Tuesday, 8 July 2025
Hard News Team

‘ชาดา’ ในลุคสุดคูล!! แต่งชุดวินเทจ ไฮแฟชั่น เดินเล่นสบายๆ ที่ตลาด 4 แยก FLEA Market

เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชาดา ไทย​เศรษฐ์​ รัฐมนตรี​ช่วยว่าการ​กระทรวง​มหาดไทย​ โพสต์ภาพและข้อความผ่านเพจ ‘Chada Thaised’ ระบุว่า…

“เดินเล่นตลาด สี่แยก FLEA Market แยกรัชดา–ลาดพร้าว ของสวยๆ เต็มเลยครับ ลองมาแวะดูกันได้”

โดยนายชาดา แต่งตัวในลุควินเทจ สุดเรียบ หรู สบายๆ แต่ความแฟชั่นนั้นจัดเต็ม จนมีผู้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก อาทิ

- “ชอบการแต่งตัวของท่านค่ะ”
- “แต่งตัวเทสดีนะ นี่สไตล์ อ.ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ ใดๆๆ คือ ช่างภาพหามุมเก่งมาก ถ่ายมาดูดี”
- “กำลังฮิตเลย สไตล์gentlemen”
- “แว้บแรกนึกว่า Vogue ลงงานอะไร”
- “สายแฟชั่นซะด้วยรองเท้าคนละคู่ เท็ตสึกะ โอซามุ สไตล์งี้”
- “ความเดินตลาดวินเทจแบบคนมีเทส”

‘ชาตรามือ’ เปิดตัวสาขาแรกในอเมริกา ลูกค้าแห่ต่อคิวซื้อยาวเหยียด พร้อมเผย “คิดถึงเมืองไทย” ขึ้นแท่นซอฟต์พาวเวอร์ไทยในต่างแดน

‘ชาไทย’ ไม่ธรรมดา!! ล่าสุด ‘ชาตรามือ’ เปิดตัวสาขาแรกในสหรัฐอเมริกา ได้รับการต้อนรับอย่างดี นับเป็นอีกเรื่องราวที่น่าภูมิใจของซอฟต์พาวเวอร์ไทยในต่างแดน ลูกค้าต่อคิวยาว แต่เอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่า “คิดถึงเมืองไทย!!”

เมื่อไม่นานนี้ เพจ ‘ร้านเด็ด อเมริกา - Landed America’ เพจขวัญใจชาวไทยในอเมริกา ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 4.6 แสนคน เผยภาพบรรยากาศร้านเครื่องดื่มที่คนไทยคุ้นเคย นั่นคือ ‘ร้านชาตรามือ’ ที่ตัดสินใจเลือกทำเลในแอลเอ เพื่อเปิดร้านเป็นสาขาแรกในสหรัฐอเมริกา บรรยากาศภายในร้านมีทั้งชาวไทยในสหรัฐฯ และชาวต่างชาติต่อคิวจนยาวจนพ้นหน้าร้าน บรรยากาศคึกคัก มีชาวต่างชาติ ต่อคิวยาวตลอดทั้งวัน

เพจร้านเด็ด อเมริกา เผยว่า ชาตรามือ สาขาลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย ได้รับการตอบรับอย่างดี โดย ‘ชาไทย’ คือเมนูที่ขายดีที่สุด รองลงมาคือ ‘ชาเขียว, ชามะนาว’ ส่วนราคาจำหน่ายที่นี่ ราคาแก้ว 5.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ ประมาณ 200 บาท

นอกจากนี้ ยังมี ‘ชากุหลาบ’ ที่เป็นกระแสในเมืองไทย ในเรื่องการช่วยขับถ่าย ซึ่งก็เป็นที่สนใจเช่นเดียวกัน อีกทั้งสามารถเลือกระดับความหวานได้หลายระดับ ตั้งแต่ 0%, 30%, 70%, 100% และ 130% ทำให้ชาวต่างชาติต่างพึงพอใจเป็นอย่างมาก ลูกค้าหลายคนบอกว่าเคยเดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศไทยมาแล้ว และเคยได้ลองชิมก็ติดใจ จึงเดินทางมาซื้อชาไทยที่ร้านนี้ด้วย

คนไทยในสหรัฐฯ ที่คิดถึงเมืองไทยหรืออยากแนะนำเพื่อนต่างชาติ ให้ลองชิมชาไทยเครื่องดื่มสุดฮิตของประเทศ แวะไปกันได้ ที่ 1100 N Main St, Los Angeles, CA 90012

รู้จัก ‘สวนสมดุล’ แหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติแห่งอัมพวา บอกทุกที่มา ‘อาหาร-พลังงาน’ ที่ผู้บริโภคมีสิทธิ์ต้องได้รู้

บรรยากาศริมน้ำแม่กลองที่ไหลเอื่อยยามสาย ช่างดูเงียบสงบงดงามเหลือเกิน เมื่อได้เมียงมองจากพื้นที่ร่มรื่นใต้เงาไม้ของ ‘สมดุล’ (Somdul Agroforestry Home) สถานที่ที่ผสมผสานทั้งความเป็นคาเฟ่ ร้านอาหาร ศูนย์เรียนรู้ และวนเกษตร ซึ่งเป็นหมุดหมายของนักเดินทางที่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน 

‘สมดุล’ หรือ ‘Somdul Agroforestry Home’ เปรียบตนเองเป็นบ้านที่มีความฝันจะบาลานซ์ไลฟ์สไตล์ ระหว่างชีวิตคนเมืองกับธรรมชาติให้อยู่ตรงกลาง ผ่านการทำเกษตรกรรมเชิง ‘วนเกษตร’ แบบเกษตรอินทรีย์ โดยปลูกในสิ่งที่กิน กินในสิ่งที่ปลูก แล้วถ่ายทอดออกมาในรูปแบบการบริการ อาหาร, เครื่องดื่ม, เบเกอรี ผลิตภัณฑ์แปรรูปในโซนคาเฟ่ เปิดโอกาสให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ผ่านการศึกษาภาคปฏิบัติในกิจกรรมเวิร์กช็อปต่างๆ และถ่ายทอดวิถีชีวิตองค์ความรู้ของศาสตร์วนเกษตร เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่เรียกว่า ‘ความสุขอย่างยั่งยืน’

จุดหมายปลายทางแห่งนี้ เริ่มต้นจากนักศึกษาในชมรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเอแบค จำนวน 6 คน ได้แก่ เอี่ยม-อติคุณ ทองแตง, เม-เมธาพร ทองแตง, อู๋-บุญชู อู๋, กันต์-กันต์ คงสินทรัพย์, ไอซ์-รังสิมันตุ์ ตันติวุฒิ และเจมส์-พงศกร โควะวินทวีวัฒน์ ซึ่งทุกคนมีความสนใจในงานด้านอนุรักษ์ และใช้พื้นที่ที่มีทำการเกษตรแบบพึ่งพาตัวเอง จนกระทั่งมาลงตัวที่ ‘วนเกษตร’ หรือ การเกษตรบนพื้นที่ป่า ก่อนจะขยายมาเป็นศูนย์การเรียนรู้อย่างที่เห็นในปัจจุบัน 

อติคุณ ทองแตง หนึ่งในผู้ก่อตั้งอธิบายว่า “ทุกการบริโภคในสมดุล ล้วนมีที่มาที่ไป ตั้งแต่กระบวนการผลิต อาหาร และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในคาเฟ่ จะถูกอธิบายว่ามาจากที่ไหนบ้าง มีความปลอดภัยอย่างไร เรามีฟาร์มเทเบิลส่วนหนึ่งที่ผลิตเอง และมีเครือข่ายเกษตรที่เรามั่นใจได้ในความปลอดภัย อาหารมีที่มาที่ไปอย่างไร อาหารส่วนหนึ่งเป็นออร์แกนิก ไม่มีสารเคมี และนี่คือสิ่งที่เราพยายามสื่อสาร เพราะเราเน้นเรื่องความจริงใจ ที่มาของอาหารที่จับต้องได้ ผู้บริโภคมีสิทธิ์ต้องรู้...

“เราเน้นใช้จาน แก้ว เพราะล้างได้ ใช้กระดาษ หลอดย่อยสลายได้ รวมถึงกระป๋อง อลูมิเนียม เพราะนำไปรีไซเคิลได้ 100% โดยมีจุดแยกขยะและเครื่องบีบอัดกระป๋อง ส่วนพลาสติกที่จำเป็นจริงๆ จากพวกแพ็คเกจ เราต้องคัดแยก ไม่ได้ไปทิ้งขยะรวมกับขยะทั่วไป โดยแยกไปรีไซเคิล เพื่อนำมาใช้ใหม่ ส่วนขยะที่รีไซเคิลยากจริงๆ เราส่งไปโครงการที่ผลิตพลาสติกเพื่อแปรรูปมาทำพลังงาน”

ไม่เพียงบทบาทในการมอบความสุขให้กับผู้มาเยี่ยมเยียน ‘สมดุล’ เท่านั้น หมวกอีกใบของ ‘สมดุล’ ยังให้ความสำคัญกับการเป็น ‘พลเมืองสีเขียว’ ที่คอยช่วยเหลือชุมชนโดยรอบผ่านองค์ความรู้ที่ได้จากคอนเนกชันของกลุ่มนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมหลายกลุ่ม

“เราเป็นกลุ่มนักอนุรักษ์ ที่หันมาทำธุรกิจ จึงอยากทำธุรกิจบนพื้นฐานของความยั่งยืน และการอนุรักษ์ เราเปิดที่นี่ขึ้นมาเพื่อให้เห็นว่าการทำธุรกิจอย่างยั่งยืนทำอย่างไร โดยมีคอนเนกชันกับกลุ่มอนุรักษ์หลายกลุ่ม ก็นำข้อมูลมาเผยแพร่ให้คนอื่นได้เรียนรู้...

“อย่างแนวคิดเรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อม ที่เป็นหนึ่งในแกนกลางสำคัญของการขับเคลื่อน เราก็ทำในรูปแบบวนเกษตร โดยใช้ภูมิปัญญาเกษตรแบบร่องสวน ทำปุ๋ยเอง เน้นเรื่อง Zero Waste โดยใช้อาหารที่เหลือจากคาเฟ่ ขยะเศษอาหาร จะนำไปแยกน้ำ แยกกาก เอาไปทำเป็นปุ๋ยหมัก และมีวิธีการจัดการการแยกขยะ เพราะขยะที่ขายไม่ได้เทศบาลจะนำไปฝังกลบ เราจึงมีเป้าหมายว่าขยะจะต้องนำไปถูกฝังกลบให้น้อยที่สุด ด้วยการคัดแยกขยะ
ขยะ เน้นเรื่องที่มาและที่ไป บรรจุภัณฑ์แบบไหนให้ปลอดภัยและจัดการง่าย เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง เป็นต้น” 

อีกหนึ่งในไฮไลต์ที่ อติคุณ มักจะนำเสนอต่อทุกคนที่มาเยือน ‘สมดุล’ คือ การให้ผู้มาเยือนได้มาศึกษาเรียนรู้ การเลี้ยง ‘ผึ้งชันโรง’ แมลงตัวจิ๋วที่เสมือนเป็นเครื่องมือรับรองคุณภาพด้านสิ่งแวดล้อม

สำหรับ ‘ชันโรงหรือผึ้งจิ๋ว’ (Stingless bees) เป็นแมลงผสมเกสรจำพวกผึ้งแต่ไม่มีเหล็กไน ‘ชันโรง’ ถือเป็นแมลงที่มีวิวัฒนาการสูงกว่าผึ้งป่า และยังให้น้ำผึ้งได้อีกด้วย โดยน้ำผึ้งและเกสรของชันโรงมีราคาแพงกว่าน้ำผึ้งทั่วไป เพราะมีปริมาณน้อยกว่า และหายาก เชื่อกันว่ามีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าน้ำผึ้งปกติ 

ความสำคัญที่มีต่อการเกษตรของชันโรงจะช่วยผสมเกสรพืชต่างๆ ได้เป็นอย่างดี เพราะมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงสามารถบินลอยตัวอยู่ได้นานโดยไม่จับเกาะอะไร ทำให้กระพือปีกได้นานบินร่อนลงเก็บเกสร และดูดน้ำหวานเป็นไปอย่างนุ่มนวลไม่ทำให้กลีบดอกช้ำ ขณะเดียวกัน ‘ผึ้งชันโรง’ ยังเป็นแมลงที่สามารถต้านทานเคมีได้ต่ำ เมื่อมีผึ้งชนิดนี้ในพื้นที่ไหนมี ก็เป็นการการันตีเรื่องระบบนิเวศได้ว่า ไม่มีสารเคมี สอดคล้องกับความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งพืชและดิน

หากใครที่อยากสัมผัสกับเสน่ห์แห่งวิถีธรรมชาติที่ปราศจากมลภาวะอย่างแท้จริง การเจียดเวลามา ‘สมดุล’ ชีวิตที่ ‘สวนสมดุล’ Somdul Agroforestry Home ก็อาจจะทำให้คุณได้แรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการพลิกตนให้ผู้พิทักษ์สังคมจากภัยคุกคามของภาวะเรือนกระจกได้ไม่มากก็น้อย ก็เป็นได้...

‘สวนสมดุล’ Somdul Agroforestry Home
ตั้งอยู่ในตำบลบางพรม อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม
ไม่ไกลจากตลาดน้ำอัมพวา จากวัดบางพลับ มาอีกประมาณ 500 เมตร
เปิด วันจันทร์-อังคาร 09.00-17.00 น. วันพุธ-อาทิตย์ 09.00-18.00 น. (ปิดวันพฤหัสบดี)
สอบถาม โทร. 098-362-9894 หรือ facebook.com/somdulhome 

รอง ผบ.ทร.ตรวจที่ดินกองทัพเรือภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อติดตามการขอใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อทางราชการให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นไปตามยุทธศาสตร์การใช้ที่ดินของกองทัพเรือ

ระหว่างวันที่ 21 - 23 ก.พ.67 พล.ร.อ.สุวิน  แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะประธานกรรมการที่ดินกองทัพเรือ และคณะ เดินทางไปตรวจที่ดินกองทัพเรือในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อรับทราบความคืบหน้าในงานเกี่ยวกับที่ดินกองทัพเรือ ที่หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) เป็นผู้ใช้ประโยชน์ รวมทั้งรับฟังปัญหา อุปสรรค ข้อขัดข้อง ตลอดจนร่วมพิจารณา และให้คำแนะนำแนวทางในการดำเนินการแก้ไขปัญหาที่ดิน ณ กองบังคับการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) เขตเชียงราย และกองบังคับการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขงเขตหนองคาย ตามลำดับ

ทั้งนี้ ที่ดินกองทัพเรือที่ นรข. เป็นผู้ใช้ประโยชน์ในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น เป็นที่ตั้งของหน่วยทั้งหมด และใช้ประโยชน์ทางการทหาร ซึ่งยังไม่มีปัญหาในการบุกรุกพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ยังมีปัญหาเกี่ยวกับการพังทลายของรั้วกำแพง หรือ บางหน่วยยังไม่มีการสร้างกำแพงถาวรโดยรอบหน่วย อีกทั้งในพื้นที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิศาสตร์ที่เกิดจากผลกระทบตามธรรมชาติ ส่งผลให้เกิดการงอกของที่ดิน และการดำเนินการก่อสร้างเขื่อนริมตลิ่งเพื่อป้องกันตลิ่งพังทลายตามริมแม่น้ำโขงของทางจังหวัด ที่ต้องดำเนินการขอถอนสภาพและขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ในการนี้รองผู้บัญชาการทหารเรือ ได้เน้นย้ำให้คณะกรรมการที่ดินกองทัพเรือช่วยให้คำแนะนำ และแก้ปัญหา ในเรื่องต่างๆ กับ นรข. โดยเฉพาะขั้นตอนการดำเนินการตามกฎหมายที่ดิน และให้หน่วยติดตามการดำเนินการต่าง ๆ ในทุกขั้นตอนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ถูกต้องตามกฎหมาย และหน่วยได้ใช้ประโยชน์ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นไปตามยุทธศาสตร์การใช้ที่ดินของกองทัพเรือ และเป็นนโยบายผู้บัญชาการทหารเรือ ด้านการส่งกำลังบำรุงในการบริหารจัดการที่ดินของกองทัพเรือ ที่สอดรับกับนโยบายของรัฐบาล

'พัชรวาท' มอบเสื้อกันไฟ 250 ตัว ให้ 'ชุดเสือไฟ' เนื่องในวันรณรงค์ให้ปลอดควันพิษจากไฟป่า วอนทุกฝ่ายร่วมมือลดควันพิษ

พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงวันรณรงค์ให้ปลอดควันพิษจากไฟป่า 24 ก.พ.ของทุกปีว่า ไฟป่าเป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้เกิดความสูญเสียทรัพยากรป่าไม้ และทำให้เกิดมลพิษด้านฝุ่น PM 2.5  ดังนั้นการกำหนดให้มีวันดังกล่าวเพื่อให้ทุกฝ่ายได้ตระหนักถึงความสำคัญของไฟป่าและเพื่อเป็นการรณรงค์ให้ประชาชน เกษตรกร งดการจุดไฟเผาป่า ลดควันไฟที่เกิดจากการเผาป่า สร้างความรู้ ความเข้าใจ และความตระหนักให้แก่ประชาชน นักเรียน นักศึกษา หน่วยราชการ องค์กรเอกชน ถึงอันตรายและผลกระทบของควันที่เกิดจากไฟป่า เพื่อป้องกันและอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ จากการจุดไฟเผาป่า และเพื่อลดปริมาณฝุ่น PM 2.5 จากควันไฟ 

ซึ่งได้กำชับเรื่องนี้ในการมอบนโยบายให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช โดยให้มีการยกระดับ การสื่อสารเชิงรุก ในรูปแบบ เคาะประตูบ้านเพื่อเข้าไปสื่อสาร ทำความเข้า ใจ กับประชาชน เรื่องผลกระทบจากการเผาอย่างเข้มข้น และร่วมมือ ชุมชน หน่วยงานทุกภาคส่วนร่วมกันประชาสัมพันธ์ รวมทั้งการบูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวง มหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และเครือข่ายต่างๆ เพื่อเป้าหมาย การลด Hotspot โดยเฉพาะในเขตป่าให้ได้ร้อยละ 50 และที่สำคัญที่สุด คือ ความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ ด้านป้องกันไฟป่า เพราะปฏิบัติการดับไฟป่าเป็นงานหนักและเสี่ยงต่ออันตรายต่อชีวิตและร่างกาย

ดังนั้นจึงต้องสนับสนุนเครื่องมือ อุปกรณ์ เพื่อให้ชุดเสือไฟมีความมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ และเพื่อให้มีความปลอดภัย จึงได้มอบเสื้อกันไฟ จำนวน 250 ตัว ให้กับเจ้าหน้าที่ชุดเสือไฟ เนื่องจากจะต้องไปสนับสนุนการดับไฟป่าขนาดใหญ่ มีความรุนแรงสูงหรือเกิดไฟป่าในพื้นที่ทุรกันดารห่างไกล ยากลำบากต่อการเข้าถึง มีความเสี่ยงสูง อย่างไรก็ตามการจะให้ปลอดควันพิษจากไฟป่านั้นจะอาศัยเพียงหน่วยงานหนึ่งหน่วยงานใดคงไม่สำเร็จ ต้องอาศัยมือของทุกคนมาช่วยกันเพื่อลดควันพิษจากไฟป่า ผืนป่าอุดมสมบูรณ์ สัตว์ป่าก็ไม่สูญพันธุ์”

'พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ฯ' ผบ.ตร. ตรวจเยี่ยม อัศวินสีส้ม🧡 บก.จร.

วานนี้ (23 ก.พ.67) เวลา 13.15 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. พร้อม พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมมอบของบำรุงขวัญ แก่ข้าราชการตำรวจกองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) โดยมี, พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ บัณฑิตย์ ผบก.จร. พร้อม รอง ผบก.จร. ,ผกก., รอง ผกก., สว. ข้าราชการตำรวจในสังกัด และที่ปรึกษา บก.จร. ร่วมให้การต้อนรับ

ผบ.ตร.ได้ตรวจแถว รถยนต์และรถจักรยานยนต์ ของ บก.จร. สักการะพระพุทธรูป ปรางห้ามสมุทร ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำ บก.จร. ก่อนเข้าอาคาร ทำการมอบหมวกนิรภัย ในโครงการ “บก.จร. ปลอดภัยสวมหมวกนิรภัย 100% ”ให้ กับข้าราชการตำรวจและลูกจ้างที่ปฎิบัติหน้าที่ภายในอาคาร บก.จร. จากนั้นได้เข้าตรวจเยี่ยม ศูนย์ควบคุมและสั่งการจราจร บก.02 รับชมวิดีทัศน์แนะนำหน่วย มอบนโยบายและมอบของบำรุงขวัญให้กับข้าราชการตำรวจ จากนั้น ผบก.จร.ได้มอบหมวกนิรภัยตำรวจจราจร ให้กับ ผบ.ตร. และ ผู้ช่วย ผบ.ตร.เป็นของที่ระลึก ได้เยี่ยมชม ตำรวจจราจรในโครงการพระราชดำริ อุปกรณ์ที่ใช้ปฏิบัติงานในการช่วยเหลือประชาชนบนท้องถนนที่มีการจราจรหนาแน่น

ผบ.ตร. กล่าวว่า การช่วยเหลือประชาชน นำผู้ป่วยหรืออวัยวะสำคัญ ให้ ทันท่วงที ต้องใช้รถจักรยานยนต์ เพื่อนำรถพยาบาลหรือการเข้าไปแก้ปัญหาบนท้องถนนที่มีการจราจรติดขัดแต่สีของรถจักรยานยนต์ก็เป็นสีขาวทั่วไปทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ค่อยทราบ จึงแนะนำให้ติดสติกเกอร์แบบสะท้อนแสงสีเขียวมะนาวซึ่งการวิจัยจากต่างประเทศแล้วว่าประชาชนจะมองเห็นในระยะ 500 เมตร เมื่อประชาชนมองเห็นรถจักรยานยนต์ในสีเขียวมะนาวผ่านมาจะทำให้รู้ว่าเป็นรถฉุกเฉินจะต้องเปิดทางให้

รอง ผบ.ตร. คงคำสั่งให้ข้าราชการตำรวจ 8 คนที่ตกเป็นผู้ต้องหาคดีเว็บพนันมินนี่ มาปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากตำแหน่งเดิม และมีคำสั่งให้ข้าราชการตำรวจรักษาราชการแทนในตำแหน่งต่าง ๆ รวม 11 ราย

พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากกรณีคดีเว็บไซต์พนันออนไลน์เครือข่ายมินนี่ ที่มีข้าราชการตำรวจ 8 นายตกเป็นผู้ต้องหา และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามคำร้องขอของอัยการ ขอให้กำหนดมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน และอัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 1 ที่เข้าไปให้คำแนะนำสืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าวนั้น ล่าสุด วันนี้ (23 ก.พ.67) พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงนามในคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 106/2567

เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจช่วยราชการและรักษาราชการแทน ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีคำสั่งที่ 543/2566 ลงวันที่ 27 กันยายน 2566 ให้ข้าราชการตำรวจ จำนวน 8 ราย ปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ด้วยเหตุกรณีที่มีข้าราชการตำรวจถูกดำเนินคดีในการกระทำความผิดอาญา หากปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิมอาจเกิดความเสียหายต่อทางราชการนั้น 

เนื่องจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับรายงานกรณีที่ข้าราชการตำรวจดังกล่าว ซึ่งอยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีในการกระทำความผิดอาญา มีพฤติการณ์ไม่เหมาะสมกับเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติหน้าที่ในการให้คำแนะนำปรึกษาการสอบสวนคดีนี้ และขัดขวางกระบวนการสืบสวนสอบสวน ทำให้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ราชการและการอำนวยความยุติธรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยหากให้ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิมอาจก่อให้เกิดความเสียหาย ประกอบกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีคำสั่งที่ 93/2567 ลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง กรณีที่ข้าราชการตำรวจดังกล่าวมีกรณีกล่าวหาหรือเป็นที่สงสัยว่ากระทำผิดวินัย ดังนั้น เพื่อประโยชน์ในการอำนวยความยุติธรรมทางอาญาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และให้การดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

รวมทั้งเพื่อมิให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 63 และมาตรา 105 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ประกอบระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2566 จึงให้ข้าราชการตำรวจช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อาคาร 1 ชั้น 20 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มอบหมาย เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย และให้ข้าราชการตำรวจรักษาราชการแทนในตำแหน่งต่าง ๆ รวมจำนวน 11 ราย ทั้งนี้ ให้ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ควบคุมดูแลการปฏิบัติของข้าราชการตำรวจที่ช่วยราชการ พร้อมทั้งกำชับการปฏิบัติหน้าที่ให้เหมาะสมต่อไป

รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติลงพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ประชุมตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งแก้ไขปัญหาตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี

วันนี้ (23 ก.พ.67) เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์อาชญากรรมและยาเสพติดในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ตามสั่งการของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยมี พล.ต.ท.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 , พล.ต.ต.นครินทร์ สุคนธวิท ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี , นายรณภพ เวียงสิมมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี และหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดกาญจนบุรี เข้าประชุม ณ ศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรี โดยในที่ประชุมได้มีการหารือร่วมกันในการบูรณาการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและยาเสพติดทุกรูปแบบ โดยเฉพาะที่เป็นปัญหาในจังหวัดกาญจนบุรี ได้แก่ การลอบนำเข้าสิ่งของผิดกฎหมายจากประเทศเพื่อนบ้าน , ปัญหาไฟป่าและฝุ่น PM 2.5 และปัญหาหนี้นอกระบบ

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ฯ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยหลายปัญหาสำคัญในจังหวัดกาญจนบุรี วันนี้จึงมาติดตามการแก้ปัญหาต่างๆ เพื่อนำไปสู่การยกระดับการแก้ปัญหาให้เห็นเป็นรูปธรรม ให้จังหวัดกาญจนบุรีเป็นจังหวัดที่โปร่งใส และเป็นต้นแบบในการขจัดปัญหาต่างๆ โดยจะนำข้อสรุปไปรายงานกับนายกรัฐมนตรีด้วย สำหรับปัญหาการลักลอบขนยางพาราข้ามแดน มอบให้ศุลกากรเป็นเจ้าภาพ ต้องตรวจสอบความถูกต้องตามกฎหมายก่อนที่จะปล่อยหรือไม่ปล่อยรถบรรทุกยางพาราออกมา ส่วนเรื่องยางเถื่อน ทุกหน่วยงานต้องเข้มงวดกวดขันปรามปรามจับกุมอย่างจริงจัง เพื่อลดผลกระทบกับเกษตรกร หากพบเจ้าหน้าที่เอื้อประโยชน์ ก็จะดำเนินการทางวินัยอย่างเด็ดขาด 

ส่วนเรื่องปัญหาไฟป่า และฝุ่น pm2.5 แนะนำว่าอาจจะยึดโมเดลการแก้ปัญหาฝุ่นในกรุงเทพมหานครมาประยุกต์ใช้กับพื้นที่ ให้เพิ่มความเข้มในมาตรการต่างๆ เช่น การเพิ่มความเข้มในการบังคับใช้กฎหมายตรวจควันดำยานพาหนะ เป็นต้น ส่วนเรื่องไฟป่าเข้าใจว่าการดับไฟหรือควบคุมจุดความร้อนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ขอให้ทุกหน่วยงานร่วมมือและช่วยกัน พร้อมขอให้รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรีกำหนดมาตรการต่อเนื่องให้ชัดเจนเป็นรูปธรรม 

สำหรับปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งกาญจนบุรีเป็นอันดับที่ 13 ของประเทศที่มีลูกหนี้มาลงทะเบียนมากสุด ฝากให้เจ้าหน้าที่แก้ปัญหาหนี้นอกระบบ การทวงหนี้หรือทำร้ายลูกหนี้ การขูดรีดจากการคิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด เจ้าหน้าที่ต้องไม่ไปเกี่ยวข้องหรือไปรับผลประโยชน์ ควบคู่กับฝ่ายปกครองทำข้อมูลการไกล่เกลี่ย 

ด้านผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 กล่าวว่า เมื่อวานนี้ (22 ก.พ.67) ตนได้เข้าพบนายกรัฐมนตรี และรับภารกิจมา ในวันนี้ขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกันอย่างเต็มกำลังมากขึ้น พร้อมกำหนดแนวทางการปฏิบัติ เพิ่มความเข้มข้นในการตรวจค้นที่ด่านทองผาภูมิ ให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการค้นของผิดกฎหมายทุกประเภท ส่วนพื้นที่ตอนในเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบ มีการรายงานและติดตามสถานการณ์ผ่านกลุ่มไลน์ที่ตั้งขึ้นมาเฉพาะ โดยจะมีนายกรัฐมนตรีอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย ให้รายงานทุกประเด็นทั้งของเถื่อน อบายมุขในพื้นที่ ไฟป่าPM2.5 และหนี้นอกระบบ

หลังการประชุม พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ฯ พร้อมคณะ ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงาน ณ ด่านสามแยกทองผาภูมิ อ.ทองผาภูมิ จว.กาญจนบุรี เพื่อรับฟังปัญหา พร้อมกำชับข้อปฏิบัติและให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้วย

ทัพเรือ แจง 'ขุดดินแลกน้ำ'คลองบางไผ่ โปร่งใสตรวจสอบได้ ประชาชนได้ประโยชน์มีน้ำใช้ ไม่เสียงบประมาณจัดจ้างแล้วมีเงินเหลือส่งเข้าคลัง

เมื่อ 23 ก.พ.67 พล.ร.ท.ชยุต นาเวศภูติกร ผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ ถึงโครงการ “ขุดดินแลกน้ำ” ว่า เป็นโครงการที่นำเอาวัสดุมูลดินที่ได้จากการขุดลอกแหล่งน้ำธรรมชาติหรือแหล่งอื่นๆ ที่เหมาะสม มาบริหารจัดการให้เกิดประโยชน์ และเปลี่ยนเป็นมูลค่า โครงการนี้ถือเป็นโครงการที่ดีเพราะจะช่วยแก้ปัญหาภัยแล้ง หรืออุทกภัยในทุกพื้นที่และช่วยในการรักษาระบบนิเวศให้กับพื้นที่แหล่งน้ำ โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการทั้งหมด ทางผู้รับเหมาจะใช้เงินจากจากการนำเอามูลดินที่ขุดได้ส่วนหนึ่งมาเป็นค่าใช้จ่าย ส่วนรายได้จากการจำหน่ายดินที่เหลือจะถูกส่งคืนให้กับกองคลัง  ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีกับทางภาครัฐ ที่ไม่ต้องใช้งบประมาณในการดำเนินการ และยังได้เงินจากทางโครงการเพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศต่อไป

สำหรับโครงการขุดลอกอ่างเก็บน้ำคลองบางไผ่ อ.บ้านฉาง จ.ระยอง เป็นหนึ่งในโครงการ “ขุดดินแลกน้ำ” โดยดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย ตามนโยบายของ ผบ.ทร. ที่ต้องจัดทำทุกโครงการให้โปร่งใสและตรวจสอบได้ ดังนั้นถือเป็นสิ่งดีที่ประชาชนให้ความสนใจ ใส่ใจในการปฏิบัติงานของโครงการ ส่วนข้อสงสัยที่เกี่ยวกับความโปร่งใสบางประการที่ต้องการคำตอบ หน้าที่ของตนคือการชี้แจงตามข้อเท็จจริง ซึ่งตนพร้อมที่จะเป็นตัวแทนกองทัพเรือพาทุกท่านที่สงสัย หรือเห็นอะไรไม่ชอบมาพากลในโครงการนี้ ลงพื้นด้วยตัวเอง  และพร้อมตอบทุกข้อซักถาม 

พล.ร.ท.ชยุต กล่าวว่า โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเพิ่มปริมาตรการกักเก็บน้ำดิบ ด้วยการขุดลอกอ่างเก็บน้ำคลองบางไผ่ โดยแบ่งการดำเนินการออกเป็น 4 ระยะ ซึ่งจะทำให้เพิ่มประสิทธิภาพปริมาตรรองรับน้ำจากเดิม 9.89 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็น 21.89 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งจะทำให้หน่วยราชการและประชาชนในพื้นที่จ.ชลบุรีและจ.ระยอง มีน้ำใช้เพื่อการอุปโภคและบริโภค ตลอดช่วงฤดูแล้งอย่างเพียงพอ รวมถึงรองรับเมืองการบินภาคตะวันออกและการพัฒนาประเทศตามโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) พร้อมทั้งเป็นแหล่งรองรับน้ำหลากช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัยในช่วงฤดูฝนด้วย ซึ่งระหว่างที่เรากำลังดำเนินไป เราเริ่มเห็นผลของโครงการแล้ว เพราะล่าสุดที่เราได้ทำการตรวจสอบ ปรากฏว่ามีปริมาณน้ำเริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

พล.ร.ท.ชยุต กล่าวอีกว่า ประเด็นหลักๆ ที่หลายท่านสงสัยเรื่องการนำกรวด หิน ดิน ทราย ที่ได้จากการขุดลอกไปเป็นค่าจ้างในการขุดนั้น เป็นไปตามสัญญาที่ฐานทัพเรือสัตหีบได้ลงนามกับบริษัทที่รับเหมาโครงการ ได้มีการประเมินราคามูลดินโดยคณะกรรมการกำหนดราคามูลดินขุดลอกงานจ้างขุดลอกอ่างเก็บน้ำคลองบางไผ่ระยะที่หนึ่ง  รวมเป็นยอด 82,338,312 บาท มีเงินส่วนต่างที่เหลือจากการทำโครงการจะอยู่ที่ 16,758,312 บาท ซึ่งฐานทัพเรือสัตหีบจะส่งเข้าคลังเพื่อเป็นรายได้แผ่นดินในนามกรมธนารักษ์ต่อไป 

“ส่วนเรื่องที่มีการตั้งข้อสงสัยเช่น กรณีใบอนุญาตให้มีการใช้เครื่องจักรกลหนักในการประกอบการขุด ขนย้ายทราย เราได้ตรวจสอบก่อนที่จะทำสัญญาแล้วทุกอย่าง มีเอกสารชัดเจน และเรื่องแรงงานที่ใช้ภายในโครงการ คนงานส่วนใหญ่จะเป็นคนในพื้นที่ อันนี้เป็นความประสงค์จากทางกองทัพเรือเองที่อยากจะช่วยสร้างอาชีพให้กับคนในชุมชน สำหรับกรวด หิน ดิน และทราย ที่ได้จากการขุดลอกส่วนหนึ่งทางกองทัพเรือพร้อมที่จะมอบเป็นสาธารณะประโยชน์ ให้กับวัด โรงเรียน โรงพยาบาล ในพื้นที่ที่แจ้งความประสงค์มา โดยเราได้มีการพูดคุยกับทางผู้นำหมู่บ้านในพื้นที่ไปบ้างแล้ว”

พล.ร.ท.ชยุต กล่าวต่อว่า ขณะนี้ทางโครงการยังเดินหน้าทำงานต่อเพื่อให้เสร็จตามกำหนด เพราะผู้ที่จะได้รับผลประโยชน์สูงสุดในโครงการนี้ก็คือประชาชนในพื้นที่  และนี่คืออีกหนึ่งผลงานที่ทางกองทัพเรือสัตหีบ ขอน้อมปฏิบัติตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10  คือต้องให้ประชาชนดำรงชีวิตอย่างร่มรื่นเป็นปรกติสุข ปราศจากภยันตรายและความเดือดร้อนยากเข็ญ และต้องปฏิบัติหน้าที่การงานด้วยความสุจริตบริสุทธิ์ใจ เต็มกำลังสติปัญญาความสามารถ เพื่อให้บังเกิดประโยชน์สูงสุดคือความวัฒนาผาสุขของประชาชน

‘ยูนิโคล่-UNHCR’ เปิดตัวโครงการ ‘Hope Away from Home’ เสื้อยืดพิมพ์ลายการกุศล ที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อสนับสนุนผู้ลี้ภัย

(23 ก.พ.67) สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) กล่าวว่า เสื้อยืดตามโครงการ ‘Hope Away from Home’ วางจำหน่ายที่ร้านยูนิโคล่ 12 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ซึ่งทางยูนิโคล่นอกจากจะบริจาคเงินจำนวน 1 แสนดอลลาร์  (หรือประมาณ 3.54 ล้านบาท) ให้แก่ UNHCR แล้ว ยังบริจาคเงินอีก 3 ดอลลาร์ (หรือประมาณ 106 บาท) จากทุกการจำหน่ายเสื้อยืดจากคอลเลกชันนี้ให้กับ UNHCR อีกด้วย เพื่อส่งต่อความช่วยเหลือในสถานการณ์ฉุกเฉินต่อไป

ซึ่งผลงานการออกแบบคัดสรรมาจากมากกว่า 4,000 ภาพ จากการประกวดภาพวาดศิลปะโดยเยาวชน และผู้ลี้ภัย เยาวชนผู้ออกแบบแสดงออกถึงใบหน้าแห่งความหวังเมื่อต้องถูกบังคับให้เผชิญกับการพลัดถิ่น โดยเสื้อยืดคอลเลกชันนี้พร้อมวางจำหน่ายที่ร้านยูนิโคล่พร้อมกันทั่วโลก ได้แก่ แคนาดา, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อินเดีย, ญี่ปุ่น, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, อังกฤษ, อเมริกา และประเทศไทย

“เสื้อแต่ละตัวบอกเล่าเรื่องราวแห่งความหวังอันทรงพลังอย่างสร้างสรรค์ การเลือกสวมเสื้อยืดคอลเลกชันนี้ คุณถือเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวเพื่อสนับสนุนงานของ UNHCR ที่กำลังดำเนินการในพื้นที่ทั่วโลกกว่า 135 ประเทศ และหน่วยงานปฏิบัติการ 550 แห่งทั่วโลก เพื่อช่วยเหลือผู้ที่กำลังเผชิญกับภาวะสงคราม ความขัดแย้ง และการประหัตประหาร การสนับสนุนของคุณมีความสำคัญ!” เคลลี่ เคลเมนตส์ รองข้าหลวงใหญ่ UNHCR กล่าว

5 ศิลปินผู้อยู่เบื้องหลังการออกแบบเสื้อยืดคอลเลกชันนี้ ได้แก่

- Asifiwe, อายุ 14 ปี ย้ายจากค่ายลี้ภัยในบุรุนดีมาตั้งถิ่นฐานในสหรัฐ
- Virag อายุ 28 ปี เจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมจากประเทศฮังการี
- Mawardi อายุ 20 ปี ผู้ลี้ภัยชาวเอธิโอเปียที่ลี้ภัยไปยังโซมาเลีย
- Afya, อายุ 14 ปี เยาวชนที่อาศัยอยู่ในสหรัฐ
- Georgette อายุ 14 ปี ผู้ลี้ภัยจากสาธารณรัฐคองโก ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่ค่ายผู้ลี้ภัยในแทนซาเนีย

ทั้งนี้ UNHCR และ ยูนิโคล่ มีความร่วมมือกันตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ผ่านการให้ความช่วยเหลือมอบเสื้อผ้าสำหรับผู้ลี้ภัย โครงการพึ่งพาตนเอง การจ้างงานผู้ลี้ภัย และการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ คอลเลกชันเสื้อยืดนี้ใช้ชื่อตามแคมเปญ Hope Away from Home ของ UNHCR เพื่อเรียกร้องให้มีการดำเนินการอย่างเร่งด่วน และความร่วมมือด้านมนุษยธรรมเพื่อปกป้องสิทธิของผู้ลี้ภัยทั่วโลก

เสื้อยืดคอลเลกชันพิเศษนี้จะวางจำหน่ายในร้านสาขายูนิโคล่ประเทศไทย ที่ยูนิโคล่สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ ที่ให้บริการ UTme!  ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไป 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top