Monday, 7 April 2025
ศาลรัฐธรรมนูญ

‘ศาล รธน.’ วินิจฉัย!! ‘พิธาและพรรคก้าวไกล’ ใช้เสรีภาพที่มีเพื่อล้มล้างการปกครอง

เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 67 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัย กรณี ‘นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ และ ‘พรรคก้าวไกล’ เสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายหาเสียง เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พร้อมสั่ง ‘ยุติการกระทำ’ บางช่วงบางตอนในการวินิจฉัยระบุว่า…

“การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองตามคำวินิจฉัยศาลฯ สะท้อนการใช้สิทธิหรือเสรีภาพการปกครองเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง จึงสั่งให้เลิกการกระทำดังกล่าวและที่จะเกิดขึ้นในอนาคต”

‘หมอวรงค์’ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุ 4 มี.ค.นี้ จะบุกจี้ ผบ.ตร. เพื่อเร่งดำเนินคดีอาญา ‘พิธา-พรรคก้าวไกล’

(3 มี.ค.67) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ “ดำเนินคดีอาญาพิธาและพรรคก้าวไกล” โดยได้ระบุว่า หมอวรงค์และพรรคไทยภักดี จะไปยื่นหนังสือต่อผบ.ตร. เพื่อเร่งรัดดำเนินคดีอาญานายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และเครือข่าย ที่ใช้สิทธิและเสรีภาพล้มล้างการปกครองฯ ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในวันจันทร์ที่ 4 มีนาคม 2567 เวลา 10.30น. ณ.สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

‘ไอติม’ ขออย่าเพิ่งด่วนสรุป หลัง กกต. ยื่นศาล รธน. ‘ยุบก้าวไกล’ ลั่น!! เตรียมแผนไว้พร้อม ซ้ำ!! ทีม กม.สู้เต็มที่ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์

(12 มี.ค.67) ที่รัฐสภา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์กรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติส่งสำนวนยุบพรรคก้าวไกล ต่อศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ได้เตรียมความพร้อมไว้อย่างไรบ้างนั้น ว่า พรรคก้าวไกล และทีมกฎหมายได้เตรียมความพร้อมไว้อยู่แล้ว ซึ่งมีประเด็นสำคัญคือ ไม่อยากให้ด่วนสรุปว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ทีมกฎหมายจะทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อพิสูจน์ความถูกต้องไม่ให้เกิดการยุบพรรค และการต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ประเด็นนี้ไม่ได้มีความสำคัญเพียงแค่ชะตากรรมและอนาคตของพรรคก้าวไกลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการพยายามพิสูจน์ ว่าสิ่งที่พรรคทำไปไม่ใช่สิ่งที่ผิด หากเราทำได้จะสร้างบรรทัดฐานที่ถูกต้องสำหรับการเมืองไทยในอนาคต 

นายพริษฐ์ กล่าวว่า ทางพรรคเองเข้าใจดี การถูกยุบพรรคเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลายครั้งกับหลายพรรค เราไม่อยากให้พรรคการเมืองถูกยุบเป็นเรื่องปกติ ที่พูดเช่นนี้ไม่ใช่เพราะเป็นพรรคที่มีคดีถูกยุบพรรคอยู่ อย่างกรณีพรรคภูมิใจไทยที่สังคมความสนใจอยู่ แม้จะมี สส. พรรคก้าวไกลเป็นผู้เปิดโปง เรื่องของการทุจริตที่เกิดขึ้นกับบริหารพรรค แต่บทลงโทษที่เหมาะสมคงไม่ใช่การยุบพรรค ควรลงโทษที่ผู้บริหารพรรค 

เมื่อถามว่ามีการสร้างพรรคสำรองไว้หรือไม่นั้น นายพริษฐ์ กล่าวว่า เรามีการรับมือ และวางแผนทุกฉากทัศน์อยู่แล้ว แต่อย่าเพิ่งด่วนพูดถึงสิ่งที่อาจจะยังไม่เกิดขึ้น ตอนนี้ทำเต็มที่ในการพิสูจน์ความจริงเท่าที่จะทำได้ จนถึงวันที่จะเกิดการวินิจฉัยคำตัดสินออกมา สส. และทีมงานของพรรคก็ยังทำงานเต็มที่ในการผลักดันกฎหมายความเปลี่ยนแปลงผ่านกลไกสภาผู้แทนราษฎร แต่ทางผู้บริหารพรรค ได้เตรียมการรับมือทุกสถานการณ์หรือไม่นั้น ก็ต้องตอบว่ามีแน่นอน

นายพริษฐ์ กล่าวอีกว่า เรามีการวางแผนทุกฉากทัศน์ ตนยืนยันเหมือนที่ได้ยืนยันทุกครั้ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นทุกความคิด ทุกนโยบาย ที่เราพยายามจะผลักดัน อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องมียานพาหนะที่ขับเคลื่อนชุดความคิดต่อไปในการเมืองไทยแน่นอน ไม่อยากให้เราด่วนสรุป ว่าพรรคก้าวไกลจะถูกยุบ จนกระทั่งมีคำวินิจฉัยศาลออกมา แต่สำคัญกว่านั้น ก็ไม่อยากให้เราตั้งค่านิยม การยุบพรรคเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะพรรคใดก็ตาม

เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ลูกพรรคจะเสียขวัญ เพราะที่ผ่านมาเมื่อมีเหตุการณ์ยุบพรรค ก็มีสถานการณ์ผึ้งแตกรัง นายพริษฐ์กล่าวว่า สิ่งที่เรากังวลมากกว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อค่านิยมของการเมืองไทย ถ้าพูดถึงขวัญกำลังใจ หรือความทุ่มเทของสมาชิกพรรค ตนคิดว่าเราเดินหน้าต่อเต็มที่อยู่แล้ว

"สิ่งที่เรากังวลมากกว่า คือเรื่องผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ต่อค่านิยมของการเมืองไทย เพราะยิ่งมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่กับพรรคก้าวไกล แต่เป็นพรรคการเมืองในอดีตด้วย กลายเป็นว่าเรากำลังไปสร้างค่านิยม หรือวัฒนธรรมทางการเมือง ที่การยุบพรรคกลายเป็นเรื่องปกติ ทั้งที่เราควรจะสร้างนิเวศทางการเมือง ที่ทุกพรรคการเมืองสามารถเติบโตเป็นสถาบันการเมืองได้ ไม่ได้ยึดที่ตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่ เป็นศูนย์รวมคนที่มีชุดความคิดแบบเดียวกัน" นายพริษฐ์ กล่าว

เมื่อถามว่ามั่นใจหรือไม่ว่า จะจับมือกันแน่นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นายพริษฐ์ กล่าวว่า ตนมั่นใจ ว่าคนที่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. มี 2 อย่างที่เราเห็นตรงกัน คืออยากเปลี่ยนแปลงสังคม และสภาวะนิติสงครามไม่ควรเกิดขึ้น ซึ่งแม้เราจะไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้เกินจินตนาการ ตนมั่นใจว่าเราจะเดินหน้าต่อไปอย่างมีเอกภาพ 

เมื่อถามว่าในช่วงที่มีความอ่อนไหว จะไม่มี สส. ย้ายพรรคหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ตนมั่นใจว่าทุกคนที่มาสมัครเข้าพรรค ถูกกลั่นกรองโดยคณะกรรมการสรรหา มีชุดความคิดตรงกัน และมีเอกภาพในการขับเคลื่อนชุดความคิดให้เป็นจริง ตัวอย่างเช่น การทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ถ้าใครที่ติดตามการประชุมสภา จะเห็นว่าทุกสัปดาห์ มีกฎหมายที่ถูกเสนอโดยสส.พรรคก้าวไกล อย่างน้อย 1 ฉบับ ซึ่งถือเป็นผลลัพธ์ ตนมองว่าเป็นมิติใหม่ของการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ขณะเดียวกันก็มีการตรวจสอบรัฐบาล ซึ่งจะเป็นการดึงหรือบีบรัฐบาลให้ความสำคัญกับวาระที่เรามองว่าสำคัญ 

เมื่อถามว่า คดียุบพรรคจะทำให้เสียสมาธิในการตรวจสอบรัฐบาลหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ไม่เสียสมาธิแน่นอน ตั้งแต่เริ่มทำงานสภาชุดนี้มา พรรคไกลก็เดินคู่ขนานอยู่แล้วทีมกฎหมายก็ทำเต็มที่ ในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ส่วน สส. ก็ทำงานในสภา โดยเดินหน้าต่ออย่างไม่เสียสมาธิ 

ส่วนจะยังเข้มข้นอยู่เหมือนเดิมหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า เข้มข้นเหมือนเดิม เราก็ทำงานท่ามกลางความเสี่ยงที่เรารับรู้เรื่องนี้มาโดยตลอด ที่ผ่านมาก็ไม่ได้ทำให้เสียสมาธิ

นายพริษฐ์ กล่าวถึงการเตรียมการอภิปรายในมาตรา 152 ว่า จะมีการเปิดให้ สส. ยื่นความจำนง ว่าจะอภิปรายในประเด็นอะไร ก่อนที่จะมีการคัดเลือก ยืนยันว่าข้อมูลค่อนข้างรอบด้าน ละเอียด ทำการบ้านล่วงหน้าแล้ว ซึ่ง สส. ก็ได้มีการรวบรวมข้อมูลและทำการบ้านล่วงหน้าแล้ว

‘ธนกร’ ฟาดใส่ ‘ชัยธวัช’ เป็นถึงทนาย ควรดูข้อกฎหมายให้ชัด หลังออกมาพูด ‘ศาลรธน.ไม่มีอำนาจยุบพรรค’ ชี้ มีเจตนาแอบแฝง

(7 เม.ย.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกรณีที่นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุว่าตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ไม่มีข้อไหนให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการยุบพรรคการเมือง ว่า ก่อนที่นายชัยธวัชจะออกมาพูดแบบชัดถ้อยชัดคำนั้นได้ศึกษาและดูรายละเอียดข้อกฎหมายในรัฐธรรมนูญมาก่อนแล้วหรือไม่ จะเป็นไปได้หรือ ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะยื่นคำร้องไปโดยไม่ทราบว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจ ตนเชื่อว่า กกต.ผู้มีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการตรวจสอบ

พรรคการเมืองนั้น รู้บทบาทและข้อกฎหมายเป็นอย่างดี และล่าสุดอดีตกกต. ก็ได้ออกมาชี้แจงแล้วว่า นายชัยธวัชน่าจะเข้าใจคลาดเคลื่อนและหาก กกต.พบว่ามีพรรคการเมืองที่มีพฤติกรรมล้มล้างการปกครองสามารถส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้ทำการยุบพรรคได้ รวมถึงตัดสิทธิ์ทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคโดยไม่ได้กำหนดกรอบเวลาด้วย

เมื่อถามว่า แต่การออกมาพูดว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจยุบพรรค เหมือนเป็นการลดทอนความเชื่อมั่นต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายธนกร กล่าวว่า ตนไม่ทราบเจตนาเบื้องลึกของนายชัยธวัช ว่าต้องการอะไรกันแน่ แต่ขอเรียกร้องให้ทั้งนายชัยธวัช และพรรคก้าวไกลไม่ก้าวล่วงอำนาจศาล ที่มีอำนาจหน้าที่ โดยชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ เพื่อไม่เป็นการสร้างความสับสน ไม่ไปลดทอนความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อกระบวนการยุติธรรมลง มองว่า ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกันหากทำผิดก็ต้องรับโทษ ซึ่งเป็นบรรทัดฐานเดียวกัน

“คุณชัยธวัช เรียนกฎหมายเป็นถึงทนายความ ก่อนจะพูดอะไรต้องไตร่ตรองและตรวจสอบความถูกต้องให้ดี ไม่ควรพูดเพื่อสร้างความสับสน ทำให้ประชาชนเกิดความไม่มั่นใจในกระบวนการยุติธรรมของประเทศ จึงไม่แน่ใจว่าคุณชัยธวัชมีเจตนาใดแอบแฝงหรือไม่ จึงขอเรียกร้องให้ทุกคนเคารพกฎหมาย หากทำผิดก็ต้องยอมรับ ไม่ควรไปก้าวล่วงศาล หรือใช้วาทกรรมด้อยค่า” นายธนกร กล่าว

ศาล รธน.ให้ 15 วัน ‘ก้าวไกล’ ยื่นแจงปมถูกร้องยุบพรรค นับตั้งแต่ 18 เม.ย.67 ครบกำหนดชี้แจงข้อกล่าวหา 3 พ.ค.67 

(17 เม.ย. 67) ศาลรัฐธรรมนูญ แจ้งว่า กรณีคำร้องที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยนายทะเบียนพรรคการเมืองขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยสั่งยุบพรรคก้าวไกล ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 92 (1) (2) เนื่องจากมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า พรรคก้าวไกลมีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเข้าลักษณะการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และขอให้เพิกถอนสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่จดทะเบียนขึ้นใหม่ด้วยเป็นระยะเวลา 10 ปีนั้น

พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ถูกร้องได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่น คำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญออกไปอีก 30 วัน ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นควรให้ขยายระยะเวลาออกไปอีก 15 วัน นับแต่วันที่ 18 เม.ย.67 ซึ่งจะครบกำหนดยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 3 พ.ค. 67

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการยื่นขอขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของพรรคก้าวไกลในครั้งนี้ เป็นการยื่นขอขยายครั้งที่ 1 หลังจากเมื่อวันที่ 3 เม.ย.67 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องดังกล่าวของกกต. ไว้พิจารณาวินิจฉัยตามพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีการการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญปี 2561 มาตรา 7 (13) ศาลรัฐธรรมนูญ ประกอบมาตรา 92 วรรคหนึ่งพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 และจะแจ้งนายทะเบียนพรรคการเมืองทราบพร้อมส่งสำเนาคำร้องให้กับพรรคก้าวไกลยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วันนับตั้งแต่วันได้รับสำเนาคำร้อง

‘ชัยธวัช’ เรียก สส. พรรคก้าวไกล มาประชุมเฉพาะกิจ เพื่อหาแนวทางสู้คดี ล้มล้างการปกครอง หวั่นโดนยุบพรรค

เมื่อวานนี้ (30 พ.ค. 67) ที่พรรคก้าวไกล มีการประชุม สส. ประจำสัปดาห์ครั้งแรก หลังจากปิดสมัยประชุมสภาฯ โดยนายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้เรียก สส.ทั้งหมดมาประชุมเฉพาะกิจ เพื่อหาแนวทางในการสู้คดีล้มล้างการปกครองที่กำลังอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งท่าทีในพรรคค่อนข้างเป็นกังวล เพราะหากมีความผิดจะได้รับโทษถึงขั้นยุบพรรค 

แหล่งข่าวภายในพรรคก้าวไกล เปิดเผยว่า คดีนี้ เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย. ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้อง พร้อมส่งสำเนาคำร้องให้พรรคก้าวไกลยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง ซึ่งเท่ากับครบกำหนดในวันที่ 17 เมษายน โดยช่วงเวลาดังกล่าวเป็นการคาบเกี่ยวกับช่วงวันหยุดสงกรานต์ถึง 5 วัน (ตั้งแต่ 12-16 เม.ย.) 

แหล่งข่าวระบุว่า กระบวนการติดต่อขอสำนวนเอกสารจากหน่วยงานราชการของพรรคก้าวไกล เพื่อนำมาประกอบคำชี้แจงเป็นไปอย่างติดขัดล่าช้า พรรคจึงได้ขอศาลฯ ขยายเวลาส่งคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาครั้งที่ 1 จำนวน 30 วัน แต่ศาลฯ อนุมัติให้ 15 วัน ครบกำหนดวันที่ 3 พ.ค.นี้

ทั้งนี้ ในวันนี้ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาคำขอขยายเวลาครั้งที่ 2 ของพรรคก้าวไกลอีก 30 วัน ซึ่งสมาชิกและแกนนำพรรคกำลังติดตามว่าจะได้รับอนุมัติหรือไม่

‘สว. ดิเรกฤทธิ์’ ยันไม่มีใบสั่ง ยื่นศาลรธน. ถอด ‘เศรษฐา-พิชิต’ พ้นตำแหน่ง  แจง!! ไม่เปิดชื่อทั้งหมด เพราะเป็นเอกสิทธิของแต่ละบุคคล รวมทั้งกังวลผลกระทบ

(19 พ.ค.67) นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม ส.ว. ในฐานะ 1 ใน 40 สว. ที่ร่วมลงชื่อเพื่อยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการขาดคุณสมบัติดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯให้สัมภาษณ์กรณีที่นายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว. ปฏิเสธการเข้าชื่อเพื่อยื่นเรื่องดังกล่าวต่อศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมระบุว่ามีผู้นำเชื่อไปแอบอ้าง ว่า กรณีดังกล่าวไม่มีผลใดๆ ต่อการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพราะมีการลงชื่อครบตามจำนวนที่กฎหมายกำหนด คือ ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของสมาชิกที่มี หรือ 25 คน ซึ่งการลงลายมือชื่อดังกล่าวมี ส.ว. เข้าชื่อ จำนวน 40 คน ส่วนที่มีข้อเรียกร้องให้เปิดเผยรายชื่อส.ว. ทั้งหมดที่ร่วมลงนามนั้น เป็นเอกสิทธิของแต่ละบุคคลที่จะเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยก็ได้ อีกครั้งบางคนไม่อยากให้เปิดเผย เพราะกังวลว่าจะมีผลกระทบ หรือทำให้เกิดการได้หรือเสียเปรียบต่างๆ

“ส.ว.หลายคนเป็นผู้ใหญ่ไม่อยากออกสื่อ หรือไม่จำเป็นต้องแสดงตัว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตีตราลับและใช้สิทธิยื่นต่อประธานวุฒิสภาเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ทั้งนี้รายชื่อของส.ว.นั้น ถูกเปิดเผยต่อศาลแล้ว หากมีคำพิพากษาหรือคำวินิจฉัยจะเปิดเผยในรายละเอียดอยู่ แต่ในระหว่างการดำเนินการไม่อยากให้เปิดเผย ทั้งนี้ผมในฐานะผู้ร่วมลงชื่อ ยอมรับว่าไม่ได้เห็นรายชื่อทั้งหมด” นายดิเรกฤทธิ์ กล่าว

นายดิเรกฤทธิ์ กล่าวยืนยันด้วยว่าการเข้าชื่อของส.ว. ไม่มีการใช้เครดิตของบุคคลใดเป็นการเฉพาะ เพราะ ส.ว.แต่ละคนมีหน้าที่และมีสิทธิเท่ากัน และเป็นการทำหน้าที่ตามกฎหมาย ส่วนที่หลายฝ่ายถามหาเหตุผลว่าทำไมต้องทำในช่วงที่สว.ปัจจุบันหมดวาระแล้ว นั้นข้อเท็จจริงคือส.ว.ปัจจุบันยังมีเงินเดือนและค่าตอบแทน ยังทำหน้าที่อยู่ ซึ่งส.ว.ปัจจุบันจะพ้นจากตำแหน่งเมื่อมีส.ว.ชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่ ดังนั้นไม่ใช่เรื่องของการทำในระหว่างหมดวาระ

“ผมยืนยันว่าไม่มีใบสั่งหรือรับงานมาจากไหน แต่ยอมรับว่าส.ว.มีความเห็นหลากหลายในแต่ละกลุ่ม ซึ่งแต่ละคนล้วนมีเหตุผลและการพิจารณาเนื้อหา ส่วนผมนั้นไม่ใช่คนเกเร หรือเห็นแก่ประโยชน์ใด และที่ผ่านมาการทำหน้าที่ของผมนั้นเป็นไปเพื่อ่ประโยชน์ของประชาชน” นายดิเรกฤทธิ์ กล่าว

'พิชิต' แฉ!! กระบวนการคว่ำคุณสมบัติ รมต.หวังกระทบชิ่งล้มนายกฯ  ท้า 40 สว.เจอทีละคน ลั่น!! ไม่ยึดติดเก้าอี้ หากขาดคุณสมบัติ

(21 พ.ค.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์เปิดใจก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณี 40 ส.ว. ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความคุณสมบัติรัฐมนตรี รวมถึงกระแสข่าวให้ลาออก ว่า ต้องขอโทษทุกคนที่ไม่ได้รับสายถึงกรณีดังกล่าวเนื่องจากติดภารกิจอยู่ที่องค์การสหประชาชาติในการจัดงานวันวิสาขบูชาโลก ทั้งช่วงเช้าและบ่าย ในการต้อนรับผู้นำพระสงฆ์จาก 73 ประเทศ มีโปรแกรมติดกันแน่นตลอดทั้งวันจึงขอเอาบุญมาฝาก และเชิญชวนทุกคนร่วมกิจกรรมวันวิสาขบูชาในวันที่ 22 พ.ค.นี้ ขอบอกบุญกับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ตออนนี้ต้องทำบุญกันเยอะ ๆ

นายพิชิต กล่าวว่า ขอชี้แจงเรื่อง 40 สว. ยื่นผ่านประธานวุฒิสภาเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเรื่องคุณสมบัติโดยมีส.ว. หลายฝ่ายออกมาท้วงติง ต้องขอพูดจากความเป็นตัวตนของตัวเองที่ทำงานแบบมืออาชีพ ถึงประเด็นที่เกี่ยวกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ว่าการตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือปรับครม.ไม่ได้มีความผิดอะไร และไม่ได้ทำอะไรที่แตกต่างจากนายกฯคนอื่นในอดีต โดยเวลาที่จะตั้งครม.จะต้องมีกระบวนการทางการบริหารราชการแผ่นดิน บุคคลที่จะเป็นรัฐมนตรีต้องกรอกรับรองคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม โดยสลค.สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) จะต้องตรวจสอบ โดยส่งเรื่องที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ตรวจประวัติ ว่าไปทำความผิดตามประมวลกฏหมายอาญาทุกหมวดหรือไม่ สิ่งเหล่านั้นจะอยู่ในทะเบียนประวัติอาชญากร 

ดังนั้น สลค. และ ป.ป.ช.ไม่สามารถช่วยใครได้ ถึงอยากจะช่วยก็ช่วยไม่ได้ และเวลาที่จะประมวลว่าใครซื่อสัตย์และมีจริยธรรมหรือไม่ต้องดูทุกเรื่อง หากมีเรื่องไหนที่สงสัยจึงถามคณะกรรมการกฤษฎีกา 

นายกฯ ก็ทำตามกระบวนการขั้นตอนกฎหมาย แล้วจึงมาสรุปว่าจะตั้งรัฐมนตรีคนใดได้หรือไม่ได้ และการที่ตั้งตนก็ไม่ได้มีอภิสิทธิ์อะไร ไม่ได้มาเพราะท่านคนนั้นคนนี้ แต่มาเพราะสติปัญญาของตน มาเพราะมีสมองที่จะทำงาน ถ้าตนทำผิดทำชั่วมายืนที่จุดนี้ แม้นายกฯ อยากจะตั้งแต่ถ้าตนมีปัญหาก็ตั้งไม่ได้ และหน่วยงานที่ตนได้กำกับดูแลก็มีแต่ตัวหนังสือและกฎหมาย ส่วนการกล่าวหาเรื่องประเด็นจริยธรรม ให้ไปดูช่องทางกฎหมายให้ดี เพราะมีคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นแบบอย่างไว้แล้ว

“ถามสว. มาเอาเรื่องนายกฯ ทำไม เพราะท่านตั้งใจทำงาน และขอพูดอย่างไม่อายว่าผมเป็นองครักษ์พิทักษ์นายกฯ เศรษฐา และเป็นองครักษ์พิทักษ์หลายนายกฯ มาแล้ว ขอให้เอาความจริงมาพูดกันโดยไม่มีวาระทางการเมือง เราไม่ควรเอาเรื่องกับนายกฯ และขอวิงวอนให้นายกฯ ได้ปฎิบัติหน้าที่ ในฐานะหัวหน้าผู้บริหารราชการแผ่นดิน และทำตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา ผมทำงานกับนายกฯ มา 6-7 เดือน อยู่บนเนื้องานไม่เคยประจบสอพลอ และนายกฯ เป็นคนทำงานอย่างตรงไปตรงมาใช้งานเป็นวัคซีน และทำไปตามขั้นตอนกฎหมาย”

นายพิชิต กล่าวว่า ต้องขอบคุณ และไม่โกรธ 40 สว. ที่ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะจะทำให้ตนได้ชี้แจงเรื่องที่ถูกกระทำมาตั้งแต่ปี 2551 และโหยหาความยุติธรรมมาทั้งชีวิต เพราะถูกตัดสิทธิ์ในกระบวนการยุติธรรม ถูกตัดสินโดยศาลเดียวแล้วจบ ทั้งที่มี 3 ศาล จึงเป็นความขมขื่นในใจ และบอกตัวเองก่อนมาเป็นรัฐมนตรีว่าถ้าถูกตั้งกระทู้ถามในสภาฯ หรืออธิบายไม่ไว้วางใจ ก็สามารถตอบได้ทุกคำถาม ตนไม่ได้หวั่นไหวเพราะมั่นใจว่าหลักของความยุติธรรมของศาลรัฐธรรมนูญมีจริง และคำวินิจฉัยของศาลจะผูกพันทุกองค์กร ต่างจากคำวินิจฉัยของศาลฎีกา ไม่ได้ผูกพันศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งตรงนี้เข้าทางของตนและรอจังหวะนี้มานานแล้ว และอยากให้มีการตัดสินเป็นบรรทัดฐาน หากศาลรัฐธรรมนูญ มีการพิจารณาคดีใหม่จะเป็นโอกาสที่ตนได้ดีแคร์ชีวิตใหม่ และในคำสั่งของศาลฎีกา ถ้ามีตรงไหนระบุว่าตนเป็นคนหิ้วถุงเงิน 2 ล้าน จะลาออกในวันนี้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่ที่ผ่านมามีการติติงตนแบบคนไร้สติโดยไม่ได้หาดูประเด็นในคำสั่ง และการไต่สวนในวิธีพิจารณาว่าละเมิดอำนาจศาล ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นหลัก ไม่เคยมีบทบัญญัติให้เอาประมวลกฎหมายอาญามาใช้ในการพิจารณาพิพากษาคดี และในคำสั่งของศาลฎีกาที่ตนติดใจ คือประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ที่ปรากฎใส่คำว่า “ผมน่าจะรู้” จึงมีคำสั่งคุมขัง 6 เดือน ทั้งที่คำว่าน่าจะรู้คือมีข้อสงสัย ที่ควรจะยกประโยชน์ให้จำเลย เพราะเป็นสมมติฐาน ทั้งที่เรื่องของตนเป็นคดีแพ่ง ทั้งนี้ตนจะอยู่หรือไปจากตำแหน่งไม่ยึดติด เพราะถือว่าต่อสู้เพื่อกระบวนการยุติธรรม และความเป็นธรรมในชีวิต จึงต้องขอบคุณ 40 สว.ที่ทำเรื่องนี้ให้เข้าทางตน และขอให้ย้อนกลับไปดูในคำสั่งของศาลให้ดี จะพบข้อสงสัยและข้อพิรุธอีกมาก และต้องถามว่าสมัยที่ตนเป็นสส. 2 ปี 6 เดือน คนที่หมั่นไส้หรือไม่ชอบตน ทำไมไม่ยื่นถอดถอนเรื่องจริยธรรม ส่วนเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริตถามว่าใช้ตรงไหนมาวัด หากไปถามกฤษฎีกาก็คงตอบไม่ได้เพราะเป็นปัญหาเรื่องข้อเท็จจริงเป็นที่ประจักษ์ ว่าสิ่งที่ถูกคำสั่งศาล คำว่าน่าจะ เป็นที่ประจักษ์ตรงไหน ขอให้กลับไปดูในชั้นของคณะกรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีกรรมาธิการบางคน ซึ่งยังรับราชการอยู่แต่ตนไม่ขอเอ่ยชื่อได้แย้งว่าคำว่าซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ประจักษ์จะทำให้เป็นการกลั่นแกล้งกล่าวหาในทางการเมืองได้ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นนามธรรมวัดกันไม่ได้ ถึงต้องย้อนไปตั้งแต่การตรวจสอบประวัติว่าตนไม่มีคดี ไม่มีประวัติใน ป.ป.ช. ไม่เคยถูกฟ้องในคดีแพ่ง และโทษที่ตนได้รับเป็นเรื่องทางแพ่ง เป็นโทษตามคำสั่งศาลฎีกา และคำสั่งกับคำพิพากษาต่างกัน ไม่ถือเป็นการกระทำผิดทางอาญา ซึ่งในคำอธิบายของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ระบุเรื่องคุณสมบัติได้ยกเว้นเรื่องของคำสั่ง หมายความว่าตนมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามการเป็นรัฐมนตรี

“เรื่องที่เกิดเป็นวาระวงจรอุบาทว์ ทั้งที่นายกบริหารราชการอยู่ดี ๆ แล้วจะมาทำให้ ผู้นำประเทศหลุดจากตำแหน่ง ผมมีเพื่อนใน สว.รู้รายละเอียดการกระทำครั้งนี้ ว่า มีพฤติกรรมอย่างไร เป็นคนของใคร แต่ขอไม่พูดและขอบคุณนายเสรี สุวรรณภานนท์ นายวันชัย สอนศิริ ที่ออกมาพูดความจริง ว่าตนไม่ได้ต้องคำพิพากษาประพฤติผิดจริยธรรม“

นายพิชิต กล่าวว่า ส่วนข่าวลือเรื่องการลาออก ขอย้ำว่าไม่ยึดติดประโยชน์ของตนแต่ยึดมั่น ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 164 คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน คำตอบของเรื่องนี้เพื่อแก้วงจรอุบาทว์คือให้บุคคลเหล่านั้นไปคิดมาว่าถ้าตนลาออกแล้วทุกอย่างจบ ตนจะทำเพื่อประชาชนทั้งประเทศ และพร้อมตั้งแต่วันนี้

ผู้สื่อข่าวถามว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเกมการเมืองที่ต้องการล้ม นายเศรษฐาใช่หรือไม่ นายพิชิต กล่าวว่า “แน่นอน“ เมื่อถามยามว่าหากนายพิชิต ลาออก แล้วนายกฯ อยู่ต่อได้ก็พร้อมจะทำใช่หรือไม่ นายพิชิต กล่าวว่า เพราะวงจรอุบาทว์มาเล่นแบบนี้ ให้ช่วยกลับไปคิดว่าวันนี้มีนายกและบ้านเมืองปกติแล้ว มาทำให้บ้านเมืองยุ่งเหยิงขาดนายกทำไม ดังนั้นคนเหล่านั้นไปคิดเองเพราะไม่ใช่การบ้านของตน และตนจะไม่คุยอะไรให้นายกฯ หนักใจ

เมื่อถามย้ำว่าแสดงว่าไม่มีแนวคิดที่จะลาออกในวันนี้หรือก่อนวันที่ 23 พ.ค.นี้ รมต.ประจำสำนักนายกฯกล่าวว่า ขอโยนโจทย์ไปให้บางคนที่อยากให้ตนอยู่หรืออยากให้ออก ขอย้ำว่าเป็นองครักษ์พิทักษ์นายกฯและขอท้า 40 สว. ให้มาเจอกับตนทีละคน และให้อาจารย์นักกฎหมาย3คน มาเป็นกรรมการ เพื่อถามว่าที่ลงชื่อไปได้อ่านคำสั่งของศาลฎีกาหรือยัง เพราะบางคนลงชื่อยื่นตีความยังไม่รู้เลยว่าอะไร บางคนยกประเด็นรื้อฟื้นจำนำข้าวทั้งที่ไม่ได้อยู่ในเหตุผลเรื่องของคุณสมบัติ เมื่อถามว่าจะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯจนกว่าจะมีคำสั่งศาลให้หยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่นายพิชิต กล่าวว่า เราเคารพดุลยพินิจศาล ไม่ก้าวล่วงและเชื่อว่าสิ่งที่พูดไปศาลรัฐธรรมนูญได้ยิน ทุกอย่างขอให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย

เมื่อถามว่าหากระหว่างนี้มีการกดดันให้ต้องถอย จะตัดสินใจอย่างไรในพิชิตกล่าวว่าองคาพยพที่เกี่ยวข้องก็ไปคิดก็แล้วกัน โดยไม่ขอเจาะจงไปที่ใครแต่ให้ยืนยันให้ได้ว่า ตนจากตำแหน่งแล้วจบ 

ผู้สื่อข่าวถามว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลัง สว.คือใคร นายพิชิตกล่าวว่า ตนรู้หมด ไม่ขอก้าวล่วงเอาเป็นว่ามีขบวนการในเรื่องนี้ก็แล้วกัน เมื่อถามว่ามีขบวนการล้มนายกฯหรือล้มรัฐบาลนายพิชิต กล่าวว่า ไม่กล่าวหาแต่ ข้อมูลเป็นเช่นนั้นจริง

เมื่อถามว่าวงจรอุบาทว์หมายถึงกลุ่มอำนาจเก่าหรือไม่นายพิชิตกล่าวว่า ไม่ตอบคำถามนี้ ไปพิจารณาพิจารณากันเอง ถามว่ามีกระบวนการแบบนี้จริง ถ้าแค่ติดใจเรื่องคุณสมบัติต้องห้ามของตนก็แค่ยื่นเฉพาะกับตนคนเดียว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังนายพิชิตให้สัมภาษณ์จบ ก่อนเดินเข้าห้องประชุมครม.ได้ชูกำปั้นแสดงความมั่นใจในเรื่องดังกล่าว โดยระบุว่าไม่กังวลสบาย และตัวเบาตั้งแต่วันที่เข้ามารับตำแหน่งแล้ว

‘ทักษิณ’ รู้ ใครอยู่เบื้องหลังสั่ง ‘สว.’ ให้ร้อง ‘นายกฯ’ มองแค่สร้างความวุ่นวาย แต่ไม่น่าล้มได้ หากชี้แจงได้ก็ผ่าน

(25 พ.ค.67) ที่ร้านส้มตำพันล้าน จ.นครราชสีมา นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง 40 สว. วินิจฉัยคุณสมบัติของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จนทำให้มีการมองกันว่ามีกระบวนการวางยาพรรคเพื่อไทย (พท.) ว่า ในพรรคเพื่อไทย ไม่มีปัญหาแน่นอน แต่ภายนอกการเมืองก็ยังเป็นการเมืองมีความลี้ลับอยู่ พอสมควร ส่วนใหญ่เราจะดูความเคลื่อนไหว เพราะประเทศไทยใครเคลื่อนไหวอะไร ก็จะรู้ว่าคนนี้เป็นคนของใคร เคลื่อนไหวด้วยเหตุอะไร แต่แน่นอนในฐานะนายกรัฐมนตรีก็มีหน้าที่ต้องตอบ ซึ่งท่านต้องเตรียมตอบคำถามของท่าน และไม่ว่าใครจะเคลื่อนไหวอย่างไรก็แล้วแต่ หากเราไม่ได้ทำอะไรผิดก็ชี้แจง 

เมื่อถามว่า นักวิชาการให้จับตานายใหญ่ที่จะเช็กบิล 40 สว.นั้น นายทักษิณร้องโอ๊ะ ก่อนจะกล่าวว่า 

“ผมจะไปมีสิทธิ์อะไร วันนี้ผมเป็นคนแก่คนหนึ่ง ที่ให้คำปรึกษารุ่นน้อง ๆ ให้ช่วยกันให้บ้านเมืองเจริญดีกว่า ก็คงไม่มีน้ำยาอะไรหรอก แก่แล้ว” 

เมื่อถามว่า จากประสบการณ์มองว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่ม 40 สว. มีเบื้องหลังจากกลุ่มอำนาจไหน นายทักษิณ กล่าวว่า สังคมการเมืองเขารู้ว่าใครเป็นคนของใคร อย่างไร เป็นเรื่องธรรมดา มีเช่นนี้มาช้านานแล้ว 

เมื่อถามว่า เป้าหมายคือการล้มนายเศรษฐาเลยหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า คงไม่ถึงขั้นล้มได้ แต่อาจเป็นการสร้างความวุ่นวาย บ้านเมืองชะงักบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา แต่มองว่าจะไม่มาก เพราะหากชี้แจงได้ก็ไม่เป็นอะไร 

เมื่อถามว่า บางฝ่ายยังมองว่าเป้าหมายของการเคลื่อนไหวครั้งนี้คือนายทักษิณ นายทักษิณ ย้อนถามสื่อว่า จะเล่นงานผมน่ะหรือ โอ๊ย ผมไม่มีอะไรให้เล่นแล้วแก่แล้ว ต่างคนต่างอยู่เถอะ

เมื่อถามต่อว่า กรณีนี้ พรรคเพื่อไทย ต้องเตรียมรับมืออะไรบ้าง นายทักษิณ ก็กล่าวทิ้งท้ายว่า “ไม่มีอะไรครับ ก็ทำอะไรให้ถูกต้อง ไม่เป็นไร ไม่ต้องไปหวั่นไหวมาก” 

'พิธา' ดิ้นสู้คดียุบพรรค ยัน!! ไม่มีเจตนาล้มล้าง-เป็นปฏิปักษ์ อ้าง!! ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีเขตอำนาจพิจารณา-วินิจฉัยคดีนี้

(9 มิ.ย.67) ที่พรรคก้าวไกล นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคก้าวไกล แถลงข้อต่อสู้คดียุบพรรคก้าวไกล ว่า จุดประสงค์ของการแถลงเพื่อเน้นข้อเท็จจริงของข้อกฎหมายและคดี เพื่อสอดคล้องกับสิ่งที่เป็นข้อกังวลของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะแบ่งเป็น 9 ข้อต่อสู้ 3 หมวดหมู่

หมวดหมู่ที่ (1.) เขตอำนาจและกระบวนการ 1.ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีเขตอำนาจพิจารณาวินิจฉัยคดีนี้ 2.กระบวนการยื่นคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

หมวดหมู่ที่ (2.) ข้อเท็จจริง 3.คำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 31 มกราคม 67 ไม่ผูกพันการวินิจฉัยคดีนี้ 4.การกระทำที่ถูกกล่าวหา ไม่ล้มล้าง ไม่อาจเป็นปฏิปักษ์ 5.การกระทำตามคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 31 มกราคม 67 ไม่ได้เป็นมติพรรค

หมวดหมู่ที่ (3) สัดส่วนโทษ 6.โทษยุบพรรคต้องเป็นมาตรการสุดท้ายเมื่อจำเป็น ฉุกเฉิน ฉับพลัน และไม่มีวิธีแก้ไขอื่น 7.ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีอำนาจตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค 8.จำนวนปีในการตัดสิทธิทางการเมือง ต้องได้สัดส่วนกับความผิด 9.การพิจารณาโทษต้องสอดคล้องกับชุดกรรมการบริหารพรรคในช่วงที่ถูกกล่าวหา

เมื่อถามว่าในข้อต่อสู้มีข้อไหนที่ไม่มั่นใจ นายพิธา กล่าวว่า มั่นใจทุกข้อทั้ง 9 ข้อ แต่ละข้อก็เหมือนด่าน บันไดที่ใช้ต่อสู่ตั้งแต่ของเขตอำนาจของศาล จนถึงบทลงโทษกรรมการบริหาร แต่เรายังเชื่อว่าทั้งเจตนา และการกระทำของ สส.ในการเข้าชื่อแก้กฎหมาย ไม่ได้เป็นการล้มล้าง และไม่อาจเป็นปฏิปักษ์ รวมถึงการกระทำต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเป็นนายประกัน สันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ไว้ก่อน การที่มีผู้ต้องหามาตรา 112 เป็นสมาชิกพรรค เป็น สส.ก็ยังไม่สิ้นสุดคดี รวมถึงการแสดงออกเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 ก็กระทำทั่วไปโดยนักการเมืองในตอนนั้น โดยสภาพบังคับที่มีเรื่องเกี่ยวข้องอยู่แล้ว

“สุดท้ายการกระทำทุกอย่างเป็นเรื่องของรายบุคคลที่ขยุมรวมกันเป็นข้อกล่าวหา ไม่ได้มาจากมติพรรค ไม่ได้เป็นเรื่องของนิติบุคคล แต่เป็นเรื่องของปัจเจก ไม่ได้มีความเห็นที่ออกมาจากกรรมการบริหารว่าทั้งหมดเป็นการกระทำของพรรค ต้องแยกระหว่างบุคคลธรรมดากับนิติบุคคล นั้นต่างกัน ซึ่งที่มีเป็นมติของพรรคออกมาคือการบรรจุเป็นนโยบายหาเสียง แต่ไม่อาจเป็นปฏิปักษ์ได้ เพราะกกต.เองก็อนุญาต ซึ่งหลักเดียวกับตอนที่ยุบพรรคไทยรักษาชาติ ก็ไม่ได้มีจดหมายเตือน ไม่มีคำถามมาว่านโยบายนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรอย่างที่พรรคอื่นโดน” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวว่า ยืนยันตรงนี้ว่าไม่ได้มีเจตนา และไม่มีข้อกฎหมายที่เอาผิดทั้ง 44 คนที่เข้าชื่อในการแก้ไขกฎหมาย ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นจริง และไม่ได้เข้าสภา และถึงแม้จะได้เข้าสภา ระบบนิติบัญญัติก็มีการเช็คแอนด์บาลานซ์เบรคในตัวเองอยู่ จะเบรคโดยกกต.ก็ได้ จะเบรคโดยสภาในการโหวตวาระ 1 , 2 , 3  หรือขั้น สว. และยังมีเวลาให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในตอนสุดท้าย เพราะฉะนั้นไม่มีความเร่งด่วนสำคัญอะไรที่ต้องใช้มาตรการรุนแรงอย่างนี้ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top