Thursday, 2 May 2024
ศาลรัฐธรรมนูญ

ศาลรัฐธรรมนูญ ชี้ 'ไพบูลย์' ไม่หลุดส.ส. ปมยุบพรรคประชาชนปฏิรูป ซบ พปชร.

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 20 ต.ค. 64 คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยให้คู่กรณีฟังกรณีที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งคำร้องของ ส.ส.จำนวน 60 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ว่า สมาชิกภาพ ส.ส.ของ นายไพบูลย์ นิติตะวัน สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101(10) ประกอบมาตรา 90 และมาตรา 91 วรรคหนึ่ง (5) หรือไม่ จากกรณีที่ นายไพบูลย์ หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป และส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคประชาชนปฏิรูป ได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หลังจากที่พรรคประชาชนปฏิรูป สิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมือง ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรค มาตรา 91 วรรคหนึ่ง (7) ทั้งที่ยังคงต้องปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูปอยู่จนกว่าการชำระบัญชีจะแล้วเสร็จ และมิได้เป็นผู้มีชื่อในบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ของพรรคพลังประชารัฐ ที่ยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก่อนปิดการรับสมัครเลือกตั้ง เป็นเหตุให้สมาชิกภาพสิ้นสุดลงหรือไม่

'หมอวรงค์' จับตาคดีชี้ชะตา 3 แกนนำม็อบสามนิ้ว ชี้! จะเป็นบรรทัดฐานล้มล้างการปกครองหรือไม่

'หมอวรงค์' ฟันธง คดีนี้ใหญ่มาก! จับตาคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ จะเป็นบรรทัดฐานว่าการที่ม็อบเรียกร้องเรื่อง ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์จะเข้าข่ายเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่

10 พ.ย. 64 - นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ระบุว่า #คดีนี้ใหญ่มาก

การที่ม็อบราษฎร มีการเคลื่อนไหวเรียกร้อง "ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์" ซึ่งมีสาระใหญ่ ๆ เช่นยกเลิกมาตรา 112 ยกเลิกมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญ (ผู้ใดจะกล่าวฟ้องร้องพระมหากษัตริย์มิได้) รวมทั้งข้อเรียกร้องอื่น ๆ รวม 10 ข้อ

ต่อมา อ.ณฐพร โตประยูร ได้รวบรวมพยานหลักฐาน ตามกระแสข่าว มีหลักฐานการรับเงินจาก NGO ต่างประเทศด้วย ไปยื่นร้องแกนนำม็อบ ต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 49 ของรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดว่า

"บุคคลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้"

ศาลรธน. ชี้ รุ้ง-ไมค์-อานนท์ ล้มล้างการปกครอง ยัน!! ให้เลิกการกระทำในอนาคต

ศาลรธน. อ่านคำวินิจฉัย การชุมนุมปราศรัย ‘รุ้ง-ไมค์-อานนท์’ กระทำเป็นขบวนการล้มล้างการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตาม รธน.มาตรา 49

10 พ.ย. 64 เวลาประมาณ 15.00 น. ศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัย คำร้องขอให้ศาลรธน. วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 กรณีที่ นายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตาม รธน. มาตรา 49 ว่า การกระทำของ นายอานนท์ นำภา, นายภาณุพงศ์ จาดนอก (ไมค์), น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล (รุ้ง), นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ (เพนกวิน), น.ส.จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์, น.ส.สิริพัชระ จึงธีรพานิช, นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข และน.ส.อาทิตยา พรพรม รวม 8 คน ชุมนุมปราศรัยเพื่อเสนอข้อเรียกร้องเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคหนึ่งหรือไม่

'ไพศาล' ชี้ ผลพวงคำตัดสินศาลรธน. อาจมี 2 พรรคถูกยุบ 8-9 นักการเมืองถูกเชือด

วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า สิ้นสายฝน ลมหนาวจะปรากฏ เหล่ากบฏจะถูกปราบราบคาบสิ้น!!!!

1.) เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าคำปราศรัยและการกระทำหลายประการของผู้ถูกร้องและพวก ว่าเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ศาลจึงมีคำสั่งตามรัฐธรรมนูญให้เลิกการกระทำนั้น คำวินิจฉัยนี้ผูกพันทุกองค์กร

2.) ผลของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญนั้นครบเป็นองค์ประกอบความผิดตามกฎหมายอาญาว่าด้วยการกบฏ มีโทษประหารชีวิต!!! ผู้กระทำการทั้งหมดจึงอาจถูกดำเนินคดีอาญาในข้อหากบฏต่อไป ซึ่งตำรวจท้องที่หรือตำรวจกองปราบมีหน้าที่ต้องดำเนินคดีในฐานความผิดนี้ คาดว่ากองปราบจะเป็นผู้ดำเนินคดีนี้เพราะเกี่ยวพันกับผู้ร่วมทำความผิดในหลายท้องที่ ซึ่งกองปราบมีเขตอำนาจทั่วประเทศ ซึ่งรวมถึงผู้กระทำความผิดคนอื่น ๆ แม้ไม่ได้ถูกร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญด้วย!!!

‘อ.ไชยันต์’ ติงสื่อตัดตอนคำวินิจฉัยศาลรธน. ชี้!! อาจทำให้คนรับ เข้าใจคลาดเคลื่อน

อาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาฯ เตือนนักข่าวสื่อออนไลน์ค่ายดังโควตคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญสั้น ๆ ชี้การสื่อสารโดยยกข้อความสั้นที่ตัดออกจากบริบทอาจทำให้คนรับเข้าใจคลาดเคลื่อน

วันนี้ 11 พ.ย. 64 จากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 10 พ.ย. ให้การกระทำของนายอานนท์ นำภา, นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง จัดชุมนุมปราศรัยเมื่อวันที่ 10 ส.ค. 63 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคหนึ่ง พร้อมสั่งให้ผู้ถูกร้องที่ 1-3 และกลุ่มองค์กรเครือข่ายเลิกการกระทำดังกล่าวทันที หลังนายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ยื่นคำร้องเมื่อ 18 ส.ค. 63 เพื่อขอให้ศาลวินิจฉัย

โดยศาลเห็นว่าการปราศรัยของบุคคลทั้งสาม มีเจตนาเพื่อทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ นำไปสู่การสร้างความปั่นป่วนและกระด้างกระเดื่อง เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเกินความพอเหมาะพอควร โดยมีผลทำให้กระทบกระเทือนหรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และจะนำไปสู่การบ่อนทำลายการปกครองในที่สุด นอกจากนี้ ยังมีการดำเนินงานอย่างเป็นขบวนการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมาย และใช้ยุทธวิธีเปลี่ยนแปลงรูปแบบการชุมนุม ซึ่งมีลักษณะของการปลุกระดม ให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ ก่อให้เกิดความวุ่นวายและความรุนแรงในสังคม

ล่าสุดเฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn ของ ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความกรณีที่ผู้สื่อข่าวเว็บไซต์ข่าวออนไลน์สำนักหนึ่ง (เวิร์คพอยต์ทูเดย์) โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ ระบุว่า "เห็นได้ว่าประวัติศาสตร์การปกครองของไทยนี้ อำนาจการปกครองเป็นของพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด" และอ้างว่าเป็นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

‘อาคม มกรานนท์’ ย้ำคำวินิจฉัยศาลรธน. ลั่น! ถึงเวลาปราบ ‘อีแอบ’ ขั้นเด็ดขาด

นายอาคม มกรานนท์ อดีตพิธีรายการโทรทัศน์ชื่อดัง และอดีตผู้ประกาศข่าว ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Akhom Makaranond" โดยมีเนื้อหาที่น่าสนใจดังนี้

"สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย เป็นเสาหลักสำคัญที่จะขาดเสียมิได้ ในการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ดังนั้น การกระทำใด ๆ ที่มีเจตนาทำลายหรือทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องสิ้นสลายไป ไม่ว่าการพูด เขียน หรือการกระทำต่าง ๆ เพื่อให้เกิดผลเป็นการบ่อนทำลาย ด้อยคุณค่าหรืออ่อนแอลง ย่อมมีเจตนาล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์" (ส่วนหนึ่งของคำวินิจฉัยของศาลฯ)

บ่ายนี้ คงต้องใช้เวลาคุยกับพี่น้องถึงเรื่องคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกันอีกครั้ง และยิ่งมาได้ยิน ดร.ณัฐพรฯ เอ่ยชื่อออกมาชัดถ้อยชัดคำว่า ใคร? จะโดนคดี เช่น อีซิ้มหลังม็อบ อาจารย์ในมหาวิทยาลัย นาทอน ไอ้บูด ฯลฯ พร้อมทั้งยืนยันเรื่องเงินจำนวนมากพอสมควร ที่ถูกโอนมาเพื่อจ่ายค่าเคลื่อนไหวอยู่ในบัญชีของใคร? (ตรวจสอบได้ไหม? อายัติได้ไหม?)

ศาลฯ ท่านยังบอกในคำวินิจฉัยอีกว่า "พระมหากษัตริย์ไทย จะดำรงคงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป" ได้ยินแล้วขนลุก

ขอบอกไปยังรัฐบาลว่า "หากแจ้งจับคนทำผิดกลุ่มนี้ช้าเกินกาล ละก็ "มันหนีแน่" เพราะโทษสูงมาก อนาคตหมดสิ้น จากการกระทำของพวกมันเอง"

นี่ไม่ใช่มาพูดกันเล่น ๆ นะ ในเมื่อการชุมนุมเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง ก็แสดงว่าการชุมนุมนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย พวก สส. ที่ไปร่วมกับม็อบ สนับสนุนม็อบ และประกันตัวม็อบ อาจจะโดนยื่นคำร้องให้ถูกถอดถอนจาก สส. และอาจจะลามเลยไปถึงขั้นยุบพรรค ถ้างั้นพรรคไหน? ที่ก้าวไถลลึก อาจจะเจอก็ได้ 

พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ขอบอกถึง "ภัยร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ในมหาวิทยาลัย" ให้ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องได้ทราบไว้ ส่วนจะทำประการใดเป็นเรื่องของท่าน ฟังให้ดีนะ

'พีระพันธุ์' ชี้ ม็อบปฏิรูปผิดอาญาร้ายแรง จี้ ผู้รักษากฎหมายตามเช็กบิลกองหนุน

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวแสดงความเห็นต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 โดยระบุว่า จบแล้วแต่ยังไม่จบ!!!

คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 จับใจความได้ว่าการพูดถึงสถาบันหลักของชาติที่ปวงชนชาวไทยถวายความเคารพสักการะด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย ในการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 มีลักษณะของการปลุกระดมและใช้ข้อมูลที่เป็นเท็จ เป็นการเรียกร้องโจมตีในที่สาธารณะที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายและใช้ความรุนแรงในสังคม เป็นการทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทำให้เกิดความแตกแยกของคนในชาติ อีกทั้งเป็นการเซาะกร่อนเพื่อทำลายหรือทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ที่ดำรงอยู่คู่กันกับชาติไทยเป็นเนื้อเดียวกันนับแต่อดีตถึงปัจจุบัน และจะต้องดำรงอยู่ด้วยกันต่อไปในอนาคตเพื่อธำรงความเป็นชาติไทย ต้องสิ้นสลาย ไม่ว่าจะโดยการพูด การเขียน หรือการกระทำต่าง ๆ เพื่อให้เกิดผลเป็นการบ่อนทำลาย ด้อยคุณค่า หรือทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์อ่อนแอลง ย่อมแสดงให้เห็นถึงการมีเจตนาเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่เป็นการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ

เป็นคำวินิจฉัยที่บอกว่าสิ่งที่กลุ่มเคลื่อนไหวเรียกร้องพยายามตะโกนอธิบายว่าเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายตามรัฐธรรมนูญนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นการกระทำผิดกฎหมายและผิดรัฐธรรมนูญ ที่มิใช่เป็นเพียงแค่อาชญากรรมตามกฎหมายอาญาธรรมดา ๆ หากแต่เป็นการบ่อนทำลายชาติและสถาบันหลักของชาติที่จะต้องดำรงอยู่คู่กันกับชาติเพื่อธำรงความเป็นชาติไทยตลอดไปให้ต้องสิ้นสลาย อันเป็นความผิดอาญาที่ร้ายแรงยิ่ง 

เป็นการตอกย้ำว่าเมื่อไหร่ที่คนพวกนี้ต้องติดคุก พวกเขาคือ “นักโทษผู้กระทำความผิดอาญาร้ายแรง” ไม่ใช่ “นักโทษทางความคิด”

มันจบแล้ว...

จากนี้ไปการชุมนุมในลักษณะนี้รวมทั้งท่อน้ำเลี้ยงและอีแอบ ผู้เป็น “ชนกลุ่มน้อย” คือผู้ทำลายล้างรัฐธรรมนูญ คือผู้ทำลายล้างสถาบัน คือผู้ทำลายล้างชาติ คือผู้กระทำผิดอาญาร้ายแรง ไม่ใช่ผู้ใช้สิทธิเสรีภาพตามกฎหมายตามรัฐธรรมนูญอีกต่อไป ข้อคลางแคลงสงสัยของผู้รักษากฎหมายจนทำให้กระบวนการบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างกระท่อนกระแท่นแบบที่ผ่านมาก็จบลงด้วย

'ชาญวิทย์' เชื่อการเปลี่ยนแปลงใหญ่มาถึงแล้ว ชี้! หากยังแข็งขืน เลี่ยง ‘ปฏิวัตินองเลือด’ ยาก

จากกรณีที่คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาด กรณีการกระทำของนายภานุพงษ์ จาดนอก, นางสาวปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล และนายอานนท์ นำภา ใช้สิทธิหรือเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วยคะแนน 8 ต่อ 1

ศ.พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กชื่อ Charnvit Kasetsiri ระบุว่า ปฏิรูป หรือปฏิวัติ Reform or Revolution My respect to those who fight for Democracy and the People of Thailand ด้วยจิตคารวะต่อนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และเพื่อราษฎรไทย

(ก)
ผมเศร้าใจและละอายใจ
ที่ทั้งตัวบุคคลและทั้งสถาบัน
กับทั้งเครือข่ายของรัฐข้าราชการทหาร/ตำรวจ/ตุลาการ
ที่กุมอำนาจรัฐไทยอยู่ในขณะนี้
กระทำการทั้งปราบปราม ทำร้ายและทำลายชีวิตคนรุ่นใหม่ ๆ
อย่างไร้มนุษยธรรม

มีทั้งจับกุมคุมขัง (คุก) กระทำการดำเนินคดีความ
โดยไม่ยึดถือตามหลักการของนิติธรรม และหรือนิติรัฐ

ผมเศร้าใจและละอายใจ
ที่บุคคลและหรือตัวแทนของสถาบันเหล่านี้
ส่วนใหญ่ก็เรียนจบไปจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทยเรา

ผมทั้งละอายใจ และขายหน้า
ที่บุคคลที่ได้รับการศึกษาสูงเช่นนี้
สามารถจะกระทำการที่ต่ำช้า
และขัดต่อจิตวิญญาณประชาธิปไตย
ขัดกับหลักการทางวิชาการนิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ได้ถึงเพียงนี้

(ข)
ผมเชื่อว่าจากการศึกษาประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของการดำรงอยู่
และ/หรือการล่มสลายของสถาบันกษัตริย์ทั่วโลก

ไม่ว่าจะในเอเชีย หรือยุโรป เช่น ในสหราชอาณาจักร (อังกฤษ)
หรือในฝรั่งเศส รัสเซีย เยอรมนี ออสเตรีย/ฮังการี อิตาลี
และแม้แต่จักรวรรดิออตโตมัน
กับในจีน และในญี่ปุ่นนั้น

มีข้อสรุปเพียงสั้น ๆ อยู่ที่ว่า
หากมี “การปฏิรูป” ก็อยู่รอด

แต่หากขัดขืนดำเนินไปแบบเดิม ๆ
หรือ แบบทั้งรุนแรง ทั้งร้ายแรง
ก็จะหลีกเลี่ยง “การปฏิวัติ” ที่นองเลือดไปไม่ได้

‘สิระ’ ตกเก้าอี้ส.ส. ศาลรธน. ชี้ชัด ขัดคุณสมบัติความเป็นส.ส. ปมต้องคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีฉ้อโกง

‘สิระ เจนจาคะ’ พ้นสภาพความเป็น ส.ส. ศาลรัฐธรรมนูญ อ่านคำวินิจฉัย ให้ สิระ เจนจาคะ ขัดคุณสมบัติความเป็น ส.ส. เนื่องจากปมคำร้องต้องคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีฉ้อโกง พ้นสภาพ ส.ส. กำหนดเลือกตั้งซ่อมเขตหลักสี่ ใหม่

22 ธ.ค. 64  เมื่อเวลา 15.00 น. ศาลรัฐธรรมนูญ อ่านคำวินิจฉัย กรณีที่มีผู้ร้องว่า นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.เขตหลักสี่ พรรคพลังประชารัฐ ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดปมคดีฉ้อโกง ถือว่าขัดคุณสมบัติการเป็น ส.ส. หรือไม่ โดยศาลรธน.ได้วินิจฉัย ให้นายสิระ ขัดคุณสมบัติการเป็น ส.ส.

ทั้งนี้ ศาลรธน. ได้ระบุว่า สืบเนื่องจากประธานสภาผู้แทนราษฎร (ผู้ร้อง) ส่งคำร้องขอให้ศาลรธน. วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ กรณีนายสิระ เจนจาคะ (ผู้ถูกร้อง) เคยต้องคำพิพากษาของศาลแขวงปทุมวันในคดีหมายเลขดำที่ 812/2538 คดีหมายเลขแดงที่ 2218/2538 เป็นกรณีที่ผู้ถูกร้องเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญาทำให้ผู้ถูกร้องเป็นบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (10)

โดยศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย ตามมาตรา 82 วรรคสอง และมีคำสั่งยกคำขอให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ต่อมาผูู้ถูกร้องยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา และศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาไว้ในสำนวน และให้หน่วยงานและพยานที่เกี่ยวข้องชี้แจงตามที่ศาลกำหนด พร้อมจัดส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องแล้ว 

‘ธนกร’ วอนทุกฝ่ายรอฟังคำวินิจฉัยศาล รธน. อย่าก้าวล่วง-ชี้นำ หรือขู่ชุมนุมเคลื่อนไหวกดดัน ย้ำ นายกฯ พร้อมน้อมรับคำตัดสิน เหน็บไม่ทำพฤติกรรมเหมือนอดีตผู้นำบางคนแน่นอน

นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยยังคงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการดำรงตำแหน่ง 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหมว่า อยากขอให้ทุกฝ่ายอย่าก้าวล่วงอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ อย่าออกมาพูดชี้นำเพื่อสร้างความสับสนให้กับประชาชน การทำให้ประชาชนสับสนเพื่อแลกกับการได้มีชื่อออกหน้าสื่อรายวันนั้น ไม่คุ้มเลย มีแต่จะทำให้บ้านเมืองขัดแย้ง วันนี้ประเทศก้าวข้ามความขัดแย้งของคนไทยด้วยกันเองมาไกลขนาดนี้แล้ว อย่าพยายามดึงกลับไปจุดเดิมอีกเลย ทางที่ดี ควรรอฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจึงจะเหมาะสมที่สุด ไม่ใช่ออกมาขู่ว่าจะชุมนุม ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการเคลื่อนไหวกดดัน ถือว่าไม่เหมาะสมและไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง ทั้งนี้ ยืนยันว่า ท่านนายกฯ เป็นชายชาติทหาร พร้อมน้อมรับคำตัดสินของศาล และจะไม่ทำพฤติกรรมเหมือนอดีตนายกฯ บางคน ที่ไม่พอใจคำตัดสินก็หนีไปต่างประเทศ แล้วให้สัมภาษณ์ด้อยค่าคำวินิจฉัยเพื่อเรียกคะแนนสงสารเป็นรายวันอย่างแน่นอน

ส่วนกรณีที่นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนนโยบายพรรคเสรีรวมไทย ระบุว่า เชื่อว่าศาลจะใช้เวลาไม่นาน เพราะเรื่องการดำรงตำแหน่ง 8 ปีของนายกฯ เป็นประเด็นทางกฎหมาย ไม่มีประเด็นที่ต้องแสวงหาข้อมูลหลักฐานพยานมาพิสูจน์อะไรอีก แต่หากมีผลออกมาให้ท่านนายกฯ ทำหน้าที่ต่อ เชื่อว่าจะเกิดความวุ่นวายแน่นอนนั้น นายธนกร กล่าวว่า นายสมชัยเป็นถึงอดีต กกต. มีความรู้ทางกฎหมายเป็นอย่างดี ย่อมทราบดีว่าการออกมาพูดว่า หากให้ท่านนายกฯ ทำหน้าที่ต่อ เชื่อว่าจะเกิดความวุ่นวายนั้น เท่ากับการก้าวล่วงอำนาจศาล เข้าข่ายชี้นำอย่างชัดเจน ตนไม่อยากเห็นนายสมชัยใช้ความรู้ทางกฎหมายในลักษณะนี้ อะไรที่พูดแล้วคิดว่าตัวเองได้แต้มก็พูดหมด ไม่สนหลักการอะไรทั้งนั้น


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top