Tuesday, 8 July 2025
Hard News Team

ครอบครัว ‘ตะวัน-แฟรงค์’ ขอยื่นประกันตัวลูก วอนศาลเมตตา พร้อมสัญญาจะดูแลทั้งคู่ให้กลับตัวกลับใจ ทำแต่สิ่งดีๆ

(24 ก.พ. 67) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ความคืบหน้าคดีที่พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลดินแดน ได้ยื่นคำร้องฝากขัง นางสาวทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือ ‘ตะวัน’ อายุ 22 ปี นักเคลื่อนไหวกลุ่มทะลุวัง และนายณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร หรือ ‘แฟรงค์’ อายุ 23 ปี ผู้ต้องหาที่ 1-2 ข้อหามาตรา 116, ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา และร่วมกันกระทำด้วยประการใดอันเป็นการก่อความเดือดร้อนรำคาญในที่สาธารณะ, ทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานซึ่งสั่งการตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายให้ไว้ ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร

กรณีเหตุการณ์ที่ น.ส.ทานตะวัน หรือ ‘ตะวัน’ ร่วมกับนายณัฐนนท์ หรือ ‘แฟรงค์’ นักเคลื่อนไหวกลุ่มทะลุวัง พยายามขับรถแซงขบวนเสด็จบนทางด่วน พร้อมบีบแตรรถยนต์ลากยาวระหว่างขบวนเสด็จผ่าน และใช้ถ้อยคำดูหมิ่นเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ถวายความปลอดภัย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งต่อมาศาลได้มีคำสั่งให้ฝากขังและไม่ให้ประกันในคดี

ล่าสุดช่วงเช้าวันนี้ นายสมหมาย ตัวตุลานนท์ พ่อของ น.ส.ทานตะวัน ได้มายื่นขอให้ศาลอาญาพิจารณาปล่อยตัวชั่วคราวทั้ง 2 คน

ขณะที่เพจเฟซบุ๊ก Friends Talk โพสต์คำร้องขอประกันตัวของทั้งคู่ ระบุว่า…

“ศาลที่เคารพ ขณะนี้ลูกสาวของผม นางสาวทานตะวัน ตัวตุลานนท์ ซึ่งถูกสั่งให้ขังอยู่ใต้ความควบคุมของเรือนจำ ป่วยหนัก ขอให้ศาลปล่อยลูกผมออกมา เพื่อให้ผมสามารถรักษาชีวิตของลูกไว้ด้วยครับ

วันนี้เป็นวันมาฆบูชา เป็นวันที่พุทธศาสนิกชนทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา ได้ทำการอดอาหาร และน้ำ จนมีอาการวิกฤตอยู่ขณะนี้ ทำให้เขาสามารถเสียชีวิตในเวลาอันใกล้ ซึ่งข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมเมื่อวาน (23/2/67) เขามีอาการซีด ผอม และทรมานมาก ข้าพเจ้าจึงขอให้ศาลโปรดเมตตาในการช่วยชีวิตบุตรีของข้าพเจ้า อีกทั้งจะให้เขาได้กลับตัว กลับใจ ทำในสิ่งดีดี เพื่อลบล้างสิ่งไม่ดีในอดีต

อนึ่งขอให้ศาลโปรดเมตตา น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ บุตรีของข้าพเจ้า เพื่อได้ออกมาสู้คดีอย่างยุติธรรม

ข้าพเจ้าให้สัญญาว่าจะดูแล น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ บุตรีของข้าพเจ้า ไม่ให้มีความประพฤติที่ไม่สมควรอีก และจะนำบุตรีของข้าพเจ้ามาตามนัดของเจ้าหน้าที่และศาลอย่างเคร่งครัด

ขอให้ท่านโปรดเมตตา”

ขณะที่คำร้องขอประกันนายณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร หรือ ‘แฟรงค์’ ระบุว่า…

“ศาลที่เคารพ ขณะนี้ นายณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร ผู้ซึ่งเป็นพนักงานของข้าพเจ้า และได้อยู่กับข้าพเจ้า เปรียบเสมือนบุตรอีกคนของข้าพเจ้า อยู่ใต้ความควบคุมของเรือนจำ ป่วยหนัก ขอให้ศาลปล่อยนายณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร ให้ผมสามารถรักษาชีวิตของเขาได้

วันนี้เป็นวันมาฆบูชา เป็นวันที่พุทธศาสนิกชนทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา การที่นายณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร ได้ทำการอดอาหารจนอาการในขณะนี้มีวิกฤต ทำให้อาจทำให้เสียชีวิตได้ในไม่ช้า จึงขอความกรุณาจากศาลให้ท่านปล่อยตัวนายณัฐนนท์ ให้เขาได้ประพฤติตัว และแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาด และทำความดีให้กับสังคมในครั้งต่อไป

ข้าพเจ้าขอให้สัญญาว่า จะอบรมสั่งสอนให้นายณัฐนนท์ไม่ให้มีความประพฤติที่ไม่สมควร และจะพามาพบเจ้าหน้าที่และศาลตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด”

‘โรงเรียนวัดทรงธรรม’ ประกาศ!! เกณฑ์การซ้ำชั้น ประจำปีการศึกษา 2566 หวังช่วยเด็กที่ยังไม่พร้อม เลี่ยงปัญหาการเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้นวันหน้า

ไม่นานมานี้ ทางเพจโรงเรียนวัดทรงธรรม ได้โพสต์ประกาศเกี่ยวกับเกณฑ์การซ้ำชั้น ประจำปีการศึกษา 2566 ระบุว่า…

ตามระเบียบโรงเรียนวัดทรงธรรม ว่าด้วยการวัดผลและประเมินผลการเรียน ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551–พ.ศ.2557 (แก้ไขเพิ่มเติม) ลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2557 หมวดที่ 7 การเรียนซ้ำชั้น โดยดำเนินงานตามหนังสือของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ศธ04010/1478 ลงวันที่ 22 เมษายน 2559 เรื่องซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับ แนวปฏิบัติการเรียนซ้ำชั้น

ซึ่งการเรียนช้ำชั้นในระดับมัธยมศึกษา เมื่อผู้เรียนไม่ผ่านเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งหรือ ทั้ง 2 ข้อ ดังนี้

1.) ผู้เรียนมีระดับผลการเรียนเฉลี่ยในปีการศึกษานั้นต่ำกว่า 1.00 และมีแนวโน้มว่าจะเป็นปัญหา
ต่อการเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้น

2.) ผู้เรียนมีผลการเรียน 0, ร, มส เกินครึ่งหนึ่งของรายวิชาที่ลงทะเบียนเรียนในปีการศึกษานั้น

ทั้งนี้ การพิจารณาให้ผู้เรียน เรียนซ้ำชั้นของโรงเรียนวัดทรงธรรม จะดำเนินการในรูปแบบของ
คณะกรรมการ โดยจะเริ่มการพิจารณาเมื่อการสอบแก้ตัวในรอบที่ 2 สิ้นสุดลง ทางโรงเรียนวัดทรงธรรมจึงขอแจ้งผู้ปกครองและผู้เรียนทราบ เพื่อดำเนินการแก้ไขผลการเรียนตามช่วงเวลาที่โรงเรียนกำหนด จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

‘ป๋าเทพ’ สุเทพ โพธิ์งาม ขอบคุณ ม.ขอนแก่น ยกให้เป็น ‘ศิลปินมรดกอีสาน’ ด้านนักแสดงตลก

เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 67 มหาวิทยาลัยขอนแก่น ประกาศรายชื่อผู้ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติศิลปินมรดกอีสาน แห่งมหาวิทยาลัยขอนแก่น ประจำปี พุทธศักราช 2567 เนื่องในโอกาสมหามิ่งมงคล วันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และวันอนุรักษ์มรดกไทย มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมเทิดพระเกียรติ ด้วยการยกย่องเชิดชูเกียรติศิลปินมรดกอีสาน โดยรางวัลเชิดชูเกียรติศิลปินมรดกอีสาน มอบแด่ ศิลปิน ผู้เป็นต้นแบบศิลปะพื้นถิ่นอีสาน เปี่ยมล้นคุณธรรม จริยธรรม เป็นจุดเริ่มต้นแห่งแรงบันดาลใจ ถ่ายทอดศาสตร์ศิลป์ จนเป็นองค์ความรู้อันมีค่ายิ่ง มีผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนคนรุ่นหลังอย่างต่อเนื่อง มุ่งมั่นทุ่มเท สร้างสรรค์ผลงานอันทรงคุณค่าต่อแผ่นดินอีสาน ก่อคุณูปการด้านศิลปวัฒนธรรมต่อแผ่นดินไทย

โดยมหาวิทยาลัยขอนแก่นได้มอบรางวัลศิลปินมรดกอีสาน ประกอบด้วยสาขาทัศนศิลป์ สาขาวรรณศิลป์ และสาขาศิลปะการแสดง ซึ่งในรางวัลดังกล่าวปรากฏรายชื่อของ นายสุเทพ โพธิ์งาม หรือ ‘ป๋าเทพ’ ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติศิลปินมรดกอีสาน สาขาศิลปะการแสดง (นักแสดงตลก)

ด้าน นายสุเทพ โพธิ์งาม เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า จากกรณีที่ทางมหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้คัดเลือกตนได้รับมอบรางวัลมรดกอีสาน สาขาการแสดงตลก ซึ่งตนได้ทราบจากทางมหาวิทยาลัย เมื่อประมาณเดือนก่อน ตนก็ไม่ทราบรายละเอียดในรางวัลดังกล่าว ตนก็ไม่เคยคิดว่าจะได้รับรางวัลอะไร ที่ผ่านมาศิลปินตลกทั่วๆ ไป และก็เป็นตลกมานานแบบว่าอยู่วงการตลกจนแก่ แต่ตอนนี้อายุ 74 ปีแล้ว ก็วางมือจากทุกๆ อย่างแล้ว ตนก็ต้องขอบคุณทางมหาวิทยาลัยที่มอบรางวัลให้

‘ดร.นิว’ เฮ!! ผลหยั่งเสียงเลือกอธิการบดี มธ. ‘ปริญญา’ ได้ที่โหล่ อาจปิดช่องประชาคมธรรมศาสตร์ ต่อท่อกับพรรคก้าวไกลเสียที

(24 ก.พ. 67) ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ‘ดร.นิว’ นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

“โชคดีของประชาคมธรรมศาสตร์ที่นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล ได้รับการเสนอชื่อเป็นอธิการบดีในอันดับท้ายสุด มิฉะนั้นไม่รู้ว่าธรรมศาสตร์จะไปทางไหน เพราะนายปริญญาปล่อยให้ม็อบสามนิ้วใช้ธรรมศาสตร์ปราศรัยล้มล้างการปกครอง ใช้วิชา TU100 ต่อท่อกับพรรคก้าวไกล ดังนั้น #ให้ปริญญาจบที่รุ่นเรา ก็ดีแล้ว”

สำหรับการหยั่งเสียงเพื่อเลือกอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์คนใหม่ เมื่อวันที่ 22 ก.พ.ที่ผ่านมา พบว่ามีผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จำนวน 3 ราย คือ ศ.ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ คณะรัฐศาสตร์, รศ.ดร.พิภพ อุดร คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และ ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล คณะนิติศาสตร์

ผลการนับคะแนนเบื้องต้นปรากฏว่า ศ.ดร.ศุภสวัสดิ์ ได้รับการเสนอชื่อเป็นอันดับที่ 1 ใน 26 ส่วนงาน, รองลงมาคือ รศ.ดร.พิภพ ได้รับการเสนอชื่อเป็นอันดับที่ 1 ใน 12 ส่วนงาน และ ผศ.ดร.ปริญญา ได้รับการเสนอชื่อเป็นอันดับที่ 1 ใน 5 ส่วนงาน

ทั้งนี้ คณะกรรมการสรรหาฯ จะได้จัดประชุมในวันที่ 28 ก.พ. เพื่อรายงานสรุปความคิดเห็น เสนอต่อสภามหาวิทยาลัยทราบ พร้อมทั้งทาบทามบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับการสัมภาษณ์ และแถลงแนวทางการบริหารมหาวิทยาลัยต่อคณะกรรมการสรรหาฯ พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัย นักศึกษา และศิษย์เก่า เข้ารับฟังการแถลงแนวทางการบริหารในวันที่ 19 เม.ย. ต่อไป

คดีเว็บพนัน ส่อเละเป็น ‘โจ๊ก’ ‘พล.ต.อ.สุรเชษฐ์’ วืด ‘ผบ.ตร.’ อีกรอบ!?

ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า...ศึกครั้งนี้ใครจะเละเป็นโจ๊ก..ใช่ ‘บิ๊กโจ๊ก’ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง หรือว่าเป็นอีกฝ่ายที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าฝ่ายบิ๊กต., บิ๊กป., บิ๊กย. หรือบิ๊กอะไรดี...เพราะเท่าที่ดู ๆ มีส่วนผสมของหลายบิ๊ก…

แต่ที่แน่ ๆ ตอนนี้ ‘บิ๊กเต่า’ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการสอบสวนกลาง (บช.ก.) ในฐานะโฆษกทีมพนักงานสอบสวนคดีบิ๊กโจ๊ก ออกมาชักธงรบด้วยท่าทีท่วงทำนองมั่นอกมั่นใจ…ถึงขั้นบอกว่าระวัง ‘แมวเก้าชีวิต’ จะไม่มีชีวิตที่สิบ

สืบสาวราวเรื่อง สรุปสั้น ๆ นี่คือความเก่าคดีเก่าที่ค้างปี ที่ตำรวจไซเบอร์จับกุมนาย ‘บอสตาล’ นายพงษ์ศิริ ฐานราชวงศ์ศึก ประธานทีมฟุตบอลลำพูนริเวอร์ กรณีเว็บพนัน, ฟอกเงิน เมื่อ 20 มิ.ย.2566 และขยายผลกันมาจนถึง ‘มินนี่’ ธนัยนันท์ สุจริตชินศรี และเครือข่าย ลามมาถึงค้นบ้าน ‘บิ๊กโจ๊ก’ เมื่อ 25 ก.ย. และดำเนินคดีกับลูกน้องบิ๊กโจ๊ก...บลา..บลา..บลา...

ความร้อนแรงเรื่องนี้เมื่อปลายปี 2566 ควบคู่ไปกับการช่วงชิงตำแหน่ง ผบ.ตร. ที่พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ‘บิ๊กต่อ’ ผู้อาวุโสน้อยสุดแต่โชคดีสุด...เข้าป้าย…

สถานการณ์วันนี้ คดีต่าง ๆ ท่าน ‘บิ๊กต่อ’ มอบหมายให้พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ ที่เพิ่งขึ้นตำแหน่งรองผบ.ตร. เมื่อต.ค. 2566 (เกษียณ 2569) เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน คุมคดี โดยมี ‘บิ๊กเต่า’ เป็นทีมงานและโฆษก 

คดีในส่วนที่เกี่ยวกับ 8 ตำรวจ (ทีมงานบิ๊กโจ๊ก) ที่ถูกกล่าวหา ทาง ป.ป.ช. มีมติส่งกลับให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อ แต่คดีที่กล่าวหาตัวบิ๊กโจ๊กกับลูกน้องรวม 5 นาย ป.ป.ช. ยังสงวนท่าทีว่าจะส่งกลับหรือรับไว้ดำเนินการเอง...ข่าวว่าสัปดาห์หน้ากรรมการ ป.ป.ช. จะฟันธงว่าเอาไง…

วันสองวันก่อน…สื่อโซเชียลขอบคุณบิ๊กโจ๊กกับบิ๊กเต่าที่เปิดแอร์วอร์ตอบโต้กันเดือดพล่าน ยอดวิวทุกสำนักกระฉูด…ทางทีมสอบสวนนั้นอยากให้ ป.ป.ช. ส่งสำนวนกลับไปทำคดีต่อ ฝ่ายบิ๊กโจ๊กดักคอว่าอย่าก้าวก่าย ป.ป.ช...!!??

กล่าวถึง ป.ป.ช. ก็ต้องอัปเดตสักเล็กน้อยว่าอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่าน สรรหาทดแทน 5 ท่านที่ครบวาระ สว. โหวตเห็นชอบและโหวตคว่ำกันมาโดยลำดับ…

สรุปว่า ณ นาทีนี้ ป.ป.ช. ครบองค์ประชุม (ไม่น้อยกว่า 5 ท่าน) แล้ว ประกอบด้วยพล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ, นางสุวณา สุวรรณจูพะ, นายวิทยา อาคมพิทักษ์, นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข และที่เพิ่งโปรดเกล้าฯ เมื่อ 3 ม.ค.ปีนี้ นายเอกวิทย์ วัชวัลคุ

5 ท่านนี้จะชี้ชะตาคดีในส่วนที่เกี่ยวกับตัวบิ๊กโจ๊กโดยตรงว่าจะรับดำเนินการต่อเองหรือส่งกลับตามพนักงานสอบสวนขอ…

แต่ไม่ว่าจะออกมุมไหน...สายข่าวแทบทุกสำนักเขาฟันธงกันแล้วว่า สำหรับเก้าอี้ ผบ.ตร. นั้น แม้ปีนี้ ‘บิ๊กโจ๊ก’ จะอาวุโสเป็นลำดับ 1 แต่หวยจะไปออกที่คนอื่นค่อนข้างแน่นอน...ส่วนจะเป็นใคร ‘เล็ก เลียบด่วน’ ขอยกไปวันอังคารที่ 27 ก.พ. ครับ

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดพิธีจุดเทียนเปิดงานเทศกาลง่วนเซียว ประจำปี 2567 ณ ศาลเจ้าไต้ฮงกง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

วันนี้ (วันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 09.00 น.) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการ ดร.สุทัศน์ เตชะวิบูลย์ รองประธานกรรมการ นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก พร้อมด้วยคณะกรรมการ ผู้ช่วยกรรมการ ร่วมในพิธีจุดเทียนเปิดงานเทศกาลง่วนเซียว และเริ่มประกอบพิธีสงฆ์ สวดชัยมงคลคาถา (พะเก่ง) ณ ศาลเจ้าไต้ฮงกง มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ 

เทศกาลง่วนเซียว เป็นเทศกาลแรกของปีตามปฏิทินจันทรคติของจีน โดยในปีนี้ตรงกับวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ศาลเจ้าไต้ฮงกง มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย จัดให้มีพิธีสวดชัยมงคลคาถา มีพิธีบูชาเทพเจ้าด้วยขนมหวาน และ ขนมที่ทำด้วยน้ำตาลทราย หรือน้ำตาลผสมถั่วลิสง ขึ้นรูปเป็นสิงโตขนาดต่าง ๆ บ้างก็เป็นรูปเจดีย์ ให้ผู้มีจิตศรัทธานำกลับไปบูชา ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนนับถือ มีการแลกเปลี่ยน โดยมารับ ขนมรูปสิงโต จากมูลนิธิฯ พร้อมทั้งจัดให้มีการยืมเงินขวัญถุงแก่ผู้ที่ทำมาค้าขาย และผู้มีจิตศรัทธา ให้ร่ำรวยเฮงๆ ตลอดปี มีเงินมีทองพอกินพอใช้ไม่ขาดมือ นอกจากนี้ยังจัดให้มีสาคูสิริมงคล บริการศิษยานุศิษย์และสาธุชน ได้รับประทานเพื่อเป็นสิริมงคลตลอดปี  

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

ปรับทัศนคติเรื่องการเงิน กับ 'โจ มณฑานี ตันติสุข' 'วินัย' ที่สร้างได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้วิกฤตมาเยือน

กลายเป็นประเด็นโด่งดัง ภายหลังจากกระแสข่าวที่ คุณโจ มณฑานี ตันติสุข ดีเจ พิธีกร นักวิจารณ์ นักเขียนและวิทยากรชื่อดัง ได้รีวิวการใช้เงินเดือนละ 15,000 บาท อย่างไรใน กทม. แบบชีวิตดี๊ดี จนทำให้เกิดการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกันในสังคมตลอดช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าเป็นจริงหรือไม่?

วันนี้รายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้มีโอกาสพูดคุยกับเธอในประเด็นนี้ พร้อม ๆ ไปกับมุมมองชวนคิดที่จะชวนคนไทยได้ตระหนักถึงการใช้และบริหารการเงินในแบบที่ทุกคนสามารถอยู่ได้อย่างไม่ทุกข์ และสุขได้ในยุคที่เงินในกระเป๋าบางคนอาจจะไม่ได้แน่นฟูก็ตาม

โดย THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ได้เปิดบทสนทนา ด้วยการซักถามถึงจุดเริ่มต้นที่คุณโจได้ก้าวเข้ามาเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้เรื่องการเงิน ซึ่ง เธอ ได้เล่าให้ฟังว่า...

จุดเริ่มต้นสำคัญมาจากชีวิตในช่วงวิกฤตการเงินต้มยำกุ้ง โดยสาเหตุเกิดจากเป็นคนไม่มีความรู้เรื่องการเงิน เมื่อเกิดวิกฤตแล้วไม่รู้จะทำอย่างไร อีกทั้งยังปิดใจไม่ยอมรับว่าตัวเองประสบปัญหาการเงิน จนภายหลังก็เข้าใจว่า สาเหตุของวิกฤตการเงินของตนเกิดจากการใช้จ่ายเงินผิดพลาดนั่นเอง

ดังนั้น คุณโจ จึงหันมาศึกษาเรียนรู้เรื่องการเงินจากอินเทอร์เน็ต จากหนังสือ และงานสัมมนาต่าง ๆ อย่างจริงจัง ทำให้ทราบว่าตัวเองมีปัญหาทางจิตวิทยาการเงิน ภายใต้ตัวแปรที่เรียกว่า 'คนเลี่ยงเงิน' 

คุณโจ เล่าต่อว่า 'คนเลี่ยงเงิน' ในที่นี้ คือ ไม่ใส่ใจในรายละเอียดว่าเราใช้เงินไปกับอะไร ใบแจ้งหนี้ส่งมาก็ไม่สนใจ ทำให้จ่ายหนี้ช้าตลอด จนถูกตัดน้ำตัดไฟเป็นประจำ 

การหลีกเลี่ยง ทำให้ไม่รู้สถานการณ์การเงินของตัวเอง จนนำพาชีวิตคุณโจไปสู่ความยากลำบากที่สุด ถึงขั้น บ้านโดนยึด ไม่มีทรัพย์สินใด ๆ ติดตัว นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่คุณโจ อยากนำประสบการณ์ตรงมาถ่ายทอดผ่านตัวหนังสือ โดยให้คำแนะนำผู้คนผ่านทางเฟซบุ๊ก เพื่อตั้งใจให้ทุกคนหลุดพ้นจากปัญหาการเงิน ซึ่งกล้าพูดเต็มปากเลยว่า 'มีแต่ความทุกข์ทรมาน'

เมื่อถามว่า อะไร คือ สัญญาณอันตรายทางการเงิน? คุณโจ กล่าวว่า เมื่อคุณเริ่มหมุนเงินไม่ทัน หรือเงินอยู่กับเราได้ไม่นาน เงินชักหน้าไม่ถึงหลังและเริ่มยืมเงินจากคนรอบข้างมากขึ้น จนกลายเป็นคนมีหนี้สินล้นพ้นตัวเมื่อไร... สุดท้ายคุณจะกลายเป็นคนล้มละลาย ฉะนั้นหากเริ่มมีสัญญาณเตือนเหล่านี้เข้ามา ต้องรีบแก้ไขปัญหาโดยด่วน แต่อยากให้กำลังใจว่าไม่ว่าจะล้มตอนอายุเท่าไหร่ ล้มแล้วลุกได้เสมอ การล้มละลายไม่ใช่จุดจบของชีวิต แต่เป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของชีวิตต่างหาก

เมื่อถามถึงนิยามในการบริหารจัดการการเงินที่ดีต้องทำอย่างไร? คุณโจ กล่าวว่า เรื่องนี้อยู่ที่ มุมมอง หรือ Mindset ทางการเงินของแต่ละคน ถ้าอยากมีเงิน แต่ไม่หารายได้ ไม่ตั้งใจทำงาน จะใช้ช่องทางกู้หนี้ยืมสินเพียงอย่างเดียว แน่นอนย่อมเป็นหนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กลับกันถ้าเรามีเงิน แต่ไม่มีวินัยทางการเงิน เช่น ไม่มีการบันทึกการใช้เงินในแต่ละวันหรือไม่ แบบนี้ก็อาจจะทำให้สุขภาพทางการเงินย่ำแย่ได้ในระยะยาว

เมื่อถามว่า ทุกวันนี้ปัญหาหนี้บัตรเครดิตเป็นปัญหาใหญ่มาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ที่จะไปบังคับให้ผู้คนเลิกใช้? คุณโจ กล่าวว่า ถ้าต้องใช้ ก็อยากให้ปรับ Mindset ใหม่ เช่น คุณต้องเข้าใจว่า การจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิต เป็นมุมมองความคิดที่ทำลายตัวเอง ซึ่งถ้าไม่เปลี่ยนความคิดนี้ก็อาจจะทำให้คุณเป็นหนี้ไปเรื่อย ๆ และนั่นจะทำให้ปัญหาทางการเงินด้านอื่น ๆ ตามมา ควรซื้อเมื่อพร้อม

ขณะเดียวกันการหยุดก่อหนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เป็นก้าวแรก เพื่อควบคุมหนี้ที่สร้างไว้ก่อน เพราะถ้าไม่หยุดหนี้มันก็มีโอกาสขยายเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ต้องเข้ากระบวนการควบคุมพฤติกรรม (ในต่างประเทศมีโครงการในลักษณะนี้) และต้องรู้สถานการณ์ตัวเองว่าตอนนี้มีหนี้อะไรค้างอยู่บ้าง มีดอกเบี้ยเท่าไหร่ หนี้คงค้างเท่าไหร่ เงินต้นคงค้างเท่าไหร่ ถึงจะบริหารได้ 

ยิ่งไปกว่านั้น Mindset ในการใช้เงินก็สำคัญ อย่าปล่อยให้จิตใจเราถูกผลักด้วย Need หรือ Want ลองปรับวิธีคิด ซื้อแต่ของจำเป็น ก่อนของที่อยากได้เสมอ ซึ่งการใช้จ่ายเงินไปกับสิ่งใด ก็จะสะท้อนว่าเราให้ความสำคัญกับสิ่งนั้น ๆ ด้วยเช่นกัน อาทิ ใช้เงินไปกับคนรักมาก ๆ แสดงว่าเราอยากได้ความรัก เป็นต้น

สรุปแล้วทั้งการจัดการและขจัดปัญหาทางด้านการเงิน ล้วนแล้วแต่ต้องแก้ที่ Mindset ซึ่งเอาจริง ๆ ก็ถือเป็นเรื่องยาก โดยคุณโจมองว่า คนที่มักจะมีวินัยการเงินได้ดี มักจะประสบวิกฤตมาก่อน แต่ขณะเดียวกันทุกคนก็สามารถสร้างวินัยการเงินได้ตั้งแต่วันนี้ โดยไม่ต้องรอให้วิกฤตมาเยือนได้ด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้เมื่อถามว่าควรเริ่มสร้างวินัยทางการเงินตั้งแต่เมื่อไร? คุณโจ แนะว่า ควรเริ่มตั้งแต่วัยประถมเลย เพราะเด็ก ๆ จะได้รู้คุณค่าของเงิน รักเงิน มี Mindset เชิงบวกกับเงิน เมื่อเติบโตขึ้นก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีความแข็งแรงทางการเงิน และมีสันติสุขทางการเงิน

สำหรับปัญหาหนี้บัตรเครดิตนั้น โจ มณฑานี กล่าวว่า Mindset การจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิต เป็นมุมองความคิดที่ทำลายตัวเอง ซึ่งถ้าไม่เปลี่ยนความคิดนี้ก็อาจจะเป็นหนี้ไปเรื่อย ๆ ซึ่งการเป็นหนี้ในต่างประเทศ เขาจะให้ลูกหนี้เข้ามาเซ็นเพื่อหยุดก่อหนี้ก่อนเข้าร่วมโครงการ ซึ่งการหยุดก่อหนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เป็นก้าวแรก เพื่อควบคุมหนี้ที่สร้างไว้ก่อน เพราะถ้าไม่หยุดหนี้มันก็มีโอกาสขยายเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ต้องเข้ากระบวนการควบคุมพฤติกรรม และต้องรู้สถานการณ์ตัวเองว่าตอนนี้มีหนี้อะไรค้างอยู่บ้าง มีดอกเบี้ยเท่าไหร่ หนี้คงค้างเท่าไหร่ เงินต้นคงค้างเท่าไหร่ ถึงจะบริหารได้ โดยเฉพาะ Mindset การใช้เงินว่าจิตใจเราถูกผลักด้วยอะไร need หรือ want ซื้อของจำเป็น หรือซื้อของที่ฉันอยากได้ เราต้องเลือกซื้อของจำเป็นก่อนอยากได้เสมอ ซึ่งการใช้จ่ายเงินไปกับอะไรแสดงว่าเราให้ความสำคัญกับเรื่องนั้น เช่น ใช้เงินไปกับคนรักมาก ๆ แสดงว่าเราอยากได้ความรัก เป็นต้น 

เมื่อถามถึงประเด็นที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากในตอนนี้ กับหัวข้อ 'เงินเดือนละ 15,000 บาท ใช้ในเมืองหลวงได้พอจริงหรือไม่?' คุณโจ มองว่า จริง ๆ แล้วอยู่ที่คุณภาพชีวิตที่เราเลือก และคำว่าคุณภาพชีวิตที่ดีของแต่ละคนก็แตกต่างกัน อย่างตนเลือกใช้คุณภาพชีวิตที่ดี ผ่านการปลดหนี้ การมีเงินออมเกษียณ ไม่ต้องรอหมายศาลว่าจะมาเมื่อไหร่ ได้กินของอร่อย ซึ่งพี่กินไข่ต้มราดน้ำปลาพริกก็อร่อยแล้ว เคยกินน้ำก๊อกมาแล้วในช่วงที่ยากลำบาก แต่ก็มีความสุขมากเพราะเปลี่ยนตัวเองแล้วและรู้ว่าจากนี้ไปจะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม 

ในช่วงท้าย คุณโจ ได้กล่าวด้วยว่า "วิกฤตชีวิตที่เกิดขึ้นช่วยลอกเปลือกของเราออกเหลือแต่แก่นของตัวเองอย่างแท้จริง ซึ่งความพอเพียง เป็นกุญแจไปสู่สันติสุขทางการเงิน อย่างทุกวันนี้ก็มีความสุขกับการเขียนหนังสือเล่มใหม่ ๆ หลายเล่ม และที่กำลังจะจัดจำหน่าย คือ เรื่อง 'เด็กๆ ที่ร่ำรวยและมีความสุข' เพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้อ่านและนำไปสอนลูก ๆ เกี่ยวกับการเงินได้"

ปัจจุบัน คุณโจ ยังคงเป็นวิทยากรให้กับหน่วยงานต่าง ๆ มากมาย พร้อมให้คำปรึกษาทางการเงิน ผ่านทางเฟซบุ๊ก 'Montaneemoney' ท่านใดสนใจก็สามารถติดตามกันได้ตามลิงก์นี้ >> https://www.facebook.com/montaneemoney?mibextid=ZbWKwL

ผลสำรวจชี้!! Gen Z เจอแรงกดดันในชีวิตการทำงานสูงกว่าคน Gen อื่น เพราะเทคโนโลยีทำให้ ‘งาน’ กับ ‘ชีวิตส่วนตัว’ แยกจากกันไม่ออก

Gen Z เจอแรงกดดันใน ‘ชีวิตการทำงาน’ สูงกว่าคนเจนอื่นๆ เพราะเทคโนโลยีทำให้ ‘งาน’ กับ ‘ชีวิตส่วนตัว’ แยกจากกันไม่ออก

(24 ก.พ. 67) คนที่เกิดมาในยุคดิจิทัลอย่าง ‘Gen Z’ พวกเขากำลังเจอความท้าทายในชีวิตการทำงานที่แตกต่างจากคนรุ่นก่อนๆ โดยก่อนหน้านี้มีรายงานการสำรวจจาก Deloitte ในปี 2023 ที่สำรวจเกี่ยวกับวัยทำงาน ‘Gen Z’ จำนวน 14,483 คนใน 44 ประเทศ พบว่า 46% ของชาว Gen Z เผชิญกับความวิตกกังวลและความเครียดอย่างต่อเนื่องในที่ทำงาน

นอกจากนี้ มากกว่า 1 ใน 3 ของกลุ่มตัวอย่างยังรายงานด้วยว่า พวกเขารู้สึกเหนื่อยล้า ระดับพลังงานต่ำ และจิตใจหลุดออกจากงาน โดยสาเหตุหลักมาจากสภาพแวดล้อมเชิงลบหรือโดยถากถางดูถูกในที่ทำงาน

ด้าน แคธลีน ไพค์ ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และเป็นซีอีโอของบริษัท One Mind at Work (ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพจิตในที่ทำงาน) แสดงความคิดเห็นว่า กลุ่มวัยทำงาน Gen Z กำลังเผชิญกับแรงกดดันมากกว่าคนรุ่นก่อนๆ เนื่องจากเติบโตมาโลกที่เทคโนโลยีเข้ามาทำลายขอบเขตระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว

เมื่อเปรียบเทียบการทำงานของคนรุ่นนี้กับคนรุ่นก่อนๆ พบว่า คนรุ่นก่อนไม่ต้องเผชิญกับแรงกดดันที่เกิดจากเทคโนโลยีแบบเดียวกันในช่วงเริ่มต้นอาชีพของพวกเขา

“สำหรับผู้บริหารรุ่นซีเนียร์ในตอนนี้ หากย้อนกลับไปเมื่อ 50 ปีที่แล้วจะพบว่า เวลาไปทำงานในแต่ละวัน พวกเขาจะขับรถไปทำงานโดยไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มี FedEx ในช่วงที่คนรุ่นก่อนๆ เริ่มต้นชีวิตทำงาน มันเป็นโลกที่แตกต่างไปจากยุคนี้อย่างสิ้นเชิง” เธอกล่าว

ศาสตราจารย์ไพค์ อธิบายต่อว่า ในอดีตไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ในทันทีเหมือนยุคนี้ และเมื่อวัยทำงานรุ่นก่อนๆ กลับบ้าน พวกเขาก็ตัดขาดจากงานอย่างแท้จริง (ไม่สามารถเข้าถึงงานได้ตลอดเวลาเหมือนยุคนี้) มันเป็นเหมือนโครงสร้างมหภาคตามธรรมชาติที่ทำให้เกิดการหยุดทำงานตามเวลา ตามระบบนาฬิกาชีวิตจำนวนมากและระเหยไปจนหมด

ในขณะที่เมื่อมองกลับมาในยุคนี้ จะเห็นว่าเทคโนโลยีเป็นผู้ร้ายที่อยู่เบื้องหลังการดิ้นรนต่อสู้ในชีวิตการทำงานของคนรุ่น Gen Z ส่งผลให้คนรุ่นนี้พยายามสร้างความแตกต่างระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

สิ่งที่พบเห็นมากขึ้นในสังคมการทำงานก็คือ Gen Z กำลังพยายามวางขอบเขตชีวิตส่วนตัวให้กลับคืนมา มันเป็นความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างคนแต่ละรุ่น คนทำงานรุ่นใหม่จำนวนมากหันไปหาเทรนด์การทำงานแบบอื่นๆ เช่น 

- เทรนด์การทำงานแบบ Act your Wage คือ การทำงานตามค่าจ้างที่ได้รับ ไม่ทำอะไรเกินตัว
- เทรนด์การทำงานแบบ Quiet Quitting คือ การทำงานไปตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย โดยไม่ทุ่มเททำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ เพื่อเยียวยาตนเองไม่ให้เบิร์นเอาท์
- เทรนด์การทำงานแบบ Lazy girl jobs คือ การทำงานที่สามารถจัดตารางงานเองได้ งานไม่ทำให้ชีวิตส่วนตัวยุ่งเหยิงเกินไป หรือเป็นงานที่สามารถปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของตนเองได้ มักเป็นงานที่มีระดับความเครียดต่ำแต่ก็มีผลตอบแทนที่น่าดึงดูดใจ

โดยสรุปก็คือ เน้นหางานหรือรูปแบบการทำงานให้ยุ่งน้อยที่สุด เพื่อรักษางานของตนไว้แต่ขณะเดียวกันก็พยายามหลีกเลี่ยงภาวะหมดไฟในการทำงาน

อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ไพค์ชี้ชวนให้คิดว่า การที่ Gen Z หลายคนเผชิญกับภาวะความเครียด วิตกกังวล และความกดดันต่างๆ ในที่ทำงานนั้น บางครั้งอารมณ์เหล่านั้นก็เป็นอารมณ์ปกติ ไม่ใช่อาการเจ็บป่วยทางจิตใจเสมอไป การเผชิญกับความเครียดเนื่องจากเดดไลน์ที่ต้องส่งงาน ความรู้สึกเศร้า ความผิดหวัง หรือวิตกกังวลเป็นครั้งคราว ถือเป็นเรื่องปกติของชีวิต

อีกทั้งการรู้สึกเครียดหรือวิตกกังวลในการทำงาน อาจเป็นตัวบ่งชี้ที่มีประโยชน์ที่จะช่วยให้คุณทำงานให้สำเร็จได้อย่างดีด้วยซ้ำ 

ท้ายที่สุด ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา สรุปว่า ชาว Gen Z ที่อยากประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงาน ต้องยอมรับความเครียดและความกังวลที่เกิดจากงานบ้าง “เราต้องเผชิญหน้ากับความล้มเหลวทันทีแล้วลองใหม่อีกครั้ง” นั่นจะทำให้เราเติบโตจากความผิดพลาด รวมถึงการเรียนรู้ทักษะอื่นๆ เพิ่มเติม การขอความช่วยเหลือ และรู้วิธีการผลักดันขีดความสามารถของตนเอง ฯลฯ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตในชีวิตการทำงานทั้งนั้น 

‘รมว.ปุ้ย’ ชี้!! ‘หลักทรัพย์ไม่มี ดีพร้อมค้ำประกันให้’ ไปได้สวย พบ!! เอสเอ็มอี 3.2 ล้านราย สนใจติดปีกเข้าถึงแหล่งเงินทุน

(24 ก.พ. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึง ความคืบหน้าของ โครงการ ‘ติดปีกเอสเอ็มอี หลักทรัพย์ไม่มี ดีพร้อมค้ำประกันให้’ ซึ่งเป็นการสนับสนุนส่งเสริมให้กับเอสเอ็มอีของประเทศไทย สามารถเข้าถึงเงินทุน โดยโครงการนี้ ภายหลังได้มอบให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ‘ดีพร้อม’ เป็นหัวหอกไปดำเนินการมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มเอสเอ็มอีอย่างมาก

สำหรับกลไกในการช่วยเหลือเอสเอ็มอีของโครงการนี้ เกิดขึ้นภายใต้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ‘ดีพร้อม’ / บสย. (บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม) และสถาบันการเงินทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารออมสิน, ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย, ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือที่คุ้นหูในชื่อ เอ็กซิมแบงค์ 

“ก่อนหน้าที่จะเปิดดำเนินการโครงการนี้ ปัญหาใหญ่ของพี่น้องชาวเอสเอ็มอี คือ ‘ทุน’ การเข้าถึงทุนค่อนข้างยากและลำบากทีเดียว ทั้งกลุ่มที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน แต่ใช้แหล่งเงินทุนหรือสินเชื่อผิดประเภท จนต้องแบกรับภาระสูงเกินความจำเป็น และกลุ่มที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ที่ยิ่งเข้าถึงแหล่งเงินทุนยาก…

กลไกการช่วยเหลือจากกระทรวงอุตสาหกรรมในครั้งนี้ จึงถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อเปิดโอกาสให้เอสเอ็มอีมีทุนไปพัฒนาธุรกิจในอุตสาหกรรมของตัวเอง มีเวลามุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถของธุรกิจได้มากยิ่งขึ้น โดยเราได้นำกระทรวงอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และ บสย.เข้าช่วยเสริมความแข็งแกร่ง ด้วยการเข้าค้ำประกันให้เอง”

รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าวอีกว่า จากข้อมูลที่ได้รับการรายงานกลับมาขณะนี้ ศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน หรือ ‘บสย.F.A.Center’ พบข้อมูลเอสเอ็มอีราว 3.2 ล้านราย โดยในนั้นเป็นเอาเอ็มอีที่ขาดโอกาสและหลักประกันในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เข้าประสานงานใช้กลไกที่ถูกออกแบบนี้ค้ำประกันสินเชื่อ และอีกส่วนยังเข้าสู่กระบวนการแก้ไขหนี้ ปรับแผนธุรกิจ ปรับโครงสร้างหนี้ 

ดังนั้น โครงการ ‘ติดปีกเอสเอ็มอี หลักทรัพย์ไม่มี ดีพร้อมค้ำประกันให้’ จึงถือเป็นอีกโครงการจากกระทรวงอุตสาหกรรม ที่เข้าช่วยเหลือเอสเอ็มอีไทยได้อย่างตรงจุด อันจะช่วยผลักดันและต่อยอดเศรษฐกิจอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมของประเทศไทยได้อย่างดีต่อไป

‘บิ๊กต่อ’ สั่งเด้ง 8 ตร.คดีเว็บพนันมินนี่ เข้า ศปก.ตร. ให้ขาดจากตำแหน่งเดิม

(24 ก.พ. 67) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากกรณีคดีเว็บไซต์พนันออนไลน์เครือข่ายมินนี่ ที่มีข้าราชการตำรวจ 8 นายตกเป็นผู้ต้องหา และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามคำร้องขอของอัยการ ขอให้กำหนดมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน และอัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 1 ที่เข้าไปให้คำแนะนำสืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าวนั้น

ล่าสุด เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 67 พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงนามในคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 106/2567 เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจช่วยราชการและรักษาราชการแทน ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีคำสั่งที่ 543/2566 ลงวันที่ 27 กันยายน 2566 ให้ข้าราชการตำรวจ จำนวน 8 ราย ปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ด้วยเหตุกรณีที่มีข้าราชการตำรวจถูกดำเนินคดีในการกระทำความผิดอาญา หากปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิมอาจเกิดความเสียหายต่อทางราชการนั้น

เนื่องจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับรายงานกรณีที่ข้าราชการตำรวจดังกล่าว ซึ่งอยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีในการกระทำความผิดอาญา มีพฤติการณ์ไม่เหมาะสมกับเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติหน้าที่ในการให้คำแนะนำปรึกษาการสอบสวนคดีนี้ และขัดขวางกระบวนการสืบสวนสอบสวน ทำให้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ และการอำนวยความยุติธรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยหากให้ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิมอาจก่อให้เกิดความเสียหาย ประกอบกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีคำสั่งที่ 93/2567 ลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง กรณีที่ข้าราชการตำรวจดังกล่าวมีกรณีกล่าวหาหรือเป็นที่สงสัยว่ากระทำผิดวินัย

ดังนั้น เพื่อประโยชน์ในการอำนวยความยุติธรรมทางอาญาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และให้การดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อย รวมทั้งเพื่อมิให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 63 และมาตรา 105 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ประกอบระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2566 จึงให้ข้าราชการตำรวจช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อาคาร 1 ชั้น 20 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มอบหมายเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย และให้ข้าราชการตำรวจรักษาราชการแทนในตำแหน่งต่าง ๆ รวมจำนวน 11 ราย

ทั้งนี้ ให้ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ควบคุมดูแลการปฏิบัติของข้าราชการตำรวจที่ช่วยราชการ พร้อมทั้งกำชับการปฏิบัติหน้าที่ให้เหมาะสมต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top