‘สิระ’ ตกเก้าอี้ส.ส. ศาลรธน. ชี้ชัด ขัดคุณสมบัติความเป็นส.ส. ปมต้องคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีฉ้อโกง

‘สิระ เจนจาคะ’ พ้นสภาพความเป็น ส.ส. ศาลรัฐธรรมนูญ อ่านคำวินิจฉัย ให้ สิระ เจนจาคะ ขัดคุณสมบัติความเป็น ส.ส. เนื่องจากปมคำร้องต้องคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีฉ้อโกง พ้นสภาพ ส.ส. กำหนดเลือกตั้งซ่อมเขตหลักสี่ ใหม่

22 ธ.ค. 64  เมื่อเวลา 15.00 น. ศาลรัฐธรรมนูญ อ่านคำวินิจฉัย กรณีที่มีผู้ร้องว่า นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.เขตหลักสี่ พรรคพลังประชารัฐ ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดปมคดีฉ้อโกง ถือว่าขัดคุณสมบัติการเป็น ส.ส. หรือไม่ โดยศาลรธน.ได้วินิจฉัย ให้นายสิระ ขัดคุณสมบัติการเป็น ส.ส.

ทั้งนี้ ศาลรธน. ได้ระบุว่า สืบเนื่องจากประธานสภาผู้แทนราษฎร (ผู้ร้อง) ส่งคำร้องขอให้ศาลรธน. วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ กรณีนายสิระ เจนจาคะ (ผู้ถูกร้อง) เคยต้องคำพิพากษาของศาลแขวงปทุมวันในคดีหมายเลขดำที่ 812/2538 คดีหมายเลขแดงที่ 2218/2538 เป็นกรณีที่ผู้ถูกร้องเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญาทำให้ผู้ถูกร้องเป็นบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (10)

โดยศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย ตามมาตรา 82 วรรคสอง และมีคำสั่งยกคำขอให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ต่อมาผูู้ถูกร้องยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา และศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาไว้ในสำนวน และให้หน่วยงานและพยานที่เกี่ยวข้องชี้แจงตามที่ศาลกำหนด พร้อมจัดส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องแล้ว 

ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า นายสิระมีลักษณะต้องห้ามในการใช้สิทธิ์สมัครรับเลือกตั้ง เป็นผลให้สมาชิกสภาพ ส.ส. สิ้นสุดลง

เนื่องจากข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า นายสิระ ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดเกี่ยวกับการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพย์โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา นายสิระ จึงเป็นบุคคลลักษณะต้องห้ามเป็น ส.ส. เป็นเหตุให้สมาชิกภาพ ส.ส. สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 24 มี.ค. 62 เป็นต้นไป  

หลังจากนี้ กกต. จะมีการพิจารณาดำเนินการตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 151 ฐานรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งแต่ยังลงสมัคร ซึ่งมีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ปรับตั้งแต่  20,000 - 200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี 

ทั้งนี้ เป็นไปตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. 2561 มาตรา 151 ที่ระบุว่า ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งถึงสิบปี

และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด ยี่สิบปีในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นผู้ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้นั้นคืนเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่ได้รับมาเนื่องจากการดำรงตำแหน่งดังกล่าวให้แก่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรด้วย