Wednesday, 9 July 2025
Hard News Team

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเดินหน้าปราบปรามจับกุมชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ล่าสุดแถลงจับกุม 3 คดีสำคัญ

วันนี้ (29 ก.พ.67) พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) แถลงผลการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม.,ตามนโยบายของสำนักงานตารวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. , พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตารวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ สตม. สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจ ผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทาให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด โดยวันนี้แถลงผลการจับกุม 3 คดี ได้แก่

1. จับกุมชาวจีน 2 ราย สวมตัวเป็นชาวแคนาดา ได้ที่ Gate ภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พร้อมหนังสือเดินทางปลอม : กก.สส.ปป.บก.ตม.2 จับกุม MR.JIANBO (นามสมมติ) อายุ 48 ปี สัญชาติจีน และ MR.PINHUA (นามสมมติ) อายุ 49 ปี สัญชาติจีน โดยกล่าวหาว่า มีหรือมีไว้เพื่อใช้ซึ่งหนังสือเดินทางปลอมฯ นาตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.สส.บก.ตม.3 ดาเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม ภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ต.หนองปรือ อ.บางพลี จว.สมุทรปราการ โดยกก.สส.ปป.บก.ตม.2 ได้รับการประสานจากสายการบิน EVA Air ว่าพบผู้โดยสารชาวจีนต้องสงสัยจำนวน 2 คน นาหนังสือเดินทางแคนาดา มาแสดงต่อพนักงานสายการบินเพื่อจะเดินทางไปเมืองไทเป ประเทศไต้หวัน แล้วเปลี่ยนเครื่องไปเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา แต่ไม่พบประวัติการเดินทางออกมาจากประเทศแคนาดามาก่อน และ ไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ 

จึงได้ไปตรวจสอบ พบคนต่างด้าวตามที่ได้รับแจ้งบริเวณทางออกขึ้นเครื่อง Gate E3 จึงไดนำหนังสือเดินทางประเทศแคนาของผู้โดยสารทั้ง 2 คน มาตรวจสอบ ผลการตรวจสอบพบว่าเป็นหนังสือเดินทางแคนาดาปลอม และจากการตรวจค้นกระเป๋าสัมภาระพบหนังสือเดินทางจีนที่บุคคลทั้งสองนาติดตัวมาใช้เดินทางออกจากเมืองโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา มายังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยมีแผนการเดินทางคือจะใช้หนังสือเดินทางแคนาดาปลอมที่ได้ซื้อมาจากเอเย่นในเมืองโคลอมโบ เพื่อขึ้นเครื่องไปเมืองไทเป ประเทศไต้หวัน จุดหมายปลายทาง เพื่อลักลอบเข้าเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา จากการประสานงานตรวจสอบสถานภาพพลเมืองของทั้งสองคนกับ สอท.แคนาดา ประจาประเทศไทย รับแจ้งว่าข้อมูลที่ปรากฏในหนังสือเดินทางแคนาดาของทั้งสองคน ไม่ตรงกับ ฐานข้อมูลของทางการแคนาดา เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงจับกุมคนต่างด้าวทั้งสองในความผิดฐาน "มีหรือมีไว้เพื่อใช้ ซึ่งหนังสือเดินทางปลอมฯ" นาตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.สส.บก.ตม.3 ดาเนินการตามกฎหมายต่อไป

คดีที่ 2 จับนายหน้ารถตู้ขนแรงงานต่างด้าวหลบหนีหมายจับนาน 5 ปี นำส่งชายแดนไทย-พม่า โดยฝ่าฝืนกฎหมาย พร้อมก่อเหตุลักทรัพย์นายจ้างกว่า 200,000 บาท : กก.4 บก.สส.สตม. จับกุม นายอ่อง (นามสมมติ) อายุ 33 ปี สัญชาติเมียนมา ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลจังหวัดระนอง ที่ จ.136/2564 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 ต้องหากระทาความผิดฐาน “ร่วมกันช่วยเหลือ ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ ให้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคาส่ังของ เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามพระราชบัญญัติควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ.2558 นาตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ปากจั่น จว.ระนอง ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุมบริเวณบ้านพักริมคลองบางบอน แขวงบางบอน เขตบางบอน กรุงเทพมหานคร สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2564 เวลาประมาณ 05.30 น. เจ้าหน้าที่ตารวจ เจ้าหน้าที่ทหาร ได้ร่วมกันจับกุมตัวผู้ขับขี่รถพยาบาล 2 ราย โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันช่วยเหลือ ซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดๆ ให้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม, และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคาสั่งของเจ้าพนักงานควบคุม โรคติดต่อ ตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ.2558” พร้อมจับกุมตัวแรงงานชาวเมียนมาจานวน 10 คน 

โดยกล่าวหาว่า “เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคาสั่งของ เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ.2558” จากการสอบถามผู้ขับขี่ให้การรับสารภาพว่าเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม2564 ได้รับจ้างขนแรงงานชาวเมียนมา ให้กับนายอ่อง โดยได้ขับรถไปรับนายอ่องในพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อไปรับแรงงานต่างด้าวในพื้นที่จังหวัดระนอง บริเวณ ปากซอยก่อนถึงโรงแรมนลิน เพลส ระนอง ประมาณ 100 เมตร และได้ร่วมเดินทางกลับพร้อมแรงงานต่างด้าว เมื่อมาถึงสี่แยกไฟแดง อ.กระบุรี จว.ระนอง นายอ่องขอลงรถอ้างว่าจะกลับไปบ้านที่ย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา และได้ หลบหนีไป ต่อมาศาลจังหวัดระนองได้อนุมัติหมายจับ ที่ จ.136/2564 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 ให้จับนายอ่อง ในความผดิ ฐาน “ร่วมกันช่วยเหลือ ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ ให้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจาก การจับกุม ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคาสั่งของ เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามพระราชบัญญัติควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ.2558” 

จากการสืบสวนของ กก.4 บก.สส.สตม. สืบทราบว่านายอ่อง ได้เข้ามาในประเทศไทยและได้มาพัก อาศัยอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ จึงได้ทาการสืบสวนจนทราบว่านายอ่อง ได้พักอาศัยอยู่ที่ห้องเช่าแห่งหนึ่งย่านบางบอน จึงได้เฝ้าติดตามจนกระทั่งพบตัวนายอ่อง จึงได้ทาการจับกุมตามหมายจับดังกล่าว ในเบื้องต้นนายอ่องได้รับสารภาพว่า ในช่วงที่ประเทศไทยมีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตนได้ทำหน้าที่เป็นนายหน้า ในการนำแรงงานชาวเมียนมาเข้ามายังประเทศไทย ผ่านชายแดนจังหวัดระนอง และจัดหารถตู้วิ่งรับและนำแรงงาน ชาวเมียนมาเข้ามาในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและกรุงเทพฯ ได้ค่าจ้าง ประมาณ 10,000 บาท/คน ซึ่งรายได้ค่อนข้างดี จึงได้เป็นนายหน้าในการหาคนเข้ามาทางานเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป บก.สส.สตม. ได้ทำการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่านายอ่องได้ก่อเหตุลักทรัพย์นายจ้าง เหตุเกิดในพื้นที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ ไปจำนวนหลายครั้ง ความเสียหายกว่า 2 แสนบาท จึงได้ประสาน สน.ทุ่งมหาเมฆ เพื่อทำการอายัดตัว ผู้ต้องหารายดังกล่าวต่อไป

คดีที่ 3 จับกุมหนุ่มปากีสถานอัพโหลดภาพเปลือยสาวหลังมีความสัมพันธ์ลงแอปพลิเคชั่น : กก.4 บก.สส.สตม. จับกุมนายซาบาส (นามสมมติ) อายุ 32 ปี สัญชาติปากีสถาน ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ 835/2566 ลงวันที่ 12 กันยายน 2566 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม หน้าหอพักในซอยรามคาแหง 24 แยก 8 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ 
การจับกุมผู้ต้องหารายนี้สืบเนื่อง บก.สส.สตม. ได้รับการร้องขอความช่วยเหลือจากหญิงไทยรายหนึ่งว่า ได้ถูกอดีตสามีซึ่งเป็นชาวปากีสถานแอบถ่ายภาพโป๊เปลือยกายของตนแล้วนำไปโพสต์ลงบน facebook และ instragram จนได้รับความอับอายและเสียหาย จึงได้สั่งการให้ กก.4 บก.สส.สตม. ทำการสืบสวนกรณีดังกล่าว จากการสืบสวนทราบว่าชาวปากีสถานดังกล่าวคือ นายซาบาส (นามสมมติ) อายุ 32 ปี โดยนายซาบาส ได้หลบซ่อนตัวอยู่ในห้องพักแห่งหนึ่งย่านรามคำแหง จึงได้ไปเฝ้าติดตามจนกระทั่งพบนายชาบาส จึงได้ทาการจับกุมตามหมายจับดังกล่าว จากการสอบถามนายซาบาส ในชั้นจับกุมให้การว่าได้ทาการสร้างเฟซอวตาร (เฟซบุ๊กปลอม) และอินสตราแกรมอวตาร (ปลอม) จากนั้นได้นำภาพถ่ายโป๊เปลือยกายของอดีตภรรยาที่ได้แอบถ่ายไว้ไปโพสต์ลงบนโซเชียลดังกล่าวจริง เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้นำตัวนายซาบาส ส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดาเนินการตามกฎหมายต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิด ในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

“ตร.” ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเรื่องการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กที่มีอายุก่อนถึงเกณฑ์การรับโทษทางอาญาฯร่วมหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง

เพื่อเป็นแนวทางการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานในการกำหนดวิธีปฏิบัติต่อเด็กที่มีอายุก่อนถึงการรับโทษทางอาญา วันนี้ 29 ก.พ.67) เวลา 10.30 น.ที่ห้องประชุมชั้น 19 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พล.ต.ท.ธนายุตม์  วุฒิจรัสธำรงค์ ผู้ช่วย ผบ.ตร./คณะทำงาน ศพดส.ตร.เปิดเผยว่า ตามที่กรมกิจการเด็กและเยาวชนมีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ พม 0304/ว1926 ลง 21 ก.พ.67 ขอเรียนเชิญ ผบ.ตร. ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเรื่องการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กที่มีอายุก่อนถึงเกณฑ์การรับโทษทางอาญาระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานอัยการสูงสุด ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางกระทรวงยุติธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุขและ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเป็นแนวทางการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานในการกำหนดวิธีปฏิบัติต่อเด็กที่มีอายุก่อนถึงการรับโทษทางอาญา

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์  สุขวิมล ผบ.ตร.,พล.ต.อ.สุรเชษฐ์  หักพาล รอง ผบ.ตร.(มค)/ผอ.ศพดส.ตร.ได้มอบหมายให้ตนเป็นผู้แทน “เข้าร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเรื่องการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กที่มีอายุก่อนถึงเกณฑ์การรับโทษทางอาญา“ ระหว่าง 7 ส่วนราชการ ได้แก่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง กระทรวงยุติธรรม กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงสาธารณสุข

พร้อมด้วยนายไพรัช พรสมบูรณ์ศิริ 
รองอัยการสูงสุด ผู้แทนอัยการสูงสุด
นายเผดิม เพ็ชรกุล อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง
นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
นายโกมล พรมเพ็ง รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
นายธนู ขวัญเดช รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการนายแพทย์พงศ์เกษม ไข่มุกด์ 
อธิบดีกรมสุขภาพจิต ผู้แทนปลัดกระทรวงสาธารณสุขและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมลงนามโดยมมีนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานในการลงนาม ”ผู้ช่วย ผบ.ตร.กล่าว“

ผบ.ตร.มอบโล่และรางวัลแก่ตำรวจ สภ.จอหอ จ.นครราชสีมา เกลี้ยกล่อมหนุ่มคลุ้มคลั่งใช้ปืนยิงประตู จับแฟนสาว แม่ และลูกค้าเป็นตัวประกัน ให้มอบตัวสำเร็จ และช่วยเหลือตัวประกันปลอดภัยทุกคน ยกเป็นแบบอย่างการปฏิบัติ

วานนี้ (27 ก.พ.67) พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบโล่ประกาศเกียรติคุณและรางวัลให้กับข้าราชการตำรวจ สภ.จอหอ จ.นครราชสีมา ที่สามารถเกลี้ยกล่อมชายหนุ่มที่ง้อแฟนไม่สำเร็จ ใช้อาวุธปืนยิงประตู 1 นัด จับแฟนสาวและแม่ รวมทั้งลูกค้าเป็นตัวประกัน ให้มอบตัวได้สำเร็จ และสามารถช่วยเหลือตัวประกันออกมาได้อย่างปลอดภัยทุกคน โดยมี พ.ต.อ.นธีร์ สุคุณา ผู้กำกับการ สภ.จอหอ เป็นผู้แทนรับมอบ

โดยเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เกิดเหตุชายมีอาการคลุ้มคลั่งเนื่องจากง้อแฟนไม่สำเร็จ จึงใช้อาวุธปืนยิงประตู 1 นัด และจับแฟนสาว รวมทั้งแม่ของแฟนสาว และลูกค้าที่กำลังมาติดต่องานเป็นตัวประกัน เหตุเกิดภายในบ้านหลังหนึ่งใน ต.ตลาด อ.เมือง จ.นครราชสีมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.จอหอ นำโดย พ.ต.อ.นธีร์ สุคุณา ผู้กำกับการ สภ.จอหอ นำกำลังรีบเข้าตรวจสอบและเกลี้ยกล่อมผู้ก่อเหตุ ช่วยเหลือตัวประกันทุกคนออกมาได้สำเร็จ ขณะที่การดำเนินการเกลี้ยกล่อมผู้ก่อเหตุใช้เวลา 5-6 ชั่วโมง จึงมีท่าทีที่อ่อนลงก่อนยอมมอบตัว จึงควบคุมไปสอบสวนที่ สภ.จอหอ 

ผบ.ตร. กล่าวว่า การเข้าช่วยเหลือและระงับเหตุครั้งนี้เป็นไปตามหลักยุทธวิธี สามารถเกลี้ยกล่อมผู้ก่อเหตุให้มอบตัวได้สำเร็จ และช่วยเหลือประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้อย่างปลอดภัย ถือเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติหน้าที่ที่มีประสิทธิภาพ ด้วยหัวใจความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ สมควรได้รับการยกย่องชื่นชม จึงมอบโล่ประกาศเกียรติคุณพร้อมรางวัลให้ข้าราชการตำรวจ สภ.จอหอ ที่เข้าปฏิบัติการครั้งนี้ทุกนาย เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป

‘รมว.พีระพันธุ์’ รุดดูงานแท่นขุดเจาะก๊าซแหล่งเอราวัณ อ่าวไทย หวังขุดเจาะก๊าซให้ได้ตามเป้า ช่วยคงราคาค่าไฟให้ถูกลง

เมื่อวานนี้ (28 ก.พ. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมคณะได้ร่วมกันเดินทางไปยังแท่นขุดเจาะก๊าซแหล่งเอราวัณ กลางอ่าวไทย โดยเดินทางไปที่แท่นหลักที่เป็นศูนย์รวมก๊าซที่ขุดได้จากทุกแท่นในแหล่งเอราวัณเพื่อส่งมายังโรงแยกก๊าซที่ระยอง ซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งถึง 400 กว่ากิโลเมตร

นายพีระพันธุ์ เปิดเผยว่า “ผมพยายามลดภาระค่าไฟฟ้าให้ประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง โดยหลังสุดสามารถยันราคาค่าไฟฟ้าให้ประชาชนทั่วไปไว้ได้ที่ 4.18 บาท ต่อหน่วย สำหรับงวดเดือนมกราคมถึงเมษายน 2567 เพิ่มขึ้นจากเดิมเพียงเล็กน้อย ทั้ง ๆ ที่มีการคาดการณ์ว่าอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับงวดดังกล่าวจะอยู่ที่ 4.68 บาท เพราะในช่วงเวลาที่ว่านี้มีปัจจัยลบที่มีผลกระทบต่ออัตราค่าไฟฟ้าหลายตัว โดยเฉพาะปัญหาเรื่องการขุดเจาะก๊าซจากอ่าวไทยที่แหล่งเอราวัณขาดหายไปวันละ 800 ล้าน ลูกบาศก์ฟุต (ลบ.ฟ.) ทำให้ต้องสั่งก๊าซจากต่างประเทศที่มีราคาสูงมาชดเชยและมีผลต่อราคาค่าไฟฟ้าโดยตรง”

นายพีระพันธุ์ ระบุต่อว่า “แม้จะยังมีเวลาเหลืออีกสองเดือนกว่าจะครบกำหนดการปรับค่าไฟฟ้าตามวงรอบ 4 เดือน ในเดือนเมษายน 2567 แต่ผมไม่นิ่งนอนใจ เพราะหากยังคงขาดก๊าซจากอ่าวไทยวันละ 800 ล้าน ลบ.ฟ. อยู่ ก็จะมีผลต่ออัตราค่าไฟฟ้างวดเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม 2567 นี้แน่นอน ทั้งนี้ ทั้งผม ทั้งปลัดกระทรวงพลังงาน (นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ) ทั้งประธานที่ปรึกษา (นายณอคุณ สิทธิพงษ์) และคณะกรรมการ กกพ. ได้เตรียมการแก้ไขปัญหากันทุกวัน แต่สำคัญที่สุดคือต้องขุดก๊าซจากอ่าวไทยในปริมาณที่ขาดหายไปวันละ 800 ล้าน ลบ.ฟ. ขึ้นมาให้ได้ตามเดิม ซึ่งเป็นหน้าที่ของ ปตท.สผ.”

“ในช่วงที่ผ่านมาเราได้ประสานงานและขอคำยืนยันจาก ปตท. และ ปตท. สผ. ตลอดมาว่าจะสามารถนำก๊าซจากอ่าวไทยที่แหล่งเอราวัณขึ้นมาในปริมาณที่ขาดหายไป 800 ล้าน ลบ.ฟ. ต่อวัน ได้หรือไม่ ซึ่ง ปตท. และ ปตท.สผ. ยืนยันตลอดมาว่าสามารถทำได้แน่นอน แต่เพื่อให้เกิดความมั่นใจแทนพี่น้องประชาชน ผมจึงต้องไปให้เห็นกับตาและได้ยินกับหูจากผู้ปฏิบัติงานจริงที่แท่นขุดเจาะว่าจะสามารถทำได้แน่นอน” นายพีระพันธุ์ กล่าว

นายพีระพันธุ์ ได้กล่าวถึงสาเหตุที่ก๊าซจากอ่าวไทยขาดหายไป 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตว่า “คำตอบคือ เดิมผู้ที่ได้รับสัมปทานผลิตส่วนนี้คือบริษัทต่างชาติบริษัทหนึ่ง แต่แพ้ประมูลต่ออายุสัมปทานให้ ปตท.สผ. ซึ่งการประมูลนี้ต้องทำล่วงหน้าเป็นปีก่อนหมดสัมปทานเดิม บริษัทดังกล่าวเลยหยุดขุดเจาะก๊าซเพิ่มเติมไปเฉย ๆ ปริมาณก๊าซจากอ่าวไทยในส่วนนี้จึงค่อย ๆ หายไป ขณะที่ ปตท.สผ. ก็ยังเข้าดำเนินการในช่วงนั้นไม่ได้เพราะสัมปทานเดิมยังไม่หมดอายุ สุดท้ายเมื่อเข้าดำเนินการได้เมื่อประมาณธันวาคม 2564 ปตท.สผ. จึงเร่งเตรียมการและดำเนินการต่อมาจนกำลังจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายตามที่เล่ามาครับ”

'ก้าวไกล' ยันไม่ทิ้งซักฟอกรัฐบาล แค่ยังไม่สรุปว่าจะเปิดอภิปรายแบบใด

(29 ก.พ.67) ภคมน หนุนอนันต์ รองโฆษกพรรคก้าวไกล แสดงความเห็นกรณีมีกระแสข่าวที่ตั้งข้อสังเกตว่าพรรคก้าวไกลจะไม่ซักฟอกรัฐบาลผ่านการอภิปรายแบบไม่ลงมติหรือการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่าความจริงแล้วพรรคก้าวไกลยังไม่สรุปว่าจะเปิดอภิปรายแบบใด อย่างที่ประชาชนเห็นการทำงานของเรา การอภิปรายต้องคำนึงถึงข้อมูลที่มากพอ ต้องนำไปสู่การซักฟอกที่เกิดประโยชน์สูงสุดกับสังคมจริง ๆ ไม่ใช่แค่เปิดอภิปรายเมื่อถึงวาระ 

อีกทั้งปีนี้การพิจารณางบประมาณ 2567 และงบประมาณ 2568 มีระยะเวลาใกล้กันมาก ประมาณเดือนมิถุนายนปีนี้ ก็จะเป็นช่วงการพิจารณางบประมาณ 2568 ซึ่งเป็นงบที่จัดโดยรัฐบาลชุดนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เราจะได้เห็นหน้าตางบประมาณของรัฐบาลเศรษฐา 1 จึงถือเป็นอีกโอกาสที่พรรคก้าวไกลและพรรคร่วมฝ่ายค้านจะได้ตรวจสอบรัฐบาลผ่านงบประมาณด้วย 

“ยืนยันว่าพรรคก้าวไกล ทำหน้าที่ซักฟอกและตรวจสอบรัฐบาลมาโดยตลอด ผ่านกลไกกระทู้ทั่วไป กระทู้ถามสด หรือกรรมาธิการ ดังนั้นหากจะมาตั้งข้อสังเกตว่าเราไม่ตรวจสอบรัฐบาล คงเป็นการกล่าวหากันมากไป ไม่อยู่บนข้อเท็จจริง และการอภิปรายซักฟอกนั้นต้องคำนึงถึงข้อมูลที่มี ก่อนจะพิจารณาอีกทีว่าจะเป็นอภิปรายทั่วไปหรืออภิปรายไม่ไว้วางใจ” ภคมนกล่าว

รองโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวต่อว่า เชื่อว่าพี่น้องประชาชนและสังคมเห็นการทำงานของพรรคก้าวไกลมาโดยตลอด ว่าเราทำหน้าที่ฝ่านค้านเชิงรุกอย่างเต็มที่ ใช้ทุกโอกาสในการตรวจสอบรัฐบาล ดังนั้นสำหรับคนที่พยายามกล่าวหาพรรคก้าวไกล แล้วใช้วิธีเชื่อมโยงแบบมั่วๆ เหมือนที่เคยทำมา ขอให้รู้ว่าพรรคก้าวไกลทำงานการเมืองแบบมีเป้าหมายและทำงานด้วยข้อมูล หากจะวิเคราะห์วิจารณ์กันเราก็รับฟัง แต่ขอให้ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริง อยากเชิญชวนให้ทำงานกันแบบนี้ จะเป็นประโยชน์กับประชาชน ยกระดับการเมืองไทยให้ดีกว่าที่เคยเป็น

'หมอวรงค์' วิเคราะห์ 3 ต้นสายปลายเหตุ 'ก้าวไกล' ทิ้งซักฟอก 'ฮ่องกงมิตติ้ง-ย้อนศรล้มล้างปากปกครอง-ไร้น้ำยา'

(29 ก.พ.67) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘ทำไมพรรคก้าวไกลไม่ซักฟอกรัฐบาล’ ระบุว่า เมื่อปลายเดือนมกราคม 2567ที่ผ่านมา นายพิธาเองเป็นผู้ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเศรษฐา ช่วงเดือนเมษายนนี้ก่อนปิดสมัยประชุมสภา ในประเด็นทุจริต บริหารล้มเหลว ทำงานล่าช้า

แต่กลายเป็นว่าปลายเดือนกุมภาพันธ์ล่าสุดนี้เอง ประธานวิปฝ่ายค้าน แถลงกลับลำเฉยว่า จะยังไม่เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในสมัยประชุมนี้ เพราะรัฐบาลเพิ่งเข้ามาบริหาร ยังไม่ได้ใช้งบ

พรรคก้าวไกลแน่ใจหรือว่า รัฐบาลนี้เข้ามาบริหาร แล้วไม่มีประเด็นที่ประชาชน อยากให้ฝ่ายค้านตรวจสอบ ซึ่งในความเป็นจริงมีหลายประเด็นมากที่ประชาชนสงสัย เช่น

การใช้อภิสิทธิ์ของนักโทษชายทักษิณ ซึ่งฝ่ายค้านตรวจสอบเรื่องนี้น้อยมาก ทั้งๆ ที่หลักฐานข้อมูล เอกสารต่างๆ ชัดเจนมาก

โครงการแจกเงินดิจิทัล 10000บาท สรุปแล้วจะได้หรือไม่ แล้วที่สัญญาว่าจะไม่กู้ยังจะกู้ไหม

ปัญหายาบ้า 5 เม็ด ที่นำไปสู่ การค้าบ้าเสรีสำหรับรายย่อย

ปัญหาเกาะกูด ที่ประชาชนหวาดระแวง ที่จะนำไปสู่การเสียดินแดน ทั้งๆ ที่สัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสในปี 2449 ระบุชัดเจนว่าเกาะกูดเป็นของไทย

ปัญหาปากท้องประชาชน จนตลาดเงียบเป็นป่าช้า

หรือแม้แต่ปัญหาที่ดิน ส.ป.ก. ที่เมื่อเปลี่ยนเป็นโฉนดเพื่อการเกษตรแต่กลายเป็นเอื้อนายทุนฮุบที่ป่าได้เป็นทางการ

คำถามที่ต้องถามกลับไปยังพรรคก้าวไกล ทำไมพวกท่านไม่กล้าซักฟอกรัฐบาล หรือว่า

1.การที่นายธนาธรไปพบนายทักษิณที่ฮ่องกง เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2566 ทำให้พรรคไม่กล้าซักฟอกนายทักษิณ

2.หรือพรรคก้าวไกลกลัวถูกย้อนศร กรณีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเรื่องล้มล้างการปกครองฯ ในทำนองเองก็ชั่ว ข้าก็เลว

3.หรือว่าพรรคก้าวไกลไร้น้ำยาจริงๆ มีแต่จะยกเลิก ม.112 ระวังถ้าเป็นแบบนี้สักวันหนึ่งจะโดนโห่ไล่ลงเวที

‘อดีตอาจารย์’ บริจาคเงิน 3.5 หมื่นลบ. ให้วิทยาลัยการแพทย์ในนิวยอร์ก นักศึกษาแพทย์ทุกคนจะได้เรียนฟรีจนจบหลักสูตร ไม่ต้องกู้ยืม-เป็นหนี้

เมื่อไม่นานมานี้ เว็บไซต์ต่างประเทศ รายงานเรื่องราวที่กำลังเป็นที่ฮือฮาบนโลกโซเชียลของสหรัฐ เมื่อนาง รูธ กอตส์แมน วัย 93 ปี ได้ทิ้งมรดกหุ้นจากบริษัทโฮลดิงข้ามชาติยักษ์ใหญ่ของสามี บริจาคเงินให้วิทยาลัยการแพทย์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เป็นจำนวนเงินกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท เรียนฟรีตลอดการศึกษา พร้อมระบุว่า ไม่อยากให้เป็นหนี้

ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น เผยว่า นางรูธ กอตส์แมน ได้ประกาศมอบเงินบริจาคก้อนใหญ่เป็นประวัติศาสตร์ถึง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 3.5 หมื่นล้านบาทให้กับวิทยาลัยแพทยศาสตร์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ในเขตบรองซ์ นครนิวยอร์ก

โดยเงินบริจาคทั้งหมดนี้นางกอตส์แมนให้กับนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 4 ของวิทยาลัย จะได้รับเงินค่าเล่าเรียนคืนสำหรับภาคการศึกษาฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ และเมื่อถึงเดือน ส.ค. 2567 นักเรียนแพทย์ทั้งรุ่นปัจจุบันและที่กำลังจะสมัครเข้ามา จะได้เรียนฟรีทุกคน และไม่ต้องต้องจ่ายค่าเล่าเรียนอีกต่อไป

สำหรับ นางกอตส์แมน ระบุว่า เงินบริจาคของเธอจะช่วยให้แพทย์จบใหม่สามารถเริ่มต้นประกอบวิชาชีพได้โดยไม่ต้องมีภาระหนี้สินจากค่าเล่าเรียนทางการแพทย์ ซึ่งเธอยังหวังว่า ทุนการศึกษานี้จะเปิดโอกาสการเรียนแพทย์ให้กว้างขึ้น โดยรวมถึงผู้ที่ไม่สามารถจ่ายค่าเล่าเรียนที่สูงลิ่วได้

อย่างไรก็ตาม เศรษฐีนีใจบุญรายนี้ มีประวัติการทำงานยาวนานที่วิทยาลัยแพทย์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ซึ่งเป็นสถาบันทางการแพทย์ที่มีชื่อเสียง โดยเริ่มงานในปี 2511 ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายจิตวิทยาการศึกษา อีกทั้ง เธอยังเป็นสมาชิกคณะกรรมการอำนวยการของไอน์สไตน์มาอย่างยาวนาน และดำรงตำแหน่งประธานคนปัจจุบัน

ขณะเดียวกันทางด้านนายเดวิด กอตส์แมน ผู้เป็นสามีเป็นนักลงทุนรุ่นแรก ๆ ของบริษัทเบิร์กเชอร์ แฮทอะเวย์ หนึ่งในบริษัทโฮลดิงที่ บัฟเฟตต์ เป็นเจ้าของที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในยุคทศวรรษที่ 1960 โดยเขายังเป็นเพื่อนกับ วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีระดับโลกผู้ร่ำรวยจากการลงทุนและเทรดหุ้นอีกด้วย

ทั้งนี้ สำหรับค่าเล่าเรียนของวิทยาลัยการแพทย์แห่งนี้ เริ่มต้นที่ 59,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือราว 2.11 ล้านบาทต่อคน ทำให้นักเรียนแพทย์จำนวนมาก ต้องกู้ยืมเงินเพื่อมาจ่ายค่าเล่าเรียน

โดยมีการประเมินว่า หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้ว นักเรียนแพทย์บางคนจะเป็นหนี้ทางการศึกษาไม่ต่ำกว่า 200,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือราว 7.18 ล้านบาทเลยทีเดียว

‘ชายชาวต่างชาติ’ คู่กรณี ‘แพทย์หญิง’ อ้าง!! ไม่ได้เตะ แค่สะดุดล้ม ยัน!! มีหลักฐานมอบให้ตร.แล้ว หลังถูกแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกาย

(29 ก.พ.67) จากกรณีเกิดเหตุแพทย์หญิงของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตได้ร้อง กรณี ถูกชายชาวต่างชาติ เจ้าของพูลวิลล่าหรูริมหาดอ่าวยามู ต.ป่าคลอก อ.ถลาง เตะเข้าที่บริเวณหลังได้รับบาดเจ็บ ขณะนั่งชมพระจันทร์ในคืนวันมาฆบูชา กับเพื่อนที่บริเวณบันได พูลวิลล่า ซึ่งคิดว่าอยู่ในพื้นที่ชายหาดสาธารณะ และถูกภรรยาชาวไทย ของชายชาวต่างชาติ ต่อว่าด่าทอหยาบคายต่างๆ นานา อ้างมีลูกชายเป็นตำรวจ และ รู้จักกับนายตำรวจใหญ่ของ จ.ภูเก็ต

อย่างไรก็ตามหลังมีการนำเสนอข่าวตามสื่อต่างๆ ปรากฏว่า มีกระแสวิจารณ์เกิดขึ้น จำนวนมาก ต่างก็ให้กำลังใจหมอ ที่ปนะสบเหตุการณ์ดังกล่าว ขณะที่หมอได้เข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรถลางแล้ว

ขณะที่ชายชาวต่างชาติ นายเดวิด (นามสมมุติ) คู่กรณี ได้เดินทางไปที่ สภ.ถลาง จ.ภูเก็ต พร้อมทนายความ พร้อมหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ เข้าชี้แจงกับ พ.ต.ท.ปฎิวัติ ยอดขวัญ รองผกก.สอบสวนสภ.ถลาง หลังแพทย์หญิง คู่กรณีเข้าแจ้งในข้อหาทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บ โดยได้มอบคลิปที่นายเดวิด อ้างถ่ายจากโทรศัพท์มือถือของตนเอง ขณะเดินเข้าไปด้านหลังแพทย์หญิง แล้วลื่น ทำให้เท้าไปถูกด้านหลังของแพทย์หญิงคนดังกล่าว

โดยนายเดวิด เปิดเผยถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ผ่านทนายความ ว่า นายเดวิดไม่ได้เตะคู่กรณี แต่เป็นการสะดุด แล้ว เท้าไปถูกหลัง และไม่มีเจตนาที่จะไปเตะ ซึ่งตนเองอยากจะแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอยากที่จะขอโทษที่เท้าของตัวเองหรือตัวไปถูกคู่กรณี และ ขอยืนยันว่าเป็นการสะดุดล้ม

ขณะที่ทนายความระบุ ว่า ได้มีการพูดคุยข้อเท็จจริงกับ นายเดวิด มาพอสมควรและได้เห็นพยานหลักฐานต่างๆ ซึ่งนายเดวิดก็มีหลักฐานที่สามารถชี้แจงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและในส่วนที่เกี่ยวข้อง ถ้าจะมีการดำเนินคดี เราก็เตรียมหลักฐานในส่วนนี้ไว้แล้ว ซึ่งตนในฐานะทนายความก็ต้องทำไปตามพยานหลักฐานว่าไม่ใช่การเตะ ซึ่งตนเองในฐานะทนายความคิดว่าทั้งสองฝ่ายน่าจะรู้กันดีว่าเหตุการณ์มันคืออะไร

ความจริงแล้วมันมีที่มาที่ไปก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องราวขึ้น คือ ก่อนหน้านี้เคยมีเหตุการณ์ คนอื่นเข้ามาบริเวณดังกล่าว ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ทำให้เป็นการบุกรุก และนายเดวิดเคยให้บุคคลในวันนั้นออกไปจากบริเวณดังกล่าว ส่วนกรณีที่ภรรยานายเดวิดต่อว่าแพทย์หญิงและเพื่อน นายเดวิด และทนายความไม่ได้ตอบ เรื่องนี้

ขณะที่ นายเกษม จันทร์ดำ พ่อของแพทย์หญิง กล่าวว่า หลังจากที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจรับเป็นคดีแล้ว ทางลูกสาวยืนยันว่าจะดำเนินคดีข้อหาถูกทำร้ายร่างกาย และจะต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรี ที่ถูกเหยียดหยามเรื่องเพศสภาพหญิงไทย รวมทั้งไม่อยากให้คนไทยที่มาอยู่ภูเก็ต หรือคนภูเก็ตเจอเหตุการณ์แบบเดียวกับเธอในขณะที่เดินอยู่บริเวณชายหาดสาธารณะ

และต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนการดูแลคนไทยในภูเก็ต แม้กระแสการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจดีขึ้น แต่ไม่ควรจะละเลยคนไทย เหตุที่ต้องดำเนินการเช่นนี้ เนื่องจากคำพูดที่ว่า คนไทยขอโทษต่างชาติได้ แต่ฝรั่งจะไม่ขอโทษคนไทย จึงทำให้ลูกสาวรู้สึกว่า จะต้องต่อสู้ให้ถึงที่สุด

ส่วนที่คู่กรณีออกมาบอกว่า ไม่ได้เตะแต่เป็นการล้มใส่ ซึ่งประเด็นนี้ ตั้งข้อสังเกต ว่าหากเป็นการล้มใส่ ของคนที่ตัวโตน้ำหนักเกือบ 100 กิโลกรัม น่าจะไม่ใช่แค่จุก น่าจะล้มไปทั้งตัว หากล้มใส่จริง มีเหตุผลอะไรที่ต้องไปด่าลูกสาวของตนและเพื่อนที่ไปด้วยกัน ส่วนของสภาพจริงของลูกสาวแม้ว่าจะมีความระแวงและกังวล แต่เธอก็ยืนยันว่าจะดำเนินการให้ถึงที่สุด ซึ่งทางครอบครัวก็เคารพสิทธิและการตัดสินใจของเธอ

ทางด้าน พ.ต.อ.นิกร ชูทอง ผกก.สภ.ถลาง จ.ภูเก็ต กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่า ได้รับรายงานจากพนักงานสอบสวนแล้ว เบื้องต้น พญ.ผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับมีการตรวจร่างกายจากแพทย์ เนื่องจากผู้เสียหายระบุถูกทำร้ายร่างกาย ซึ่งอยู่ระหว่างการสอบปากคำเพิ่มเติม ส่วนคู่กรณีที่ถูกระบุว่าเป็นชายชาวต่างชาติเจ้าของวิลล่าหรูริม อ่าวยามู ต.ป่าคลอก อ.ถลาง นั้น ยังไม่ได้เข้ามาแจ้งความกรณีที่ พญ.บุกรุกตามที่มีการกล่าวอ้างในวันเกิดเหตุ

สำหรับเหตุการณ์นี้ ทางตำรวจจะให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ส่วนกรณีภรรยาชาวต่างชาติอ้างว่ารู้จักกับนายตำรวจใหญ่ หรือ มีลูกเป็นตำรวจนั้น ใครๆ ก็พูดได้ ส่วนข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร ไม่เกี่ยวกับรูปคดี ผิดก็ว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก ตำรวจมีหน้าที่รักษากฎหมาย

สตม.รวบหนุ่มปากีสถานอัปโหลดภาพเปลือยสาวหลังมีความสัมพันธ์ลงแอปพลิเคชัน

กก.4 บก.สส.สตม. จับกุมนายซาบาส (นามสมมติ) อายุ 32 ปี สัญชาติปากีสถาน ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ 835/2566 ลงวันที่ 12 กันยายน 2566 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม หน้าหอพักในซอยรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ

การจับกุมผู้ต้องหารายนี้สืบเนื่อง บก.สส.สตม. ได้รับการร้องขอความช่วยเหลือจากหญิงไทยรายหนึ่งว่า ได้ถูกอดีตสามีซึ่งเป็นชาวปากีสถานแอบถ่ายภาพโป้เปลือยกายของตนแล้วนำไปโพสต์ลงบน Facebook และ Instagram จนได้รับความอับอายและเสียหาย จึงได้สั่งการให้ กก.4 บก.สส.สตม. ทำการสืบสวนกรณีดังกล่าว จากการสืบสวนทราบว่าชาวปากีสถานดังกล่าวคือ นายชาบาส (นามสมมติ) อายุ 32 ปี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ 835/2566 ลงวันที่ 12 กันยายน 2566 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ โดยนายชาบาส ได้หลบซ่อนตัวอยู่ในห้องพักแห่งหนึ่งย่านรามคำแหง จึงได้ไปเฝ้าติดตามจนกระทั่งพบนายชาบาส จึงได้ทำการจับกุม  ตามหมายจับดังกล่าว จากการสอบถามนายซาบาส ในชั้นจับกุมให้การว่าได้ทำการสร้างเฟซบุ๊กอวตาร (เฟซบุ๊กปลอม) และอินสตาแกรมอวตาร (ปลอม) จากนั้นได้นำภาพถ่ายโป๊เปลือยกายของอดีตภรรยาที่ได้แอบถ่ายไว้ไปโพสต์ลงบนโซเชียลดังกล่าวจริง เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้นำตัวนายชาบาส ส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป 

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิด ในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th  จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

'ดร.อานนท์' งัดหลักฐาน ยัน!! ‘เกาะกูด’ เป็นของไทยทั้งเกาะ ลั่น!! ดินแดนของไทย จะสูญเสียไม่ได้แม้แต่ตารางนิ้วเดียว

(29 ก.พ. 67) ผศ.ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘เกาะกูด (Koh-Kut) ทั้งเกาะคือดินแดนของไทย เสียไปไม่ได้แม้แต่ตารางนิ้วเดียว’ โดยระบุข้อความว่า…

สยามยอมเสียเขมรอันเป็นประเทศราชของสยามไปเกือบค่อนประเทศคือพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ เพื่อแลกกับการที่สยามจะได้จังหวัดตราดไปจนถึงสุดชายแดนที่บ้านหาดเล็กและได้เกาะกูดกลับคืนมา โดยมิได้ปัจจันตคีรีเขตหรือเกาะกงกลับคืนมา

ให้อ่านข้อ 1 และ ข้อ 2 ของสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส เมื่อรัตนโกสินทร์ศก 125 หรือ คริสตศักราช 1907 มีสัญญาบ่งบอกไว้ชัดเจนว่าเกาะกูดเป็นของสยามอย่างแน่นอน

ส่วนในข้อ 5 นั้นสยามหรือไทย พยายามแก้ไขปัญหาสิทธิสภาพนอกอาณาเขตซึ่งคนในบังคับของฝรั่งเศสไม่ต้องขึ้นศาลไทยเลย ให้เป็นว่าคนในบังคับของฝรั่งเศสหรือซับเยกของฝรั่งเศสหลัง รัตนโกสินทร์ศก 122 (ค.ศ.1904) ต้องมาขึ้นศาลไทย แต่ไทยต้องแก้ไขกฎหมายให้เป็นสากลเสียก่อน 

ในคราวนั้น คศ. 1907-1908 ได้มีคณะกรรมการปักปันเขตแดนร่วมกันระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ได้ทำแผนที่อัตราส่วน 1:200,000 แสดงดินแดนของไทยที่จังหวัดตราด อันแคบขนานริมทะเลไปตามสันปันน้ำของเทือกเขาบรรทัดจนสุดชายแดนที่บ้านหาดเล็กดังรูปในแผนที่นี้ ตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญาตามข้อ 4

เมื่อคุณลุง ศ.ดร. สมปอง สุจริตกุล ยังมีชีวิตอยู่ได้อธิบายว่าสัญญา รศ. 125 หรือ ค.ศ. 1907 นี้เป็นสัญญาประธาน ข้อตกลงความเข้าใจร่วมกัน (Memorandum of understanding: MOU) ข้ออ้างอิง (Term of reference: TOR) การสื่อสารร่วม (Joint Communique) หรือ การจัดเตรียมชั่วคราว (Provisional arrangement: PA) ใด ๆ ก็ตามย่อมไม่อาจจะขัดแย้งกับสัญญาประธานอันเป็นลายลักษณ์อักษรได้ 

ดังนั้นเกาะกูดจึงเป็นดินแดนของไทยทั้งเกาะ กัมพูชาไม่มีสิทธิ์ขีดเส้นบนแผนที่ลากเฉือนแบ่งเกาะกูดออกเป็นสองฝั่งยึดครองไปเป็นของกัมพูชาและอ้างอธิปไตยของดินแดนไทยเพื่อครอบครองพื้นที่ในทะเลอ่าวไทยว่าเป็นพื้นที่พัฒนาร่วม (Joint development area: JDA) หรือ พื้นที่ทับซ้อนใด ๆ ก็มิได้ทั้งสิ้น ขัดกับสัญญาประธาน ที่เคยทำไว้กับประเทศไทย

ดินแดนของไทย และบูรณภาพแห่งดินแดนจะสูญเสียไปไม่ได้แม้แต่ตารางนิ้วเดียว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top