Saturday, 10 May 2025
World

‘ชาวเมียนมา’ กับการเสพสื่อโซเชียลเชื่อแบบฝังหัว สุดท้ายอาจกลายเป็นเหยื่อถูกปั่นหัวด้วยข้อมูลเท็จ

ผ่านมากว่า 24 ชั่วโมงแล้วที่คำทำนายลวงโลกของหมอดูชาวเมียนมารายหนึ่งที่โพสต์ว่าจะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่อีกครั้งในวันที่ 21 เมษายนนี้

คำทำนายของเขาบนแอปพลิเคชัน Tiktok ได้รับการแชร์อย่างแพร่หลายสร้างความตระหนกให้แก่ชาวเมียนมาทั่วประเทศ 

มีรายงานว่าในวันนี้ชาวเมียนมาจำนวนมากทิ้งบ้านไปอยู่ตามสนามหรือสวนสาธารณะเพราะหวั่นสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามคำทำนายของหมอดูดังกล่าว

แต่แล้วจนถึงเวลาที่เอย่าเขียนบทความนี้ก็ผ่านมากว่า 24 ชั่วโมงแล้วก็ไม่ได้มีแผ่นดินไหวรุนแรงเกิดขึ้นแต่อย่างไร จนสร้างความโกรธแค้นในสังคมโซเชียลของคนพม่าไปตามๆ กัน
และนี่เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า คนเมียนมาอ่อนไหวต่อโฆษณาชวนเชื่อมากกว่าเลือกที่จะเชื่อข่าวสารจากภาครัฐ

ถ้ามาดูเรื่องที่คนเมียนมาเลือกจะเชื่อโฆษณาชวนเชื่อจนเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเมียนมา เรื่องแรกคือ

เรื่องที่มีการปล่อยข่าวว่ากองทัพเกณฑ์ทหาร เพราะขาดทหารไปรบจนทำให้คนจำนวนมากโดยเฉพาะคนรวยและคนชั้นกลางส่งลูกหลานไปต่างประเทศ ทั้ง ๆ ที่ความจริงคือกองทัพเมียนมาต้องการจัดตั้งกองเสริม และอีกนัยหนึ่งคือการที่กองทัพเมียนมาต้องการผลักดันกลุ่มผู้สนับสนุนกลุ่มต่อต้านให้ออกจากประเทศ ซึ่งสุดท้ายวิธีนี้ก็ได้ผลเสียด้วย

อีกเรื่องหนึ่งที่มีการปล่อยข่าวที่แม้เอย่าได้ฟังมายังขำกลิ้งแถมแพร่หลายทั้งในหมู่คนพม่าทั้งในเมียนมาและในไทย ที่สำคัญคือในคนไทยบางคนก็เชื่อคือ เรื่องที่กลุ่มต่อต้านกองทัพออกมาปล่อยข่าวว่า แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นได้ทำลายเมืองเนปิดอว์ไปแล้ว ทำให้ทหารและมินอ่องหล่ายไม่มีที่อยู่ สาเหตุที่เป็นแบบนี้เพราะเทวดาลงโทษกองทัพเมียนมา

สิ้นเสียงหัวเราะ เอย่าถามกลับว่า งั้นที่กะเหรี่ยงทำสงครามมา 75 ปี ไม่ชนะเสียทีก็เพราะเทวดาไม่ช่วยเหมือนกันละสิ และการที่ประเทศไทยเกิดแผ่นดินไหวก็เพราะประเทศไทยมีผู้นำไม่ดีนะสิ สงสัยเพราะคนพม่าหนีมาอยู่ในไทยเยอะเทวดาเลยพิโรธมาลงโทษคนพม่าในไทยด้วยใช่ไหม....

สุดท้ายไม่มีสุรเสียงใดตอบกลับ...เอย่าจึงกล่าวกับคนที่คุยด้วยว่า อุบัติภัยไม่มีใครอยากให้เกิดหรอก แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว เราในฐานะที่เป็นมนุษย์ที่ดีก็ควรมีจิตใจที่สูงในการที่จะมีไมตรีต่อเพื่อนมนุษย์เพราะสุดท้ายไม่มีใครทำร้ายเราได้หากเราคิดดี คิดอย่างมีเหตุผล เชื่ออย่างมีเหตุผล และไม่ฟังความด้านเดียว

เอย่าพูดทั้งหมดนี้ไม่ใช่หมายถึงแค่คนเมียนมานะคะ คนไทยก็เช่นกัน ไม่มีข่าวสารหรือโฆษณาชวนเชื่อใด ๆ ทำร้ายเราได้ถ้าเราไม่เลือกข้างที่จะฟังและหาข้อมูลรอบด้าน แล้วจึงตัดสินใจ เพราะอย่าลืมว่าสุดท้าย คนที่ได้รับผลกระทบก็ไม่ใช่ใครแต่เป็นตัวเราเอง

'สงกรานต์มาเลย์' ปะทะเดือดกลางห้างฯ ดัง เก้าอี้ลอยว่อน นักท่องเที่ยวเมียนมาทะเลาะวิวาทกับเจ้าถิ่น

(22 เม.ย. 68) หลังเหตุทะเลาะวิวาทที่เกิดขึ้นในลานจอดรถกลางแจ้งของศูนย์การค้า 1 อุตามา (1 Utama) ระหว่างการเฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์มาเลเซีย ในวันสุดท้าย เมื่อคืนวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังมีคลิปวิดีโอเหตุการณ์ดังกล่าวถูกเผยแพร่และแชร์ต่อกันอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์มาเลเซีย

เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองสงกรานต์ ประจำปี 2568 จนกลายเป็นกระแสในโซเชียลมีเดียของมาเลเซีย หลังมีผู้บันทึกภาพวิดีโอการทะเลาะวิวาทระหว่างผู้ร่วมงานจำนวนหนึ่งในพื้นที่ลานจอดรถของศูนย์การค้าอุตามา 

อย่างไรก็ตาม เมื่อติดต่อสอบถามไปยังเจ้าหน้าที่ นายชาห์รุลนิซาม จาฟาร์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจเมืองเปอตาลิงจายา เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า “จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการยื่นรายงานจากตำรวจเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น” โดยยืนยันว่าตำรวจยังคงเฝ้าติดตามสถานการณ์และพิจารณาข้อเท็จจริงจากคลิปวิดีโอที่ถูกเผยแพร่

ทั้งนี้ สื่อท้องถิ่นมาเลเซียรายงานว่า ต้นเหตุมาจากกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนและเมียนมา ทะเลาะวิวาทกันเนื่องจากมีปัญหาเรื่องเติมน้ำและการใช้ปืนฉีดน้ำ จนนำมาสู่เหตุการณ์บานปลายในท้ายที่สุด

สำหรับเทศกาลสงกรานต์ถือเป็นประเพณีสำคัญของชาวไทยและได้รับความนิยมในหมู่ประชาคมไทยในมาเลเซีย ที่มักจัดกิจกรรมอย่างสนุกสนานและมีน้ำใจ อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ครั้งนี้สร้างความกังวลต่อความปลอดภัย และภาพลักษณ์ของงานที่ควรจะเป็นการเฉลิมฉลองอย่างสันติ

ละครสั้นจีนบนโลกออนไลน์ฮอตฮิตในไทย พล็อตเข้มข้น-ความยาวกระชับ ผสานกลยุทธ์การตลาดสุดแยบยล ตอบโจทย์คนดูยุคใหม่ ‘ดูไว จ่ายคล่อง’

(23 เม.ย. 68) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระแสละครสั้นจีนได้รับความนิยมในไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากการเติบโตของแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นอย่าง TikTok ด้วยจุดเด่นด้านการเล่าเรื่องกระชับ ความยาวเพียง 3-5 นาที บวกกับเนื้อหาดราม่าเข้มข้น เช่น ความขัดแย้งในครอบครัว หรือการแย่งชิงอำนาจ

ระบบอัลกอริทึมช่วยกระตุ้นให้ผู้ชมดูต่อเนื่อง ทำให้หลายคนยอมจ่ายเงินเพื่อรับชมจนจบ ส่งผลให้โมเดล “ดูเป็นตอน+จ่ายต่อเนื่อง” กลายเป็นเทรนด์ใหม่ เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคคอนเทนต์ในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

แพลตฟอร์มอย่าง iQIYI และ Tencent Video รุกตลาดด้วยกลยุทธ์ “ละครสั้น+ละครยาว” ดึงดูดผู้ชมทั้งสายดูไวและดูยาว พร้อมเสริมด้วยต้นทุนผลิตต่ำ เรื่องราวหลากหลาย และระยะเวลาทำงานที่รวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมยังเผชิญความท้าทายจากเนื้อหาที่ซ้ำซาก ผู้ชมเรียกร้องแนวใหม่ๆ เช่น สืบสวน วิทยาศาสตร์ หรือชีวิตจริง ขณะที่ AI เริ่มเข้ามามีบทบาทตั้งแต่ผลิต คัดเลือกเนื้อหา ไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ชม

ทั้งนี้ จีนเผย ปี 2024 มีผู้ชมละครสั้นออนไลน์ถึง 662 ล้านราย คาดมูลค่าตลาดอาจแตะ 1 แสนล้านหยวนในปี 2027 โดยไทยยังคงเป็นตลาดหลักของภูมิภาคนี้ ด้วยวัฒนธรรมที่เปิดรับและความนิยมในคอนเทนต์หลากหลายจากจีน

'โตโยต้า' ทุ่ม 6.6 หมื่นล้าน ผุดโรงงาน EV ในเซี่ยงไฮ้

เซี่ยงไฮ้, 22 เม.ย. (ซินหัว) — วันอังคาร (22 เม.ย.) โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป (Toyota Motor Corp.) ผู้ผลิตยานยนต์ของญี่ปุ่น ได้ลงนามข้อตกลงก่อตั้งโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าที่โตโยต้าเป็นเจ้าของทั้งหมดในเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออกของจีน

ข้อตกลงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับรัฐบาลเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ระบุว่าโตโยต้าจะลงทุนโครงการยานยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ในเขตจินซาน มูลค่ารวม 1.46 หมื่นล้านหยวน (ราว 6.64 หมื่นล้านบาท) ซึ่งมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนา การผลิต และการจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าเลกซัส (Lexus) และแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า

ทั้งนี้ นี่เป็นโครงการยานยนต์พลังงานใหม่ที่มีอิทธิพลระดับโลกอีกหนึ่งโครงการในนครเซี่ยงไฮ้ ต่อจากโรงงานเซี่ยงไฮ้ กิกะแฟคทอรี ของเทสลา ซึ่งสะท้อนความมุ่งมั่นของเซี่ยงไฮ้ในการขยายการเปิดกว้างระดับสูงและเร่งสร้างกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ระดับโลก

สหรัฐฯ เตรียมเสนอรับรอง ‘ไครเมีย’ เป็นของ ‘รัสเซีย’ หวังปูทางสันติภาพยูเครน-รัสเซีย แต่ ‘EU’ คัดค้านเสียงแข็ง

(23 เม.ย. 68) วอชิงตันโพสต์รายงานว่า สหรัฐฯ เตรียมเสนอรับรองไครเมียเป็นของรัสเซียอย่างเป็นทางการ ในการหารือที่กรุงลอนดอนวันพุธนี้ โดยข้อเสนอนี้ถูกส่งต่อไปยังพันธมิตรตะวันตก เพื่อใช้เป็นฐานในการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครนที่กรุงปารีสในวันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน 2568

ข้อเสนอมีเป้าหมายเพื่อยุติการสู้รบ ด้วยการแลกเปลี่ยนระหว่างการหยุดยิงถาวรกับการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวระบุว่า แผนดังกล่าวจะทำให้การสู้รบตามแนวหน้าหยุดชะงักลง โดยพื้นที่ส่วนใหญ่ของยูเครนที่ปัจจุบันอยู่ภายใต้การยึดครองของรัสเซีย จะยังคงอยู่ในการควบคุมของรัสเซียต่อไป

นอกจากนี้ ความต้องการของยูเครนที่จะเข้าร่วมองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (NATO) ก็ไม่รวมอยู่ในแผนนี้ ซึ่งอาจกลายเป็นจุดขัดแย้งสำคัญในเวทีการเจรจา

ขณะเดียวกัน คายา คัลลาส หัวหน้าฝ่ายการทูตของสหภาพยุโรป (EU) ยืนยันหนักแน่นว่ายุโรปจะไม่ยอมรับสถานะของไครเมียในฐานะดินแดนของรัสเซีย พร้อมวิจารณ์ว่าสหรัฐฯ ยังไม่ได้ใช้มาตรการกดดันรัสเซียอย่างเต็มที่ และระบุว่ารัฐบาลรัสเซียกำลัง “เล่นเกมกับการสงบศึกในช่วงอีสเตอร์” โดยไร้ความจริงใจในการแสวงหาสันติภาพ

คัลลาสยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ยูเครนและชาติพันธมิตรในยุโรปต่างคาดหวังให้วอชิงตันแสดงจุดยืนที่เด็ดขาดและเข้มแข็งมากยิ่งขึ้นในการเผชิญหน้ากับรัสเซีย

‘มาร์โก รูบิโอ’ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ สั่งยุบ 132 หน่วยงาน-ลดคน 700 หวังเพิ่มประสิทธิภาพการทูต รับนโยบายใหม่ ‘อเมริกาต้องมาก่อน’

(23 เม.ย. 68) นายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เปิดเผยแผนปรับโครงสร้างกระทรวงการต่างประเทศครั้งใหญ่ โดยจะยุบสำนักงานในประเทศ 132 แห่ง ลดตำแหน่งราว 700 อัตราในกรุงวอชิงตัน ยกเลิกสำนักงานด้านอาชญากรรมสงคราม และยุติบทบาทผู้แทนพิเศษด้านเสรีภาพทางศาสนาและด้านสภาพภูมิอากาศ

กระทรวงฯ ระบุว่าการเปลี่ยนแปลงมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แก้ปัญหาโครงสร้างองค์กรที่ 'ขยายใหญ่เกินความจำเป็น' โดยไม่ส่งผลให้มีการเลิกจ้างในทันที แต่ให้แต่ละหน่วยงานยื่นแผนลดบุคลากรลง 15% ภายใน 30 วัน พร้อมลดจำนวนหน่วยงานสังกัดจาก 734 เหลือ 602 แห่ง ทั้งนี้ มีแผนจัดสรรบุคลากรไปยังหน่วยงานอื่นแทนการปลดออก

รูบิโอระบุว่า การปฏิรูปครั้งนี้มีขึ้นภายใต้การนำของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพื่อ “คืนความสามารถในการแข่งขัน” ให้กับการทูตอเมริกัน และเน้นเป้าหมาย 'อเมริกาต้องมาก่อน' โดยเฉพาะในสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ซับซ้อนขึ้นในปัจจุบัน

เขายังกล่าวว่า หน่วยงานที่เคยเน้น 'สิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย และแรงงาน' กลับถูกใช้เป็นเวทีของกลุ่มหัวก้าวหน้าในการผลักดันวาระการเมือง เช่น การคว่ำบาตรอิสราเอล ส่งผลกระทบต่อพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ พร้อมย้ำว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะ “คืนความเป็นกลางและความแข็งแกร่ง” ให้กับการทูตอเมริกันในเวทีโลก

‘เหว่ย ซือเฮ้า’ ชายชราที่เป็นผู้ให้อย่างแท้จริง ยอมเก็บขยะยังชีพ ส่งเงินบำนาญให้เด็กยากจนเรียน

เพจลึกชัดกับผิงผิง ได้ถ่ายทอดเรื่องราวสุดประทับใจของชายชรานาม ‘เหว่ย ซือเฮ้า’ ว่า...

เรื่องจริงที่อบอุ่นในโลกใบนี้

เดือนพฤศจิกายนปี 2014 ผู้เฒ่าเก็บขยะเดินเข้าหอสมุดเมืองหางโจว ล้างมืออย่างละเอียดเป็นเวลานาน แล้วจึงนั่งอ่านหนังสืออย่างเงียบๆ 

ผู้เฒ่าคนนี้มีชื่อว่า 'เหว่ย ซือเฮ้า' (韦思浩)เป็นหนึ่งในคนเก็บขยะและคนเร่ร่อนที่ชอบอ่านหนังสือ โดยมักขอเข้ามาอ่านหนังสือ ผู้อ่านส่วนหนึ่งเคยแสดงความไม่พอใจ แต่ผู้อำนวยการหอสมุดตอบว่า “ผมไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ไม่ให้ใครเข้ามาอ่านหนังสือ แต่คุณมีสิทธิ์ตัดสินใจออกจากที่นี่” ดังนั้น หอสมุดหางโจวยังได้ชื่อว่า 'หอสมุดที่อบอุ่นที่สุด'

ส่วนผู้เฒ่า 'เหว่ย ซือเฮ้า' ตั้งอกตั้งใจอ่านข่าวสารอย่างมากจนทุกคนต่างยกย่องให้เป็นคนเร่ร่อนที่ใฝ่หาความรู้อย่างแท้จริง พร้อมให้ฉายาว่า 'ผู้เฒ่านักอ่าน'

วันที่ 18 พฤศจิกายนปี 2015 เขาหมดลมหายใจเพราะถูกรถชนจนเสียชีวิต เมื่อเขาตาย เรื่องราวชีวิตของเขาก็ถูกเปิดเผย ความลับนี้ทำให้ผู้คนตะลึงและเสียน้ำตาไปตามๆกัน 

ประวัติของเขาจบมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง ปี 1960 ก่อนเกษียณอายุเป็นอาจารย์สอนใน รร.มัธยม ยังชีพด้วยเงินบำนาญไม่มากมายนัก และเขาก็เก็บขยะประทังชีวิตไปวัน ๆ ..

เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบทรัพย์สินของเขา ล้วนไม่มีราคาค่างวดอะไร.. แต่กลับพบใบอนุโมทนาบัตร ที่บริจาคเงินเพื่อทุนการศึกษา ซึ่งเขาเก็บไว้จนกระดาษเก่ากลายเป็นสีเหลืองซีด และไปรษณียบัตรที่ส่งมาจากที่ต่าง ๆ ลงชื่อของผู้ที่ได้รับทุนการศึกษาจากเขา แจ้งผลการเรียนทุกเทอมกลับมาให้เขาทราบทุกฉบับ 

แท้จริง .. ผู้เฒ่าต้องการประหยัด กินน้อย-ใช้น้อย มอบเงินที่มีอยู่ทั้งหมด พร้อมกับเงินบำนาญอันน้อยนิด บริจาคให้นักเรียนยากจน โดยไม่ยอมแม้แต่จะใช้ชื่อจริง เขาใส่ใจบรรดาเด็กๆที่ส่งเสียให้เรียน และเด็กที่ได้รับทุนทุกคนก็ไม่รู้ว่าผู้ส่งเสียให้เรียนยากจนข้นแค้นแค่ไหน เพราะผู้เฒ่าใช้ชื่อปลอม ปกปิดชื่อจริงในการให้ทุนมาตลอด ..

ชั่วชีวิต ผู้เฒ่ามีแต่ความเรียบง่าย อยู่อย่างประหยัดมัธยัสถ์ นอนเตียงไม้ 1 หลัง เฟอร์นิเจอร์อื่น ๆ ไม่มีเลย, เมื่อ 10 ปีก่อน ก็ได้บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล เพื่อว่าตายไป อวัยวะส่วนไหนพอจะนำไปช่วยคนได้ เขาจะดีใจมากที่สุด 

ปี 1953 เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยเจ้อเจียง หลังจบการศึกษาเป็นครูสอนมัธยมปลายของโรงเรียนเฉาหยางเมืองหางโจว เขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายมาก ที่บ้านมีแต่ตู้เก็บหนังสือ เตียงนอน นอกจากนั้น ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อย่างอื่น 

เหล่าลูกสาวของเขากล่าวว่า อาหารการกินของพ่อก็ง่าย ๆ กินอิ่มก็พอ ใช้เงินประหยัดมาก ๆ หรือกล่าวได้ว่าขี้เหนียวเลย

หลังเกษียณอายุแล้ว เขามีเงินบำนาญเดือนละ 5,600 หยวน ตามแนวปกติก็จะใช้ชีวิตได้อย่างสบาย เลี้ยงนกหรือปลูกดอกไม้ที่บ้าน ไปเล่นหมากรุกในสวนสาธารณะ 

แต่คิดไม่ถึงว่า เขาจะไปเก็บเศษขยะ ลูกสาวและนักเรียนเก่าของเขาล้วนไม่เข้าใจ แต่ไม่มีใครสามารถบอกให้เขายอมกลับไปพักที่บ้าน 

หลังเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต ลูกสาวของเขาไปจัดเก็บของเก่าด้วยอารมณ์เศร้า แต่พบความลับที่สะเทือนใจ มรดกของเขามีกล่องเหล็กอันหนึ่ง ข้างในเก็บใบโอนเงินที่เก่าจนกระดาษเป็นสีเหลืองซีดปึกใหญ่และจดหมายหลายฉบับ แต่ลายเซ็นด้านบนเป็นชื่อที่ไม่คุ้นเคย 'เว่ย ติงจ้าว'

'เว่ย ติงจ้าว' เป็นใคร มีความผูกพันกับพ่ออย่างไร บรรดาลูกสาวของเขาเริ่มค้นหาตามข้อมูล จึงได้รู้ความจริง ปรากฏว่าในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา พ่ออุบเรื่องหนึ่งไว้ไม่บอกพวกเธอ

ตั้งแต่ทศวรรษปี 1900 พ่อก็ใช้ชื่อ 'เว่ย ติงจ้าว' ในระหว่างช่วยเหลือเด็กนักเรียนยากจนที่ไม่รู้จัก เริ่มตั้งแต่หลายสิบหยวนจนถึงหลายพันหยวน การใช้เงินเพื่อการนี้ พ่อไม่เคยประหยัดเลย 

เด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งชื่อ 'หลัน เยี้ยนเยี่ยน' ได้เขียนจดหมายว่า “ขอบคุณความช่วยเหลือของคุณปู่ ที่ทำให้ฉันสมหวังเรียนหนังสือในโรงเรียน” จดหมายแบบนี้มีจำนวนมาก 

จนถึงเวลานี้ เพื่อนๆ และนักเรียนของเขาจึงได้รู้ว่า ผู้เฒ่าที่ขี้เหนียวคนนี้ ใช้เงินเดือนของตนไปช่วยเหลือเด็กนักเรียนที่ยากจน ถึงแม้เกษียณอายุแล้ว ก็ยังขยันไปเก็บเศษขยะ เพื่อได้เงินช่วยเหลือคนอื่นมากขึ้น 

นอกจากนั้น เมื่อ 10 ปีก่อน พ่อได้บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล เพื่อว่าตายไป อวัยวะส่วนไหนพอจะนำไปช่วยคนได้ เขาจะดีใจมากที่สุด 

เมื่อความจริงประจักษ์เช่นนี้ ลูกสาวสามคนพากันน้ำตาแตกเหมือนสายฝน นี่เป็นพ่อที่น่าเคารพมาก ๆ เสียดายที่แต่ก่อนไม่รู้เรื่องราวของพ่อ จึงไม่ได้สนับสนุนพ่อ 

ปี 2018 ชาวเน็ตจีนบริจาคเงินทำรูปปั้นของผู้เฒ่า 'เหว่ย ซือเฮ้า' แล้วนำไปตั้งที่หอสมุดหางโจว ผู้ที่เคยได้รับเงินทุนสนับสนุนจากคุณปู่ 'เหว่ย ซือเฮ้า' พากันเดินทางจากท้องที่ต่างๆ มาร่วมงาน พวกเขาน้ำตาคลอเบ้า ร้องไห้คร่ำครวญ และทำความเคารพอย่างนอบน้อมที่สุด

ตำนานส่งลูกผูกใจของตระกูล'พัธโนทัย' ย้อนไปปี 1965 ช่วงต้นสถาปนา 'สาธารณรัฐประชาชนจีน'

ทางฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ มีบ้านหลังหนึ่งที่ชื่อว่า 'บ้านสิรินทร์' เจ้าของบ้านหลังนี้คือ สิรินทร์ พัธโนทัย ซึ่งมีชื่อภาษาจีนว่า ฉางหยวน หนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์แห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-จีน

ย้อนไปเมื่อปี 1956 ช่วงต้นสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน สังข์ พัธโนทัย ผู้เป็นบิดาเคยส่งตัวสิรินทร์ในวัย 8 ปีพร้อม ‘วรรณไว พัธโนทัย’ พี่ชายวัย 12 ปีไปอยู่ภายใต้การดูแลของอดีตนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหลในฐานะบุตรบุญธรรม เพื่อแสดงความจริงใจและมิตรภาพที่มีต่อจีน

ครอบครัวของฉางหยวนมีบทบาทพิเศษต่อการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-จีน และด้วยเหตุนี้ตระกูลพัธโนทัยจึงมีสายใยผูกพันกับจีนอย่างแยกไม่ขาด

สิรินทร์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวว่าตลอด 14 ปีที่เธอเติบโตในประเทศจีน เธอรู้สึกประทับใจที่ได้เป็นหนึ่งในบุตรบุญธรรมของโจวเอินไหล และได้รับความรักเฉกเช่นคนในครอบครัว ปัจจุบัน สิรินทร์ยังคงใช้ภาษาจีนสื่อสารกับบุตรหลาน และบุตรหลานของเธอก็พูดภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว

กระทั่งปี 1975 ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีของไทยในขณะนั้นได้ลงนามสร้างสัมพันธ์ทางการทูตกับโจวเอินไหล นับเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีนอย่างเป็นทางการ

‘ทรัมป์’ เปลี่ยนท่าที เตรียมลดภาษีนำเข้าจีน ยอมรับไม่อยากให้สงครามการค้ายืดเยื้อ

(23 เม.ย.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เผยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ว่า สหรัฐฯ เตรียมลดเพดานภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนจากระดับสูงสุด 145% พร้อมยอมรับว่าไม่ต้องการให้สงครามการค้าระหว่างสองชาติเศรษฐกิจยืดเยื้อ โดยระบุว่า “จะไม่เล่นไม้แข็ง” และต้องการให้เกิดข้อตกลงที่เป็นธรรม

ด้าน รัฐมนตรีคลัง สกอตต์ เบสเซนต์ ระบุว่าการเจรจากับจีนจะเป็นเรื่องท้าทาย แต่คาดว่าความตึงเครียดจะผ่อนคลาย ขณะที่ทรัมป์ยืนยันจะลดภาษีลง “อย่างมาก” แม้ไม่ถึงขั้นเป็นศูนย์ แต่จะอยู่ในระดับที่จีนสามารถยอมรับได้ โดยเขาและทีมจะร่วมกันพิจารณารายละเอียดด้วยตนเอง

ขณะเดียวกัน รศ.ดร. อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก 'Aksornsri Phanishsarn' เมื่อ 23 เม.ย. ชี้ว่า ทรัมป์เริ่มถูกเมินหนักจากจีน จึงเริ่ม 'อ่อย' ด้วยท่าทีอ่อนลง พร้อมระบุว่า “ทรัมป์บอกจะ Very Nice กับจีนจ้า”

ทั้งนี้ ทรัมป์ยังเปลี่ยนท่าทีต่อเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด โดยยืนยันว่า “ไม่เคยคิดจะปลด” แม้เพิ่งวิจารณ์เรื่องการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยล่าช้า

‘กลุ่มก่อการร้าย’ กราดยิงนักท่องเที่ยวในรัฐจัมมูและแคชเมียร์ ดับสลด 26 ศพ เจ็บอีก 17 ราย ‘ทรัมป์’ โพสต์ประณามพร้อมหนุนอินเดีย

(23 เม.ย. 68) เกิดเหตุกราดยิงใส่กลุ่มนักท่องเที่ยวในเมืองปาฮาลกัม รัฐจัมมูและแคชเมียร์ ประเทศอินเดีย โดยกลุ่มมือปืนประมาณ 3-4 คน ใช้อาวุธปืนกราดยิงใส่นักท่องเที่ยวที่กำลังเดินทางอยู่ในพื้นที่ ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 26 คน และบาดเจ็บอีก 17 คน ถือเป็นเหตุโจมตีรุนแรงที่สุดในอินเดียในรอบหลายปี

ตามรายงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดีย 25 คน และชาวเนปาล 1 คน การโจมตีเกิดขึ้นในทุ่งหญ้านอกถนน ก่อนที่กลุ่มมือปืนจะหลบหนีไป โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 22 เมษายน ตามเวลาท้องถิ่น

อย่างไรก็ตาม กลุ่ม 'กองกำลังต่อต้านแคชเมียร์' ได้ออกมารับผิดชอบการโจมตีนี้ผ่านทางโซเชียลมีเดีย โดยกล่าวถึงความไม่พอใจที่มีผู้คนจากภายนอกเข้ามาตั้งถิ่นฐานในแคชเมียร์

นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ซึ่งอยู่ระหว่างการเยือนซาอุดีอาระเบีย ได้ตัดสินใจกลับกรุงเดลีเพื่อดูแลสถานการณ์ ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้โพสต์ประณามเหตุการณ์ดังกล่าว และแสดงการสนับสนุนอินเดียในการต่อสู้กับกลุ่มผู้ก่อการร้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top