Thursday, 10 July 2025
World

Redneck & Hillbilly สองกลุ่มคนสุดเหมือน ที่แสนแตกต่าง สะท้อนความหลากหลายแบบไม่เท่าเทียมในถิ่นมะกัน

บรรดาแฟนหนังฮอลลีวู้ดทั้งหลายอาจงง เวลาได้ยินคำว่า 'เรดเนค' (Redneck) และ 'ฮิลล์บิลลี่' (Hillbilly) สองกลุ่มนี้มีความใกล้เคียงกันมาก ราวกับเป็นพี่น้องฝาแฝด เลยอยากเล่าให้ฟังพอสังเขป

ไม่ใช่จะด้อยค่าดูถูกใครแต่อย่างใด เพียงแต่พยายามจำแนกกลุ่มคนอันหลากหลายในประเทศนี้ อเมริกาเป็นเบ้าหลอมของคนร้อยพ่อพันแม่จากทุกทิศทุกทาง ฝรั่งผิวขาวไม่ได้มีการศึกษาสูงหรือฐานะดีทุกคน แม้ฝรั่งชาติเดียวกันยังดูถูกกันเอง เพราะความแตกต่างระหว่างฐานะ การศึกษา และแนวคิด ความเท่าเทียมอย่างที่มักนำมากล่าวอ้างเป็นเพียงวาทกรรมสวยหรูเท่านั้น เลยอยากเล่าเรื่องคนกลุ่มนี้ให้ฟัง เพราะกลุ่มที่โดนเหยียดเป็นประจำ

อเมริกาเคยขัดแย้งกันถึงขั้นแบ่งฝ่ายเหนือ-ใต้ แยกปกครอง นำไปสู่สงครามกลางเมือง รัฐฝ่ายเหนือชนะรัฐฝ่ายใต้ สำหรับอเมริกันที่อาศัยอยู่ในรัฐทางใต้แล้ว ยังรู้สึกเป็นลบกับการที่ฝ่ายตนต้องเพลี่ยงพล้ำ พวกนี้มีความภาคภูมิใจในความเป็นชาวใต้จึงมักนำธงสมาพันธรัฐ ซึ่งเป็นธงประจำรัฐฝ่ายใต้สมัยก่อนสงครามกลางเมืองมาประดับไว้ตามรถยนตร์และบ้านเรือน นอกเหนือจากธงชาติอเมริกัน

กลุ่มที่เทิดทูนความเป็น 'อเมริกัน' รวมทั้งความเป็น 'ชาวใต้' อย่างคลั่งไคล้ มักถูกเรียกด้วยน้ำเสียงดูถูกว่าเป็นพวก 'เรดเนค' ทำนองว่าเป็นคนระดับล่าง ไร้การศึกษา ทำงานแบบบลูคอลาร์ ฐานะยากจน ชอบสะสมปืน และคลั่งชาติ พวกเรดเนคจะถูกล้อเลียนในลักษณะว่าโง่และจน โดยมีการวาดการ์ตูนล้อเลียนมากมายเกี่ยวกับคนกลุ่มนี้

พวกที่ภาคภูมิใจในความเป็นเรดเนคของตนจะสังเกตได้ไม่ยาก พวกนี้ชอบใช้รถกระบะ มีสติกเกอร์ธงอเมริกันแปะเต็มกระจกกั้นระหว่างส่วนที่นั่งและส่วนกระบะ ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าจะมองข้างหลังเห็นหรือนั่น บางคนก็ติดธงผืนใหญ่ตามความเข้มข้มของความภูมิใจ หากภูมิใจในความเป็นเรดเนคสูงสุดก็จะล่อธงสมาพันธรัฐมาแบบเต็มพิกัด แต่ส่วนมากแค่ปักธงชาติอเมริกันไว้ท้ายรถก็มองออกแล้วว่าพวกนี้เป็นเรดเนคตัวพ่อเลยทีเดียว

ส่วนมากแล้วพวก เรดเนค จะไม่ชอบคนผิวดำและคนสีผิวอื่น นิยมเชื้อชาติตัวเองว่าดีที่สุด การที่ไม่ชอบคนผิวดำนั้น สืบเนื่องมาจากรัฐทางใต้เคยมีทาสมาก่อน พอเลิกทาสแล้วยังไม่สามารถทำใจยอมรับได้ จนกระทั่งยุคหลังสงครามกลางเมือง มีองค์กรลับของคนผิวขาวที่เรียกว่า 'คู คลักซ์ แคลน' (Ku Klux Klan - KKK) ซึ่งเเนวคิดเหยียดสีผิวเเบบสุดโต่ง มีจุดประสงค์เพื่อกําจัดคนผิวสี เอเซีย ยิว และคนที่นับถือนิกายโรมันคาทอลิคให้หมดไปจากอเมริกา สมาชิกในกลุ่มเคเคเคส่วนมากมักมีพวกคอแดงหรือ เรดเนค รวมอยู่ด้วย

พวกเรดเนคชำนิชำนาญเรื่องการต้มกลั่นเหล้าเถื่อนดีกรีแรงที่เรียกว่า 'มูนชายย์' ( Moon Shine) โดยเฉพาะเรดเนคที่อยู่บนภูเขาแอปพาเลเชียน ซึ่งกินพรมแดนติดต่อกันหลายรัฐทางใต้ของอเมริกา บนเทือกเขานี้ยังมีกลุ่มชนอีกกลุ่มที่เรียกว่า 'ฮิลล์บิลลี่' ด้วย ซึ่งถูกจัดรวมในสาขาเดียวกับเรดเนค

พวกฮิลล์บิลลี่นี่เรียกง่ายๆ คือพวกหลังเขา จัดอยู่ในกลุ่มที่โดนดูถูกเหมือนกัน เคยมีบทความตีพิมพ์ใน New York Journal จำกัดนิยามคนกลุ่มนี้ไว้ว่า ฮิลล์บิลลี่เป็นคนผิวขาวที่ยากจน อาศัยอยู่ในพื้นที่ภูเขา พูดจาเรื่อยเจื้อยตามแต่ใจต้องการ แต่งตัวในแบบที่ว่ามีอะไรก็ใส่ๆ มา ดื่มวิสกี้เมื่อมีวิสกี้ ลั่นกระสุนปืนลูกโม่ตามแต่ใจอยาก

ฮิลล์บิลลี่มักถูกล้อเลียนด้วยตัวการ์ตูนที่วาดใบหน้ารกหนวดเครา เอี๊ยมแบบทำงาน เดินเท้าเปล่า แบกปืนยาว ขับปิ๊กอัพเก่าๆ โทรมๆ และที่สำคัญต้องฟันเหยินเป็นคราบเหลืองอ๋อย

ทั้งสองกลุ่มแตกต่างกันเล็กน้อย โดยเรดเนคหมายถึงกลุ่มคนที่มีลักษณะตามที่เขียนถึงข้างต้น แต่จะอาศัยอยู่ที่ไหนก็ได้ในอเมริกา โดยมากแล้วพวกนี้มักมาจากรัฐทางใต้ ระยะหลังนี่เริ่มขยายมาอยู่ในรัฐที่ยังมีพื้นที่ป่าสมบูรณ์ อย่างบางรัฐแถวมิดเวสต์

‘โรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ยักษ์’ กลางทะเลทรายหนิงเซี่ยหุย เริ่มเดินเครื่อง!! ชี้!! ผลิตไฟฟ้าได้ 5.78 พันล้านกิโลวัตต์ แถมลดการปล่อยคาร์บอนฯ 4.66 ล้านตัน

(27 เม.ย.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ฐานการผลิตไฟฟ้าพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ในทะเลทรายเถิงเก๋อหลี่ เมืองจงเว่ย เขตปกครองตนเองหนิงเซี่ยหุยทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน มีกำลังการผลิตที่วางแผนไว้ 3 ล้านกิโลวัตต์ ด้วยเงินลงทุนกว่า 1.5 หมื่นล้านหยวน (ราว 7.37 หมื่นล้านบาท)

‘USS Nimitz’ เรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐฯ เยือนไทย เปิดพื้นที่ต้อนรับการฉลองสัมพันธ์อันดี 190 ปี ‘ไทย-สหรัฐฯ’

(27 เม.ย.66) ที่ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี กองทัพเรือสหรัฐอเมริกา นำเรือบรรทุกเครื่องบินโจมตีสหรัฐฯ USS NIMITZ จอดเทียบท่าในโอกาสเฉลิมฉลอง 190 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-สหรัฐฯ

ทั้งนี้ นับเป็นโอกาสดีในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ และไทย ตลอดจนกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนของไทยในระหว่างการเยือนครั้งนี้ ขณะเดียวกันยังได้เปิดโอกาสให้ทหารเรือสหรัฐฯ ได้สัมผัสถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นและเข้าร่วมการประชุมหารือต่าง ๆ ตลอดจนมีส่วนร่วมในโครงการชุมชนสัมพันธ์ด้วย

สำหรับ เรือ USS Nimitz (CVN 68) เป็นเรือธงของ CSG 11 มีศักยภาพด้านการควบคุมทะเล การโจมตีเป้าหมายหลายประเภท ปฏิบัติการความมั่นคงทางทะเล การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และการบรรเทาสาธารณภัย รวมถึงการฝึกร่วมและผสมในพื้นที่ปฏิบัติการต่าง ๆ ออกเดินทางจากเมืองเบรเมอร์ตัน รัฐวอชิงตัน เพื่อปฏิบัติการทั่วไปในเดือนพฤศจิกายน 2565 เข้าร่วมฝึกร่วมผสมหลายครั้ง และปฏิบัติการตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายในพื้นที่รับผิดชอบของกองเรือที่ 7 แห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งรวมทั้งทะเลจีนใต้และทะเลฟิลิปปินส์

หลังจากฝึกร่วมทางทะเลไตรภาคีกับเรือรบของ Japan Maritime Self-Defense Force (JMSDF) และเกาหลีใต้เมื่อกลางเมษายนที่ผ่านมาและมุ่งหน้ามาสู่ประเทศไทย มีกำหนดการเดินทางกลับในวันที่ 29 เมษายน 2566 เพื่อปฏิบัติภารกิจภายใต้กองเรือที่ 7 ต่อไป

นายโรเบิร์ต เอฟ. โกเดค เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นเพื่อนและพันธมิตรที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐฯ ในเอเชีย มิตรภาพของเรามีมาอย่างยาวนานร่วมสองศตวรรษ ซึ่งเราได้บรรลุความสำเร็จมากมายร่วมกัน ปีนี้เรากำลังฉลองวาระครบรอบ 190 ปี แห่งความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการระหว่างกัน”

เอกอัครราชทูตระบุว่า สัมพันธไมตรีของเราช่วยส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพสำหรับทั้งภูมิภาค ช่วยทำให้ผู้คน สินค้า และความคิดใหม่ ๆ เดินทางได้อย่างเสรี ช่วยนำมาซึ่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการตอบสนองต่อภัยพิบัติที่สำคัญ และล่าสุดนี้ช่วยให้เรารับมือกับการระบาดใหญ่ทั่วโลก นอกจากนี้ ผมอยากจะขอบคุณเหล่าเจ้าหน้าที่ชายหญิงแห่งกองทัพเรือไทยและกองทัพเรือสหรัฐสำหรับความมุ่งมั่นที่มีต่อความเป็นหุ้นส่วนระหว่างกันและคอยดูแลให้ประชาชนของเราปลอดภัย

‘Mattel’ วางจำหน่ายตุ๊กตาบาร์บี้ รุ่น ‘ดาวน์ซินโดรม’ เพื่อเพิ่มทางเลือกและเป็นตัวแทนเด็ก ๆ ที่มีร่างกายพิการไม่สมบูรณ์

(28 เม.ย.66) Mattel ผู้ผลิตของเล่นรายใหญ่ของสหรัฐฯ วางจำหน่ายตุ๊กตาบาร์บี้ รุ่น ‘ดาวน์ซินโดรม’ เพิ่มทางเลือกให้กับกลุ่มเด็ก ๆ ที่มีความหลากหลายแตกต่างกัน

บริษัท Mattel ได้วางจำหน่ายตุ๊กตาบาร์บี้รุ่น ‘ดาวน์ซินโดรม’ (Down's syndrome) ตุ๊กตาบาร์บี้รุ่นล่าสุด เป็นความร่วมมือกับสมาคมผู้ป่วยดาวน์ซินโดรมแห่งชาติของสหรัฐฯ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความพยายามของบริษัทที่ผลิตตุ๊กตาให้มีความหลากหลายและแตกต่างกันมากขึ้น

หลังจากได้รับการร้องเรียนว่า เด็กที่เผชิญอาการป่วยโรคดาวน์ซินโดรม ไม่มีตุ๊กตาที่ดูเหมือนกับพวกเขา และบริษัท Mattel ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่า ผลิตแต่ตุ๊กตาบาร์บี้ที่มีผิวสีขาวและทรวดทรงโค้งเว้าสมบูรณ์แบบเกินความเป็นจริง ไม่ได้แสดงถึงตัวตนของผู้หญิงที่มีตัวตนจริง ๆ

ทำให้จากนั้นมา ทางบริษัทได้พยายามตอบสนองด้วยการผลิตตุ๊กตาสีผิวต่าง ๆ และรูปร่างแตกต่างกันหลายแบบ เพื่อสะท้อนความเป็นจริงของผู้หญิงในสังคม

‘ไต้หวัน’ มุ่งหน้าสู่ประเทศ 2 ภาษาภายในปี 2030 อัดงบ 3 หมื่นล้านเหรียญเสริมภาษาอังกฤษ-จีน

รัฐบาลไต้หวันตั้งเป้า ขอเวลาไม่เกิน 10 ปี ผลักดันให้เป็นประเทศ 2 ภาษา (Bilingual) ที่ใช้ทั้งภาษาจีน และ อังกฤษ เป็นภาษาสื่อสารหลักให้ได้ภายในปี 2030 ตั้งงบเริ่มต้นที่ 3 หมื่นล้านดอลลาร์ไต้หวัน พัฒนาความสามารถด้านภาษาอังกฤษของประชากรให้สามารถใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 รองจากภาษาจีน

การเสริมทักษะด้านภาษาอังกฤษกลายเป็นวาระระดับชาติของไต้หวัน แม้จะเป็นเรื่องยากที่ทำให้ชาวไต้หวันสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ในระดับ ฮ่องกง, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์ หรือ อินเดีย ที่ภาษาอังกฤษถูกใช้เป็นภาษาราชการ และในแวดวงวิชาการทั้งด้านกฎหมาย และภาคธุรกิจอย่างกว้างขวาง แต่ก็เป็นเป้าหมายที่ไต้หวันต้องการที่จะไปให้ถึง เพื่อเพิ่มศักยภาพชาวไต้หวันสามารถแข่งขันในตลาดสากลได้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ เลือกมาทำธุรกิจในไต้หวันเพิ่มมากขึ้นในอนาคตอันใกล้ เมื่ออุปสรรคด้านภาษาลดลง

แผนการยกระดับความสามารถด้านภาษาอังกฤษของประชากรไต้หวัน เริ่มวางแผนกันมานานแล้วตั้งแต่ปี 2018 และประกาศเริ่มโครงการในปีนี้ 2023 ด้วยงบประมาณ 3 หมื่นล้านเหรียญไต้หวัน โดยมีการปรับแผนการเรียนภาคบังคับทั้งหมด เพื่อรองรับการเรียนภาษาอังกฤษอย่างจริงจังในทุกระดับชั้น

อีกทั้งเริ่มประสานงานกับภาคธุรกิจในประเทศ ในการเพิ่มภาษาอังกฤษ เป็นภาษาที่สื่อสารในองค์กร ทั้งการใช้เอกสาร สัญญา ข้อความประชาสัมพันธ์บนเว็บไซท์ ควบคู่ไปกับการใช้ภาษาจีน ทั้งนี้เพื่อเอื้อต่อการติดต่อกับบริษัทต่างชาติ ประหยัดค่าใช้จ่ายในการแปลเอกสารจากอังกฤษ เป็นจีน

เนื่องจากในปัจจุบัน ไต้หวันมีการส่งออกอุปกรณ์ไฮเทค สู่ต่างประเทศรวมมูลค่ากว่า 8.29 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเพราะชิปประมวลผล ที่ไต้หวันครองตลาดโลกสูงถึง 60% และยิ่งถ้าบุคลากรไต้หวัน สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว โอกาสในการขยายตลาดต่างประเทศยิ่งไปได้ไกลกว่าเดิม 

สำหรับเป้าหมายเพื่อไปให้ถึงการเป็นประเทศ 2 ภาษาภายในปี 2030 นั้น ไต้หวันจะเริ่มตั้งแต่ที่โรงเรียน ด้วยการผลักดันให้เกิดระบบโรงเรียน 2 ภาษาทั่วกรุงไทเป ให้ได้ถึง 210 โรงเรียนภายในปี 2026 และ ทุกโรงเรียนในเขตนครซินเป่ย์ต้องมีหลักสูตร 2 ระบบ ทั้งจีน อังกฤษภายในปี 2030 ส่วนเมืองอื่นๆ ต้องตั้งเป้าในการพัฒนาโรงเรียนในพื้นที่ให้มีหลักสูตรภาคบังคับ 2 ภาษาให้สำเร็จในอีก 7 ปีข้างหน้า

ถึงกระนั้นรัฐบาลไต้หวัน ก็ยังไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ ว่าจะให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ รวมถึงการใช้ภาษาอังกฤษในเอกสารราชการสำคัญ ทั้งในศาล หรือในสภาด้วยหรือไม่ เพียงแต่มีการเรียกร้องให้ยกระดับการใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารในหน่วยงานภาครัฐมากยิ่งขึ้นต่อจากนี้ไป 

ด้าน ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาศาสตร์และความมั่นคงระหว่างประเทศ ของคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  มองว่า นโยบายด้านภาษาอังกฤษจะช่วยกระตุ้นให้ชาวไต้หวันพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของตนมากขึ้น 

ทว่า เมื่อเปรียบเทียบกันนโยบายการพัฒนาการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของไทยแล้ว กระทรวงศึกษาธิการของไทย ได้ตั้งเป้าให้พัฒนาหลักสูตรให้ เด็กนักเรียนตั้งแต่ระดับประถมศึกษาสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษในระดับพื้นฐานในชีวิตประจำวันให้ได้ภายในปี 2026 

‘หางโจว’ รายงานความคืบหน้า งาน ‘เอเชียนเกมส์ 2023’ เผย พร้อมทุ่มเทการเตรียมงานเต็มที่เพื่อผู้เข้าแข่งขันทุกท่าน

เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 66 สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานว่า ‘เฉิน เว่ยเฉียง’ เลขาธิการคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาหางโจว เอเชียนเกมส์ ประจำปี 2023 แถลงว่า การจัดเตรียมการแข่งขันฯ ในปีนี้ กำลังเดินหน้าไปอย่างราบรื่น โดยมีผู้เข้าชมสถานที่จัดการแข่งขันและฝึกซ้อมเกือบ 10 ล้านครั้งแล้ว ตั้งแต่เปิดให้เข้าชม

เฉิน กล่าวว่า หางโจวอยู่ระหว่างการเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันที่กำลังจะมีขึ้น ชาวเมืองต่างสนุกสนานกับการออกกำลังกาย ในสถานที่ระดับโลกด้วยเช่นกัน

มีการจัดงานสัมมนาหัวหน้าคณะนักกีฬาระยะเวลา 3 วันที่หางโจว เมื่อวันอังคาร (25 เม.ย.) ที่ผ่านมา โดยมีหัวหน้าคณะผู้แทน 45 คนของคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งชาติในเอเชียเข้าร่วม เพื่อติดตามข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับการเตรียมงานเอเชียนเกมส์ 2023

อีกหนึ่งข่าวดีของไทยในเวทีโลก! ไทยได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม World Bank/IMF ปี 2026

 

อีกหนึ่งข่าวดีของไทยในเวทีโลก!
ไทยได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม World Bank/IMF ปี ค.ศ. ๒๐๒๖

ผู้แทนของไทยประจำ IMF ได้แจ้งแก่เอกอัครราชทูตไทยประสหรัฐฯ ว่า ตามที่กลุ่ม Executive Board ได้เสนอต่อ Board of Governors ให้ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปี สภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี 2569 ระหว่าง 16-18 ตุลาคม พ.ศ.2569 ซึ่งไทยได้เสนอตัว โดยไทยสามารถเอาชนะกาตาร์ในการลงคะแนนรอบสุดท้ายได้ ซึ่งก่อนนี้มีประเทศเข้าสมัครเพื่อรับการคัดเลือกทั้งหมด 5 ประเทศ ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กรีซ ไทย และกาตาร์ โดยหลังจากนี้ Board of Governors จะพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนที่จะประกาศผลดังกล่าวอย่างเป็นทางการ ในช่วงการประชุม Spring Meeting เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา

การประชุมดังกล่าว จะจัดขึ้นที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีผู้เข้าร่วมจากทั่วโลก ทั้งผู้เข้าร่วมการประชุม และการประชุมอื่น ๆ คู่ขนานในช่วงเดียวกันรวมประมาณ 14,000 คน โดยผู้แทนกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีคุณ Wempi Saputra มาจากอินโดนีเซียและคุณ Rosemary Lim จากสิงคโปร์ ได้ทำงานประสานกับผู้แทนไทยและประเทศต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด ในการสนับสนุนให้ไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม World Bank/IMF ปี 2026 โดยร่วมกับสำนักงานที่ปรึกษาการคลังและสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน และจัดให้ นายธานี แสงรัตน์ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน และ เจ้าหน้าที่ทีมเศรษฐกิจได้ร่วมทำงานในการขอรับการสนับสนุนจากประเทศสมาชิกทั้ง WB/IMF โดยเฉพาะ Board of Governors โดยจัดงานเลี้ยงรับรองได้จัดให้เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน กล่าวสุนทรพจน์แนะนำความพร้อมของประเทศไทยในด้านต่าง ๆ เช่น ประสบการณ์ที่ไทยเคยจัดการประชุม IMF/WB มาแล้ว การเป็นเจ้าภาพการประชุมระหว่างประเทศทุกระดับ ล่าสุดไทยยังเป็นประธานอาเซียนที่มีการผลักดันการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรี RCEP ขยะทะเลและทะเลจีนใต้ รวมทั้งเป็นเจ้าภาพเอเปคเมื่อปีที่แล้ว ที่ผลักดันวางกรอบเวลาการเจรจาเขตการค้าเสรีเอเปค หรือ ‘FTAAP’ ความเชื่อมโยงในทุกมิติเพื่อเตรียมความพร้อมหลังโควิด และปฏิญญากรุงเทพฯ ว่าด้วย BCG นำเรื่องความยั่งยืนเข้าไปใส่ในวาระของเอเปคอย่างเต็มที่เป็นครั้งแรก

‘เขมร’ หนุน ‘เวียดนาม’ ผลักไทยตกรอบ อดชิงหมากรุก หลังเหงียนทำฟาวล์ แต่กรรมการเขมรบอกให้เล่นต่อไป

(30 เม.ย.66) นักกีฬาหมากรุกชายไทย อดเข้าชิง หลังเเพ้เวียดนามเกมสุดท้ายของรอบเเบ่งกลุ่มเเบบพบกันหมด เเม้คู่เเข่งจะทำฟาวล์ควรถูกปรับเเพ้ เเต่กรรมการของกัมพูชาบอกไม่เห็น 

การเเข่งขันหมากรุกเขมร ประเภทชาย เกม 5 นาที ก่อนหน้านี้ ‘ทัพฟ้า คำหน่อแก้ว’ มีดรามาเกมที่เจอกับ ‘ซอก ลิมเฮง’ มือ 1 เขมรที่ไม่ยอมเดินต่อเพราะโวยว่าไทยฟาวล์ จนสุดท้ายเสมอกันไป 

การเเข่งขันนี้ เเบ่งเป็น 2 สาย A กับ B เอาเเชมป์ของเเต่ละกลุ่มเข้าไปชิงชนะเลิศ ซึ่งไทยเอาชนะได้ทั้ง ฟิลิปปินส์ และลาว ต้องมาตัดสินนัดสุดท้าย เจอเวียดนามที่ชนะมาเช่นกัน เกมเเรกไทยเราเเพ้ เกมที่ 2 สูสีมาก เเต่เวียดนามทำฟาวล์ นั่นคือ ทำหมากล้มเเถมครบ 3 ครั้ง ซึ่งตามกฏจะต้องถูกปรับเเพ้ เเต่กรรมการฝ่ายจัดที่ยืนล้อมรอบโต๊ะกลับบอกไม่มีอะไรเกิดขึ้น และให้เล่นต่อไป สุดท้ายเสมอกันไป เเละเป็นเวียดนามที่เข้ารอบชิงชนะเลิศ 

‘ผู้ประกอบการไทย’ ร่วมงาน ‘เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปักกิ่ง’ มุ่งพา ‘ภาพยนตร์ไทย-ละครไทย’ บุกตลาดจีนในอนาคต

(30 เม.ย.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สำหรับผู้ชมชาวจีนจำนวนมากแล้ว ภาพยนตร์ไทยเรื่องสุดท้ายที่ดูในโรงอาจเป็นเรื่อง “ฉลาดเกมส์โกง” เมื่อปี 2017 ที่ถึงแม้จะเป็นหนังทุนต่ำ แต่กลับกวาดรายได้จากการจำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์หรือบ็อกซ์ออฟฟิศจีนได้ถล่มทลายถึง 271 ล้านหยวน (ราว 1.33 พันล้านบาท) ขึ้นแท่นภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้สูงสุดในจีน

และเมื่อไม่นานนี้แสงสปอตไลต์ได้สาดส่องไปยังภาพยนตร์ไทยอีกครั้ง ณ เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปักกิ่งครั้งที่ 13 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-29 เม.ย.

ลี ทองคำ ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทย จากบริษัท ทองคำ ฟิล์มส์ จำกัด ซึ่งเข้าร่วมงานเผยว่าหลังจากได้ร่วมงานกับผู้กำกับชาวจีนรวมถึงบริษัทภาพยนตร์และวิดีทัศน์ของจีนตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ก็ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมาย และมาร่วมงานนี้เพื่อมองหาโอกาสการร่วมมือ เขากล่าวว่าผู้กำกับ นักแสดง เงินทุน และทรัพยากรอื่นๆ ที่มีคุณภาพของจีนช่วยยกระดับการผลิตผลงานร่วมกัน และเผยว่าภาพยนตร์ที่ตนผลิตร่วมกับบริษัทจีน ซึ่งเปิดตัวในไทยเมื่อปีที่แล้ว กำลังอยู่ระหว่างการโปรโมตให้เข้าถึงผู้ชมชาวจีนในฤดูร้อนนี้

“ทีมกองถ่ายจีนนิยมมาถ่ายหนังที่ไทยมาก มีหลายโครงการที่อยู่ระหว่างเจรจาหรือเริ่มถ่ายทำในไทยแล้ว” คำกล่าวของจางเลี่ยง จากบริษัทอาร์ท้อป มีเดีย (Artop Media) ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 2009 และได้นำภาพยนตร์ไทยส่งออกสู่สายตาผู้ชมชาวจีนแล้วมากกว่า 100 เรื่อง รวมถึงมีส่วนร่วมผลิตผลงานภาพยนตร์จำนวนหนึ่งในประเทศไทยด้วย

จางเลี่ยงกล่าวว่า เทศกาลภาพยนตร์เช่นนี้ สร้างเวทีการแลกเปลี่ยนระหว่างหน่วยงานรัฐ บริษัทภาพยนตร์ และผู้ประกอบวิชาชีพในวงการภาพยนตร์ของทั้งสองประเทศ พร้อมเผยว่าหลายปีมานี้ภาพยนตร์ไทยขายลิขสิทธิ์ได้ดีมากในจีน แต่ปัจจุบันภาพยนตร์ไทยที่เข้าฉายในโรงของจีนมีไม่กี่เรื่อง ส่วนใหญ่เป็นการเผยแพร่ผ่านช่องทางสื่อใหม่มากกว่า

ปัจจุบัน แพลตฟอร์มวิดีโอ เช่น อ้ายฉีอี้ (iQiyi) เทนเซ็นต์ (Tencent) และ บิลิบิลิ (Bilibili) ไม่เพียงแต่เป็นช่องทางหลักของชาวจีนในการชมภาพยนตร์ไทยเท่านั้น แต่ยังรุกเข้าสู่ตลาดไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ของจีนจำนวนมากเผยโฉมสู่ตลาดผู้ชมชาวไทย

ขณะที่บริษัทจีนอย่างไป่หมิง กรุ๊ป (Baiming Group) ซึ่งทำธุรกิจแพลตฟอร์มวิดีโอสั้น ก็หวังที่จะสร้างความร่วมมือกับบริษัทผลิตภาพยนตร์และฐานการถ่ายทำภาพยนตร์ของไทยผ่านเทศกาลนี้ เพื่อโปรโมตภาพยนตร์และละครใหม่ๆ

‘สายสมร ไชยสร’ ปธ.มวยลาว อัดคลิปขอโทษประเทศไทย ปมวิจารณ์ ‘มวยไทย’ เลียนแบบ ‘กุน ขแมร์’ ลั่น เรื่องนี้ขอรับผิดคนเดียว

(30 เม.ย.66) สายสมร ไชยสร ประธานสหพันธ์มวยลาวแห่งประเทศลาว ออกมาอัดคลิปขอโทษประเทศไทย หลังเจ้าตัวเคยออกมากล่าวว่า "มวยไทย" เลียนแบบ "กุน ขแมร์" ของประเทศกัมพูชา โดยตนขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียว

ในช่วงที่ผ่านมามีดราม่าเกี่ยวกับประเด็น กุน ขแมร์ ที่กัมพูชา บรรจุเข้าแข่งขันลงในกีฬาซีเกมส์ แทนที่ของมวยไทย ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยตอนนั้น สายสมร ไชยสร ประธานสหพันธ์มวยลาวแห่งประเทศลาว เป็นหนึ่งในบุคคลที่กล่าวว่า มวยไทย เลียนแบบโบกะตอร์ (มวยโบราณของเขมร) หรือ กุน ขแมร์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top