Thursday, 10 July 2025
Hard News Team

‘อดีตบิ๊กข่าวกรอง’ ชี้!! คนสันหลังหวะออกมาดิ้นพล่าน หลังปวงชนชาวไทย พร้อมใจใส่เสื้อสีม่วงทั้งแผ่นดิน

เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 67 นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Nantiwat Samart’ ระบุว่า…

“สะดุ้งเป็นแถวๆ

ปวงชนชาวไทยที่รักพระเทพฯ สวมเสื้อสีม่วงทั้งแผ่นดิน ทำเอาคนสันหลังหวะดิ้น ออกมากระแนะกระแหน

ยืนยันว่า การกดแตรไล่รถขบวนเสด็จฯ เป็นการคุกคามหาเรื่อง ไม่ใช่เสรีภาพหรือสิทธิเท่าเทียม
ขบวนเสด็จฯ ถือเป็น VVIP ไม่ใช่แค่รถนำขบวนทั่วไป ตำรวจต้องถวายอารักขาให้ปลอดภัย จากการก่อการร้าย การประทุษร้าย

พวกเดียวกันหาทางช่วย ร้องเรียกหาหลักฐานความผิด เรื่องเล็กอย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ นี่คือเกมเดินสามขา เกมในสภาฯ ประสานนอกสภาฯ ด้วยความช่วยเหลือจากเอ็นจีโอ และทูตต่างชาติ ประเทศไหนไม่บอก

ยอมให้ฝรั่งปั่นหัว เพื่อประโยชน์ฝรั่ง ตกเป็นขี้ข้าต่างชาติ รับเงินต่างชาติ ความขัดแย้งในชาติที่มีฝรั่งชักใย สุดท้าย ไทยจะเป็นยูเครน ใครจะได้ประโยชน์?

คนไทยเป็นคนใจอ่อน ไม่ชอบความรุนแรง ไม่อยากให้คนในชาติเผชิญหน้ากัน ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายเต้นก๋าๆ ท้าต่อย ท้าตี คนไทยทำในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ต้องกลัวการเผชิญหน้า”

‘แกนนำ คปท.’ เชื่อ ‘ทักษิณ’ ไม่ได้ป่วยหนักมาตลอด 180 วัน ชี้!! ภาพกลับบ้านคือหลักฐาน จี้หาตัวผู้ร่วมกันโกหกต้องรับผิดชอบ

(18 ก.พ. 67) นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเป็นรูป นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขณะนั่งรถออกจากโรงพยาบาลตำรวจ พร้อมระบุว่า…

“หลักฐานบุคคล นี่ยืนยันชัดเจนว่า ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้ป่วยหนักวิกฤตตลอด 180 วัน ตามที่กล่าวอ้าง กรมราชทัณฑ์ คณะแพทย์ รมต.ยุติธรรม นายกรัฐมนตรี พวกคุณจะรับผิดชอบอย่างไรกับการป่วยทิพย์ครั้งนี้

พวกคุณสมคบคิดกัน ร่วมกันโกหกสังคม ร่วมกันทำลายกระบวนการยุติธรรมมาตลอด 180 วัน วันนี้มันชัดเจนว่า พวกคุณรับใช้ทักษิณมากกว่าความถูกต้องของนิติรัฐไทย หลักฐานวันนี้ จะนำพวกคุณเข้าคุกแทนทักษิณ”

States TOON EP.157

ใจนักเลง!!

***สงวนลิขสิทธิ์ภาพดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียนแบบ ดัดแปลง หรือนำส่วนใดส่วนหนึ่งไปใช้ แต่อนุญาตให้นำไปเผยแพร่ต่อได้ ตามต้นฉบับนี้ โดยไม่ต้องขออนุญาต

 

18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2473 ‘ไคลด์ ทอมบอห์’ ค้นพบ ‘ดาวพลูโต’ อดีตดาวเคราะห์ดวงที่ 9 ของระบบสุริยะ

วันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2473 เป็นวันค้นพบ ‘ดาวพลูโต’ อดีตดาวเคราะห์อันดับที่ 9 ของระบบสุริยะที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ ซึ่งถูกค้นพบโดย ‘ไคลด์ ทอมบอห์’

ดาวพลูโต (Pluto) เป็นอดีตดาวเคราะห์อันดับที่ 9 ในระบบสุริยะที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ เป็นวัตถุแถบไคเปอร์ชิ้นแรกที่ถูกค้นพบ มีขนาดใหญ่และมีมวลมากที่สุดเป็นอันดับสองในบรรดาดาวเคราะห์แคระที่รู้จักในระบบสุริยะ และยังเป็นวัตถุที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 9 และมวลมากเป็นอันดับที่ 10 ในระบบสุริยะที่โคจรรอบดวงอาทิตย์

ดาวพลูโตมีลักษณะเหมือนกับวัตถุอื่น ๆ ในบริเวณเดียวกัน ประกอบด้วยหินและน้ำแข็งเป็นส่วนใหญ่ มีมวลและปริมาตรประมาณ 1 ใน 6 และ 1 ใน 3 ของดวงจันทร์ตามลำดับ ซึ่งวงโคจรของดาวพลูโตมีความเยื้องศูนย์กลางมาก อยู่ที่ 4.4-7.4 พันล้านกิโลเมตรจากดวงอาทิตย์ ดาวพลูโตมีระยะห่างจากดวงอาทิตย์ประมาณ 32.6 หน่วยดาราศาสตร์

ดาวพลูโตมีดาวบริวารที่ 5 ดวง ได้แก่ แครอน, สติกซ์, นิกซ์, เคอร์เบอรอส และไฮดรา ซึ่งในบางครั้งดาวพลูโตและแครอนถูกจัดเป็นระบบดาวคู่ เนื่องจากจุดศูนย์กลางมวลของวงโคจรไม่ได้อยู่ในดาวดวงใดดวงหนึ่งเฉพาะ ทำให้ไอเอยูยังไม่มีการให้คำนิยามของระบบดาวเคราะห์แคระคู่อย่างเป็นทางการ และแครอนกลายเป็นดาวบริวารของดาวพลูโตอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน พ.ศ. 2559

ชื่อของดาวพลูโตถูกตั้งขึ้นตามชื่อของเทพเจ้าแห่งยมโลก ซึ่งถูกเสนอโดยนักเรียนหญิงวัย 11 ปีในออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ และถูกตั้งชื่ออย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2473 โดยสมาชิกทุกคนได้ลงคะแนนให้ชื่อพลูโตทั้งหมดและได้ถูกประกาศในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2473

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ชื่อดาวพลูโตเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ทำให้วอลต์ ดิสนีย์ได้รับแรงบันดาลใจ โดยเขาได้เสนอชื่อเพื่อนสุนัขของมิกกี้ เมาส์ว่า พลูโต

ทั้งนี้ ต่อมาในปี พ.ศ. 2549 สหพันธ์ดาราศาสตร์สากลได้ประกาศลดขั้นของดาวพลูโตให้เป็นเพียงแค่ดาวเคราะห์แคระ จึงทำให้ระบบสุริยะเหลือดาวเคราะห์เพียง 8 ดวงเท่านั้น

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567

“ถ้าคิดได้ ให้ช่วยคิด 
ถ้าคิดไม่ได้ ให้ช่วยทำ
ถ้าทำไม่ได้ ให้ความร่วมมือ 
ถ้าร่วมมือไม่ได้ ให้กำลังใจ
แม้ให้กำลังใจไม่ได้ ให้สงบนิ่ง”

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อมฺพรมหาเถร)

‘รทสช.’ จัดงาน ‘อาสามาด้วยใจ’ ครั้งแรก เดินหน้าตามอุดมการณ์พรรค ด้าน ‘พีระพันธุ์’ ลั่น!! ขอมุ่งมั่นทำงานค้ำจุน 3 สถาบันหลักของชาติ

(17 ก.พ. 67) ที่อาคารศรีจุลทรัพย์ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) จัดกิจกรรม ‘อาสามาด้วยใจ’ ครั้งที่ 1 เพื่อให้อาสาสมัครในโครงการได้ทำกิจกรรมร่วมกับแกนนำของพรรค นำโดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค และ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรค โดยกิจกรรมดังกล่าวนี้ จะมีการจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกหลายครั้ง

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า การมาตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติเพื่อลงเลือกตั้ง และถูกวิจารณ์มากว่าไม่เคยอยู่ในสายตา สื่อบางสำนักบอกว่าเลือกตั้งจะได้สส.ไม่เกิน 7 คน แต่ผลการเลือกตั้งออกมาได้ สส.ได้ถึง 36 คน ถือว่าเกินความคาดหมาย ด้วยการนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในขณะนั้น โดยทำพรรคตามแนวทางที่มีความซื่อสัตย์สุจริต ใช้พละกำลังทั้งหมด เพื่อช่วยเหลือประชาชนและประเทศชาติ นี่คือ DNA ของพรรค ตามสโลแกนของพรรคที่ว่าเราจะแก้ไขให้ทุกปัญหา เราจะเป็นที่พึ่งพาได้ทุกเรื่อง ประชาชนที่เดือดร้อนถ้าเราแก้ปัญหาให้เขาได้ ประชาชนก็มีความสุข

“การทำโครงการอาสาสมัครด้วยใจ เพื่อต้องการแขนขาของพรรคมาช่วยเหลือประชาชน เป็นหูเป็นตา อะไรที่ช่วยเหลือกันได้ก็มาช่วยกัน วันนี้เรามีอาสาสมัครที่มาทำงานด้วยใจกว่า 400 คนแล้วจากทั่วประเทศ จากเดิมที่คิดว่า 100 คนก็ดีใจแล้ว โดยการทำงานจะแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม ขอขอบคุณที่มาช่วยกัน หวังว่าจะมาช่วยกันสร้างชาติบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า อุดมการณ์ที่สำคัญที่สุดคือ ทำงานเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ค้ำจุนสถาบันพระมหากษัตริย์ให้คงอยู่ต่อไป” หัวหน้าพรรคไทยรวมไทยสร้างชาติกล่าว

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า การทำงานการเมืองไม่มีอะไรตอบแทน มีแต่ความเสียสละทำงานด้วยใจ พร้อมช่วยชาวบ้าน ความสุขอยู่ตรงนั้น นั่นคือคำตอบของอาสาสมัคร มีความเสียสละ ถ้ามีปัญหาเดือดร้อนขอให้แจ้งมาที่พรรค พรรคพยายามช่วยเหลือแก้ไขปัญหาให้มากที่สุด โดยสามารถแจ้งได้ที่สถานียุติธรรมของพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งทำมาตั้งแต่ตนเป็น รมว.ยุติธรรม และได้เอามาสานต่อที่พรรครวมไทยสร้างชาติ

ด้านนายเอกนัฏ กล่าวว่า ตนมีความภาคภูมิใจมาก ที่ได้มาอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ แม้เส้นทางไม่ได้โรยด้วยดอกกุหลาบ เป็นเส้นทางที่ต้องฟันฝ่าอุปสรรค แต่ตนศรัทธาในจุดยืนของพรรค และจุดยืนของนายพีระพันธุ์ว่า จะเป็นผู้นำพรรคให้สามารถทำงานร่วมกันแก้ไขปัญหาให้ประชาชนและประเทศชาติได้ ในที่สุดเราผ่านการเลือกตั้งมา และโชคดีที่การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา มีผู้ใหญ่ที่เป็นที่รักเคารพของคนไทยทั้งประเทศมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี มาเป็นประธานยุทธศาสตร์ของพรรค รวมไทยสร้างชาติ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ถือธงนำทัพพรรครวมไทยสร้างชาติครั้งแรก ถือเป็นประวัติศาสตร์ของพรรคหลังเลือกตั้งได้ สส.36 คน ได้คะแนนกว่า 4,800,000 คะแนน ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดา ครั้งนี้จึงเป็นงานสำคัญที่ นายพีระพันธุ์ และตนต้องระดมพลทั่วประเทศ จึงเป็นที่มาที่เราได้มาเจอกันในวันนี้ เพราะปรากฏการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว เราไม่อยากปล่อยให้หายไป เราอยากรักษาพลังส่งต่อภารกิจไปยังรุ่นต่อๆ ไป

“สำหรับ จุดยืนของพรรครวมไทยสร้างชาติ เมื่อบ้านเมืองประสบปัญหาเราแสดงจุดยืนชัดเจน จึงเห็นภาพเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (14 ก.พ. ) ผมได้ขออนุญาตหัวหน้าพรรค คุยกับ สส.ของพรรค และวิปรัฐบาลว่า จะเสนอญัตติ เรื่อง การถวายความปลอดภัย ขบวนเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ นี่คือจุดยืนสำคัญของพรรคในการรักษาสถาบันเสาหลักของประเทศ ถือเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวด้านความรักความสามัคคีของประเทศ ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า“ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติกล่าว

นายเอกนัฏ กล่าวว่า หลังจากวันนี้ไปจะมีการจัดเวทีลักษณะนี้อีกหลายครั้ง ขอขอบคุณด้วยใจจริงที่ทุกคนได้เอื้อมมือมาที่พรรค หวังว่าหลังจากนี้ไปพวกท่านจะไปเชิญชวนเพื่อนร่วมอุดมการณ์มาร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติต่อไป

อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายของกิจกรรมได้มีการเปิดโอกาสให้อาสาสมัครได้ซักถามปัญหา โดยมี นายพีระพันธุ์ เป็นผู้ตอบปัญหา เพื่อไขความกระจ่างด้วยตนเอง พร้อมทั้งถ่ายรูปหมู่ร่วมกันบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก

‘เจ้าชายแฮร์รี’ เปิดใจสื่อครั้งแรก หลังบินด่วนเยี่ยม ‘คิงชาร์ลส์’ เผย โรคภัยช่วยนำพาครอบครัวกลับมาใกล้ชิดกันอีกครั้ง

(17 ก.พ. 67) เจ้าชายแฮร์รี ดยุคแห่งซัสเซกซ์ ทรงเปิดเผยถึงการเสด็จกลับลอนดอนเพื่อเยี่ยมพระราชบิดาของพระองค์เป็นครั้งแรก ในระหว่างประทานสัมภาษณ์ในรายการ กู๊ดมอร์นิงอเมริกา ทางสถานีโทรทัศน์เอบีซีนิวส์ เมื่อวันที่ 16 ก.พ.ที่ผ่านมา ว่า พระองค์ ‘กระโดดขึ้นเครื่องบิน’ ในทันทีที่ทำได้ เพื่อกลับไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร หลังทรงทราบว่าพระราชบิดาทรงป่วยเป็นโรคมะเร็ง

เจ้าชายแฮร์รีตรัสว่า พระองค์รู้สึกขอบคุณสำหรับช่วงเวลาที่ทรงได้อยู่กับพระราชบิดา ในช่วงสั้นๆ นั้น และทรงเห็นด้วยว่า ครอบครัวสามารถกลับมาใกล้ชิดกันมากขึ้นจากปัญหาสุขภาพ

ดยุคแห่งซัสเซกซ์ พระราชโอรสองค์เล็กในกษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 ทรงกล่าวอีกว่า จะเสด็จกลับอังกฤษให้มากขึ้น และพบกับครอบครัวให้มากขึ้นเท่าที่จะทรงทำได้ และตรัสย้ำว่า “ผมรักครอบครัวของผม”

เจ้าชายแฮร์รี ซึ่งทรงอยู่ระหว่างการร่วมโปรโมตการแข่งขันกีฬาทหารผ่านศึกนานาชาติ “อินวิคตัส เกมส์” ในประเทศแคนาดา ทรงยกตัวอย่างของผู้มีส่วนร่วมในอินวิคตัส เกมส์ โดยชี้แนะว่าความกดดันเช่นนั้นสามารถช่วยนำครอบครัวมาอยู่รวมกันได้ “ความเจ็บป่วยใดๆ ก็ตาม จะนำครอบครัวมารวมกัน”

เจ้าชายแฮร์รีเสด็จกลับมายังลอนดอนเพียงลำพังในทันที เมื่อทรงทราบว่าพระราชบิดาทรงประชวรด้วยโรคร้ายดังกล่าว แม้จะทรงพำนักอยู่ในลอนดอนเพียงหนึ่งวัน และได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ที่พระตำหนักแคลเรนซ์ราว 45 นาที โดยทรงไม่ได้พบกับเจ้าชายวิลเลียม แห่งเวลส์ พระเชษฐาของพระองค์ ท่ามกลางรอยร้าวความขัดแย้งระหว่าง 2 พี่น้องเลือดขัตติยะที่ยังคงอยู่

หลังจากเจ้าชายแฮร์รีและเมแกน พระชายา ได้ขอถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกราชวงศ์ชั้นสูงไปในปี 2020 และทรงย้ายครอบครัวมาใช้ชีวิตอยู่ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

ในการประทานสัมภาษณ์ครั้งนี้ เจ้าชายแฮร์รีทรงเปิดเผยด้วยว่า พระองค์กำลังพิจารณาที่จะถือสัญชาติอเมริกัน โดยตรัสว่าพระองค์รักการใช้ชีวิตในอเมริกาทุกๆ วัน แต่พระองค์ยังทรงลังเลเมื่อถูกถามว่าทรงรู้สึกถึงความเป็นอเมริกันในตัวแล้วหรือไม่ เพียงแต่กล่าวถึงการถือสัญชาติอเมริกันว่า ทรงคิดอยู่ แต่แน่นอนว่ายังไม่ใช่เรื่องสำคัญมากในตอนนี้

‘AOT’ นำร่อง ‘TAXI EV’ พร้อมสถานีชาร์จ ให้บริการผู้โดยสาร ขานรับนโยบายคมนาคม มุ่งสู่ Green Airport แห่งแรกของไทย

เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 67 ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) กล่าวว่า ปัจจุบันรถยนต์ 1 คันปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 5 ตันต่อปี ซึ่งในประเทศไทยมีรถยนต์มากกว่า 10 ล้านคัน ในส่วนของ AOT ซึ่งบริหารท่าอากาศยานหลัก 6 แห่งของประเทศไทย ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.), ท่าอากาศยานดอนเมือง, ท่าอากาศยานเชียงใหม่, ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย, ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ มุ่งสนองนโยบายของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในการผลักดันความร่วมมือด้านการคมนาคมขนส่งของไทย เพื่อมุ่งสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ

AOT จึงให้ความสำคัญต่อการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งขับเคลื่อน ทสภ.สู่การเป็นต้นแบบ ‘Green Airport’ หรือ ท่าอากาศยานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแห่งแรกในประเทศไทย ดังนั้น หากมีการเปลี่ยนรถยนต์ที่ให้บริการ ณ ทสภ.ให้เป็นรถไฟฟ้า (EV) ได้ จะทำให้ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 50 ล้านตันต่อปี

ดร.กีรติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของการให้บริการยานยนต์ไฟฟ้ารับจ้างสาธารณะ (EV Taxi) นั้น ปัจจุบันมีสมาชิกผู้ขับขี่รถรับจ้างสาธารณะ เริ่มให้ความสนใจในการปรับเปลี่ยนมาใช้ EV Taxi เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ ในช่วงแรก AOT ได้ดำเนินการติดตั้งสถานีให้บริการเครื่องอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้าแบบใช้สายโดยการอัดประจุแบบเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง (DC Fast Charge) ซึ่งมีกำลังไฟฟ้าในการอัดประจุ 40 kW ต่อเครื่อง จำนวน 16 เครื่อง และ 150 kW ต่อเครื่อง จำนวน 2 เครื่อง บริเวณลานจอดรถระยะยาวโซน E ทสภ. สำหรับรองรับการให้บริการแก่รถแท็กซี่ที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบเป็นยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบันและอนาคต

นอกจากนี้ ทสภ.อยู่ระหว่างดำเนินการติดตั้งเครื่อง DC Fast Charge ซึ่งมีกำลังไฟฟ้าในการอัดประจุ 360 kW ต่อเครื่อง จำนวน 10 เครื่อง และ 150 kW ต่อเครื่อง จำนวน 2 เครื่อง เพื่อรองรับการให้บริการแก่รถบริการรับ – ส่งผู้โดยสาร (Shuttle Bus) รถบริการสาธารณะ รถส่วนกลาง และรถส่วนงานของ AOT ภายในพื้นที่ Support Facilities บริเวณตรงข้ามศูนย์บริหารการขนส่งสาธารณะ

นอกจากนี้ ทสภ.อยู่ระหว่างดำเนินการติดตั้งเครื่อง DC Fast Charge ซึ่งมีกำลังไฟฟ้าในการอัดประจุ 360 kW ต่อเครื่อง จำนวน 10 เครื่อง และ 150 kW ต่อเครื่อง จำนวน 2 เครื่อง เพื่อรองรับการให้บริการแก่รถบริการรับ – ส่งผู้โดยสาร (Shuttle Bus) รถบริการสาธารณะ รถส่วนกลาง และรถส่วนงานของ AOT ภายในพื้นที่ Support Facilities บริเวณตรงข้ามศูนย์บริหารการขนส่งสาธารณะ

ดร.กีรติ กล่าวในตอนท้ายว่า AOT มีความมุ่งมั่นการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบภายใต้หลักธรรมาภิบาล โดยคำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อมภายใต้หลักธรรมาภิบาล และมุ่งสู่การเป็น ‘ท่าอากาศยานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม’ หรือ ‘Green Airport’ เพื่อการเติบโตขององค์กรอย่างมั่นคง และยั่งยืน

สำหรับบริษัทพันธมิตรที่นำแท็กซี่อีวีมาให้บริการ คือ บริษัท อีวี มี พลัส จำกัด ส่วนสถานีชาร์จเป็นของค่าย EAANYWHERE ในเครือ EA

‘วราวุธ’ ส่งทีม ‘ศรส.-พมจ.นนทบุรี’ เร่งช่วยชายสูงวัยตาบอด เตรียมพาตรวจสุขภาพ หลังอาศัยในบ้านกองขยะ-ไร้น้ำไร้ไฟ

(17 ก.พ. 67) ที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยถึงกรณีกระทรวง พม.ให้การช่วยเหลือชายสูงวัย อายุ 65 ปี พิการตาบอดข้างหนึ่ง ส่วนตาอีกข้างมองเห็นลางๆ อาศัยเพียงลำพังในบ้านเก่าสภาพผุพังทรุดโทรม ภายในบ้าน และรอบบ้านเต็มไปด้วยขยะ และไม่มีน้ำประปา-ไฟฟ้า ในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี ว่า ขณะนี้ หน่วยงานของกระทรวงพม. ทั้งทีมพม.หนึ่งเดียว และ พม.จังหวัดนนทบุรี ได้ลงพื้นที่เข้าไปช่วยเหลือดูแลคุณตาคนดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการซ่อมแซม ปรับปรุงสภาพของบ้านที่พักอาศัย สำหรับผู้สูงอายุและคนพิการ การติดตั้งน้ำประปา-ไฟฟ้า การติดต่อญาติพี่น้องว่ามีบุตรหลาน หรือว่าคนรู้จักเป็นญาติอยู่ที่ไหน ในการที่จะช่วยดูแล และเรื่องกรรมสิทธิ์โฉนดที่ดินที่คุณตาอาศัยอยู่ และการมอบเงินสงเคราะห์ครอบครัวผู้สูงอายุ ซึ่งขณะนี้ คุณตาได้รับเบี้ยความพิการ และเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ อีกทั้งจะหาเจ้าหน้าที่เข้าดูแลรายเคส เข้าไปดูแลอย่างสม่ำเสมอ ในเบื้องต้นนี้ก่อน ส่วนเรื่องการที่จะย้ายคุณตาไปอยู่ที่ไหน คงจะต้องดูในระยะต่อไป

ทั้งนี้ วันที่ 19 ก.พ. 67 ทางเทศบาลนครนนทบุรี จะเข้าไปช่วยทำความสะอาดภายในบ้านและบริเวณโดยรอบ และวันที่ 20 ก.พ. 67 ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน หรือ ‘ศรส.จ.นนทบุรี’ ของกระทรวงพม. จะพาคุณตาไปตรวจสุขภาพ นอกจากนี้ ศรส.จ.นนทบุรี และเทศบาลนครนนทบุรี จะช่วยกันติดตามช่วยเหลือดูแลคุณตาเป็นระยะๆ อีกด้วย

นายวราวุธ กล่าวต่อไปว่า ต้องขอขอบคุณสื่อมวลชนที่ได้แจ้งข่าว จนทำให้ทางกระทรวง พม. หรือแม้แต่ทีมงานเจ้าหน้าที่ของกระทรวง พม. สามารถเข้าไปช่วยเหลือเยียวยาพี่น้องกลุ่มเปราะบางได้ ซึ่งต้องเรียนว่าในประเทศไทยยังมีพี่น้องกลุ่มเปราะบางอีกจำนวนมากในทุกๆ จังหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดที่มีความเป็นอยู่ที่หนาแน่น มีปริมาณประชากรที่เยอะ ทำให้บางครั้งจะทำให้การเข้าไปถึงในแต่ละครอบครัวนั้น อาจจะไม่ละเอียดเท่าที่ควร

ดังนั้น การบูรณาการการทำงาน การพูดคุยกัน ข้ามหน่วยงานของทุกๆฝ่ายนั้น เป็นหัวใจสำคัญ คงจะไม่ใช่หน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง หรืออาสาสมัครของกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง แต่เป็นการทำงานร่วมกัน การแชร์ข้อมูลกัน การบอกต่อซึ่งกันและกัน เพราะว่าบางครั้ง เมื่อเราไปทำงาน จะไปพบปะกับเหตุการณ์ต่างๆ แล้วนำมาบอกเล่ากันว่า เกิดปัญหาตรงนั้นตรงนี้ ซึ่งการแชร์ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นหนทางในการที่ทำให้ทุกหน่วยงานเรียกว่ารัฐบาล สามารถเข้า ไปแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนได้อย่างทันท่วงที

ซึ่งแน่นอน อาจจะมีตกหล่นบ้าง ต้องกราบขออภัยจริงๆ แต่ในบริบทของกระทรวง พม. นั้น เรามีแนวทางในการที่จะเข้าไปเยียวยา สนับสนุน ดูแล แก้ไขปัญหาในทุกๆ บริบท เพียงแต่ว่าบางครั้ง ถ้าหากมีคนแจ้งเหตุเข้ามาแล้ว กระทรวง พม. จะรีบส่งทีมปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็วของศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน หรือ ศรส. เข้าไปแก้ไขปัญหาในเบื้องต้น และหลังจากนั้น เราจะดูว่าการช่วยเหลือในระยะกลางและระยะยาว จะสามารถแก้ไขให้คุณภาพชีวิตของบุคคลนั้นดีขึ้นได้อย่างไร

นอกจากนี้ นายวราวุธ กล่าวเพิ่มเติมว่า หากพบเห็นผู้ประสบปัญหาความเดือดร้อน สามารถโทรแจ้งมาที่ ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน หรือ ศรส. ผ่านฮอตไลน์ 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. มีทีมปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็ว พร้อมลงพื้นที่ช่วยเหลือทันที

‘ลุงซาเล้ง’ เล่าความประทับใจ ‘กรมสมเด็จพระเทพฯ’ ทรงรถซาเล้งพ่วงข้าง เผย สุดแสนปิติ ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตเคยได้ถวายงานเป็นพลขับให้พระองค์ท่าน

(17 ก.พ. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘มูลนิธิชัยพัฒนา’ ได้โพสต์ภาพเก่าเล่าเรื่อง เป็นภาพที่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงรถซาเล้งพ่วงข้าง คงเป็นภาพที่อยู่ในความประทับใจของใครต่อใครหลายคน

… แต่ใครจะรู้ว่าภาพดังกล่าวเกิดขึ้นจากเมื่อครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรและทรงติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามิของมูลนิธิชัยพัฒนา ณ โรงเรียนบ้านเกาะสาหร่ายชัยพัฒนา ตำบลเกาะสาหร่าย อำเภอเมือง จังหวัดสตูล เมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2552

ด้วยภูมิศาสตร์ของโรงเรียนตั้งอยู่บนเกาะ การเดินทางซึ่งเป็นวิถีชีวิตของคนบนเกาะสาหร่ายจึงใช้รถมอเตอร์ไซค์และรถซาเล้งพ่วงข้างในการเดินทาง เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎร ได้ประทับรถซาเล้งพ่วงข้างเฉกเช่นสามัญชนทั่วไป โดยมีคนท้องถิ่นนำรถของตนน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นรถพระที่นั่งขณะทรงงานบนเกาะ พร้อมทั้งถวายงานเป็นพลขับเพราะคุ้นชินและชำนาญพื้นที่

นายนาซาด หมัดตุกัง หรือ ‘คุณลุงขับซาเล้ง’ ที่เห็นในภาพ เคยถ่ายทอดความประทับใจที่ได้ถวายงานในวันนั้น ว่า…

“ขณะร่วมทาง พระองค์ได้ทรงสอบถามทุกข์สุขของชาวบ้าน พูดคุยอย่างเป็นกันเอง… ส่วนรถซาเล้ง ชาวบ้านละแวกนั้นจะเรียก ‘รถพระเทพฯ’ ...และหากถามถึงความรู้สึก ก็ตื่นเต้นมาก บอกไม่ถูก ผมเป็นมุสลิม เคยไปอยู่มาเลย์ แต่ก็กลับมาอยู่เมืองไทย เมืองไทยมีพระเจ้าแผ่นดิน ไม่มีปัญหา คนเกาะอยู่กันสุขสบาย… ที่นี่เจริญขึ้นมาก เจ้าเหยียบเมืองตรงไหนก็เจริญ”

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจากเฟซบุ๊ก : มูลนิธิชัยพัฒนา
https://www.facebook.com/chaipattanafoundation/posts/801975968639531?ref=embed_post


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top