Tuesday, 8 July 2025
Hard News Team

‘พีระพันธุ์’ ชื่นชม ‘ครูน้อย’ สร้างนวัตกรรมใหม่ด้านพลังงาน เล็งต่อยอดหอกลั่นน้ำมันประจำอำเภอ ลดต้นทุนเกษตรกร

เมื่อไม่นานมานี้ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เผยว่า ได้ลงพื้นที่ตรวจราชการที่จังหวัดสกลนคร เมื่อวันที่ 31 มกราคม ที่ผ่านมา ได้พบกับนายทวีชัย ไกรดวง หรือ ‘ครูน้อย’ ผู้มีความสามารถด้านนวัตกรรม สามารถผลิตสิ่งประดิษฐ์หลายอย่างที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้ประชาชน ตรงกับนโยบายของตน ที่มุ่งหวังจะลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้ประชาชนโดยใช้พลังงานทดแทน เช่น โครงการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ การประกอบแบตเตอรี่ลิเธียมเองในประเทศเพื่อลดต้นทุน การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมและพลังงานน้ำ 

โดยครูน้อยสามารถผลิตน้ำมันจากยางพาราและขยะพลาสติกจากอุปกรณ์ที่คิดค้นและผลิตขึ้นเองสามารถผลิตน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลชั่วโมงละ 40 ลิตร โดยครูน้อยได้สาธิตการนำน้ำมันที่ผลิตได้ไปใช้กับรถมอเตอร์ไซค์และเครื่องมือทางการเกษตรซึ่งสามารถใช้งานได้ตามปกติ ทำให้นายพีระพันธุ์สนใจผลงานของครูน้อยที่เป็นนวัตกรรมของคนไทยเป็นอย่างมาก

โดยเมื่อ 23 ก.พ. 67 นายพีระพันธุ์ได้เชิญครูน้อยมาหารือเพิ่มเติมที่บ้านพิบูลธรรม เพื่อหาทางต่อยอดนวัตกรรมการผลิตน้ำมันจากยางพาราและขยะพลาสติกของครูน้อย และขอให้ครูน้อยช่วยออกแบบอุปกรณ์เครื่องมือผลิตไฟฟ้าจากพลังแสงแดด พลังงานลม และพลังงานน้ำ สำหรับใช้ในครัวเรือนและในการเกษตรโดยจะให้เป็นเครื่องต้นแบบของกระทรวงพลังงานที่จะผลิตขายให้ประชาชนและเกษตรกรในราคาถูก

ทั้งนี้ นายทวีชัย ไกรดวง หรือ ครูน้อย ได้นำเสนอแบบการสร้างหอกลั่นน้ำมันที่สามารถผลิตน้ำมันจากยางพาราและขยะพลาสติกได้ถึงชั่วโมงละ 500 ลิตร และอยากจะให้เป็นเครื่องมืออุปกรณ์ประจำแต่ละอำเภอเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันให้แก่ประชาชนและเกษตรกร โดยนายพีระพันธุ์ได้ให้การสนับสนุนและมอบให้นายณอคุณ สิทธิพงษ์ ประธานที่ปรึกษารัฐมนตรีพลังงานเป็นผู้สนับสนุนพัฒนาเรื่องความปลอดภัยของอุปกรณ์และคุณภาพน้ำมันให้ดียิ่งขึ้น 

และมอบให้นางสาวอรพินทร์ เพชรทัต ที่ปรึกษารัฐมนตรีพลังงานเป็นผู้ประสานงานให้เกิดความคล่องตัวและความรวดเร็วในการดำเนินการ นอกจากนี้นายพีระพันธุ์ได้มอบให้ครูน้อยไปคิดประดิษฐ์แผงโซลาร์เซลล์และแบตเตอร์รี่ที่จะผลิตขึ้นเองในประเทศเพื่อทำให้ราคาระบบผลิตไฟฟ้าโซลาร์เซลล์มีราคาถูกลงอีกด้วย 

โดยนายพีระพันธุ์เห็นว่าคนไทยจำนวนมากที่มีความสามารถด้านนวัตกรรมแต่ขาดโอกาสและการสนับสนุน หากคนเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างจริงจังจะสามารถมีสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์และเป็นฝีมือของคนไทยที่น่าภาคภูมิใจ และสามารถช่วยเหลือประชาชนได้ทุกระดับไม่ว่าจะเป็นชาวนา เกษตรกร ชาวประมง หรือประชาชนทั่วไปให้มีทางเลือกในการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน

ผบ.ตร.เอาจริงปราบหนี้นอกระบบ และกรณีชายหนุ่มพาภรรยาพร้อมลูกวัย 12 ขวบ หนีเจ้าหนี้นอนป้ายรถเมล์ สั่งเร่งจับกุมเจ้าหนี้มาดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด

วันนี้ (27 ก.พ. 67) พ.ต.อ.อุเทน นุ้ยพิน รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากกรณีที่ปรากฏเป็นข่าวว่า เมื่อวันที่ 26 ก.พ.2567 มีพลเมืองดีพบเห็นชาย อายุ 49 ปี พร้อมภรรยา อายุ 40 ปี และลูกชายอายุ 12 ขวบ นักเรียนชั้น ป.6 พากันอาศัยหลับนอนอยู่หลังป้ายจอดรถประจำทางหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลรัตนาธิเบศร์ เนื่องจากถูกเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบทวงหนี้และข่มขู่ทำร้ายร่างกายจนกลัวอันตรายนั้น เหตุเกิดท้องที่ สภ.รัตนาธิเบศร์ จ.นนทบุรี ขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนหาตัวเจ้าหนี้รายดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย  

โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.ธนา ชูวงษ์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ซึ่งรับผิดชอบ ศูนย์ป้องกันและปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบศูนย์ปราบปรามหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปน.ตร.) เข้ามากำกับดูแลในเรื่องนี้แล้ว เพื่อเร่งติดตามตัวเจ้าหนี้ที่กระทำความผิดมาดำเนินคดีโดยเร็ว 

สำหรับการปราบปรามเรื่องหนี้นอกระบบนั้น เนื่องจากเป็นวาระแห่งชาติ และเป็นนโยบายเร่งด่วนของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้เร่งรัดปราบปรามจับกุมเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ มาอย่างต่อเนื่องโดยตลอด โดยที่ผ่านมา  ได้ รับแจ้งเบาะเรื่องหนี้นอกระบบ จำนวน 142 เรื่อง มูลหนี้ 170,334,640 บาท ดำเนินการแล้วเสร็จ 127 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 89.44  จับกุมเรื่องหนี้นอกระบบ จำนวน 1,584 เรื่อง มูลหนี้ 58,557,712 บาท ดำเนินการแล้วเสร็จ 1,547 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 99.94  

นอกจากนี้ พ.ต.อ.อุเทน ฯ กล่าวว่า ขณะนี้เหลือเวลาอีก 2 วัน ที่พี่น้องประชาชนยังสามารถลงทะเบียนขอรับความช่วยเหลือจากภาครัฐเพื่อแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งทางรัฐบาลจะรับลงทะเบียนถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 นี้ อย่างไรก็ตาม ภาครัฐมีความตั้งใจจริงที่จะแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนที่เดือดร้อนจากหนี้นอกระบบ จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทุกคนที่เป็นหนี้นอกระบบ ได้มาลงทะเบียนให้ข้อมูลกับทางหน่วยงานภาครัฐ ผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้ง On-site ณ ศาลากลางจังหวัดทุกจังหวัด (ห้องศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด) ที่ว่าการอำเภอทุกแห่ง (ห้องศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ) สำนักงานเขตทั้ง 50 เขตของกรุงเทพมหานคร ตลอดจนพื้นที่การจัดมหกรรมตลาดนัดแก้หนี้ระดับจังหวัด และตลาดนัดแก้หนี้อำเภอ หรือสามารถลงทะเบียนทางระบบออนไลน์ที่ https://debt.dopa.go.th โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนศูนย์ดำรงธรรม โทร. 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง

'รถตุ๊กตุ๊ก' แจง!! ราคาเหมาคัน 'รถตุ๊กตุ๊ก' 1,200 บาท ทั่วกรุงเก่า ยัน!! ราคาเหมาท่องเที่ยว 'โอปป้าฮง' ตามมาตรฐาน ชม.ละ 300

(27 ก.พ.67) จากกรณี โอปป้าฮง หรือ พี่ฮง แร็ปเปอร์และยูทูบเบอร์ ชื่อดังชาวเกาหลี ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอผ่าน youtube : Oppa Hong พาเที่ยวจังหวัด พระนครศรีอยุธยา โดยมีการว่าจ้างรถตุ๊กตุ๊ก ไปส่งร้านอาหารและท่องเที่ยว และมีการเรียกเก็บค่าโดยสาร 1,200 อ้างตำรวจการันตีในราคานี้ จนมีการวิพากษ์วิจารณ์กันสนั่นโซเชียล ถึงการทีมีการโก่งราคาค่าโดยสารที่แพงเกินไป และไม่เหมาะสม

ทั้งนี้ เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ทีมข่าวจึงได้เดินทางลงพื้นที่ ไปตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่บริเวณวินรถตุ๊กตุ๊ก หน้าสถานีรถไฟที่ปรากฏในคลิป โดยได้พบกับ พ.ต.ท ธนากร ธรรม เมธา สารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจท่องเที่ยวพระนครศรีอยุธยา กำลังสอบถาม กับ นางสมจิตร อายุ 59 ปี ภรรยาคนขับรถตุ๊กตุ๊ก ที่ปรากฏอยู่ในคลิป โดย พ.ต.ท.ธนากร ได้ให้คนขับรถตุ๊กตุ๊ก ชี้แจงการติดป้ายแสดงราคาที่ติดเอาไว้ ที่มีการโลโก้ของตำรวจทางหลวง ไปติดเอาไว้ จนทำให้เกิดความเข้าใจผิด พร้อมกับแนะนำให้เอา โลโก้ ตำรวจท่องเที่ยว ออกจากป้าย เนื่องจากไม่ได้มีการ อนุญาตให้นำมาติด 

ส่วนเรื่องราคาจะถูก หรือแพงนั้น ต้องรอหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และอาจจะมีการเซ็น MOU เพื่อทำข้อตกลงกันไว้ และจะให้เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบ หากพบว่ามีความผิดก็จะมีบทลงโทษ

ขณะที่ นางสมจิตร เปิดเผยว่านักท่องเที่ยว 2 คน ทราบภายหลังว่า เป็นชาวเกาหลี ได้มาเที่ยวที่อยุธยาประมาณสัปดาห์ ที่ผ่านมา ได้เข้ามาติดต่อสอบถาม หาร้านอาหาร จึงได้มีการแนะนำร้านอาหาร พร้อมกับราคาค่าโดยสาร โดยจะพาไปร้านอาหารและท่องเที่ยว แบบเหมา 4 ชั่วโมง1,200 บาท เท่ากับว่าหารกันคนละ 600 บาท ซึ่งนักท่องเที่ยวมีการเช็คราคาเปรียบ กับแกร็บคาร์ และพบว่ามีราคาที่แพงกว่า ตนเองจึงแนะนำไปว่า ถ้าจะใช้บริการ แกร็บคาร์ ต้องเดินออกไปเรียกให้ห่างจากวิน รถตุ๊กตุ๊ก แต่นักท่องเที่ยวทั้ง 2 ก็ไม่ได้ไป 

จากนั้น นักท่องเที่ยวจึงได้มีการมาตกลงให้พาไปส่งที่ร้านอาหาร และท่องเที่ยว ตนเองยืนยันว่า ตนเองกับสามี มีอาชีพขับรถตุ๊กตุ๊ก มาเกือบ 40 ปี ไม่เคยถูกร้องเรียนและไม่เคยถูกตำหนิ และขอยืนยันว่า ไม่ได้มีการชาร์จราคานักท่องเที่ยวแต่อย่างใด แต่เป็นราคามาตรฐานที่มีการทำข้อตกลงกันกับทาง ขนส่งจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ด้าน นาย สิทธิชัย  49 ปี คนขับรถตุ๊กตุ๊ก ซึ่งเป็นตัวแทนคนขับรถตุ๊กตุ๊ก เปิดเผยว่า หลังจากที่เกิดกระแสดราม่า จนมีคนเข้าไปคอมเม้นต์ และวิพากษ์วิจารณ์ ว่ามีการคิดราคาค่าโดยสารตุ๊กตุ๊กแพงเกินจริง ซึ่งตนเองยืนยันว่า ราคาดังกล่าวเป็นราคามาตรฐาน และมีการติดป้ายแสดงราคากันอย่างชัดเจน การพุดคุยสื่อสารอาจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด และคลาดเคลื่อน เนื่องจากว่าอาจจะอธิบายให้นักท่องเที่ยวฟัง แล้วเกิดความไม่เข้าใจ ซึ่งในราคาเหมารถตุ๊กตุ๊กท่องเที่ยว ในอัตราคนไทย จะอยู่ที่ชั่วโมงละ 200 บาท และหากเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะอยู่ในราคาชั่วโมงละ 300 บาท โดยจะเป็นลักษณะเช่าเหมาคัน

แต่ในกรณีนี้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากันสองคน และมีการหารกัน จึงตกคิดอัตราค่าโดยสารหัวละ 600 บาท จนทำให้ดูว่าราคาแพง และมีการโก่งราคา ทั้งนี้ ส่วนตัวอยากให้มองในมุมกลับกันว่า หากนักท่องเที่ยวมากัน 6-8 และเช่าเป็นชั่วโมงในลักษณะเช่าเหมาคันชั่วโมงละ 300 บาท 4 ชั่วโมงก็จะคิดไปหลายหัวในลักษณะหากันเหลือเพียง 200 ถึง 150 เท่านั้น

ต่อมาทีมข่าวสอบถามไปยัง สำนักงานขนส่งจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งได้ให้ข้อมูลในเบื้องต้นว่า ราคาเหมารถตุ๊กตุ๊กท่องเที่ยว ที่มีการทำข้อตกลงกันเอาไว้ ชาวต่างชาติจะคิดราคาชั่วโมงละ 300 บาท ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะมีการส่งเจ้าหน้าที่ฯ เข้าไปตรวจสอบ และพุดคุย พร้อมกับสอบสวนสาเหตุกับทางวินรถตุ๊กตุ๊ก และคนขับรถตุ๊กตุ๊ก เพื่อให้ระมัดระวังการใช้คำพูด การอธิบายความต่างๆ เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด หรือในลักษณะของการบีบบังคับให้ใช้บริการ และขอดูรายละเอียดภายคลิปที่ปรากฏอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฏหมายต่อไป

'พล.ต.ท.ไตรรงค์' นำทีม 'พฐ.' ไขปมชาวไต้หวันถูกยิง-ทิ้งศพย่านสุวรรณภูมิ มั่นใจ!! 'ข้อมูลวัตถุพยาน-สถานที่เกิดเหตุ' พาโยงถึงผู้ก่อเหตุได้

'พิสูจน์หลักฐาน' (พฐ.) อาวุธนำวิถีของพนักงานสอบสวน!!

ตามสั่งการของ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร.(สส) ให้เร่งรัดการสืบสวนสอบสวนและการตรวจพิสูจน์หลักฐาน กรณีมีผู้พบศพที่เพิงพักไม่มีเลขที่ ท้าย ถ.สุวรรณภูมิสาย 4 ต.หนองปรือ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ท้องที่ สภ.สุวรรณภูมิ ภ.จว.สมุทรปราการ ซึ่งภายหลังพบว่าเป็นนาย ชิ โหมว เชียง (Mr. SHIH MOU CHIANG) ชายชาวไต้หวันถูกยิงเสียชีวิตในพื้นที่ย่านลาดปลาเค้า ท้องที่ สน.โคกคราม และนำศพไปทิ้งที่ ถ.สุวรรณภูมิสาย 4 ตามที่สื่อมวลชนได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

เมื่อวันที่ 26 ก.พ.67 เวลา 11.30 น.ที่ผ่านมา พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานหลักฐานตำรวจ (ผบช.สพฐ.ตร.) ได้เดินทางไปที่พิสูจน์หลักฐาน จ.สมุทรปราการ เพื่อร่วมประชุมกับเจ้าหน้าที่ และสรุปผลการตรวจสถานที่เกิดเหตุและตรวจพิสูจน์พยานหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในคดี รวมถึงการวางแผนบูรณาการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างพิสูจน์หลักฐานและงานสืบสวนสอบสวน 

โดยพล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ. ตร.กล่าวว่า “ในคดีนี้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานทั้งในส่วนของพิสูจน์หลักฐานจังหวัดสมุทรปราการ และกลุ่มงานตรวจสถานที่เกิดเหตุศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 1 รวมถึงกลุ่มงานสถานที่เกิดเหตุ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง ได้บูรณาการร่วมกันในการตรวจสถานที่เกิดเหตุ การตรวจเก็บวัตถุพยานรวมถึงการตรวจพิสูจน์หลักฐานต่างๆ ซึ่งในในการเดินทางมาประชุมสรุปในวันนี้ในส่วนของสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจถือว่ามีความคืบหน้าไปมาก สามารถส่งข้อมูลให้กับทีมสืบสวนสอบสวนไปดำเนินการต่อได้ ในส่วนที่เหลือคือ การตรวจสอบวัตถุพยานซึ่งต้องใช้เทคนิคในห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันลักษณะการกระทำความผิดและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอีกครั้งหนึ่ง” 

หลังจากนั้นเวลา 14.00 น. พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ. ตร.พร้อมด้วย พ.ต.อ.ศุภชัยไตรสมบูรณ์ นวท.(สบ 5) ศพฐ.1, พ.ต.อ.พรณรงค์ เจริญวัฒนวิญญู นวท.(สบ 4) พฐ.จว. สมุทรปราการ, พ.ต.อ.หญิงศิริประภา รัตตัญญู นวท.(สบ 4) กลุ่มงานตรวจสถานที่เกิดเหตุ พฐก.และเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน และ พ.ต.อ.ประภาส มั่งคั่ง รอง ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ, พ.ต.ท.คเชนทร์ บุญทวี รอง ผกก.สส.สภ.โคกคราม และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนสอบสวนที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันตรวจสอบและตรวจสถานที่เกิดเหตุเพิ่มเติมที่บ้านเช่าของผู้เสียชีวิต และที่บ้านเช่าหลังที่ใช้ก่อเหตุ ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านหรูย่านลาดปลาเค้า ท้องที่ สน.โคกคราม 

โดยเบื้องต้นตรวจพบพยานหลักฐานสำคัญเป็นปลอกกระสุนปืนจำนวน 2 ปลอก ซึ่งเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานจะได้นำไปตรวจสอบในระบบฐานข้อมูลอาวุธปืน (ABIS และ IBIS) เพื่อพิสูจน์ทราบว่าใช้ยิงมาจากอาวุธปืนประเภท ชนิด ขนาดใด รวมทั้งเพื่อตรวจพิสูจน์ว่ากระสุนปืนดังกล่าวใช้ยิงมาจากอาวุธปืนที่เคยมีประวัติการก่อเหตุมาก่อนหรือไม่ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการขยายผลสืบสวนสอบสวนต่อไป

“ในคดีนี้มีสถานที่ที่เกี่ยวข้องหลายแห่งรวมทั้งพยานหลักฐานมีจำนวนมาก เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานจึงต้องใช้ความรอบคอบและทำงานให้รวดเร็วภายใต้มาตรฐานระบบงานทั้งในส่วนของมาตรฐานการตรวจสถานที่เกิดเหตุและมาตรฐานการตรวจพิสูจน์วัตถุพยานในห้อง แล็ป ซึ่งในส่วนนี้ก็จะสามารถเป็นที่มั่นใจได้ว่าวัตถุพยานหลักฐานที่ทำการตรวจพิสูจน์ทั้งหมดนั้นสามารถยืนยันและเชื่อมโยงกันได้ทั้งในส่วนของผู้เสียชีวิต ผู้ก่อเหตุ และสถานที่เกิดเหตุ รวมทั้งที่อื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการก่อเหตุโดยพิสูจน์หลักฐานจะได้ประสานกับทีมสืบสวนสอบสวนในการนำผลการตรวจพิสูจน์ไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการสืบสวนสอบสวนและการดำเนินคดีในภายหลังเมื่อสามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้” พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช. สพฐ.ตร.กล่าว

 

‘วราวุธ’ สั่ง!! ‘ศรส.’ ตรวจ ‘สถานรับเลี้ยงเด็กออทิสติกเถื่อน’ ย่านนนทบุรี หลังได้รับเรื่องผู้ดูแลมีพฤติกรรมใช้ความรุนแรง ฝากปชช.ช่วยเป็นหูเป็นตา

(27 ก.พ. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ กัน จอมพลัง พร้อมเจ้าหน้าที่พม.จังหวัดนนทบุรี และตำรวจสภ.ไทรน้อย เข้าตรวจสอบหลังได้รับร้องเรียนว่ามีการเปิดบ้านเป็นสถานรับดูแลเด็กออทิสติกไม่ถูกสุขลักษณะ และผู้ดูแลมีพฤติกรรมใช้ความรุนแรง ว่า เรื่องนี้ตนได้ขอให้ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) ลงไปดำเนินการกับศูนย์ที่ไม่ได้รับอนุญาต ต้องขอบคุณภาคเอกชนที่ช่วยเป็นหูเป็นตา เพราะตนย้ำอยู่เสมอว่าปัญหาสังคมถ้าเทียบกับหน่วยงานของกระทรวงพม. ซึ่งมีเจ้าหน้าที่จำนวนน้อย การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนจึงทำให้เราสามารถทำงานดูแลเด็กได้มากขึ้น

นายวราวุธ กล่าวต่อว่า สำหรับการตรวจสอบปัญหาสถานรับเลี้ยงเด็กค่อนข้างจะเป็นไปได้ไม่รวดเร็วเท่าที่ควร เพราะศูนย์เหล่านี้อยู่ตามชุมชน นึกจะตั้งก็ตั้งขึ้นมา ขณะที่เจ้าหน้าที่ของเรามีจำนวนจำกัด แม้จะมีการออกตรวจเป็นประจำอยู่แล้ว แต่หากพี่น้องประชาชนเห็นว่ามีศูนย์ดูแลเด็กหรือสถานดูแลผู้สูงอายุที่จัดตั้งใหม่ และมีข้อสงสัยว่าถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ก็ขอให้แจ้งมาที่ศรส.ได้ หรือที่สายด่วน 1300 ตลอด 24 ชม.
 

‘ม.โทโฮคุ’ โต้!! ข่าวนักศึกษาห้ามช่วยตัวเองในห้องน้ำ ‘ไม่เป็นความจริง’ ขอความร่วมมือให้หยุดเผยแพร่ พร้อมเร่งตรวจสอบที่มาที่ไปของข้อความ

(27 ก.พ.67) สำนักงานประเทศไทยของมหาวิทยาลัยโทโฮคุ แห่งญี่ปุ่น เผยแพร่ถ้อยแถลงชี้แจง หลังจากมีรายงานข่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่าทางมหาวิทยาลัยสั่งห้ามพวกนักศึกษาเข้าไปช่วยตนเองในห้องน้ำ เนื่องจากเกรงว่ามันจะทำให้ท่อน้ำอุดตัน

ถ้อยแถลงของสำนักงานประเทศไทยของมหาวิทยาลัยโทโฮคุ เป็นคำชี้แจงในเรื่องกระแสข่าวลือเกี่ยวกับประกาศเรื่องที่พวกนักศึกษาชายมักชอบไปด้วยตัวเองในห้องน้ำ ซึ่งปรากฏอยู่บนรายงานข่าวของสื่อมวลชนหลายแห่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ทั้งนี้ ในถ้อยแถลง สำนักงานมหาวิทยาลัยโทโฮคุ ประจำประเทศไทย ขอชี้แจงว่า "ประกาศดังกล่าวไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด" และให้ข้อสังเกตดังนี้ 1.รูปแบบของประกาศไม่ใช่รูปแบบที่ใช้อย่างเป็นทางการภายในมหาวิทยาลัยโทโฮคุ และ 2.เบอร์โทรศัพท์ ไม่ใช่เบอร์ของมหาวิทยาลัย เป็นเบอร์ส่วนบุคคล

ด้วยเหตุนี้ทางมหาวิทยาลัยโทโฮคุจึงขอความร่วมมือให้หยุดและลบข้อความการเผยแพร่ข่าวลือที่ไม่เป็นความจริงและทำให้มหาวิทยาลัยเกิดความเสียหาย ซึ่งทางมหาวิทยาลัยกำลังดำเนินการตรวจสอบที่มาของข้อความต่อไป ถ้อยแถลงของโทโฮคุระบุ

คำชี้แจงของโทโฮคุ มีขึ้นหลังจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สื่อมวลชนหลายแห่งรายงานว่า มหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้ออกประกาศห้ามพวกนักศึกษาช่วยตนเองในห้องน้ำ เนื่องจากเกรงว่ามันจะทำให้ท่อน้ำอุดตัน

หนังสือห้ามนักศึกษาช่วยตนเองในห้องน้ำดังกล่าวได้กลายเป็นกระแสไวรัลไปทั่วโลกออนไลน์ หลังจากผู้ใช้รายหนึ่งนามว่า bad_texts ได้โพสต์ประกาศดังกล่าวของมหาวิทยาลัยโทโฮคุ บนสื่อสังคมออนไลน์ และจนถึงสัปดาห์ที่แล้ว มีผู้เข้าชมแล้วเกือบ 16 ล้านครั้ง

โดยข้อความบนกระดาษมีเนื้อหาดังต่อไปนี้

คำเตือนสำหรับช่วยตนเอง การช่วยตัวเองภายในห้องน้ำของมหาวิทยาลัยถือเป็นการฝ่าฝืนกฎของแต่ละคณะ และท่อน้ำทิ้งของมหาวิทยาลัยโทโฮคุ ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรองรับน้ำอสุจิ

ถ้ามีน้ำอสุจิมากเกินไปมันจะขัดขวางการไหลของท่อน้ำทิ้ง และต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมหลายหมื่นเยน ค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะปรากฏในค่าเล่าเรียนของบรรดานักศึกษาในปีถัดไป ที่จะเพิ่มขึ้นจากเดิม มันเป็นเงินของพวกคุณ ดังนั้นกรุณาช่วยตัวเองในห้องนอน

ถ้าคุณมีคำถามหรือต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนเพื่อช่วยตัวเอง โปรดติดต่อเรา ขอบคุณสำหรับความร่วมมือ

ซึ่งโพสต์นี้มีผู้รีทวีตมากกว่า 6,400 ครั้ง และมีคนกดไลก์มากกว่า 53,000 ครั้ง และมีผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ ในนั้นรวมถึง "ในโทโฮคุ ทุก ๆ อย่างมักมีเหตุผลหนึ่งเสมอ อย่างไรก็ตาม คราวนี้เป็นบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจเลย"

ส่วนอีกคนแสดงความสงสัยว่า "อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าผมร้องขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน"

ไทย สหรัฐ เปิดการฝึกคอบร้าโกลด์ 2024

วันนี้ 27 ก.พ.67 พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุดนาย โรเบิร์ต เอฟ. โกเดค (Robert F. Godec) เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย และ พลโทชาเวียร์ บรันสัน (Xavier T. Brunson) แม่ทัพน้อยที่ 1 กองทัพบกสหรัฐอมริกา เป็นประธานร่วมในพิธีเปิดการฝึก คอบร้าโกลด์ 2024 ณ สนามบินอู่ตะเภา กองการบินทหารเรือ กองเรือยุทธการ จังหวัดระยอง โดยมี เอกอัครราชทูตสิงคโปร์ประจำประเทศไทย เอกอัครราชทูตอินโดนีเชียประจำประเทศไทย เอกอัครราชทูตเกาหลีใต้ประจำประเทศไทย อัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และอัครราชทูตมาเลเชียประจำประเทศไทยเข้าร่วมพิธีฯ

การฝึกคอบร้าโกลด์ เป็นการฝึกร่วมผสมทางทหารขนาดใหญ่และมีประวัติยาวนานที่สุดการฝึกหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งกองทัพไทย และกองกำลังสหรัฐอเมริกา ภาคพื้นอินโดแปซิฟิกร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกในประเทศไทยเป็นประจำทุกปี การฝึกร่วม/ผสม คอบร้าโกลด์ 2024ในปีนี้ นับเป็นครั้งที่ 43โดยมีประเทศเข้าร่วมการฝึกหลัก จำนวน ๗ ประเทศ ประกอบด้วย ไทย สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่นสาธารณรัฐเกาหลี และมาเลเชีย ประเทศที่เข้าร่วมการฝึกเพิ่มเติมในโครงการช่วยเหลือประชาชน จำนวน 2 ประเทศได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน อินเดีย 

ประเทศที่เข้าร่วมการฝึกเพิ่มเติมในการฝึกการควบคุมและบังคับบัญชาคือ ออสเตรเลีย สำหรับกลุ่มประเทศที่หมุนเวียนเข้าร่วมกิจกรรม ได้แก่ ประเทศในโครงการเสนาธิการผสมส่วนเพิ่มนานาชาติ หรือ MPAT (Multinational Planning Augmentation Team) จำนวน 10ประเทศ ประกอบด้วยบังกลาเทศ แคนาดา ฝรั่งเศส มองโกเลีย เนปาล นิวซีแลนด์ ฟิลิปปีนส์ พีจิ สหราชอาณาจักร และ บรูไนและประเทศที่เข้าร่วมในโครงการสังเกตการณ์ฝึก (Combined Observer Liaison Team) : COLT) จำนวน 10 ประเทศได้แก่ ก้มพูชา ลาว บราชิล ปากีสถาน เวียดนาม เยอรมนี สวีเดน สาธารณรัฐเฮลเลนิก (กรีซ) คูเวต และศรีลังกา รวมทั้งสิ้น 30ประเทศ ผู้เข้าร่วมการฝึกฯ จำนวน 9590 นาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ทางทหารที่ดี ระหว่างมิตรประเทศที่เข้าร่วมการฝึกฯ และเป็นการพัฒนาขีดความสามารถในการอำนวยการยุทธ์ร่วมและผสม โดยการประยุกต์ใช้กำลังรบในสถานการณ์วิกฤตต่าง ๆ อีกทั้งเพื่อฝึกการใช้ระเบียบปฏิบัติประจำกองกำลังผสมนานาชาติ โดยกำหนดการฝึกหลัก ระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ถึง8 มีนาคม 2567

การฝึกร่วมผสม คอบร้าโกลด์ 2024 นอกจากจะเป็นการพัฒนาขีดความสามารถของกำลังพลที่เข้าร่วมการฝึกในส่วนของกองทัพไทย และกองทัพมิตรประเทศ โดยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวิชาการความชำนาญ และเทคโนโลยีทางทหาร รวมทั้งเพิ่มพูนประสบการณ์ให้กับกำลังพลของกองทัพไทย และกองทัพมิตรประเทศในการปฏิบัติการร่วมและผสมแล้ว ยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการงานด้านการบรรเทาสาธารณภัยในภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดความสัมพันธ์อันดีระหว่างทหารไทย และทหารมิตรประเทศกับประชาชนในพื้นที่การฝึกฯ และเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยในสายตามิตรประเทศและประชาคมโลกต่อไป

‘รมว.ปุ้ย’ นำ ‘นายกฯ เศรษฐา’ ดูบูธผลิตภัณฑ์ฮาลาล ชื่นชม!! เสื้อผ้า-อาหารว่างแปรรูป แนะต่อยอดสู่ออนไลน์

(27 ก.พ.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เดินทางถึงทำเนียบรัฐบาล โดยก่อนเข้าประชุมคณะรัฐมนตรี ได้ชมบูธผลิตภัณฑ์ฮาลาล โดยศูนย์พัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาล กระทรวงอุตสาหกรรม มี น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม นำคณะประชาสัมพันธ์แนะนำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่มาจากการพัฒนาส่งเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมฮาลาล 

โดยนายกฯ สนใจสอบถามเรื่องของแฟชั่นเครื่องแต่งกาย พร้อมแนะนำให้เปิดตลาดทางออนไลน์ และปรับปรุงการออกแบบดีไซน์ให้ทันสมัย จากนั้นได้ชมผลิตภัณฑ์อาหารฮาลาล ที่แปรรูปเป็นอาหารว่าง อาทิ ข้าวเกรียบปลากรือโป๊ะ มันฝรั่งทอด ทูน่าหยอง และชมการสาธิตการปรุงอาหารจากเนื้อแองกัส สายพันธุ์ไทย ซึ่งเป็นลูกผสมระหว่างพันธุ์พื้นเมืองสิชล จ.นครศรีธรรมราช กับสายพันธุ์ต่างประเทศ โดยเชฟชุมพล แจ้งไพร ย่างสเต็กเนื้อซอสคั่วกลิ้งฮาลาล เป็นการผสมผสานอาหารพื้นถิ่นมาเป็นเมนูใหม่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างเยี่ยมชมบูธผลิตภัณฑ์อาหารฮาลาล นายกฯ สนใจสอบถาม ผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปมาเป็นอาหารว่าง 

'ตลท.' เตือนนักลงทุนเทรด 'หุ้นมิสแกรนด์' หลังถูกพักซื้อขายไปเมื่อ 23 ก.พ. ชี้!! หากจะลงทุน ต้องศึกษาข้อมูลเท็จจริง ที่สอดรับกับปัจจัยพื้นฐานก่อน

(27 ก.พ. 67) รายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ภายหลังหลักทรัพย์บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MGI ถูกหยุดพักการซื้อขายเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นเวลา 1 วัน เนื่องจากมีสภาพการซื้อขายเปลี่ยนแปลงไปไม่สอดรับปัจจัยพื้นฐาน โดยกลับมาซื้อขายได้ตั้งแต่ในภาคเช้าของวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไปนั้น

ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงขอให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลโดยเฉพาะข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงและมีพื้นฐานประกอบ (material information) ก่อนเข้าซื้อ MGI เนื่องจากปัจจุบันค่า P/E และ P/BV อยู่ในระดับ 88.05 เท่า และ 22.64 เท่า ตามลำดับ (ปรับด้วยผลการดำเนินงานงวดปี 2566 แล้ว) โดยเช้าวันนี้ MGI แจ้งสารสนเทศการเปิดตัวงานแกรนด์คอนเสิร์ต อิน ยูเอสเอ ที่จะมีขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2567 ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจปกติของบริษัทที่ดำเนินการอยู่แล้วในส่วนของธุรกิจสื่อและบันเทิง

สำหรับสภาพการซื้อขายหลักทรัพย์ หากพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงไม่สอดรับปัจจัยพื้นฐานอีก หลักทรัพย์ MGI จะถูกหยุดพักการซื้อขายอีกเป็นเวลา 1 วัน ตามหลักการของมาตรการกำกับการซื้อขายระดับ 3 (ระดับสูงสุด) ซึ่งในปัจจุบัน MGI ยังคงอยู่ในมาตรการระดับนี้

สรุปสภาพการซื้อขายหลักทรัพย์ MGI โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 6-22 กุมภาพันธ์ 2567 (13 วันทำการ)

- การซื้อขายปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากในเวลาอันสั้น เกินปัจจัยพื้นฐานของบริษัท แม้จะอยู่ในมาตรการกำกับการซื้อขาย
- ราคาเพิ่มขึ้น 74% จาก 28.75 บาท มาเป็น 50 บาท (All Time New High)
- มูลค่าการซื้อขายในช่วงก่อนเข้ามาตรการระดับสูงสุด สูงอยู่ใน 3 ลำดับแรกของ mai
- เข้ามาตรการกำกับการซื้อขาย 3 ครั้ง (เข้ามาตรการระดับสูงสุด 2 ครั้ง)

'รมว.ปุ้ย' กางผลลัพธ์ส่งออก 'ฮาลาลไทย' แตะ 216,698 ล้านบาท โต 2.6% เชื่อ!! ยังไปได้อีกไกล หลัง 'ก.อุตฯ' เปิดฉากรุกตลาดกำลังซื้อสูงต่อเนื่อง

(27 ก.พ. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม, นางอรรชกา สีบุญเรือง ประธานกรรมการสถาบันอาหาร, นางศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร, นายชาญชัย สิริเกษมเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ, นายพิตรพิบูล ธีร์จันทึก ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พร้อมทั้งผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมเข้าร่วมกิจกรรมประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ศักยภาพอุตสาหกรรมฮาลาลของไทยแก่คณะรัฐมนตรี ณ บริเวณตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล เพื่อกระตุ้นการรับรู้ความสำคัญของอุตสาหกรรมฮาลาลไทย พร้อมนำเสนอสินค้าตัวอย่างความร่วมมือในเครือข่ายฮาลาลหวังส่งเสริมและขยายตลาดฮาลาลให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมฮาลาลในภูมิภาค

นางสาวพิมพ์ภัทรา เปิดเผยว่า กิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้น เพื่อประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ศักยภาพอุตสาหกรรม ฮาลาลแก่คณะรัฐมนตรี รวมถึงเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้แก่ประชาชนทั่วไปได้รับทราบ ทั้งนี้เนื่องจากอุตสาหกรรมฮาลาลในตลาดโลก ยังเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ โดยในตลาดโลกมีมูลค่าสูงถึง 2.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จนถึงปี 2567 ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มมีส่วนแบ่งอยู่ที่ประมาณ 1.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 60 ของอุตสาหกรรมฮาลาลทั้งหมด ซึ่งคาดว่าในปี 2567 การเติบโตของตลาดอุตสาหกรรมฮาลาลทั้งหมด จะขยายตัวเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 7.5 โดยในส่วนของกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม คาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 7.1

รมว.อุตสาหกรรม กล่าวอีกว่า สำหรับประเทศไทยมีมูลค่าส่งออกสินค้าอาหารฮาลาลในปี 2566 (ม.ค.-พ.ย.) จำนวน 216,698 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ยร้อยละ 2.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอาหารฮาลาล โดยธรรมชาติ เช่น ข้าว ธัญพืช น้ำตาลทราย ฯลฯ และมีผู้ผลิตอาหารฮาลาลกว่า 15,043 ราย มีร้านอาหารฮาลาลมากกว่า 3,500 ร้าน ซึ่งยังมีโอกาสเพิ่มสัดส่วนการส่งออกอาหารฮาลาลไปยังตลาดที่มีกำลังซื้อสูงได้อีกมาก

ทั้งนี้ กิจกรรมประชาสัมพันธ์ดังกล่าว จะเป็นการกระตุ้นการรับรู้ความสำคัญของอุตสาหกรรมฮาลาลไทยพร้อมนำเสนอสินค้าตัวอย่างความร่วมมือในเครือข่ายฮาลาล และมุ่งหวังการส่งเสริมและขยายตลาดฮาลาลให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมฮาลาลในภูมิภาค โดยรูปแบบการจัดงาน ประกอบด้วยการจัดคูหาเพื่อแสดงตัวอย่างแสดงสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมฮาลาล อาทิ อาหาร, เครื่องสำอาง, เครื่องนุ่งหุ่ม, เสื้อผ้ามุสลิม, การจัดแสดงสาธิตการทำอาหาร 'เนื้อไทยแองกัสสิชล ฮาลาล ย่างซอสคั่วกลิ้งและใบเหลียงผัดกระเทียม' โดยเชฟชุมพล (นายชุมพล แจ้งไพร) ประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านอาหาร ภายใต้คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ การจัดแสดงอาหารบนเครื่องบินจาก TG Inflight Catering Halal Food Center โดย ครัวการบิน การบินไทย รวมถึงการให้ข้อมูลที่สำคัญของโครงการศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาลไทย (Thai Halal Industry Center)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top