Friday, 9 May 2025
World

ประณามสหรัฐฯ แทรกแซงไทย กรณีคว่ำบาตรวีซ่า ปมส่งอุยกูร์กลับจีน

(18 มี.ค. 68) กระทรวงการต่างประเทศของจีน ออกมาแสดงท่าทีเกี่ยวกับสถานการณ์ระหว่างไทยและสหรัฐฯ หลังจากที่ มาร์โก รูบิโอ (Marco Rubio) รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศมาตรการจำกัดวีซ่า และคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่ไทยที่เกี่ยวข้องกับการส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คนกลับจีน

เหมา หนิง (Mao Ning) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวในการตอบคำถามของผู้สื่อข่าวว่า จีนคัดค้านอย่างหนักแน่นต่อการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่นภายใต้ข้ออ้างด้านสิทธิมนุษยชน และมองว่ามาตรการของสหรัฐฯ เป็นการใช้แรงกดดันทางการเมืองที่ไม่เหมาะสม

“จีนยึดมั่นในหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐอธิปไตย และเราขอเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยุติการใช้สิทธิมนุษยชนเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อกดดันประเทศอื่น” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าว

จีนเน้นย้ำถึงความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและจีนในด้านความมั่นคง และกล่าวว่าการส่งตัวบุคคลกลับประเทศต้องเป็นไปตามกฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศ โดยรัฐบาลจีนได้ให้ความสำคัญกับความมั่นคงและเสถียรภาพภายในประเทศ ขณะเดียวกันก็เคารพอธิปไตยของไทยในการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายด้านความมั่นคงของตนเอง

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนยังกล่าวเพิ่มเติมว่า จีนพร้อมทำงานร่วมกับไทยอย่างใกล้ชิดในประเด็นต่าง ๆ รวมถึงการต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ

ในขณะที่จีนออกมาตอบโต้ สหรัฐฯ ยังคงยืนกรานว่าการคว่ำบาตรครั้งนี้เป็นมาตรการที่มุ่งปกป้องสิทธิมนุษยชนของชาวอุยกูร์ 

อย่างไรก็ตาม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ค.ร.ม. ถึงประเด็นดังกล่าวว่า “ยังไม่มีและยังไม่ทราบ” เรื่องโดนสหรัฐ จำกัดวีซ่า กรณีส่งชาวอุยกูร์ 40 ชีวิตกลับจีน ต้องให้กระทรวงต่างประเทศช่วยอธิบายเรื่องข้อมูลกับสหรัฐฯ อีกที

ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่า กรณีนี้อาจกลายเป็นประเด็นที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทย สหรัฐฯ และจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เข้มข้นขึ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

Pop Mart ปรับกลยุทธ์รองรับยอดซื้อพุ่งสูง เพิ่มหลักสูตรอบรมพนักงานพูดไทย เอาใจนักท่องเที่ยวสายช้อป

(19 มี.ค. 68) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า กระแสอาร์ตทอยจากจีนกำลังมาแรงในกลุ่มนักท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะแบรนด์ดังอย่าง Pop Mart ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้หลายสาขาในจีนเริ่มปรับกลยุทธ์ใหม่ ด้วยการส่งเสริมให้พนักงานฝึกพูดภาษาไทย เพื่อให้สามารถให้บริการนักท่องเที่ยวจากไทยได้อย่างสะดวกและประทับใจยิ่งขึ้น

โดย Pop Mart เป็นแบรนด์อาร์ตทอยจากจีนที่มีชื่อเสียงจากการออกแบบคาแรกเตอร์ที่มีเอกลักษณ์ และการเปิดตัวคอลเลกชันลิมิเต็ดอิดิชันที่ดึงดูดใจนักสะสมทั่วโลก ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แบรนด์นี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางไปจีน โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยวหลักอย่าง ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และกวางโจว ที่มีร้าน Pop Mart ตั้งอยู่หลายแห่ง

และหลังจากที่รัฐบาลจีนประกาศมาตรการยกเว้นวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวไทย ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567 เป็นต้นมา พบว่านักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปจีนเพิ่มขึ้น โดยข้อมูลจาก Bloomberg ระบุว่า จำนวนนักเดินทางจากไทยเข้ากรุงปักกิ่งเพิ่มขึ้น 62% เมื่อเปรียบเทียบระหว่างปี 2562 กับ 2567

จากแนวโน้มนี้ Pop Mart จึงเริ่มให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะด้านภาษาของพนักงาน โดยเฉพาะภาษาไทย เพื่อให้สามารถสื่อสารกับลูกค้าจากไทยได้ง่ายขึ้น รวมถึงสามารถแนะนำสินค้า โปรโมชั่น และให้บริการที่เป็นมิตรมากขึ้น ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับนักท่องเที่ยว และกระตุ้นยอดขายไปในตัว

ร้าน Pop Mart หลายสาขาในจีนเริ่มมีการจัดอบรมภาษาไทยเบื้องต้นให้กับพนักงาน โดยเน้นคำศัพท์และประโยคที่ใช้บ่อยในการขายสินค้า เช่น “สวัสดีค่ะ/ครับ ยินดีต้อนรับ”, “ตัวนี้เป็นคอลเลกชันใหม่ค่ะ”, “มีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับวันนี้ค่ะ” “จ่ายผ่าน Alipay หรือ WeChat Pay ได้นะคะ”

นอกจากนี้ บางร้านยังมีการใช้ป้ายแนะนำสินค้าเป็นภาษาไทย รวมถึงเพิ่มตัวเลือกการชำระเงินผ่านแอปพลิเคชันที่นักท่องเที่ยวไทยนิยมใช้ เช่น QR Payment หรือบัตรเครดิตต่างประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกยิ่งขึ้น

ขณะที่นักสะสมอาร์ตทอยชาวไทยหลายคนให้ความเห็นว่า การที่พนักงาน Pop Mart ในจีนสามารถพูดภาษาไทยได้ ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะช่วยให้การเลือกซื้อสินค้าง่ายขึ้น และยังเพิ่มความรู้สึกเป็นกันเองกับแบรนด์มากขึ้น บางคนถึงกับบอกว่า การได้พูดคุยกับพนักงานที่เข้าใจภาษาไทย ทำให้การซื้ออาร์ตทอยสนุกขึ้นและช่วยให้ตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น

ในขณะเดียวกัน Pop Mart ก็เริ่มขยายตลาดในไทยมากขึ้น โดยมีสาขาในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ รวมถึงการเปิดตัวคอลเลกชันพิเศษที่เจาะกลุ่มแฟนคลับไทยโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม นักสะสมหลายคนยังคาดหวังให้ Pop Mart นำเข้าคอลเลกชันพิเศษจากจีนมาไทยมากขึ้น และเพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ

จากกระแสความนิยมของอาร์ตทอยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และความพยายามของ Pop Mart ในการปรับตัวให้เข้ากับนักท่องเที่ยวไทย เป็นที่คาดการณ์ว่าแบรนด์นี้จะขยายตลาดในไทยมากขึ้นในอนาคต และอาจมีการเปิดร้านสาขาใหม่ ๆ รวมถึงกิจกรรมพิเศษที่ดึงดูดแฟน ๆ อาร์ตทอยชาวไทยให้มากขึ้น

ปูตินตกลงหยุดโจมตีโรงไฟฟ้ายูเครน 30 วัน นาโต้เชื่อรัสเซียแค่หยุดพัก เตรียมรบใหม่แน่เมื่อครบกำหนด

(19 มี.ค. 68) ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ได้ตกลงที่จะหยุดโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครนเป็นเวลา 30 วัน หลังจากการหารือทางโทรศัพท์กับอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเสนอตัวเป็นผู้ไกล่เกลี่ยเพื่อช่วยลดความตึงเครียดในสงครามที่ดำเนินมากว่าสองปี

รายงานระบุว่า ในการสนทนาครั้งนี้ ทรัมป์ได้กดดันให้รัสเซียหยุดการโจมตีระบบพลังงานของยูเครน เนื่องจากโครงสร้างเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญต่อการดำรงชีวิตของพลเรือนในช่วงที่สงครามยังดำเนินอยู่ ด้านปูตินตอบรับข้อเรียกร้องนี้ และให้คำมั่นว่าจะชะลอปฏิบัติการทางทหารที่มุ่งเป้าไปยังโรงไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครนเป็นการชั่วคราว

แม้ข้อตกลงนี้จะถูกมองว่าเป็นก้าวสำคัญในการลดผลกระทบด้านมนุษยธรรม แต่รัฐบาลยูเครนยังคงสงวนท่าที โดยโฆษกของประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ระบุว่า “การหยุดยิงโครงสร้างพลังงานเป็นเรื่องที่ดี แต่สิ่งที่ยูเครนต้องการคือการยุติสงครามโดยสมบูรณ์”

ขณะเดียวกัน นาโต้และชาติพันธมิตรตะวันตก ได้ออกมาเตือนว่า ข้อตกลงนี้อาจเป็นเพียง "การหยุดพักยุทธศาสตร์" ของรัสเซีย เพื่อเตรียมการโจมตีครั้งใหม่หลังครบกำหนด 30 วัน

หลังจากการเจรจาครั้งนี้ ทรัมป์ออกแถลงการณ์โดยอ้างว่า “นี่เป็นก้าวแรกของการนำสันติภาพกลับคืนมา ผมสามารถทำให้สงครามนี้จบลงได้อย่างรวดเร็ว ถ้าผมได้รับโอกาส” ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณถึงผู้สนับสนุนของเขาในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง

แม้ว่าข้อตกลงหยุดโจมตีโครงสร้างพลังงานของยูเครนจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมองว่า มีความเป็นไปได้ที่รัสเซียจะกลับมาโจมตีอีกครั้งหลังจากครบกำหนด เว้นแต่ว่าจะมีการเจรจาสันติภาพเพิ่มเติม

ญี่ปุ่นเผชิญหิมะตกหนักผิดฤดูในโตเกียว อุตุฯ ชี้สภาพอากาศแปรปรวนมาจากหย่อมความกดอากาศต่ำ

(19 มี.ค. 68) สำนักข่าวคิโยโด นิวส์ รายงานว่า เกิดสภาพอากาศที่ผิดปกติในวันนี้ เมื่อหิมะตกลงมาในช่วงที่ไม่ใช่ฤดูหนาวของกรุงโตเกียว โดยปรากฏการณ์นี้เป็นผลจากหย่อมความกดอากาศต่ำที่กำลังก่อตัวขึ้นในพื้นที่ทางตะวันออกของญี่ปุ่น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและสภาพอากาศที่ผิดปกติ

กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นได้ประกาศเตือนสภาพอากาศแปรปรวนรุนแรงในวงกว้าง ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของหมู่เกาะญี่ปุ่น โดยเฉพาะในพื้นที่ตอนกลางและตะวันออกของญี่ปุ่นที่ได้รับผลกระทบจากพายุหิมะและฝนตกหนัก

การตกของหิมะในช่วงกลางเดือนมีนาคมนี้ถือเป็นเหตุการณ์ที่หาได้ยากในญี่ปุ่น ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาวเท่านั้น แต่ในวันนี้ พายุที่เกิดขึ้นจากหย่อมความกดอากาศต่ำได้ทำให้กรุงโตเกียวและพื้นที่ใกล้เคียงประสบกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่ผิดปกติ

ทางกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นได้แจ้งเตือนให้ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบระมัดระวังอันตรายจากการเกิดหิมะตกหนัก การจราจรติดขัด และสภาพถนนที่ลื่นไถล รวมถึงเตือนให้เตรียมพร้อมสำหรับสภาพอากาศที่แปรปรวนในช่วง 24 ชั่วโมงข้างหน้า

ทั้งนี้ โดยปกติแล้วเดือนมีนาคมในญี่ปุ่นถือเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ โดยจะเริ่มตั้งแต่ประมาณกลางเดือนมีนาคมไปจนถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งในช่วงนี้อุณหภูมิจะเริ่มอุ่นขึ้น และมีการบานของดอกซากุระ รวมถึงเป็นช่วงที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก

Apple - Meta - Boeing นำทัพบริษัทยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ เข้าพบนายกฯ ‘ฝ่ามมิงชิ่ญ’ ถกการขยายธุรกิจในเอเชีย

(19 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า คณะผู้แทนจากกว่า 60 บริษัทชั้นนำของสหรัฐฯ รวมถึง Apple, Meta และ Boeing ได้เดินทางเข้าพบ นายฝ่ามมิงชิ่ญ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม เพื่อหารือเกี่ยวกับโอกาสในการขยายการลงทุนและความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ

การเจรจาครั้งนี้จัดขึ้นท่ามกลางความพยายามของเวียดนามในการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ โดยเฉพาะจากบริษัทเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมการผลิตขนาดใหญ่ สหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในคู่ค้าหลักของเวียดนาม กำลังมองหาโอกาสในการกระจายฐานการผลิตออกจากจีน ส่งผลให้เวียดนามกลายเป็นศูนย์กลางสำคัญสำหรับธุรกิจระดับโลก

“เวียดนามเข้าสู่บทใหม่ด้วยระบบการเมืองที่ได้รับการปฏิรูปและปรับปรุงอย่างพื้นฐาน ชุมชนธุรกิจอเมริกันก็ตั้งตารอที่จะได้รับผลกระทบเชิงบวกจากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้และโอกาสต่างๆ ข้างหน้า” นายเท็ด โอเซียส ประธานสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน (USABC) กล่าว

แหล่งข่าวระบุว่า การหารือครั้งนี้ครอบคลุมหลายประเด็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายส่งเสริมการลงทุน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และแนวทางสนับสนุนบริษัทต่างชาติที่ต้องการขยายธุรกิจในเวียดนาม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมไฮเทค อิเล็กทรอนิกส์ และการบิน

ก่อนหน้านี้ Apple และบริษัทซัพพลายเออร์ของตนได้ขยายการผลิตมายังเวียดนามอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ Meta กำลังมองหาโอกาสทางดิจิทัลและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในภูมิภาค ส่วน Boeing ก็ให้ความสนใจในการร่วมมือด้านอุตสาหกรรมการบิน

นายฝ่ามมิงชิ่ญย้ำถึงความพร้อมของเวียดนามในการสนับสนุนการลงทุนจากสหรัฐฯ และเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นระหว่างทั้งสองประเทศ โดยรัฐบาลเวียดนามพร้อมให้การสนับสนุนในด้านนโยบาย สิทธิประโยชน์ทางภาษี และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อดึงดูดการลงทุนในระยะยาว

การประชุมครั้งนี้สะท้อนถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานโลก และบทบาทที่เพิ่มขึ้นของเวียดนามในฐานะศูนย์กลางการลงทุนของบริษัทชั้นนำระดับโลก

ธุรกิจต้องมาก่อน เมื่อบริษัทยักษ์ใหญ่สหรัฐกว่า 150 แห่ง ยังทำธุรกิจในรัสเซีย แม้ถูกคว่ำบาตรหนัก

(19 มี.ค. 68) บริษัทสัญชาติสหรัฐฯ ราว 150 แห่ง นำโดย โคคา-โคลา ฟอร์ด ไมโครซอฟท์ ไอบีเอ็ม แมคโดนัลด์ ยังคงเดินหน้าทำธุรกิจในรัสเซีย แม้วอชิงตันจะประกาศมาตรการคว่ำบาตรต่อมอสโกหลายต่อหลายรอบ จากการเปิดเผยของ คิริล ดมิทรีเยฟ ผู้แทนพิเศษด้านการลงทุนและความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับต่างประเทศของประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน

ดมิทรีเยฟระบุว่า แม้รัฐบาลสหรัฐฯ จะเพิ่มแรงกดดันทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย แต่บริษัทอเมริกันหลายแห่งยังคงเลือกที่จะรักษาผลประโยชน์ทางธุรกิจในประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมพลังงาน เทคโนโลยี และสินค้าอุปโภคบริโภค

“มีบริษัทสหรัฐฯ จำนวนมากที่ยังคงดำเนินธุรกิจในรัสเซีย เนื่องจากตระหนักถึงความสำคัญของตลาดและโอกาสทางเศรษฐกิจที่นี่” ดมิทรีเยฟกล่าว

ดมิทรีเยฟ กล่าวเสริมอีกว่าบริษัทอเมริกันจะประสบความยากลำบากในการกลับสู่รัสเซีย และทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับบริษัทเหล่านี้คือการร่วมทุนกับธุรกิจในท้องถิ่น “หอการค้าอเมริกันแสดงให้เห็นว่ามีบริษัทสหรัฐฯ 150 แห่งอยู่ในตลาดรัสเซีย โดย 75% ของบริษัทเหล่านี้ดำเนินกิจการมานานกว่า 25 ปีแล้ว และแน่นอนว่าพวกเขาต้องการดำเนินธุรกิจต่อไปในรัสเซีย”

รายงานระบุว่า บริษัทข้ามชาติบางแห่งได้ปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจ เช่น การใช้ตัวแทนท้องถิ่นหรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการลงทุนเพื่อให้ยังสามารถดำเนินงานในรัสเซียได้ โดยไม่ขัดต่อมาตรการคว่ำบาตรของรัฐบาลสหรัฐฯ

ในขณะที่หลายบริษัทตะวันตกถอนตัวจากรัสเซียหลังจากความขัดแย้งในยูเครนปะทุขึ้นตั้งแต่ปี 2022 บริษัทอเมริกันบางแห่งกลับ ยังคงรักษาผลประโยชน์ทางธุรกิจในรัสเซีย ท่ามกลางสภาวะที่ซับซ้อนทางภูมิรัฐศาสตร์

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์มองว่า แม้มาตรการคว่ำบาตรจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจรัสเซีย แต่ในความเป็นจริง บริษัทต่างชาติบางแห่งยังต้องพึ่งพาตลาดรัสเซีย ทำให้ไม่สามารถถอนตัวออกจากธุรกิจได้โดยง่าย

ตำรวจเติร์กรวบนายกเทศมนตรีนครอิสตันบูล หลังมีข่าวเตรียมลงชิงตำแหน่ง ปธน.

(19 มี.ค. 68) สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตุรกีได้ออกหมายจับ เอแกรม อีมาโมลู (Ekrem İmamoğlu) นายกเทศมนตรีนครอิสตันบูล พร้อมส่งกำลังตำรวจเข้าตรวจค้นที่พักของเขาในวันนี้

ตามรายงานจากแหล่งข่าวภายในประเทศ การออกหมายจับครั้งนี้มีขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดทางการเมืองในตุรกี โดยยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดแน่ชัดเกี่ยวกับข้อกล่าวหาที่อีมาโมลูต้องเผชิญ อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่าอาจเกี่ยวข้องกับ ข้อกล่าวหาด้านการทุจริต หรือประเด็นทางการเมืองที่อ่อนไหว

แหล่งข่าวจากฝ่ายความมั่นคงเปิดเผยว่า ตำรวจได้เข้าตรวจค้นบ้านพักของอีมาโมลู ในช่วงเช้ามืด และกำลังอยู่ระหว่างการสืบสวนเพิ่มเติม ด้านเจ้าตัวยังไม่มีแถลงการณ์ใดๆ เกี่ยวกับการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ แต่มีการโพสต์คลิปวิดีโอผ่านแพลตฟอร์มเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์) จากภายในที่พักของเขา ระบุว่า 

“มีตำรวจนับร้อยนายมาอยู่หน้าประตูบ้านผม เรากำลังเผชิญกับการใช้อำนาจเผด็จการครั้งใหญ่ ผมขอฝากความหวังไว้กับประชาชน”

เอแกรม อีมาโมลู เป็นบุคคลสำคัญทางการเมืองของตุรกี และถือเป็น คู่แข่งทางการเมืองสำคัญของประธานาธิบดีเรเจป ไตยิป แอร์โดอัน โดยเขาสังกัดพรรคฝ่ายค้าน พรรครีพับลิกันประชาชน (CHP) และเคยได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครอิสตันบูลถึงสองครั้ง ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในเวทีการเมืองของตุรกี

นักวิจารณ์ประณามการคุมขังดังกล่าวว่าเป็นประเด็นทางการเมืองและเป็นส่วนหนึ่งของการปราบปรามฝ่ายค้านที่ยังคงดำเนินต่อไปของรัฐบาล หลังจากที่เออร์โดกันพ่ายแพ้อย่างยับเยินในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นและนายกเทศมนตรีเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งตอนนี้ประเทศกำลังเตรียมเข้าสู่การเลือกตั้งครั้งสำคัญในอนาคต

ภายหลังการจับกุมอิมาโมกลู ผู้ว่าการอิสตันบูลได้สั่งระงับสิทธิในการประท้วงในเมืองจนถึงวันที่ 23 มีนาคม “พื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน” นอกจากนี้สถานีรถไฟใต้ดินและถนนบางสายในตัวเมืองอิสตันบูลยังถูกปิดอีกด้วย

ทั้งนี้ แถลงการณ์ล่าสุดจากสำนักงานอัยการสูงสุดแห่งอิสตันบูล ระบุว่า อีมาโมลู และคนอื่นๆ อีกประมาณ 100 คนที่เกี่ยวข้องกับเขา ถูกกล่าวหาว่าเป็นสมาชิกขององค์กรอาชญากรรม เรียกสินบน ขู่กรรโชก และฉ้อโกงโดยเจตนา 

โดยทางด้าน ภรรยาของนายกเทศมนตรีที่ถูกคุมขัง กล่าวถึงข้อกล่าวหาต่อสามีของเธอว่า “ใครๆ ก็คงหัวเราะเยาะเรื่องแบบนี้” “เรื่องแบบนี้เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน มันเป็นการใส่ร้ายที่ร้ายแรงมาก และทุกอย่างจะต้องถูกเปิดเผย”

ทรัมป์สั่งปล่อยแฟ้มลับคดี JFK 80,000 หน้า เริ่มต้นยุคใหม่แห่งความโปร่งใส เผยทุกข้อมูลไม่มีเซ็นเซอร์

(20 มี.ค. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สั่งการให้เปิดเผยเอกสารลับจำนวน 80,000 หน้า ที่เกี่ยวข้องกับการลอบสังหารประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี (JFK) ในปี 1963 โดยไม่มีการแก้ไขหรือเซ็นเซอร์ข้อมูลใดๆ

การเปิดเผยครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการสร้างความโปร่งใสของรัฐบาล โดยทัลซี แก็บบาร์ด ผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติ ระบุว่า นี่เป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ของความโปร่งใสสูงสุด

เอกสารที่เปิดเผยประกอบด้วยข้อมูลเกี่ยวกับการสืบสวนของคณะกรรมาธิการวอร์เรนในปี 1964 ซึ่งสรุปว่า ลี ฮาร์วีย์ ออสวอลด์ เป็นผู้ลงมือสังหารเคนเนดีเพียงคนเดียว อย่างไรก็ตาม มีการตั้งข้อสังเกตว่าเอกสารบางส่วนอาจชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของการมีส่วนร่วมของกลุ่มอื่น ๆ เช่น ซีไอเอ หรือกลุ่มผู้ลี้ภัยคิวบา

นอกจากนี้ เอกสารยังเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับปฏิบัติการลับของซีไอเอในช่วงทศวรรษที่ 1960 รวมถึงการพยายามโค่นล้มฟิเดล คาสโตร ผู้นำคิวบา

แม้ว่าการเปิดเผยเอกสารครั้งนี้จะได้รับการยกย่องว่าเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความโปร่งใส แต่ผู้เชี่ยวชาญและนักประวัติศาสตร์บางคนยังคงสงสัยว่าเอกสารเหล่านี้จะเปิดเผยข้อมูลใหม่ที่สำคัญหรือไม่ โดยระบุว่าเอกสารส่วนใหญ่เป็นข้อมูลที่เคยถูกเปิดเผยมาก่อนหน้านี้แล้ว

การเปิดเผยเอกสารครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางข้อกล่าวหาว่า “รัฐเร้นลึก” (Deep State) คือการปกครองลับรูปแบบหนึ่งประกอบด้วยเครือข่ายอำนาจที่ดำเนินการอย่างเป็นอิสระจากคณะผู้นำทางการเมืองของประเทศ เพื่อผลักดันระเบียบวาระหรือเป้าหมายของตนเอง ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารเคนเนดี อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนยืนยันข้อกล่าวหาดังกล่าว

ทั้งนี้ เอกสารทั้งหมดสามารถเข้าถึงได้ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติในรัฐแมริแลนด์ และจะถูกเผยแพร่ออนไลน์เมื่อมีการแปลงเป็นดิจิทัลแบบเสร็จสมบูรณ์

‘เซเลนสกี’ ยกหูคุย ‘ทรัมป์’ 1 ชั่วโมง การสนทนาเป็นไปด้วยดี เชื่อสันติภาพเกิดขึ้นได้ในปีนี้

(20 มี.ค. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ เปิดเผยว่า เขาได้สนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีแห่งยูเครนเป็นที่เรียบร้อย โดยการสนทนาดังกล่าวเป็นไปด้วยดีและใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

ทรัมป์ระบุผ่าน Truth Social ว่า “การหารือส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการที่ผมได้สนทนากับประธานาธิบดีปูตินเมื่อวานนี้ เพื่อทำให้ความต้องการของรัสเซียและยูเครนสอดคล้องกัน ซึ่งเรากำลังเข้าใกล้เป้าหมายดังกล่าว”

ก่อนหน้านี้ เซเลนสกีได้กล่าวว่า เขาจะสนทนาทางโทรศัพท์กับทรัมป์ เพื่อเรียกร้องให้สหรัฐฯ จับตาการบังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิง 30 วันระหว่างรัสเซียและยูเครน

“เราเห็นชอบร่วมกันว่ายูเครนกับสหรัฐฯ ควรทำงานร่วมกันต่อไป เพื่อบรรลุจุดจบที่แท้จริงของสงครามและสันติภาพที่ยั่งยืน” เซเลนสกี กล่าว “เราเชื่อว่าการร่วมมือกับอเมริกา กับประธานาธิบดีทรัมป์ และภายใต้การนำของอเมริกา จะนำพาสันติภาพที่ยั่งยืนที่สามารถเกิดขึ้นได้ในปีนี้”

ทั้งนี้ ทรัมป์ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซียเมื่อวานนี้ (19 มี.ค.) โดยปูตินเห็นพ้องที่จะให้มีการหยุดยิงเป็นเวลา 30 วันต่อเป้าหมายโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานในยูเครน

เซเลนสกีกล่าวว่า คำพูดของปูตินยังคงไม่เพียงพอ และยูเครนจะเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าในประเทศ เพื่อให้สหรัฐฯ และพันธมิตรช่วยจับตาการบังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิง

“ผมหวังว่าจะมีการควบคุมในเรื่องนี้ ซึ่งผมเชื่อว่าควรจะมาจากสหรัฐฯ ขณะที่ยูเครนพร้อมปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งถ้ารัสเซียไม่โจมตีโรงไฟฟ้าของเรา เราก็จะไม่โจมตีโรงไฟฟ้าของพวกเขา” เซเลนสกีกล่าว

การสนทนาระหว่างทรัมป์และเซเลนสกีในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดเหตุปะทะคารมกันในทำเนียบขาว ซึ่งการพูดคุยล่าสุดผู้นำทั้งสองต่างบอกว่าเป็นไปด้วยดี

นอกจากนี้ มีรายงานว่าทรัมป์และเซเลนสกีได้หารือเกี่ยวกับกระบวนการสร้างสันติภาพ และโอกาสที่สหรัฐฯ จะเข้าไปเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในยูเครน

หลายฝ่ายเฝ้าจับตามองการพูดคุยกันทางโทรศัพท์ระหว่างทรัมป์และปูตินที่เกิดขึ้นนานกว่า 2 ชั่วโมงเมื่อวานนี้ ในขณะเดียวกัน เซเลนสกีได้ขอให้ทรัมป์สนับสนุนด้านการป้องกันทางอากาศเพิ่มเติม เพื่อปกป้องจากการโจมตีของรัสเซีย โดยทรัมป์กล่าวว่าจะช่วยหาอุปกรณ์ทางทหารที่จำเป็น

อย่างไรก็ดี การสนทนาระหว่างผู้นำทั้งสองในครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการสร้างสันติภาพและความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อยุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในภูมิภาค

รัสเซียเปิดแผนผลิตลิเธียม 60,000 ตันภายในปี 2030 หนุนอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ไฟฟ้า ลดการพึ่งพาต่างชาติ

(20 มี.ค. 68) สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติรัสเซียประกาศแผนผลิตลิเธียมคาร์บอเนตอย่างน้อย 60,000 เมตริกตันภายในปี 2030 เพื่อเสริมสร้างอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ไฟฟ้ากำลังสูงและลดการพึ่งพาการนำเข้า

ลิเธียมและแร่ธาตุสำคัญอื่น ๆ รวมถึงแร่หายาก (Rare Earth) ซึ่งได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เสนอทำข้อตกลงแร่ธาตุกับยูเครนและรัสเซีย เพื่อแข่งขันกับจีนที่ครองตลาดแร่หายากอยู่ในปัจจุบัน

รัสเซียมีแผนเปิดดำเนินการแหล่งลิเธียมสำคัญ 3 แห่ง ได้แก่ Kolmozerskoye, Polmostundrovskoye และ Tastygskoye ภายในปี 2030 เพื่อสนับสนุนการผลิตลิเธียมในประเทศ โดยในปี 2023 รัสเซียผลิตลิเธียมได้เพียง 27 ตัน ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการทำเหมืองมรกต

“การผลิตลิเธียมในประเทศจะช่วยให้รัสเซียสามารถควบคุมต้นทุนและจัดหาวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดได้อย่างยั่งยืน” เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติรัสเซีย กล่าว

อย่างที่ทราบกันดีว่า ความต้องการลิเธียมเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากการพัฒนาแบตเตอรี่และยานพาหนะไฟฟ้า ส่งผลให้การผลิตลิเธียมในประเทศจะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของรัสเซีย

แผนดังกล่าวยังสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลรัสเซียในการพัฒนา เทคโนโลยีแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ซึ่งจำเป็นต่อการผลิต รถยนต์ไฟฟ้า (EVs) และระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage Systems - ESS)

นักวิเคราะห์ชี้ว่า หากรัสเซียสามารถเพิ่มกำลังผลิตลิเธียมได้ตามแผน จะช่วยให้ประเทศสามารถแข่งขันในตลาดโลกและลดต้นทุนของแบตเตอรี่ไฟฟ้า ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของการปฏิวัติพลังงานสะอาด

ปัจจุบัน จีนเป็นผู้ผลิตและส่งออกลิเธียมรายใหญ่ที่สุดของโลก และครองอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม รัสเซียกำลังวางแผนเพิ่มขีดความสามารถในการแปรรูปและกลั่นแร่ลิเธียม เพื่อลดการพึ่งพาจีนและสร้างอำนาจต่อรองในตลาดโลก

แผนการผลิตลิเธียมของรัสเซียนี้มีขึ้นท่ามกลางการแข่งขันด้านทรัพยากรแร่ธาตุสำคัญระหว่างมหาอำนาจ โดยก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เคยเสนอข้อตกลงแร่ธาตุกับยูเครนและรัสเซีย เพื่อสกัดอิทธิพลของจีนในตลาดแร่หายาก

ทั้งนี้ รัฐบาลรัสเซียเตรียมออกมาตรการสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้เพิ่มเติม รวมถึงการให้สิทธิพิเศษด้านภาษีและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเร่งการพัฒนาแหล่งทรัพยากรลิเธียมของประเทศ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top