งตามตำราโบราณถือว่าเป็นวันมหาสงกรานต์ที่ไร่นาเรือกสวน เผือกมัน จะไม่แพงนัก แสดงถึงภาคเกษตรกรรมที่มีแนวโน้มดีขึ้น แต่ในวันเนา (วันจันทร์) กลับมีคำทำนายว่าเกลือจะแพง นางพระยาจะร้อนใจ และมักจะเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ดังนั้นภาพรวมของปีนี้อาจมีทั้งด้านที่ดีและด้านที่ต้องระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพและอารมณ์ของผู้คน

นอกจากนี้ วันพุธเป็นวันเถลิงศก ซึ่งหมายถึงวันเริ่มต้นปีใหม่ไทยอย่างแท้จริง มีคำพยากรณ์ว่า ราชบัณฑิต ปุโรหิตโหราจารย์จะมีสุขสำราญเป็นอันมาก สื่อถึงการที่ผู้รู้ ผู้มีปัญญา หรือคนในวงวิชาการจะได้รับความเคารพนับถือและมีความเจริญก้าวหน้า

และด้วยนางสงกรานต์ปีนี้ เสด็จมาบนหลังครุฑในลักษณะนอนหลับตา (ไสยาสน์หลับเนตร) ซึ่งมีนัยว่า พระมหากษัตริย์จะเจริญรุ่งเรืองดี บ้านเมืองจะมั่นคง แต่อาจมีบางช่วงที่ประชาชนรู้สึกไม่มั่นใจในอนาคต ต้องอาศัยความเข้าใจและความร่วมมือร่วมใจกันมากขึ้น

โดยคำทำนายโดยรวมของปีนี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงที่ทุกคนควรเตรียมตัวรับมือ ด้วยการใช้สติ รอบรู้ และวางแผนอย่างมีเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนทางการเงิน การดูแลครอบครัว หรือการเตรียมสุขภาพกายใจให้พร้อมต่อสถานการณ์ไม่แน่นอน เป็นการเตือนให้เราเดินหน้าอย่างมั่นคง ใช้ความอดทนเป็นหลัก ยึดสติเป็นอาวุธ พร้อมเปิดใจเรียนรู้และพัฒนาตนเองในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการงาน ครอบครัว หรือสุขภาพ

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#3 สงครามกลางเมือง กับ ‘ทฤษฎีโดมิโน’

(13 เม.ย. 68) ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน 
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#3 ‘สงคราม (ลับ) ในลาว’

สงครามกลางเมืองลาวเกิดขึ้นระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์ลาวและรัฐบาลลาวหลวงตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 1959 ถึง 2 ธันวาคม 1975 ราชอาณาจักรลาวเป็นพื้นที่ปฏิบัติการลับในช่วงสงครามเวียดนาม โดยทั้งสองฝ่ายได้รับการสนับสนุนจากภายนอกอย่างหนักในสงครามตัวแทนระหว่างมหาอำนาจสงครามเย็นระดับโลก การสู้รบยังเกี่ยวข้องกับกองทัพเวียตนามเหนือ เวียตนามใต้ สหรัฐอเมริกา และไทย ทั้งโดยตรงและผ่านตัวแทนที่ไม่เปิดเผย สงครามนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ “สงครามลับในลาว” ซึ่งรับผิดชอบปฏิบัติการโดย CIA

วันที่ 9 สิงหาคม 1960 รอ.กองแล วีระสาน รองผู้บัญชาการกองกำลังพลร่มที่ 2 ได้ทำการรัฐประหารในราชอาณาจักรลาว รอ.กองแล ผู้ซึ่งแทบจะไม่มีใครรู้จักแม้แต่ในลาวเอง และล้มรัฐบาลฝ่ายขวาของเจ้าสมสนิท ทำให้เจ้าสุวันพูมาได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง นอกจากนั้น รัฐประหารที่เขาทำให้เกิดการเจรจาที่นำไปสู่ “ข้อตกลงเจนีวาว่าด้วยลาว” ในเดือนกรกฎาคม 1963 รัฐประหารครั้งนั้นทำให้สหรัฐฯและชาติอื่น ๆ ต้องประหลาดใจ และนำไปสู่ความขัดแย้งในการแย่งชิงอำนาจในลาว นอกจากนั้นแล้วการรัฐประหารในครั้งนั้นยังทำให้เกิดความกลัวอย่างต่อเนื่องตามแนวคิดทางการเมืองอเมริกันที่ว่า ประเทศใดก็ตามที่กลายเป็นคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้วจะแพร่ขยายไปสู่ประเทศอื่น ๆ จนกลายเป็นคอมมิวนิสต์ตามไปด้วยตาม “ทฤษฎีโดมิโน”

ดังนั้นประธานาธิบดี Eisenhower และประธานาธิบดี Kennedy ในเวลาต่อมา จึงได้ตัดสินใจเริ่มปฏิบัติการลับในลาว เริ่มต้นจากการฝึกอบรมและติดอาวุธสมาชิกกองกำลังต่อต้านคอมมิวนิสต์จำนวนไม่มาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง และจากนั้นก็กลายเป็นการปฏิบัติการครั้งใหญ่ที่ดำเนินต่อไปเป็นเวลาหลายปี ก่อนที่สหรัฐฯจะเริ่มทิ้งระเบิด และโจมตีเส้นทางโฮจิมินห์ สงครามในลาวและเวียตนามไม่ได้แยกจากกันโดยสิ้นเชิง มีการทับซ้อนกันในบางส่วน แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นปฏิบัติการที่แยกออกจากกัน สงครามในลาวทำให้ CIA กลายเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในวอชิงตันและกลายเป็นหน่วยงานปฏิบัติการทางทหาร แม้ว่าลาวจะถือว่ามีความสำคัญต่อยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ แต่ก็เป็นเพียงประเทศเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างไกลมาก นักข่าวส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงฐานของกองกำลังลาวม้งและกองกำลังของลาวหน่วยอื่น ๆ ได้ เมื่อไม่ปรากฏเป็นข่าว สภาคองเกรสจึงเต็มใจที่จะดำเนินการตามสงครามไปจนถึงปลายทศวรรษที่ 60 และต้นทศวรรษที่ 70 โดยไม่ตั้งกระทู้ถามจนมากเกินไป และประชาชนชาวอเมริกันก็ไม่ค่อยจะรู้อะไรเกี่ยวกับลาวมากนัก และในที่สุดก็มีสถานการณ์ที่ทำให้ CIA กำลังมีอิทธิพลมากขึ้นและเห็นว่าลาวเป็นตั๋วสำหรับอิทธิพลนี้ในกระบวนการนโยบายต่างประเทศ 

โครงการฝึกอบรมทางทหารขนาดเล็กในลาวได้ถูกพัฒนาจนเป็นโครงการการฝึกอบรมทางทหารที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และในที่สุดก็เป็นกลายการปฏิบัติการเต็มรูปแบบ โดยในช่วงกลางถึงปลายทศวรรษที่ 1960 เจ้าหน้าที่ CIA ได้สั่งการกองกำลังหรือปฏิบัติการเพื่อสั่งการกองกำลังซึ่งปฏิบัติการในพื้นที่ลาว ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การฝึกเท่านั้น CIA และสถานทูตสหรัฐฯได้เพิ่มการทิ้งระเบิดครั้งใหญ่เพื่อสนับสนุนปฏิบัติการ และในที่สุดโครงการฝึกอบรมก็มีจำนวนมากขึ้นจนกลายเป็นกองกำลังที่มีกำลังพลหลายหมื่นนาย และอาจมากกว่า 100,000 นายเสียด้วยซ้ำ สิ่งที่มีคือ กลายเป็นว่า CIA และสถานทูตสหรัฐฯทำสงครามกันเป็นภารกิจหลัก ภารกิจของพวกเขาเปลี่ยนไปจากไม่เพียงแต่ทำการรวบรวมข่าวกรอง  แต่เป็นการดูแลและจัดการความขัดแย้งขนาดใหญ่ด้วย แม้จะมีการปฏิรูป CIA ในช่วงทศวรรษที่ 1970 แต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นไม่เคยหายไป กลับกลายเป็นยิ่งเพิ่มความเด่นชัดมาก

โดยที่ปฏิบัติการทหารในลาวมีความสอดคล้องกับสงครามของสหรัฐฯในเวียดนาม และการทิ้งระเบิดกัมพูชาอย่างลับ ๆ ด้วยสงครามในภูมิภาคนี้มีความสัมพันธ์กันและเป้าหมายโดยรวมก็มีการแบ่งปันกันในวงกว้าง แต่ CIA และเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำลาวพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้แน่ใจว่าผู้บัญชาการทหารของสหรัฐฯที่รับผิดชอบปฏิบัติการทางทหารซึ่งบริหารจัดการสงครามในเวียตนามจะไม่สามารถปฏิบัติการในลาวได้ เพราะตัวเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำลาว Bill Sullivan และ CIA ก้าวไปในเรื่องของสงครามในลาวจนไกลมากแล้ว และที่ปรึกษาทางทหารของสหรัฐฯ ที่ได้รับมอบหมายให้ประจำการในกรุงเทพฯ ไม่สามารถให้คำแนะนำที่สำคัญได้เลย เพราะเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำลาว และ CIA กันกองทัพสหรัฐฯ ออกไปจากสงครามในลาวอย่างสุดกำลัง

เมื่อสงครามเวียตนามในภาพรวมขยายตัวขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นในลาวเริ่มที่จะสะท้อนให้เห็นถึงจุดมุ่งหมายโดยรวมของสหรัฐฯ สิ่งที่เริ่มต้นจากการที่สหรัฐฯช่วยชาวลาวในท้องถิ่นต่อสู้กับกองกำลังคอมมิวนิสต์ในที่สุดก็เปลี่ยนไป และโดยที่ที่สุดแล้วจุดมุ่งหมายของสหรัฐฯและจุดมุ่งหมายของชาวลาวในท้องถิ่นก็แตกต่างกันอย่างมากมาย และเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก เพราะชาวอเมริกันไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเช่นเดียวกันกับชาวลาวที่พวกเขาให้ความช่วยเหลือ เดิมทีนักรบต่อต้านคอมมิวนิสต์ชาวลาวต้องการให้ทหารอเมริกันต่อสู้เคียงข้างพวกเขา และช่วยรักษาดินแดนของพวกเขาไว้ แต่ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 สหรัฐฯ และผู้บัญชาการทหารลาวได้ส่งกองกำลังของลาวเข้าสู่การสู้รบเต็มแบบขนาดใหญ่ แทนที่จะเป็นการรบแบบกองโจร การรบขนาดใหญ่กับกองทัพเวียดนามเหนือซึ่งเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งและประสบความสำเร็จมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในศตวรรษที่ 20 ทำให้ทหารลาวจึงถูกสังหารมากมาย และเหตุผลที่สหรัฐฯ เปลี่ยนแปลงนโยบายนี้เป็นเพราะเห็นว่าสงครามในลาวเป็นโอกาสที่จะสังหารทหารเวียตนามเหนือได้มากขึ้น และทำให้สถานการณ์สงครามของสหรัฐฯ ในเวียตนามใต้ดีขึ้น จึงกลายเป็นเหตุให้ราชอาณาจักรลาวต้องพบจุดจบในที่สุด แม้ว่า สหรัฐฯและลาวซึ่งเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่มีประชากรน้อยกว่าพลเมืองของนครลอสแองเจลิส และมีความสัมพันธ์ระหว่างกันในแบบที่เรียบง่ายมากในปัจจุบัน แต่ในทศวรรษที่ 1960 สหรัฐอเมริกาได้ตัดสินใจว่า ประเทศเดียวกันนี้ซึ่งขณะนั้นมีประชากรน้อยกว่าปัจจุบันมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของชาติ ประมาณกันว่า เมื่อ 5-60 ปีก่อน CIA ใช้งบประมาณกว่าเดือนละยี่สิบล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 400 ล้านบาทในขณะนั้น) ซึ่งคำนวณด้วยราคาทองคำจะอยู่ที่เดือนละกว่าสี่หมื่นล้านบาทในปัจจุบันสำหรับการทำสงครามในลาว

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top