Friday, 9 May 2025
World

อนาคตของ ‘เซเลนสกี’ อยู่ในภาวะวิกฤต หลังสหรัฐฯ กังวลความสามารถในการรักษาความมั่นคงยูเครน

(14 มี.ค. 68) โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในการดำรงตำแหน่งผู้นำของเขา โดยมีความกังวลเพิ่มขึ้นในวอชิงตันเกี่ยวกับความชอบธรรมของเขาในการเป็นผู้นำยูเครนในช่วงเวลาที่ประเทศเผชิญกับวิกฤตสงครามกับรัสเซีย

ตามรายงานจากหลายแหล่งข่าวในกรุงเคียฟและวอชิงตัน ระบุว่าในขณะนี้หลายฝ่ายในสหรัฐฯ เริ่มแสดงความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของเซเลนสกี และความสามารถของเขาในการรักษาความมั่นคงของประเทศในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ ทั้งในด้านการทูตและความคืบหน้าในการเจรจาทางการทหาร

แหล่งข่าวในวอชิงตันกล่าวว่า มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับการบริหารจัดการของเซเลนสกี โดยเฉพาะในการจัดการทรัพยากรทางทหารและการดำเนินนโยบายภายในที่อาจมีผลต่อความน่าเชื่อถือของเขาในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มพันธมิตรทางทหารของยูเครน

“เราอยู่ในการทำหน้าที่ท้ายๆ ของประธานาธิบดีเซเลนสกี” เจ้าหน้าที่ระดับสูงของยูเครนบอกกับไฟแนนเชียลไทม์ส

คำกล่าวนี้สะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับอนาคตทางการเมืองของโวโลดิมีร์ เซเลนสกี โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของยูเครนอ้างว่า การบริหารงานของเขาในช่วงท้ายๆ ของวาระกำลังเผชิญกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ ทั้งในด้านการทูต การรักษาความมั่นคงของประเทศ และการจัดการวิกฤตสงครามที่ยืดเยื้อกับรัสเซีย 

ในขณะเดียวกัน เซเลนสกีก็ยังคงเดินหน้าพยายามรักษาความเป็นผู้นำของเขา โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ยูเครนจะต้องได้รับการสนับสนุนจากนานาชาติเพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากรัสเซียอย่างต่อเนื่อง 

สำหรับวาระการดำรงตำแหน่งของโวโลดิมีร์ เซเลนสกีในฐานะประธานาธิบดียูเครนจะหมดลงในปี 2024 โดยเขาได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีครั้งแรกในวันที่ 31 มีนาคม 2019 และได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 พฤษภาคม 2019

ปธน.โปแลนด์ เผยต้องการนิวเคลียร์จากสหรัฐฯ เพื่อป้องกันการรุกรานจากรัสเซียในยุโรปตะวันออก

(14 มี.ค. 68) ประธานาธิบดีอันด์แชย์ ดูดา ของโปแลนด์ได้ออกมาเรียกร้องให้สหรัฐอเมริกาส่งอาวุธนิวเคลียร์เข้าประจำการในดินแดนโปแลนด์ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและเป็นเครื่องมือในการป้องปรามการรุกรานจากรัสเซียในอนาคต ซึ่งคำเรียกร้องดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่โปแลนด์ยังคงเผชิญกับความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงจากการรุกรานของรัสเซียในภูมิภาคยุโรปตะวันออก

ในคำแถลงของเขาเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (12 มี.ค. 68) ประธานาธิบดีดูดาได้กล่าวว่า โปแลนด์จำเป็นต้องเสริมสร้างความเข้มแข็งทางทหารในฐานะสมาชิกขององค์การนาโต้ (NATO) โดยการมีอาวุธนิวเคลียร์ในดินแดนของตนจะเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงการป้องปรามและเพิ่มความมั่นคงให้กับทั้งโปแลนด์และพันธมิตรในภูมิภาค

การเรียกร้องของประธานาธิบดีโปแลนด์มีขึ้นหลังจากความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างรัสเซียและชาติตะวันตก โดยเฉพาะในช่วงหลังจากการรุกรานยูเครนของรัสเซีย ซึ่งทำให้หลายประเทศในยุโรปตะวันออก เช่น โปแลนด์ รู้สึกถึงภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และต้องการเพิ่มความเข้มแข็งด้านการป้องกันประเทศ

แม้ว่าการประจำการของอาวุธนิวเคลียร์ในโปแลนด์จะเป็นการกระทำที่อาจกระตุ้นความตึงเครียดกับรัสเซีย แต่ประธานาธิบดีดูดาก็ยืนยันว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อการป้องกันประเทศในระยะยาว และจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงในภูมิภาค

การเรียกร้องของโปแลนด์ได้รับการสนับสนุนจากบางประเทศในนาโต้ แต่ยังคงมีคำถามเกี่ยวกับความเป็นไปได้และผลกระทบทางการเมืองจากการที่สหรัฐอเมริกาจะยอมรับคำขอนี้หรือไม่

นอกจากนี้ อันด์แชย์ ดูดา แห่งโปแลนด์ได้แสดงความยินดีต้อนรับข้อเสนอของประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง ที่จะขยายขอบเขตการใช้อาวุธนิวเคลียร์ของฝรั่งเศสไปยังประเทศสมาชิกนาโต้ (NATO) อื่นๆ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในยุโรป โดยเฉพาะในภูมิภาคตะวันออกของยุโรปที่มีความตึงเครียดจากการรุกรานของรัสเซีย

ทั้งนี้ การขยายขอบเขตของอาวุธนิวเคลียร์ฝรั่งเศสอาจกลายเป็นประเด็นที่มีความสำคัญในกลุ่มนาโต้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญกับความตึงเครียดทางการเมืองและการทหารระหว่างประเทศมหาอำนาจต่างๆ การตัดสินใจในการขยายอาวุธนิวเคลียร์จะต้องพิจารณาผลกระทบทั้งในด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศ

ร้านหม้อไฟชื่อดัง ประกาศจ่ายเงินชดเชยให้ลูกค้า 4,000 ราย หลังเกิดเหตุการณ์วัยรุ่นปัสสาวะลงในหม้อซุป สร้างความตกใจไปทั่วโลก

(14 มี.ค. 68) ร้านหม้อไฟชื่อดัง 'ไหตี่เลา' (Haidilao) ประเทศจีน ประกาศจ่ายเงินชดเชยเยียวยาให้กับลูกค้ากว่า 4,000 รายที่เคยไปใช้บริการที่สาขาหนึ่งในนครเซี่ยงไฮ้ หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ในร้านอาหารสาขาดังกล่าว โดยเหตุการณ์นี้ได้สร้างความไม่พอใจและความวิตกกังวลให้กับลูกค้าอย่างมาก

โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดหลังปรากฏคลิปวิดีโอวัยรุ่น 2 คนยืนปัสสาวะ ลงในหม้อซุปของทางร้านจนกลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก ทำให้เกิดความตกใจและไม่พอใจในหมู่ลูกค้าคนอื่นๆ รวมถึงผู้ที่ทำงานภายในร้าน 

ส่งผลให้ต่อมาร้านหม้อไฟชื่อดังได้ทำการแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในเมืองเจี้ยนหยาง มณฑลเสฉวน ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัท ซึ่งทางตำรวจได้เปิดเผยว่า 

ผู้ต้องหาทั้งสองราย คือชายแซ่ถังและแซ่อู๋ อายุ 17 ปี ได้ถูกจับกุมตัวและนำตัวไปสอบสวน โดยทั้งคู่ถูกตั้งข้อหาก่อเหตุที่ไม่เหมาะสมในสถานที่สาธารณะ ซึ่งทางตำรวจกำลังดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย

ทั้งนี้ ทางร้านไหตี่เลาได้ออกมาขอโทษลูกค้าและยืนยันว่า จะมีการปรับปรุงการบริการและการดูแลลูกค้าในทุกสาขา เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต นอกจากนี้ ทางร้านยังยืนยันว่าจะมีการทบทวนและปรับปรุงขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพภายในร้านอย่างเข้มงวดมากยิ่งขึ้น

บริษัทไหตี่เลา ระบุในแถลงการณ์ว่า “เราเข้าใจดีว่าความเดือดร้อนที่ลูกค้าของเราได้รับจากเหตุการณ์นี้ไม่อาจชดเชยได้ทั้งหมดด้วยวิธีใดๆ เราเต็มใจที่จะทำอย่างสุดความสามารถเพื่อรับผิดชอบ” 

สำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว จะได้รับการชดเชยเป็นเงินเยียวยาที่จะช่วยบรรเทาความเสียหายและความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น โดยทางร้านได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อดำเนินการอย่างรวดเร็วและยุติธรรม

‘ทรัมป์’ สนับสนุนผนวกกรีนแลนด์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ รัฐบาลกรีนแลนด์ลั่นไม่เห็นด้วย ขู่มะกันห้ามเข้ามาแทรกแซง

(14 มี.ค. 68) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับอนาคตของกรีนแลนด์ โดยระบุว่า กรีนแลนด์มีโอกาสสูงที่จะผนวกเข้ากับสหรัฐฯ ในอนาคต ภายหลังจากที่ในช่วงปี 2019 เขาเคยเสนอให้สหรัฐฯ ซื้อกรีนแลนด์จากเดนมาร์ก ซึ่งได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย

ทรัมป์กล่าวในการให้สัมภาษณ์ล่าสุดว่า กรีนแลนด์เป็นดินแดนที่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์และตั้งอยู่ในตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญในภูมิภาคอาร์กติก ซึ่งมีความสำคัญต่อความมั่นคงทางการทหารและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เขาชี้ว่า กรีนแลนด์มีทั้งทรัพยากรแร่ธาตุและการเข้าถึงเส้นทางการค้าทางทะเลที่มีมูลค่าสูงในอนาคต

ทรัมป์กล่าวเสริมว่า “ผมเชื่อว่ากรีนแลนด์มีโอกาสที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ ในอนาคต เพราะมันมีความสำคัญทางภูมิศาสตร์และเศรษฐกิจอย่างยิ่ง ในขณะที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงและมีการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เข้มข้นมากขึ้น”

แม้ว่าข้อเสนอดังกล่าวของทรัมป์ในอดีตจะไม่ได้รับการตอบรับจากรัฐบาลเดนมาร์กและประชาชนในกรีนแลนด์ แต่การพูดถึงความเป็นไปได้ในการผนวกกรีนแลนด์เข้ากับสหรัฐฯ ก็ยังคงเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากทั้งสื่อและนักการเมืองทั่วโลก

สำหรับกรีนแลนด์ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของเดนมาร์ก และมีการปกครองตนเองในหลายๆ ด้าน แต่ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรเดนมาร์ก โดยมีข้อตกลงระหว่างประเทศในเรื่องอธิปไตยและการปกครอง

ขณะที่ ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีมูเต เอเกเดแห่งกรีนแลนด์ที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่งได้ประกาศว่าจะเรียกประชุมผู้นำพรรคการเมืองต่างๆ ในประเทศ เพื่อแสดงจุดยืนและความไม่เห็นด้วยต่อแผนการผนวกกรีนแลนด์เป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “เราไม่สามารถยอมรับแผนการที่จะทำให้กรีนแลนด์กลายเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ โดยไม่มีการปรึกษาหารือกับประชาชนในกรีนแลนด์และรัฐบาลของเรา” เขายังเน้นย้ำว่า กรีนแลนด์มีความเป็นอธิปไตยและการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับอนาคตของประเทศต้องมาจากประชาชนและรัฐบาลของกรีนแลนด์เท่านั้น

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่งกล่าวว่า การประชุมครั้งนี้จะมีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงให้เห็นว่า กรีนแลนด์ยังคงยืนหยัดในการรักษาความเป็นอิสระและอธิปไตยของตนเอง ไม่ให้มีการแทรกแซงจากภายนอก

องค์การอนามัยโลกเผยจำนวนผู้ป่วยโรคหัดพุ่ง ยูนิเซฟชี้เป็นตัวเลขสูงสุดในรอบ 25 ปี

(14 มี.ค. 68) องค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การยูนิเซฟ (UNICEF) เปิดเผยข้อมูลที่น่าเป็นห่วงเกี่ยวกับสถานการณ์โรคหัดในภูมิภาคยุโรป โดยพบว่าจำนวนผู้ป่วยโรคหัด เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่ในปี 2567 ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดในรอบกว่า 25 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2540

การวิเคราะห์โดยองค์การอนามัยโลกและยูนิเซฟ พบว่าจำนวนผู้ป่วยโรคหัดที่รายงานในภูมิภาคยุโรป เพิ่มขึ้นเป็น 127,352 รายในปี 2567 ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากจำนวนที่รายงานในปีก่อนหน้า

“โรคหัดกลับมาอีกแล้ว และเป็นการเตือนสติให้ตื่นตัว หากไม่มีอัตราการฉีดวัคซีนที่สูง ก็ไม่มีหลักประกันสุขภาพ” ดร. ฮันส์ พี. คลูเก้ ผู้อำนวยการภูมิภาคยุโรปของ WHO กล่าวในแถลงการณ์

รายงานจากทั้งสององค์กรระบุว่า การเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยโรคหัดในยุโรปเกิดจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะการลดลงของอัตราการฉีดวัคซีนในบางประเทศ รวมถึงความท้าทายในการเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ ซึ่งส่งผลให้เด็กและผู้ที่มีความเสี่ยงสูงไม่ได้รับการป้องกันที่เพียงพอจากโรคหัด

ทาง WHO และยูนิเซฟได้เรียกร้องให้ทุกประเทศในยุโรปเร่งดำเนินการเพิ่มการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคหัด โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่อาจตกเป็นเป้าหมายของโรคนี้ นอกจากนี้ยังมีการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีน

ทั้งนี้ โรคหัดเป็นโรคติดต่อที่สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน และการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยในยุโรปครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการเสริมสร้างการเข้าถึงวัคซีนในพื้นที่ที่ยังมีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ เพื่อป้องกันการระบาดที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

อิหร่าน-รัสเซีย-จีน หารือนิวเคลียร์ที่ปักกิ่ง เตรียมเดินเกมใหม่บนเวทีโลก ท้าทายแรงกดดันจากสหรัฐฯ

(14 มี.ค. 68) สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า นักการทูตระดับสูงจากอิหร่าน รัสเซีย และจีน ได้ประชุมหารือร่วมกันที่กรุงปักกิ่ง เพื่อหารือเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน การประชุมครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่อิหร่านปฏิเสธคำเรียกร้องของสหรัฐฯ ที่ต้องการให้อิหร่านกลับมาเจรจาเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์

นายคาเซม การีบาบาดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน และนายเซอร์เกย์ รยาบคอฟ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ได้เข้าร่วมการประชุมสามฝ่ายนี้ โดยมีนายหม่า เจ้าโซ่ว ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน เป็นประธานการประชุม การหารือครั้งนี้ครอบคลุมประเด็นเกี่ยวกับโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน, การยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร และประเด็นอื่น ๆ ที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน

“ฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องควรมีพันธะในการขจัดสาเหตุหลักของสถานการณ์ปัจจุบัน และละทิ้งแรงกดดันในการคว่ำบาตรและการคุกคาม” หม่า จ้าวซู่ รองรัฐมนตรีต่างประเทศจีน กล่าว

การประชุมดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) จัดการหารือแบบวงปิดเกี่ยวกับโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่านที่นครนิวยอร์ก สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา

เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ เปิดเผยว่าได้ส่งจดหมายถึงอยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน เพื่อเสนอการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์ พร้อมระบุว่า “การจัดการกับอิหร่านมีเพียง 2 ทางเลือก คือ ใช้กำลังทหาร หรือทำข้อตกลงเท่านั้น”

ทว่าประธานาธิบดีมาซูด เปเซชเคียนแห่งอิหร่าน ยืนยันว่าจะไม่ยอมเจรจากับสหรัฐฯ ภายใต้การถูก “ข่มขู่” และไม่มีทางยอมทำตาม “คำสั่ง” ของสหรัฐฯ ที่บีบให้ต้องเจรจา

“มันเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ที่พวกเขาจะมาบอกว่า เรากำลังออกคำสั่งให้คุณอย่าทำสิ่งนี้ อย่าทำสิ่งนั้น หรือเราควรทำสิ่งนี้ ผมจะไม่เจรจาใด ๆ กับคุณ เอาเลย ทำอะไรที่น่ารังเกียจตามที่คุณต้องการ” ประธานาธิบดีมาซูด กล่าว

ทั้งนี้ จีนและอิหร่านได้ร่วมกันเรียกร้องให้มีการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิหร่าน เพื่อเปิดทางให้ทุกฝ่ายกลับคืนสู่โต๊ะเจรจาเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์อีกครั้ง

การประชุมครั้งนี้สะท้อนถึงความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างอิหร่าน รัสเซีย และจีน ในการแก้ไขปัญหาโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน และความพยายามในการหาทางออกที่สันติและยั่งยืนสำหรับประเด็นที่ซับซ้อนนี้

ทรัมป์ขู่เก็บภาษี 200% แอลกอฮอล์นำเข้าจากยุโรป ฝรั่งเศสไม่ยอมจำนนเตรียมปะทะทางการค้า เพื่อปกป้องไวน์และแชมเปญ

(14 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์  ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขู่ที่จะเก็บภาษี 200% จากไวน์ แชมเปญ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆ ที่นำเข้าจากสหภาพยุโรป (EU) เนื่องจากสหภาพยุโรปไม่ยกเลิกการเก็บภาษี 50% ต่อสุรานำเข้าจากสหรัฐฯ

การตอบโต้ทางการค้านี้เกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษี 25% ต่อการนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568 ส่งผลให้สหภาพยุโรป ได้ประกาศมาตรการตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 26,000 ล้านยูโร (ราว 949.78 พันล้านบาท) ซึ่งรวมถึงวิสกี้และเหล้าเบอร์เบิน

ทรัมป์ระบุว่า หากยุโรปไม่ยกเลิกภาษีดังกล่าว สหรัฐฯ จะตอบโต้ด้วยการเก็บภาษี 200% ต่อไวน์ แชมเปญ และผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ทั้งหมดจากฝรั่งเศสและประเทศสมาชิก EU อื่นๆ เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่ามาตรการนี้จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจไวน์และแชมเปญในสหรัฐฯ

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ระบุว่าความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และยุโรปที่ทวีความรุนแรงขึ้นอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไวน์และสุราของยุโรป รวมถึงผู้บริโภคในสหรัฐฯ ที่อาจต้องเผชิญกับราคาสินค้าที่สูงขึ้น

โดยตลาดหุ้นยุโรปได้รับผลกระทบจากข่าวดังกล่าว หุ้นของบริษัทผู้ผลิตไวน์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายใหญ่ เช่น LVMH, Pernod Ricard และ Rémy Cointreau ต่างปรับตัวลดลงกว่า 3% หลังมีข่าวเกี่ยวกับมาตรการภาษีของทรัมป์

นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าหากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถหาทางออกที่ตกลงกันได้ อาจนำไปสู่สงครามการค้าที่ขยายวงกว้างและส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโลกในระยะยาว

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าของฝรั่งเศส โลรองต์ แซงต์-มาร์แตง ประณามการกระทำของทรัมป์ โดยระบุว่าฝรั่งเศสจะไม่ยอมจำนนต่อคำขู่และจะปกป้องอุตสาหกรรมของตน

“ฝรั่งเศสจะไม่ยอมจำนนต่อคำขู่ดังกล่าว และเราจะปกป้องอุตสาหกรรมของเราอย่างเต็มที่ การกระทำของสหรัฐฯ ไม่เป็นที่ยอมรับ และเราพร้อมที่จะตอบโต้ด้วยมาตรการที่เหมาะสม” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าของฝรั่งเศส กล่าว 

โฆษกฝ่ายการค้าของคณะกรรมาธิการยุโรป โอลอฟ กิล เรียกร้องให้สหรัฐฯ ยกเลิกภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมทันที และแสดงความพร้อมที่จะเจรจาเพื่อหาทางออกที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย

“ภาษีเหล่านี้ทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างสูญเสีย เราควรจะมุ่งเน้นที่การเก็บภาษีที่สร้างประโยชน์ทั้งสองฝ่ายดีกว่า” นอกจากนี้ เขายังเปิดเผยว่าสหภาพยุโรปกำลังเตรียมหารือกับสหรัฐฯ ทางโทรศัพท์ในเร็ว ๆ นี้ นายโอโลฟ กิลล์ โฆษกด้านการค้าของคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าว

‘จีน’ เนรเทศ!! สองนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น ‘ถ่ายรูปโชว์ก้น’ บนกำแพงเมืองจีน

(15 มี.ค. 68) นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นวัย 20 ปีเศษ 2 คนถูกทางการจีนควบคุมตัวนาน 2 สัปดาห์ก่อนจะเนรเทศ หลังทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม ‘เปิดบั้นท้าย’ ถ่ายรูปบนกำแพงเมืองจีนNTV และสื่ออื่นๆ ของญี่ปุ่นรายงานว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นบนกำแพงเมืองจีนซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกใกล้ๆ กรุง

ปักกิ่ง โดยนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นรายหนึ่งได้ถอดกางเกงโชว์บั้นท้าย และมีผู้หญิงอีกคนถ่ายรูปให้

กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นแถลงว่า “สถานทูตญี่ปุ่นประจำประเทศจีนยืนยันเมื่อวันที่ 3 ม.ค. ว่ามีพลเมืองญี่ปุ่น 2 คนถูกทางการจีนควบคุมตัวที่กำแพงเมืองจีน”

“พวกเขาได้รับการปล่อยตัวในเวลาต่อมา และเดินทางกลับญี่ปุ่นในช่วงเดือน ม.ค.

ด้านสถานทูตญี่ปุ่นประจำกรุงปักกิ่งยังคงปฏิเสธที่จะให้ความเห็นต่อสื่อในประเด็นนี้

แหล่งข่าวเผยว่า นักท่องเที่ยวทั้ง 2 คนถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจีนควบคุมตัวในที่เกิดเหตุ และถูกกักตัวอยู่เป็นเวลา 2 สัปดาห์

รายงานระบุว่า นักท่องเที่ยวคู่นี้บอกกับทางสถานทูตญี่ปุ่นว่าพวกเขาทำลงไปเพราะความ “คึกคะนอง”

ทั้งนี้ การเปลือยร่างกายท่อนล่างในที่สาธารณะถือว่าผิดกฎหมายจีน

ข่าวดังกล่าวได้จุดกระแสความไม่พอใจในจีน ซึ่งคนส่วนใหญ่ยังจดจำภาพความโหดร้ายในสมัยที่กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นบุกยึดครองจีนในช่วงทศวรรษ 1930-40

แฮชแท็ก “ชายและหญิงชาวญี่ปุ่นถูกจับเพราะทำพฤติกรรมไม่เหมาะสมบนกำแพงเมืองจีน” มียอดเข้าชมมากกว่า 60 ล้านครั้งบน weibo โดยคอมเมนต์ยอดนิยมส่วนใหญ่เป็นการตำหนินักท่องเที่ยวทั้งสอง และมีบางคนที่ใช้ถ้อยคำเกลียดชังต่อชาวญี่ปุ่นคู่นี้

เฉิน อี้เทียน (Chen Yitian) นักแสดงชาวจีนซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 7 ล้านคนใน weibo โพสต์ประณามนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นว่า “ทำเรื่องน่าอับอายบนกำแพงเมืองจีนของผม” ขณะที่ชาวเน็ตบางรายถึงขั้นเรียกร้องให้รัฐบาลจีนสั่งห้ามชาวญี่ปุ่นทั้งหมดเข้าประเทศ

‘จีน’ เตือน!! พร้อมใช้กำลัง ‘ขั้นเด็ดขาด’ หากกองกำลัง 'เอกราชไต้หวัน' ล้ำเส้นแดง

(15 มี.ค. 68) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า เฉินปินหัว โฆษกสำนักงานกิจการไต้หวันแห่งคณะรัฐมนตรีจีน กล่าวว่าหากกองกำลังแบ่งแยกดินแดน ‘เอกราชไต้หวัน’ ยั่วยุ กดดัน หรือก้าวล้ำเส้นแดง ย่อมจะมีการดำเนินการตอบโต้ขั้นเด็ดขาด

เฉินตอบคำถามที่ว่ารายงานการปฏิบัติงานของรัฐบาล ปี 2025 ซึ่งเน้นย้ำการเดินหน้ากิจการรวมชาติของจีนอย่างแน่วแน่โดยปราศจากการระบุถึง "การรวมชาติอย่างสันติ" บ่งชี้การเปลี่ยนแปลงจุดยืนของแผ่นดินใหญ่หรือไม่

เฉินกล่าวว่าหลักการรวมชาติอย่างสันติและ "หนึ่งประเทศ สองระบบ" เป็นนโยบายพื้นฐานของจีนในการแก้ไขปัญหาไต้หวัน นี่เป็นแนวทางอันดีที่สุดในการบรรลุการรวมชาติข้ามช่องแคบไต้หวัน และตอบสนองผลประโยชน์ของประชาชนชาวจีนบนสองฝั่งช่องแคบและชาติจีนทั้งหมด

จีนพร้อมดำเนินความพยายามอย่างเต็มที่ด้วยความจริงใจอย่างยิ่งยวดเพื่อแสวงหาการรวมชาติอย่างสันติ ทว่าสถานการณ์ข้ามช่องแคบไต้หวันในปัจจุบันนั้นซับซ้อนและตึงเครียด เนื่องจากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) สมรู้ร่วมคิดกับกองกำลังภายนอกเพื่อแสวงหา "เอกราช"

นอกจากนั้นจีนมีความมุ่งมั่น ความเชื่อมั่น และความสามารถในการสกัดกั้นความพยายามแบ่งแยกดินแดนทุกรูปแบบอันมุ่งสู่ "เอกราชไต้หวัน" คุ้มครองอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของชาติ และเดินหน้าการรวมชาติอย่างแน่วแน่

‘จอห์นส์ ฮอปกินส์’ ปลดพนักงานกว่า 2,000 ตำแหน่ง ภายหลังที่ ‘รัฐบาลทรัมป์’ ตัดงบ ‘USAID’ มหาศาล

(15 มี.ค. 68) มหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอปกินส์ประกาศปลดพนักงานครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสถาบัน หลังจากที่รัฐบาลทรัมป์ตัดงบประมาณจาก สำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) ไปกว่า 800 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้โครงการวิจัยและพัฒนาระดับโลกหลายโครงการต้องปิดตัวลง

การปลดพนักงานครั้งนี้กระทบ พนักงานนานาชาติถึง 1,975 คนใน 44 ประเทศ และอีก 247 ตำแหน่งในสหรัฐฯ ขณะที่พนักงานอีก 100 คนถูกลดชั่วโมงการทำงาน หรือถูกพักงานโดยไม่มีกำหนด ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการที่มหาวิทยาลัยต้องปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมทางงบประมาณที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลัน

"นี่เป็นวันที่ยากลำบากสำหรับชุมชนของเรา" มหาวิทยาลัยระบุในแถลงการณ์ พร้อมย้ำว่า การตัดงบประมาณของ USAID ทำให้ต้องยุติภารกิจสำคัญที่เคยช่วยเหลือผู้คนทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นโครงการดูแลสุขภาพแม่และเด็ก การป้องกันโรคระบาด การพัฒนาระบบน้ำสะอาด รวมถึงความพยายามด้านมนุษยธรรมอื่น ๆ ที่เคยเป็นหัวใจสำคัญขององค์กร

ผลกระทบไม่ได้จำกัดแค่การสูญเสียตำแหน่งงานเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อภาควิชาสำคัญหลายแห่งของมหาวิทยาลัย รวมถึงคณะแพทยศาสตร์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ ศูนย์โครงการสื่อสารด้านสุขภาพ (Center for Communication Programs) และ Jhpiego องค์กรด้านสุขภาพมารดาและการป้องกันโรค

ผลพวงจากแนวทางบริหารรัฐบาลทรัมป์

การปลดพนักงานครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการผลักดันของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการลดขนาดรัฐบาลกลาง โดย มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพิ่งประกาศเมื่อต้นสัปดาห์ว่ารัฐบาลทรัมป์จะ ยกเลิก 83% ของโครงการภายใต้ USAID และเตรียมโอนภารกิจที่เหลือไปอยู่ภายใต้กระทรวงการต่างประเทศ

จอห์นส์ ฮอปกินส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยวิจัยชั้นนำของโลก ได้รับงบประมาณมากถึง 50% จากการทำงานร่วมกับรัฐบาลกลาง และในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นกำลังหลักในการดำเนินโครงการวิจัยด้านสุขภาพระหว่างประเทศ

โรนัลด์ แดเนียลส์ อธิการบดีมหาวิทยาลัย ได้ส่งข้อความถึงบุคลากรเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เตือนว่าการตัดงบประมาณครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อ งบประมาณ บุคลากร และโครงการต่าง ๆ โดยระบุว่ามหาวิทยาลัยอยู่ระหว่างกระบวนการยุติโครงการที่ได้รับทุนจาก USAID ในบัลติมอร์และระดับนานาชาติ

“จากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เราจำเป็นต้องเตรียมรับมือกับความท้าทายข้างหน้า” แดเนียลส์กล่าว พร้อมย้ำว่า “เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปรับลดขนาดโครงการ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางกฎหมายและงบประมาณที่เปลี่ยนแปลงไป”

วงการการศึกษาสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ยุคแห่งความไม่แน่นอน

นอกจากจอห์นส์ ฮอปกินส์แล้ว มหาวิทยาลัยหลายแห่งทั่วสหรัฐฯ กำลังวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคตของเงินทุนรัฐบาลกลางภายใต้การบริหารของทรัมป์

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มหาวิทยาลัยโคลัมเบียสูญเสียเงินทุน 400 ล้านดอลลาร์ หลังจากรัฐบาลทรัมป์ระงับสัญญาและโครงการต่าง ๆ โดยอ้างเหตุผลว่ามหาวิทยาลัย "ล้มเหลวในการจัดการปัญหาการต่อต้านชาวยิวในมหาวิทยาลัย"

ขณะเดียวกัน สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่ให้ทุนสนับสนุนการวิจัยด้านสุขภาพ ได้ลดเพดานงบประมาณที่มหาวิทยาลัยสามารถขอรับสำหรับค่าใช้จ่ายโครงสร้างพื้นฐาน เช่น อาคารและการบำรุงรักษา ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เตือนว่า อาจส่งผลกระทบต่อสถานะของสหรัฐฯ ในฐานะผู้นำด้านการวิจัยระดับโลก

สถานการณ์นี้นำไปสู่การยื่นฟ้องร้องของมหาวิทยาลัยหลายแห่ง รวมถึงจอห์นส์ ฮอปกินส์ ที่ต้องการระงับการตัดงบประมาณจาก NIH ผ่านกระบวนการศาล

สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของตัวเลขหรือการบริหารงานภายในมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่สะท้อนถึง แนวโน้มของรัฐบาลทรัมป์ที่จะลดบทบาทของสหรัฐฯ ในเวทีความช่วยเหลือระหว่างประเทศ และหันมาให้ความสำคัญกับแนวทางบริหารที่มุ่งลดค่าใช้จ่ายภาครัฐเป็นหลัก

นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนว่า ยุคแห่งความมั่นคงด้านงบประมาณของวงการศึกษาสูงและงานวิจัยระดับโลกอาจกำลังสิ้นสุดลง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top