Wednesday, 9 July 2025
Hard News Team

'สาวจีน' เซ็ง!! เล่นร่มร่อนที่ภูเก็ต 'ขาหัก-กระดูกโผล่' แต่คู่กรณีหาว่าสำออย ร้องเตือนชาวจีน "ผู้ประกอบการไม่เห็นความสำคัญของชีวิตพวกเรา"

(28 ก.พ. 67) บนโซเชียลฯ แชร์โพสต์จาก เพจ ‘ลุยจีน’ เป็นเรื่องราวของนักท่องเที่ยวชาวจีนรายหนึ่งนามว่า น่าต๋าหาน 娜达韩 เล่าให้ฟังผ่านแพลตฟอร์ม Douyin ว่าประสบอุบัติเหตุเล่นพาราไกลดิ้ง หรือร่มร่อนชายหาด แล้วเกิดอุบัติเหตุที่หาดกะรน อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา แต่กลับพบว่าผู้ประกอบการร่มร่อนชายหาดรับผิดชอบเพียงแค่ 5 หมื่นบาท

ซึ่งน่าต๋าหาน เล่าว่า ระหว่างมาเที่ยวจังหวัดภูเก็ต เห็นร่มร่อนตรงหาดกะรน จึงไปทดลองเล่น ปรากฏว่าเกิดอุบัติเหตุตอนร่อนลง ร่มควบคุมไม่อยู่ ทำให้ขาลงกระแทกพื้นอย่างรุนแรง แข้งซ้ายหักครึ่งกระดูกโผล่ออกมา คนขายร่มร่อนปฐมพยาบาลขั้นต้น ก่อนเรียกรถพยาบาล แต่เนื่องจากการจราจรติดขัด ใช้เวลา 2 ชั่วโมง โรงพยาบาลแรกพบว่าเครื่องมือไม่พร้อม ผ่านไป 5-6 ชั่วโมงจึงส่งต่อไปยังโรงพยาบาลมิชชั่นภูเก็ต ผ่าแข้งที่หักแล้วใส่ดามเหล็กเข้าไป แผลเย็บยาว 15 เซนติเมตร ตั้งข้อสังเกตว่า มาตรการความปลอดภัยต่ำมาก จ่ายเงินเสร็จลากไปใส่เสื้อชูชีพแล้วมีคนให้บริการมาประกบหน้าหลังทันทีโดยไม่อธิบายใดๆ พูดแค่ "Hurry Hurry, Safe Safe" แล้วลากไปเล่นเลย

หลังเกิดอุบัติเหตุ ผ่าตัดใส่เหล็กดามเรียบร้อย คู่กรณีแสดงท่าทีฉุนเฉียว กล่าวหาว่าสำออยอยากได้เงิน พยายามทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ไม่เชื่อผล CT scan และคำบอกเล่าอาการจากแพทย์และพยาบาล กล่าวหาว่ากุเรื่องเพื่อจะเอาเงินอย่างเดียว ทั้งนี้ ค่ารักษาพยาบาลจากการผ่าตัด 150,000 บาท น่าต๋าหานเรียกร้องค่าเสียหายจากคู่กรณีเพียง 200,000 บาท เพราะไม่อยากให้ยืดเยื้อ อยากให้เรื่องจบเร็ว แต่คู่กรณีกลับตอบกลับมาว่ามีให้แค่ 50,000 บาทเท่านั้น และมีท่าทีแข็งกร้าวอย่างชัดเจนว่าไม่ยอมจ่ายเพิ่มใดๆ บอกห้ามแจ้งความ สุดท้าย น่าต๋าหานให้ทางโรงพยาบาลเปิดแผลให้คู่กรณีดูชัดๆ ถึงมีท่าทีอ่อนลง

พร้อมกันนี้ น่าต๋าหานเตือนชาวจีนว่าอย่าเล่นกีฬาผาดโผนในไทย เพราะมีความเสี่ยงต่อชีวิต สังเกตว่าไม่มีคนไทยในพื้นที่เล่น มีแต่ชาวต่างชาติรวมทั้งชาวจีนที่เป็นกลุ่มลูกค้าหลัก เห็นว่าผู้ประกอบการไม่เห็นความสำคัญของชีวิตพวกเรา เห็นคนต่างชาติแบบตนเป็นแค่แหล่งเงินเท่านั้น และจากที่สอบถามฝั่งที่ขายบริการร่มร่อน พบว่าทุกปีมีอุบัติเหตุแบบที่ประสบหลายเคส แต่ไม่เคยเป็นข่าว ยิ่งทำให้บริการแบบนี้น่ากลัวมากๆ เพราะหลังจากที่แข้งหักเข้าโรงพยาบาล คู่กรณีก็ยังคงขายบริการนี้ให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวจีนและชาวต่างชาติเหมือนเดิม เหมือนไม่เคยมีความผิดพลาดเกิดขึ้น

‘ฮ่องกง’ ผุดสถาบัน ‘ปราบปรามทุจริต’ หวังดันประเทศเป็นศูนย์กลางระดับสากล

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คณะกรรมาธิการอิสระปราบปรามการทุจริตประจำเขตบริหารพิเศษฮ่องกงทางตอนใต้ของจีน จัดพิธีการก่อตั้งสถาบันปราบปรามการทุจริตระหว่างประเทศแห่งฮ่องกง ซึ่งมุ่งชี้นำแผนริเริ่มการฝึกอบรมปราบปรามการทุจริตทั้งระดับท้องถิ่นและระดับโลก ส่งเสริมการแบ่งปันประสบการณ์ และเสริมสร้างสถานะของฮ่องกงในการเป็นศูนย์กลางปราบปรามการทุจริตในระดับสากล

จอห์น ลี ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง กล่าวว่าความซื่อสัตย์เป็นหัวใจสำคัญในการรักษาความเจริญรุ่งเรืองและเสถียรภาพของฮ่องกง รวมถึงการมีส่วนส่งเสริมการพัฒนาระดับชาติของฮ่องกง โดยสถาบันฯ จะสนับสนุนสถานะของฮ่องกงในการเป็นศูนย์กลางปราบปรามการทุจริต พร้อมส่งเสริมสังคมฮ่องกงที่โปร่งใส ความมั่นคงทางสังคม และคุณค่าที่ฮ่องกงให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์และหลักนิติธรรม

หูอิงหมิง สมาชิกคณะกรรมาธิการฯ บ่งชี้การตระหนักถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศในงานปราบปรามการทุจริต โดยสถาบันฯ จะจัดการฝึกอบรมแก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปรามการทุจริตทั่วโลกอย่างเป็นระบบและมืออาชีพ รวมถึงรวบรวมนักวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศมาแบ่งปันประสบการณ์ปราบปรามการทุจริตด้วย

ทั้งนี้ สถาบันฯ ได้ร่วมมือกับสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ร่วมกันเปิดหลักสูตรแรกของสถาบันฯ ได้แก่ ‘โครงการพัฒนาวิชาชีพว่าด้วยการสืบสวนทางการเงินและการกู้คืนสินทรัพย์’ (Professional Development Program on Financial Investigation and Asset Recovery) ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปรามการทุจริตจากหน่วยงานตุลาการราว 20 แห่ง เข้าร่วม 35 คน

นอกจากนั้นสถาบันฯ ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) กับมหาวิทยาลัยชั้นนำบนแผ่นดินใหญ่ มาเก๊า และฮ่องกง จำนวน 5 แห่ง เพื่อขับเคลื่อนการวิจัยการปราบปรามการทุจริตและส่งเสริมการแลกเปลี่ยนผู้มีความรู้ความสามารถด้วย

สรุป 4 สถานการณ์เด่นการเมืองไทยฉบับ 'เล็ก เลียบด่วน' 'บิ๊กโจ๊กลุ้นเละ-บิ๊กแดงโรครุม-เศรษฐาใจชื้น-คปท.ฝืนต่อไม่ไหว'

นาทีนี้สถานการณ์เหตุบ้านการเมือง...ชี้เป็นชี้ตายมากมายหลายเรื่อง จนไม่รู้ว่าจะนำเสนออย่างไรในพื้นที่จำกัด...เพราะอยากให้มิตรรักแฟนข่าวได้...ทะลุคนทะลุข่าวกันในหลาย ๆ กรณี

วันนี้เลยขอเด็ดยอดข่าวมานำเสนอสัก 4 ประเด็น...

>> กรณีบิ๊กโจ๊ก - ขณะเขียน (สาย 27 ก.พ.) คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ตั้งวงประชุมพิจารณากรณีพนักงานสอบสวน กล่าวหา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล 'บิ๊กโจ๊ก' รองผบ.ตร.กับพวกรวม 5 คน พัวพันเว็บพนันมินนี่...ราคาต่อรองก่อนประชุมแนวโน้มสูงที่ ป.ป.ช.จะขอดำเนินการเอง ไม่ส่งคืนให้พนักงานสอบสวน...ถ้าหวยออกอย่างนี้ 'บิ๊กโจ๊ก' โล่ง...กว่าคดีจะจบอีกนานแสนนาน...แต่ถ้าหวยพลิกส่งให้พนักงานสอบสวนที่ พล.ต.อ.ธนา ชูวงษ์, พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว 'บิ๊กเต่า' เป็นเจ้าภาพ...รับรองโจ๊กเละในเวลาไม่นานนัก...

>> ข่าวร้อน ๆ กรณี 'บิ๊กแดง' พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ที่บางรายการทางช่อง 9 อสมท. ระบุว่า...จะกราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่งรองเลขาธิการพระราชวัง และรองผอ.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพราะมีปัญหาสุขภาพ เกรงจะถวายงานได้ไม่สมบูรณ์ นั้น...'เล็ก' วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหารที่ใกล้ชิด 'บิ๊กแดง' ยืนยันผ่านรายการวิทยุ อสมท. และยูทูบว่า...บิ๊กแดงป่วยจริง ป่วยหลายโรคแต่ที่หนักคือ เส้นเลือดตีบ 2 เส้น จัดว่าอันตราย...

ทั้งหลายทั้งปวงข่าวนี้ต้องรอ ถ้ามีการทำหนังสือกราบบังคมทูลลาออกแล้วจริง ก็อยู่ที่พระบรมราชวินิจฉัย...

>> ที่ยังร้อนเป็นผัดฉ่าปลาหมึก...ก็เรื่อง 'ดีลลับ' ชุดข้อมูลความเชื่อของ 'ตู่' จตุพร พรหมพันธุ์ นาทีนี้เจ้าตัวยังยืนยันนั่งยันว่า...ถ้าไม่เบี้ยวดีลลับทักษิณกลับบ้าน...ภายใน เม.ย.นี้ นายกฯ ต้องเปลี่ยนตัวเป็นคนใดคนหนึ่งใน 3 แคนดิเดต... อนุทิน ชาญวีรกูล, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ, พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค...  

ดีลลับดีลลึก อาจจะมีอยู่พอประมาณ...แต่ข่าวของ 'เล็ก เลียบด่วน' ยังเชื่อว่าจะไม่ไปถึงขนาดนั้น...เม.ย.นี้ นายกฯ สูงยาวเข่าดี 'เศรษฐา ทวีสิน' จะลากยาวประเทศไทยต่อไป เพราะภารกิจตรวจแฟลตตรวจที่พักทหาร-ตำรวจ ข้าราชการพลเรือนอีกหลายกระทรวงยังไม่แล้วเสร็จ...มีอีกหลายประเทศที่ยังจะต้องเดินทางไปขายของ อีกทั้งปัญหาหลักคือคุณหนู 'อุ๊งอิ๊ง' แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทยยังไม่พร้อมที่จะรับช่วง...เธอยังอยู่ในโหมดครอบครัวอบอุ่น...วันก่อนยังโพสต์ดัง ๆ ว่าอยากจะมีน้องอีกสักคน...

>> ม็อบของเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) และกองทัพธรรม...ที่ปักหลัก SAVE กระบวนการยุติธรรม กรณีนักโทษเทวดามาตั้งแต่วันที่ 2 ก.พ. แม้จิตใจยังเปี่ยมสู้ แต่ก็มีล้า...ถึงที่สุดบวกลบคูณหาร ก็คงต้องพักรบ เดินหน้าต่อโดยไม่ต้องตั้งเวที สายข่าวแจ้งว่าไม่น่าเกินกลางเดือน มี.ค. ถ้าไม่มีอะไรร้อนแรง เลวร้ายไปมากกว่านี้ก็คงปิดเวที...

สถานการณ์ตั้งแต่กลางเดือน มี.ค.ก็จะย้ายไปร้อนฉ่าที่เวทีรัฐสภาเป็นหลัก...25 มี.ค.สมาชิกวุฒิสภาจะอภิปรายทั่วไปรัฐบาล ขณะที่ฝ่ายค้านนำโดยก้าวไกล ก็คงจะจอดป้ายที่อภิปรายทั่วไป โดยไม่ลงมติ (ตามรธน.มาตรา 152) เหมือนกัน...แบบว่าหาแสงหาเสียงตุนคะแนนกันไป...

ส่วนทำเนียบบ้านจันทร์ส่องหล้า ก็คงสำแดงความเป็นศูนย์กลางจักรวาลการเมืองไทยให้เห็นโดยชัดเจน และชัดเจนขึ้น...ก็ได้แต่หวังว่าภายใต้ความชัดเจนดังว่า...จะได้มีปฏิบัติการไถ่บาป ไม่เผลอไปทำบาปใหม่...สาธุ!!

'ท๊อป จิรายุส' ชี้!! บิทคอยน์ New High ก่อน Halving ไม่เคยมีมาก่อน ส่วน 'ก.ล.ต.สหรัฐฯ' ไฟเขียว Bitcoin ETF 'ซื้อ-ขาย' ถูกต้อง สร้างความเชื่อมั่น

เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 67 บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ผู้ให้บริการ ‘Bitkub Exchange’ ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำของไทย และบริษัท บิทคับ แล็บส์ จำกัด ผู้ให้บริการ ‘Bitkub Academy’ ศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล ร่วมจัดงานเสวนา ‘Digital Assets Navigator เจาะลึกวงในทิศทางสินทรัพย์ดิจิทัล (by Bitkub’s Crypto Theses)’ เพื่อนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับเทรนด์สินทรัพย์ดิจิทัลในแง่มุมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในปี 2567 และเหตุการณ์ Bitcoin ETF และ Bitcoin Halving ที่จะส่งผลต่อการเติบโตของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล โดยมี นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด, นายณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท อุ๊คบี จำกัด, นายโดม เจริญยศ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Tokenine, นายภาณุ ชลหาญ เจ้าของเพจ Nookfree God Defi, นายณัฎฐ์ จิตตมัย ผู้ก่อตั้ง GM Learning Club Pudgy Thailand Community Leader และนายกันตณัฐ วุฒิธร Digital Asset Analyst Supervisor บริษัท บิทคับ แล็บส์ จำกัด ร่วมแลกเปลี่ยนในครั้งนี้  ณ ทรู ดิจิทัล พาร์ค 101 กรุงเทพฯ

นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา กล่าวตอนหนึ่งภายในงานว่า “ปีนี้เป็นปีที่วงการสินทรัพย์ดิจิทัลมีความคึกคักและน่าจับตามอง เพราะมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นถึง 2 เรื่อง คือ การประกาศอนุมัติให้ Bitcoin Spot ETF สามารถเปิดซื้อขายได้อย่างถูกกฎหมายของ ก.ล.ต. สหรัฐฯ เมื่อมกราคมที่ผ่านมา โดยวงการคริปโทเคอร์เรนซีในปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับกองทุนระดับโลกต่าง ๆ เช่น BlackRock, Vanguard ฯลฯ ที่มีมูลค่าประมาณ 130 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งมูลค่าของวงการคริปโทเคอร์เรนซีก็ยังนับว่าน้อยอยู่มาก แต่หากกองทุนที่เพิ่งได้อนุมัติ Bitcoin Spot ETF มีการซื้อขายบิทคอยน์เพียงแค่ 5% ของมูลค่ากองทุน จะทำให้เงินสถาบันจำนวนมหาศาลไหลเข้าสู่ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีมากยิ่งกว่ามูลค่าของตลาดทั้งหมดเสียอีก

นอกจากนี้ ปีนี้ยังเป็นปีที่จะเกิดปรากฏการณ์ Bitcoin Halving ขึ้นเป็นรอบที่ 4 ในช่วงเมษายนนี้ ซึ่งตามสถิติในแต่ละรอบที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีรอบไหนที่บิทคอยน์ทำ New High ก่อน Halving แบบรอบนี้ นักลงทุนจึงควรระมัดระวังและคอยจับตาอย่างใกล้ชิด แต่อย่างน้อย Bitcoin Spot ETF ก็ยังทำให้รู้สึกปลอดภัยได้ว่ายังมีเงินสถาบันที่จะไหลเข้ามาเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ในรอบนี้เพิ่มอีกด้วย โดยเมื่อดูตามสถิติต่าง ๆ และตัวเลขแล้วเชื่อว่าวงการคริปโทเคอร์เรนซียังมีโอกาสเติบโตได้อีก”

ทั้งนี้ นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ฝากคำแนะนำให้นักลงทุนหน้าใหม่และผู้ที่สนใจลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลว่า “ขอให้ศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนให้ดี เพราะสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง แต่ละคนมีความพร้อม เงินทุน และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ไม่เหมือนกัน นึกถึงคำที่ ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ เคยบอกว่า คุณไม่จำเป็นต้องสวิงไม้เบสบอลทุกครั้งที่เขาขว้างลูกมา แต่ให้ดูความพร้อมของตัวเองและรอจังหวะที่คุณพร้อม ดังนั้น ทุกคนควรทำความเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองจะลงทุนให้ดีทุกครั้ง”

'องค์กรระดับโลก' ชี้!! ทักษะ 'การอ่าน' ของคนไทยต่ำกว่าเกณฑ์  อยู่ในระดับไม่สามารถอ่านและทำความเข้าใจข้อความสั้นๆ ได้

เมื่อไม่นานมานี้ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับ ธนาคารโลก (World Bank) เปิดเผยรายงานเรื่อง Fostering Foundational Skills in Thailand ซึ่งทำการสำรวจ ‘ทักษะทุนชีวิต’ (Foundational Skills) ของเยาวชนและแรงงานไทยเป็นครั้งแรก โดยทำการสำรวจ 3 ทักษะที่สำคัญ ได้แก่ 1.ทักษะการรู้หนังสือการอ่าน 2.ทักษะด้านทุนดิจิทัล และ 3.ทักษาะทางด้านอารมณ์และการเข้าสังคม

โดยผลสำรวจประชากร ช่วงอายุ 15 - 64 ปี จำนวน 7,300 คนจากทั่วประเทศทุกภูมิภาค พบว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤติทักษะทุนชีวิต โดยเยาวชนและผู้ใหญ่ส่วนใหญ่มีทักษะทุนชีวิตที่ ‘ต่ำกว่าเกณฑ์’ กล่าวคือพวกเขาไม่สามารถอ่านและทำความเข้าใจข้อความสั้นๆ ได้ ไม่สามารถใช้งานเครื่องมือดิจิทัลแบบง่ายๆ ได้ เช่นเดียวกับไม่มีแนวโน้มที่จะคิดริเริ่มทางสังคมหรือมีความกระตือรือร้นอยากรู้อยากเห็น

เกือบ 2 ใน 3 ของเยาวชนและผู้ใหญ่ในประเทศไทย หรือ 64.7% มีทักษะด้านการรู้หนังสือต่ำกว่าเกณฑ์ แปลว่าพวกเขาไม่สามารถอ่านและทำความเข้าใจข้อความสั้นๆ เพื่อแก้ปัญหาได้ เช่น การอ่านและทำตามฉลากยา เป็นต้น

ผลสำรวจ 3 ใน 4 หรือ 74.1% มีทักษะทุนชีวิตด้านดิจิทัลที่ต่ำกว่าเกณฑ์ แปลว่าพวกเขาไม่สามารถใช้อุปกรณ์ชี้ตำแหน่ง (เมาส์) และแป้นพิมพ์ (คีย์บอร์ด) บนคอมพิวเตอร์พกพา เพื่อใช้ทำงานง่ายๆ ได้ เช่น การหาราคาที่ถูกต้องของสินค้าบนเว็บไซต์ซื้อขายของออนไลน์ เป็นต้น

ยิ่งไปกว่านั้น 30.3% ของเยาวชนและผู้ใหญ่ในไทย มีทักษะรากฐานทางอารมณ์และสังคมที่ต่ำกว่าเกณฑ์ หรือพวกเขาไม่มีแนวโน้มที่ชัดเจนในการริเริ่มทางสังคม หรือมีความกระตือรือร้น อยากรู้อยากเห็น และมีจินตนาการ

วิกฤตทักษะทุนชีวิตที่สังคมไทยกำลังเผชิญ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างปฏิเสธไม่ได้ โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ​ (Gross Domestic Product หรือ GDP) หายไปประมาณ 20.1% หรือคิดเป็นเงินประมาณ 3.3 ล้านล้านบาท ในปี 2022 กล่าวคือเยาวชนและผู้ใหญ่ที่มีทักษะทุนชีวิตต่ำกว่าเกณฑ์ “มีรายได้น้อย” กว่ากลุ่มคนที่มีทักษะสูงกว่าเกณฑ์ หรือมีรายได้แตกต่างมากถึง 6,324 บาทต่อเดือน ซึ่งถือเป็นความแตกต่างที่เยอะมาก 

นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบว่าประเทศไทยมีเยาวชนและผู้ใหญ่เกือบ 1 ใน 5 หรือ 18.7% ที่ไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ เนื่องจากขาดทักษะทุนชีวิตทั้ง 3 ด้าน ซึ่งหมายถึงพวกเขาเหล่านั้นแทบจะไม่สามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเอง และมีแนวโน้มที่จำเป็นต้องพึ่งพาคนอื่นเพื่อชดเชยวิกฤตด้านทักษะ

อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยเสนอ 5 ข้อเสนอแนะสำหรับรัฐบาลไทย เพื่อพัฒนาคุณภาพและสมรรถนะทางการศึกษาสำหรับการเสริมสร้างทักษะทุนชีวิต ดังต่อไปนี้ 

- ปรับปรุงคำแนะนำเชิงกลยุทธ์สำหรับนักการศึกษา เพื่อทำความเข้าใจและตอบสนองต่อวิกฤตทักษะทุนชีวิต
- เพิ่มประสิทธิภาพและความครอบคลุมเรื่องการส่งมอบการเรียนรู้แบบกระจายอำนาจ
- ปรับใช้เครื่องมือที่เป็นนวัตกรรม เพื่อช่วยปรับปรุงการเรียนการสอน
- เสริมสร้างการประกันคุณภาพ
- ใช้ประโยชน์จากพลังของแคมเปญการให้ความรู้และข้อมูลต่างๆ 

ผวา!! ‘แมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกส’ โผล่หาดชลาทัศน์ ชี้!! พิษร้ายแรงที่สุดในโลก โดนเข้าอาจถึงขั้นเสียชีวิต

จากกระแสในโซเชียลมีเดียเตือนภัยแมงกะพรุนหาดชลาทัศน์ จ.สงขลา พบมีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการถูกพิษแมงกะพรุนหลายรายทั้งในพื้นที่อ.สิงหนคร มาจนถึงที่อ.เมือง จ.สงขลา ตลอดแนวหาดชลาทัศน์ แหลมสมิหลา สงขลา

ล่าสุด (28 ก.พ. 67) ที่หาดชลาทัศน์ จ.สงขลา ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจบริเวณริมหาดพบว่ามีแมงกระพรุนสายพันธุ์ หมวกโปรตุเกส ลักษณะเด่น หัวมีสีขาวเหมือนหมวกทหารเรือรบโปรตุเกสโบราณ ลำตัวมีสีน้ำเงิน มีพิษร้ายแรง โดยเฉพาะคนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หากไปโดนพิษแมงกะพรุนชนิดนี้ อาจจะทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต พบมากในช่วงมรสุม ส่งผลให้ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลในห้วงเวลานี้ พบแมงกะพรุนไฟเรือรบโปรตุเกส ถูกคลื่นซัดเข้ามาบริเวณชายหาดต่าง ๆ ตลอดแนวทั้งจังหวัดนราธิวาส ปัตตานี สงขลา กระบี่ ภูเก็ต

ด้านนายวันชัย ปริญญาศิริ นายกเทศมนตรีนครสงขลาเผยว่า ปรากฎการณ์ของแมงกะพรุนหมวกโปรตุเกสจริง ๆ เจอกันเป็นประจำตามฤดูกาล แต่ปีนี้จากการสำรวจพบว่ามีมากกว่าปีก่อน ๆ มาก ตั้งแต่ริมหาดตลอดแนวไปจนถึงกลางทะเลใกล้เกาะหนูเกาะแมว ซึ่งขณะนี้ตนได้ให้เจ้าหน้าที่ไลฟ์การ์ดประชาสัมพันธ์และเฝ้าระวังเชิงรุก และห้าม นทท.ลงเล่นน้ำ หากพบมีผู้ถูกพิษแมงกะพรุนชนิดนี้ก็จะเร่งให้ไลฟ์การ์ดปฐมพยาบาลเบื้องต้นและนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที โดยระหว่างนี้ไปจนถึงต้นเดือนเมษายน ก็ยังจะพบแมงกะพรุนไฟโปรตุเกสอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามก็ต้องขอความร่วมมือประชาชนและนักท่องเที่ยวระมัดระวังในการลงเล่นน้ำหากพบแมงกะพรุนไฟดังกล่าวอย่าเข้าใกล้เด็ดขาดและหากโดนพิษให้เร่งเอาน้ำส้มสายชูราดที่ผิวหนังทันที ซึ่งทางเทศบาลนครสงขลามีบริการไว้ตามจุดต่าง ๆ ตลอดแนวหาดแล้ว

สำหรับแมงกะพรุนไฟเรือรบโปรตุเกส (Portuguese man-of-war) เป็นแมงกะพรุนไฟสายพันธุ์ Physalia มีชื่อเรียกอีกอย่างว่าแมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกส จัดเป็นแมงกะพรุนไฟที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก มีลําตัวสีชมพูม่วง น้ำเงิน หรือเขียว ยาวประมาณ 25-30 เซนติเมตร รูปร่างของร่มแมงกะพรุนมีลักษณะคล้ายเรือใบ ลักษณะภายนอกของลําตัวมีปากยื่นยาวออกมาจากลําตัว และมีหนวด (ยาวได้มากถึง 30 เมตร) ออกมาจากขอบร่มเป็นสายยาว โดยปกติจะไม่พบในน่านน้ำไทย ส่วนใหญ่จะพบในทะเลเปิดของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดีย แต่จะอาจจะถูกกระแสน้ำพัดมาเกยตื้นหรือเข้าสู่น่านน้ำไทยได้ในบางฤดูกาล

ILINK เผยผลงานทั้งปี 66 พลิกบวก โกยรายได้ 4 ไตรมาสเกือบ 7 พันล้าน ลุ้น!! โปรเจกต์ใหญ่เกาะสมุย ช่วยดันรายได้ทั้งปี 67 ทะลุ 7 พันล้านตามเป้า

ILINK ฟอร์มดี ปิดงบปีไตรมาส 4/66 สวย!! กวาดรายได้รวม 6,965.19 ล้านบาท ตอบรับทำกำไรโตเพิ่ม 170.23 ล้านบาท ฟื้นตัวต่อเนื่อง 31.41% ประกาศปันผล 0.39 บาทต่อหุ้น (พาร์ 1 บาท) ผลงานเป็นที่ประจักษ์ขานรับรายได้โดดเด่น เกินที่คาดการณ์ แน่วแน่ปักธงชัยดันรายได้ปี 67 ตั้งเป้าแตะ 7,002 ล้านบาท ลุยวางแผนเติม Backlog แน่น หนุนเต็มสูบลุ้นคว้างานประมูลใหญ่สายเคเบิลใต้น้ำเกาะสมุย มุ่งดันทุกกลุ่มธุรกิจในเครือให้สำเร็จตามเป้าหมาย ทำรายได้ สร้างกำไรเพิ่มเป็นเท่าตัวอย่างต่อเนื่อง และยั่งยืน แบบมีคุณภาพ เน้นทำกำไร New High ต่อเนื่อง และปันผลเพื่อยืนยันการเป็นหุ้นปันผล 

(28 ก.พ.67) บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK เผยตัวเลขผลประกอบการ โดยทำรายได้รวมจาก 3 กลุ่มธุรกิจในเครือ ได้แก่ ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ ธุรกิจวิศวกรรมโครงการ และธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ อยู่ที่ 6,965.19 ล้านบาท ปิดงบปี 2566 ไตรมาสที่ 4 นี้ พร้อมกำไรสำหรับงวดรวม 712.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 170.24 ล้านบาท พุ่งแรง 31.41% ตามยุทธศาสตร์ที่ตั้งเป้า 'จะเติบโตแบบมีคุณภาพ ทั้งรายได้ และกำไรสุทธิ' 

โดยมีภาพรวมที่แสดงให้เห็นถึงการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และยั่งยืนที่เด่นชัด ตอกย้ำการเป็นบริษัทฯ ที่ประกอบธุรกิจด้านเทคโนโลยี ตามอุดมการณ์ที่จะนำเทคโนโลยีมาพัฒนาประเทศไทย พร้อมประกาศย้ำชัดปี 2567 ปักธงดันยอดขายในกลุ่มธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ ผลิตภัณฑ์ LINK AMERICAN มั่นใจมีแนวโน้มกอบโกยรายได้เพิ่มขึ้น ทำกำไรบวก รวมถึงเร่งผลักดันทุกธุรกิจในเครือของกลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ให้เดินหน้า ปรับตัวพร้อมพัฒนาก้าวให้ทันเทรนด์เทคโนโลยีโลกแห่งยุค ซึ่งจะหนุนให้ทั้งปี 2567 เติบโตโดดเด่น

สำหรับรายได้ของกลุ่มธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Cabling Distribution Business) สร้างผลงานทำรายได้ทั้งปี 2566 รวมมูลค่า 2,881.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 366.27 ล้านบาท หรือ 14.56% โดยทำกำไรสุทธิรวม 309.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105.76 ล้านบาท หรือเติบโต 51.82% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลประกอบการที่ดี ซึ่งเติบโตหลัก ๆ เพิ่มขึ้นมาจากรายได้ที่ดีขึ้นของสินค้าในหมวดของสาย LAN 

ส่วนในหมวดของสาย Solar ซึ่งประเทศไทยมีโครงการสนับสนุนโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) และเทรนด์ของโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำ (Floating Solar) รวมทั้งผลิตภัณฑ์ LINK AMERICAN ที่ ILINK เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในอาเซียน ยังถูกจัดเป็นแบรนด์ชั้นนำอันดับต้น ๆ ของโลกอีกด้วย และ ILINK ยังเป็นผู้นำตลาดของระบบสายสัญญาณ โดยเป็นผู้ชี้นำตลาดของประเทศไทยและอาเซียนที่มีการขยายตัวอย่างมากอีกด้วย 

ทั้งนี้คาดการณ์รายได้ในไตรมาส 1/67 ของกลุ่มธุรกิจนี้ จะยังคงมีรายได้ ทำกำไรเติบโตต่อเนื่อง ผลสืบเนื่องจากยอดขายสินค้า ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ ที่ได้เปิดตัวไปอย่างยิ่งใหญ่ในกลุ่มของ Super S Series ได้แก่ UTP CAT 6A และ FTTR (Fiber Optic To The Room Solution) โดยคิดค้นพัฒนามาเพื่อตอบโจทย์แก่เทคโนโลยีแห่งยุค จึงมั่นใจว่าทิศทางของผลประกอบการเมื่อเปรียบเทียบคุณภาพกับราคาแล้ว ผลิตภัณฑ์ LINK AMERICAN และ GERMAN RACK ในไตรมาสถัดไป จะสามารถผลักดันยอดขายให้สอดรับกับการเติบโตของตลาดธุรกิจโลกที่เปิดกว้างมากขึ้น และจะเป็นผลตอกย้ำให้กลุ่มธุรกิจประสบความสำเร็จตามเป้าประสงค์ พร้อมทำกำไรฟื้นตัวตามที่คาดการณ์

ส่วนกลุ่มธุรกิจวิศวกรรมโครงการ (Turnkey Engineering Business) ก้าวกระโดดจากการเร่งส่งมอบงานเกาะเต่าในไตรมาส 4/66 ทำให้มีรายได้รวมทั้งปี 2566 จากธุรกิจอยู่ที่ 1,329.18 ล้านบาท เติบโต 178.96 ล้านบาท หรือ 15.56% และทำกำไรสุทธิรวม 106.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.96 ล้านบาท หรือ 70.45% 

ขณะที่ในปัจจุบันมี Backlog ในมือราว 1.14 พันล้านบาท กว่า 80% ที่รอรับรู้รายได้ภายในปี 2567 ขณะที่การประมูลงานของปี 2567 นี้เน้นไปที่งาน Submarine เกาะสมุยของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ที่เป็นลูกค้าหลักรายใหญ่ในมือ และเป็นสิ่งที่กลุ่มธุรกิจมีความเชี่ยวชาญ และความชำนาญโดดเด่น รวมถึงคาดการณ์ยังมีงานที่อยู่ระหว่างจ่อรอเซ็นสัญญา พร้อมเร่งรุกเตรียมลุยเข้าประมูลงานโครงการของภาครัฐ และภาคเอกชนที่สำคัญ ๆ เพิ่ม หนุนเติม Backlog ให้แน่น เพื่อทำกำไร และมีรายได้โตขึ้นไม่น้อยกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้

ด้านธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ (Telecom & Data Center Business) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโครงข่ายไฟเบอร์ออฟติก ที่มีความเสถียรภาพสูงสุดทั่วประเทศไทย หรือ ITEL มีรายได้รวม 4 ไตรมาส ประจำปี 2566 อยู่ที่ 2,754.94 ล้านบาท ทำกำไรสุทธิรวม 295.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 16.75 ล้านบาท หรือ 6% โดยในอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 10.74% ของรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 32%และตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไปมีแผนดันขยายกิจการเพิ่มเติมสู้ Health Tech หลังเข้าลงทุนใน 'Global Lithotripsy Services Company Limited' เสริมพื้นฐานแข็งแกร่งตรงตามกลยุทธ์ New S-Curve ต่อยอดธุรกิจ 

โดยคาดว่าปี 2567 จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากการเสนองานใหม่เพิ่ม และแผนรุกธุรกิจ Data Center ควบคู่การขับเคลื่อนธุรกิจสู่ Digital Transformation ที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง ตั้งเป้ารายได้ปี 2567 ที่ 3,500 ล้านบาท จากล่าสุดมี Backlog รวม 2,769 ล้านบาท พร้อมนำ บมจ.บลู โซลูชั่น 'BLUE' เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ในปี 2567 นี้แน่นอน รวมถึงบริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นรักษาฐานลูกค้าเก่า และสร้างฐานลูกค้าใหม่ ด้วยประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญที่มีมาอย่างยาวนาน ประกอบกับเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ มาสนับสนุนภาคธุรกิจในการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี Digital Transformation ด้วยการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะมายกระดับการดำเนินงานขององค์กรต่าง ๆ ให้สามารถทำงานได้รวดเร็ว มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สอดคล้องกับเทรนด์เทคโนโลยี ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

สวนนงนุชพัทยา จัดโปรโมชั่นสำหรับคนเกิดเดือนมีนาคมซื้อบัตรผ่านประตู ลดทันที 50 %

สวนนงนุชพัทยาโดยนายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ประกาศโปรโมชั่นสำหรับคนเกิดเดือนมีนาคม ซื้อบัตรผ่านประตูลดทันที 50 % เนื่องจากได้รับการตอบรับที่ดีของนักท่องเที่ยวในเดือนที่ผ่านมา และเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยวแบบไทยเที่ยวไทยจึงได้ขยายเพิ่มในเดือนมีนาคม ส่วนของโปรโมชันพิเศษอื่นๆ สำหรับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปเข้าฟรีทุกวันศุกร์ เด็กความสูงไม่เกิน 140 ซม.ที่มากับครอบครัว และผู้พิการพร้อมผู้ติดตามเข้าฟรีทุกวัน

ล่าสุดสวนนงนุชพัทยา ได้รับมอบประกาศนียบัตรจากอธิดีกรมอานามัยให้เป็นสถานที่ที่ได้ปฎิบัติตามมาตรฐานแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสุขภาพและสิ่งแวดล้อม (GREEN Health Attraction) เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567 รางวัลนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจของสวนนงนุชพัทยาซึ่งเป็นนโยบายการพัฒนาที่ผ่านมา เน้นในเรื่องสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้มีบริการนั่งรถชมสวนสวยที่ติด 1ใน10 สวนที่สวยที่สุดในโลกโดยไม่ต้องเดิน สำหรับผู้ที่ต้องการชมการแสดงนงนุชโชว์และการแสดงช้างแสนรู้ มีวันละ 4 รอบ ผู้ที่ต้องการใช้โปรโมชั่นสำหรับคนเกิดเดือนมีนาคมเพียงยื่นหลักฐานที่ช่องจำหน่ายบัตร สวนนงนุชพัทยาเปิดบริการทุกวันตั้งแต่เวลา 08.00 น. -18.00 น.

‘เอกชัย ศรีวิชัย’ โพสต์เดือด!! พร้อมอิโมจิรูปเท้า “หากลูกเขาตายใครรับผิดชอบ? มึงบอกให้ลูกมึงกินข้าว จบ”

ก่อนหน้านี้ นายเอกชัย ศรีวิชัย นักร้อง นักแสดง ผู้กำกับหนัง และผู้เคยแสดงจุดยืนเชียร์พรรคก้าวไกล ได้ออกมาเคลื่อนไหวกรณี ‘กลุ่มทะลุวัง’ บีบแตรและขับรถแซงขบวนเสด็จฯ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในขณะที่ขบวนกำลังแล่นผ่านทางด่วน พร้อมระบุว่า เป็นการกระทำที่ทำร้ายความรู้สึกของคนไทย และทำลายศรัทธาที่เคยมีต่อกลุ่มการเมืองหนึ่งจนหมดสิ้น

ล่าสุด เมื่อวานนี้ (27 ก.พ. 67) เอกชัย ศรีวิชัยก็ได้ออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้งหนึ่ง โดยโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘บุญรอบ ศรีวิชัย’ ระบุข้อความว่า “หากลูกเขาตายใครรับผิดชอบ? มึงบอกให้ลูกมึงกินข้าว จบ👣”

ภายหลังจากโพสต์ข้อความไปแล้ว แฟนคลับและผู้ติดตามต่างเข้ามาคอมเมนต์ตอบโต้มากมาย และแม้จะไม่ได้ระบุว่าเป็นเรื่องอะไร แต่คอมเมนต์ก็ไปในทิศทางเดียวกัน เช่น ถูก, จริง, ชอบกินตรีนทำยังไงล่ะครับ, จริงค่ะพี่เอกมึงต้องกินข้าวจะได้ไม่ตาย ฯลฯ

‘Apple’ ถอดใจ!! เตรียมยุบโปรเจกต์ ‘รถยนต์ไฟฟ้า’ คาด!! สู้ศึกบริษัทเทคฯ อื่น ที่นำร่องไปไกลไม่ไหว

(28 ก.พ.67) ถือเป็นหนึ่งโปรเจกต์ที่ Apple วาดหวังจะให้เกิดกับแผนการสร้างรถยนต์ไฟฟ้าของตนเอง ซึ่งมีการพัฒนามาตั้งแต่ปี 2014 โดยปัจจุบันมีพนักงานเกือบ 2,000 คน ในตำแหน่งวิศวกร และนักออกแบบ ซึ่ง Apple มีการทุ่มเงินไปกับโปรเจกต์นี้ หลายพันล้านดอลลาร์ และตั้งเป้าว่าจะเปิดตัว Apple Car ให้ได้ภายในปี 2028 

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดทาง Bloomberg ได้รายงานว่า Apple กำลังเตรียมยุบโปรเจกต์นี้แล้ว และจะทำการย้ายพนักงานส่วนหนึ่งไปยังแผนกพัฒนา Generative AI แทน ซึ่งก็เดาได้ไม่ยากว่า เพื่อสู้ศึกกับบริษัทเทคอื่น ๆ อย่างเช่น Microsoft และ Google ที่นำหน้าเรื่องนี้ไปแล้ว รวมถึงตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเริ่มเข้าสู่ Red Ocean ที่มีทั้งแบรนด์จีนแข่งดุ รวมถึง Tesla ที่วิ่งมาไกลกว่า Apple หลายช่วงตัว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top