Saturday, 10 May 2025
World

รัฐบาลมาเลเซียจับมือ Ocean Infinity บริษัทสำรวจใต้ทะเล เริ่มค้นหาเครื่องบินที่สาบสูญรอบใหม่ มาเลเซียแอร์ไลน์ ‘MH370’

(20 มี.ค. 68) นายแอนโธนี โลค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมาเลเซีย ประกาศว่ารัฐบาลมาเลเซียได้บรรลุข้อตกลงกับบริษัท Ocean Infinity เพื่อเริ่มต้นปฏิบัติการค้นหาซากเครื่องบินมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH370 อีกครั้ง

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2014 เที่ยวบิน MH370 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์หายไปพร้อมผู้โดยสารและลูกเรือ 239 คน ระหว่างเดินทางจากกัวลาลัมเปอร์ไปยังปักกิ่ง ถือเป็นหนึ่งในปริศนาการบินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยปฏิบัติการค้นหาก่อนหน้านี้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องแต่ไม่สามารถระบุตำแหน่งที่แน่ชัดของเครื่องบินได้

Ocean Infinity บริษัทสำรวจใต้ทะเลจากสหรัฐฯ เคยได้รับมอบหมายให้ค้นหา MH370 ในปี 2018 โดยใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์ใต้น้ำ (Autonomous Underwater Vehicles – AUVs) แม้จะมีความก้าวหน้าในการค้นหา แต่ก็ไม่พบซากเครื่องบิน อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีและข้อมูลที่พัฒนาเพิ่มเติมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อาจเพิ่มโอกาสในการค้นพบซากเครื่องบินในครั้งนี้

“เราหวังว่าปฏิบัติการค้นหาใหม่จะให้ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม และนำความจริงมาสู่ครอบครัวของผู้โดยสารและลูกเรือที่รอคอยคำตอบมานานกว่าทศวรรษ” นายแอนโธนี โลค กล่าว

แม้รายละเอียดของข้อตกลงระหว่างรัฐบาลมาเลเซียและ Ocean Infinity จะยังไม่ได้รับการเปิดเผยทั้งหมด แต่นายโลคระบุว่า เงื่อนไขของสัญญาจะเป็นแบบ "No Find, No Fee" หมายความว่า Ocean Infinity จะได้รับค่าตอบแทนก็ต่อเมื่อสามารถค้นพบซากของ MH370 เท่านั้น

รูปแบบข้อตกลงนี้เคยถูกนำมาใช้แล้วในภารกิจค้นหาเมื่อปี 2018 ซึ่ง Ocean Infinity ได้ทำการสำรวจพื้นที่มหาสมุทรอินเดียตอนใต้กว่า 112,000 ตารางกิโลเมตร แต่ยังไม่สามารถระบุตำแหน่งของเครื่องบินได้

ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านมองว่า การค้นหา MH370 ครั้งใหม่นี้อาจได้รับประโยชน์จาก ข้อมูลดาวเทียมและการวิเคราะห์กระแสน้ำในมหาสมุทรที่ได้รับการปรับปรุง ซึ่งอาจช่วยระบุพื้นที่ค้นหาที่แม่นยำยิ่งขึ้น

“เรายังเชื่อว่า MH370 อยู่ในบริเวณมหาสมุทรอินเดียตอนใต้ และเราหวังว่าเทคโนโลยีใหม่ๆ จะช่วยให้การค้นหาประสบความสำเร็จ” โอลิเวอร์ พลังก์ (Oliver Plunkett) ซีอีโอของ Ocean Infinity กล่าว

ทั้งนี้ ครอบครัวของผู้สูญหายจาก MH370 ยังคงเฝ้ารอคำตอบเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และการค้นหาใหม่ในครั้งนี้อาจเป็นโอกาสสุดท้ายในการไขปริศนาที่ดำเนินมากว่าสิบปี รัฐบาลมาเลเซียและ Ocean Infinity คาดว่าจะเริ่มปฏิบัติการค้นหาในช่วงปลายปี 2024 นี้

ทรัมป์ขู่อิหร่าน หยุดหนุนฮูตี ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป

(20 มี.ค. 68) ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ส่งคำเตือนถึงอิหร่าน ยุติการส่งอาวุธให้กลุ่มฮูตีโดยทันที รวมถึงกลุ่มติดอาวุธในเยเมน ท่ามกลางความตึงเครียดในตะวันออกกลาง 

“การโจมตีของสหรัฐฯ ต่อกลุ่มฮูตีจะเลวร้ายลงอีก และพวกเขาจะถูกทำลายล้างอย่างสิ้นเชิง!” ทรัมป์ระบุผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social

คำเตือนของทรัมป์มีขึ้นหลังจากกลุ่มฮูตีเปิดฉากโจมตีเรือสินค้าและเรือรบที่ผ่านทะเลแดงอย่างต่อเนื่อง โดยอ้างว่าเป็นการตอบโต้ต่ออิสราเอลจากสงครามในฉนวนกาซา ซึ่งสหรัฐฯ มองว่าเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อเส้นทางการค้าโลก

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ได้ออกคำสั่งให้กองทัพสหรัฐฯ ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อฐานที่มั่นของฮูตีในเยเมน เพื่อตอบโต้การโจมตีเรือสินค้า และย้ำว่า ปฏิบัติการดังกล่าวจะดำเนินต่อไปจนกว่าฮูตีจะยุติการโจมตีในทะเลแดง

ทรัมป์ยังเน้นย้ำว่า อิหร่านต้องรับผิดชอบต่อการสนับสนุนกลุ่มฮูตี และเตือนว่าหากมีการโจมตีใดๆ เกิดขึ้นในอนาคตจากกลุ่มติดอาวุธดังกล่าว อิหร่านจะต้องเผชิญกับผลกระทบอย่างรุนแรง

ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนให้เห็นถึงท่าทีแข็งกร้าวของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการควบคุมสถานการณ์ในทะเลแดง และส่งสัญญาณชัดเจนว่า จะไม่มีการลดละความพยายามในการทำลายศักยภาพของกลุ่มฮูตี หากพวกเขายังคงคุกคามเส้นทางเดินเรือระหว่างประเทศ

สถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิภาคนี้ยังคงเป็นประเด็นร้อนบนเวทีโลก โดยหลายฝ่ายจับตาดูว่าคำเตือนของทรัมป์จะส่งผลให้ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่านทวีความรุนแรงขึ้นหรือไม่

วิบากกรรมของ ‘โรดรีโก ดูแตร์เต’ เผชิญหมายจับ ICC อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ที่ชาติตะวันตกไม่ชอบ

(20 มี.ค. 68) เมื่อไม่นานมานี้ ฟิลิปปินส์กลับกลายเป็นข่าวดังทั่วโลก เมื่อ โรดรีโก ดูแตร์เต อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ช่วงปี ค.ศ.2016–2022 ถูกจับกุมตามหมายจับของ ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ในข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของผู้นำที่มีความขัดแย้งอย่างมากกับชาติตะวันตก

หมายจับนี้ออกโดยศาลอาญาระหว่างประเทศในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2025 และจับกุม ดูแตร์เต เมื่อเขากลับมาจากฮ่องกงในวันที่ 11 มีนาคม 2025 โดยข้อกล่าวหาที่ ICC ยื่นฟ้องนั้นเกี่ยวข้องกับการ ฆาตกรรม, ทรมาน และข่มขืน ที่เกิดขึ้นระหว่าง 1 พฤศจิกายน 2011 ถึง 16 มีนาคม 2019 ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ฟิลิปปินส์ถือเป็นประเทศที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของ ICC แต่หมายจับถูกส่งผ่าน INTERPOL ทำให้เขากลายเป็นผู้นำฟิลิปปินส์คนแรกที่ต้องขึ้นศาลระหว่างประเทศ

ช่วงที่ ดูแตร์เต ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาได้ริเริ่มนโยบายที่ทำให้เกิดการ ปราบปรามยาเสพติด อย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายพันคน โดยที่รัฐบาลฟิลิปปินส์อ้างว่าเป็นการจัดการกับ ผู้ค้ายาเสพติด แต่ในทางกลับกัน หลายประเทศในตะวันตกมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ซึ่งทำให้เขาต้องเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์จากทั่วโลก

ถึงแม้จะถูกวิจารณ์หนักจากนานาชาติ แต่ คะแนนความนิยมในประเทศ ของเขาก็ยังคงสูง โดยเฉพาะในภาคใต้ของฟิลิปปินส์ และจากการสนับสนุนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายคน ซึ่งทำให้เขาดำรงตำแหน่งได้อย่างมั่นคง

แม้ว่า มาร์กอส จูเนียร์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของฟิลิปปินส์ เคยประกาศว่า ฟิลิปปินส์จะไม่ให้ความร่วมมือในการสอบสวน ICC แต่รัฐบาลภายใต้การนำของ มาร์กอส จูเนียร์ ได้เปลี่ยนแปลงจุดยืนและตัดสินใจให้ความร่วมมือในการดำเนินคดีต่อดูแตร์เต

การจับกุม ดูแตร์เต ถือเป็นการพลิกโฉมหน้าของประวัติศาสตร์ทางการเมืองฟิลิปปินส์ เพราะเขาได้กลายเป็นผู้นำคนแรกจากเอเชียที่ถูก ศาลอาญาระหว่างประเทศ ฟ้อง โดยต้องถูกพิจารณาคดีในวันที่ 23 กันยายน 2025 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์สำคัญของการยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการสร้างความยุติธรรมในระดับสากล

พร้อททั้งส่งผลให้สะท้อนถึง การเผชิญหน้าระหว่างการเมืองภายในประเทศ และความสัมพันธ์กับชาติตะวันตก ก็ยังเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า ICC มีอำนาจในการดำเนินคดีแม้แต่กับผู้นำประเทศใหญ่ในเอเชีย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออำนาจและอิทธิพลของผู้นำในอนาคต

หากย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ที่เคยถูกขับไล่จากตำแหน่งและถูกกล่าวหาว่าทุจริตอย่างมโหฬาร จนมีทรัพย์สินมหาศาลกว่า 5,000-10,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่ 36 ปีต่อมา ลูกชายของเขา มาร์กอส จูเนียร์ กลับได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง ขณะที่ ดูแตร์เต ก็ต้องเผชิญกับวิบากกรรมที่เกิดจากนโยบายของเขาเอง

อนาคตของ โรดรีโก ดูแตร์เต ดูเหมือนจะมีหลายคำถามที่ยังไม่สามารถตอบได้ ในขณะที่เขาเผชิญกับการพิจารณาคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศ และประเทศฟิลิปปินส์กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สำคัญ

ส่งออกชิปเกาหลีใต้ไปจีนร่วง 31.8% หลังสหรัฐคุมเข้มกฎส่งออกเทคโนโลยี

(20 มี.ค. 68) สื่อต่างประเทศรายงานว่า การส่งออกชิปเซมิคอนดักเตอร์ของเกาหลีใต้ไปยังจีน ลดลง 31.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี (YoY) ในเดือนกุมภาพันธ์ ท่ามกลางแรงกดดันจากกฎควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่เข้มงวดขึ้นต่อจีน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับโลก

สำนักข่าว Bloomberg ระบุว่า การชะลอตัวการส่งออกของไปจีนถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดยอดส่งออกชิปของเกาหลีใต้ โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ เพิ่มมาตรการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูงไปยังจีน ซึ่งทำให้ซัพพลายเชนชิปต้องเผชิญกับข้อจำกัดที่เข้มงวดขึ้น

โดยสาเหตุหลักของการลดลงนี้มาจาก มาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่กำหนดให้บริษัทต่างๆ ต้องขอใบอนุญาตก่อนส่งออกชิปที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงไปยังจีน ส่งผลให้ บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ของเกาหลีใต้ เช่น Samsung Electronics และ SK Hynix ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางการค้า

ซึ่งจีนถือเป็น ตลาดนำเข้าชิปที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ การลดลงของยอดส่งออกจึงสะท้อนถึง ความท้าทายที่เพิ่มขึ้นสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของเกาหลีใต้ ที่ต้องพึ่งพาการส่งออกไปยังจีนอย่างมาก

นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า หากมาตรการของสหรัฐฯ ยังคงเข้มงวดขึ้น เกาหลีใต้อาจต้อง เร่งกระจายตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่น เพื่อลดการพึ่งพาจีน ในขณะที่จีนเองก็กำลัง พัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของตนเอง เพื่อทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ

ขณะที่ รัฐบาลเกาหลีใต้กำลังพิจารณา แนวทางนโยบายเพื่อลดผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดยอาจมีมาตรการสนับสนุนการลงทุนในประเทศ หรือส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศพันธมิตรที่ไม่ได้รับผลกระทบจากกฎควบคุมของสหรัฐฯ

ทั้งนี้ สถานการณ์ยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เนื่องจาก ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อซัพพลายเชนโลก และมีแนวโน้มจะกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีในระยะยาว

เกาหลีเหนือเตือนญี่ปุ่นอย่าติดตั้งขีปนาวุธพิสัยไกล มิฉะนั้นจะเจอมาตรการตอบโต้ อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ร้ายแรง

(20 มี.ค. 68) เกาหลีเหนือออกแถลงการณ์เตือนรัฐบาลญี่ปุ่นอย่างดุเดือด กรณีมีแผนติดตั้งขีปนาวุธพิสัยไกลของสหรัฐฯ บนเกาะคิวชู ซึ่งเป็นเกาะทางตอนใต้ของญี่ปุ่น โดยระบุว่าการกระทำดังกล่าวจะยกระดับความตึงเครียดในภูมิภาค และอาจกระตุ้นให้เกิดมาตรการตอบโต้จากเปียงยาง

สื่อของทางการเกาหลีเหนือรายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีเหนือออกมาประณามแผนดังกล่าว โดยชี้ว่าเป็นการยั่วยุที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบด้านความมั่นคงในเอเชียตะวันออก พร้อมเตือนว่าหากญี่ปุ่นยังเดินหน้าโครงการนี้ เปียงยางจะพิจารณามาตรการป้องกันเชิงรุกเพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากโตเกียว

“การติดตั้งขีปนาวุธพิสัยไกลในพื้นที่ที่สามารถยิงถึงเกาหลีเหนือได้ ถือเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์โดยตรง และจะผลักดันให้สถานการณ์ในภูมิภาคเข้าสู่ความไม่แน่นอนที่อันตราย” แถลงการณ์ระบุ

สำหรับปุ่นกำลังพิจารณาติดตั้งขีปนาวุธพิสัยไกลรุ่น Tomahawk และขีปนาวุธของสหรัฐฯ ที่สามารถยิงโจมตีเป้าหมายได้ไกลถึงเกาหลีเหนือ บนเกาะคิวชู ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนเสริมขีดความสามารถป้องกันประเทศท่ามกลางภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือและจีน

แผนดังกล่าวสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ด้านกลาโหมใหม่ของญี่ปุ่นที่มุ่งเพิ่มศักยภาพการโจมตีตอบโต้ (counterstrike capability) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจากแนวทางการป้องกันตัวเองของญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

เกาหลีเหนือและญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ที่เป็นปฏิปักษ์มาอย่างยาวนาน โดยญี่ปุ่นมักแสดงความกังวลเกี่ยวกับโครงการอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ ขณะที่เปียงยางมองว่าการที่ญี่ปุ่นเพิ่มศักยภาพทางทหารเป็นภัยคุกคามโดยตรง

ที่ผ่านมา เกาหลีเหนือได้ทำการทดสอบขีปนาวุธหลายครั้ง ซึ่งบางครั้งได้ยิงข้ามน่านฟ้าของญี่ปุ่น ทำให้โตเกียวต้องยกระดับมาตรการป้องกันภัยทางอากาศ และพิจารณาปรับยุทธศาสตร์ความมั่นคงเพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้น

ด้านรัฐบาลญี่ปุ่นยังไม่มีแถลงการณ์อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับคำเตือนจากเกาหลีเหนือ แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นระบุว่าประเทศมีสิทธิ์ดำเนินมาตรการด้านความมั่นคงเพื่อปกป้องตนเองจากภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น

สถานการณ์นี้นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่อาจเพิ่มความร้อนแรงให้กับความขัดแย้งในเอเชียตะวันออก ซึ่งยังคงเป็นจุดสนใจของประชาคมระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด

เกาหลีใต้ประกาศฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวจีน หวังฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ซบเซา

(20 มี.ค. 68) เกาหลีใต้ประกาศแผนการให้ฟรีวีซ่ากับนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน โดยตั้งเป้าหมายที่จะกระตุ้นการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ซบเซาในช่วงที่ผ่านมา หลังจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ

การตัดสินใจในครั้งนี้มีขึ้นท่ามกลางการลดลงอย่างต่อเนื่องของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดสำหรับการท่องเที่ยวของเกาหลีใต้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การปิดประเทศและมาตรการจำกัดการเดินทางจากการระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลให้การท่องเที่ยวในเกาหลีใต้ลดลงอย่างรุนแรง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและธุรกิจหลายประเภทที่พึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลัก

การให้ฟรีวีซ่าครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่รัฐบาลเกาหลีใต้หวังจะใช้เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนกลับมาที่ประเทศ โดยเชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มการใช้จ่ายภายในประเทศจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ

รัฐบาลเกาหลีใต้ระบุว่า นโยบายนี้จะมีผลบังคับใช้ทันทีและจะมอบสิทธิประโยชน์นี้ให้กับนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้ามาเกาหลีใต้เป็นครั้งแรกในระยะเวลา 3 เดือน โดยไม่จำเป็นต้องขอวีซ่า หากนักท่องเที่ยวสามารถแสดงเอกสารการเดินทางที่ชัดเจนและมีจุดมุ่งหมายในการท่องเที่ยวอย่างชัดเจน

“เราหวังว่า การเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวจีนสามารถเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศได้ง่ายขึ้นจะช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว” เจ้าหน้าที่จากกระทรวงการท่องเที่ยวของเกาหลีใต้กล่าว

อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในเกาหลีใต้นั้นยังคงเผชิญกับความท้าทายจากสถานการณ์ทางการเมืองและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับสถานการณ์ในจีน โดยนักวิเคราะห์เชื่อว่า การฟื้นตัวอาจต้องใช้เวลาและขึ้นอยู่กับการตอบสนองจากนักท่องเที่ยวจีนที่มีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์นโยบายต่างๆ ของรัฐบาลจีน

ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวจีนมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของเกาหลีใต้ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่เช่น โซล และปูซาน ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงจากนักท่องเที่ยวชาวจีนในการเดินทางมาท่องเที่ยวทั้งเพื่อการพักผ่อนและการช็อปปิ้ง

อิมาน เคลิฟ ตั้งเป้าคว้าเหรียญทองโอลิมปิก 2028 ที่แอลเอ แม้เจอกระแสกดดันจากทรัมป์ ออกมาโจมตีนักกีฬาที่มีภาวะ DSD

(20 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า อิมาน เคลิฟ (Imane Khelif) นักมวยหญิงชาวแอลจีเรีย ประกาศเป้าหมายชัดเจนว่าเธอจะกลับมาคว้าเหรียญทองโอลิมปิกในปี 2028 ที่ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา แม้ว่าจะต้องเผชิญอุปสรรคจากกระแสต่อต้านของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเป็นแกนนำในการผลักดันกฎกติกาที่เข้มงวดเกี่ยวกับเพศสภาพของนักกีฬา

อย่างที่ทราบกันดีว่า เคลิฟ คว้าเหรียญทองให้แอลจีเรียในศึกโอลิมปิก 2024 ที่กรุงปารีส ด้วยการเอาชนะ หลิว หยาง จากจีน ที่คะแนนเอกฉันท์ 5-0 เสียง ในรอบชิงชนะเลิศ ส่วนรอบรองชนะเลิศ เธอคว้าชัยเหนือ ‘บี’ จันทร์แจ่ม สุวรรณเพ็ง นักชกสาวไทย ด้วยคะแนน 5-0 เสียง ทำให้จันทร์แจ่มคว้าเหรียญทองแดงไปครอง 

อย่างไรก็ตาม เส้นทางสู่เหรียญทองของเธอไม่ได้ราบรื่น เนื่องจากก่อนหน้านี้ เคลิฟเคยถูกตัดสิทธิ์จากการแข่งขันชิงแชมป์โลกปี 2023 เนื่องจากไม่ผ่านการตรวจระดับฮอร์โมนเพศชาย แต่ในโอลิมปิก 2024 คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ได้อนุญาตให้เธอเข้าร่วมแข่งขัน หลังจากตรวจสอบเอกสารและยืนยันว่าเธอเป็นเพศหญิงตามกฎหมาย

แม้จะได้รับอนุญาตให้แข่งขัน แต่เคลิฟยังคงเผชิญกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมและบุคคลสำคัญ เช่น ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่แสดงความไม่พอใจต่อการเข้าร่วมแข่งขันของเธอ 

ทรัมป์แสดงจุดยืนมาโดยตลอดเกี่ยวกับกฎระเบียบเพศสภาพในวงการกีฬา และเคยกล่าวโจมตีอย่างรุนแรงต่อนักกีฬาข้ามเพศและผู้ที่มีภาวะเพศกำกวม (DSD – Differences in Sexual Development) โดยเรียกร้องให้มีการห้ามนักกีฬาข้ามเพศและนักกีฬาที่มีภาวะ DSD ลงแข่งขันในประเภทหญิง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อเคลิฟและนักกีฬาหญิงอีกหลายคน

ทั้งนี้ เคลิฟประกาศอย่างชัดเจนว่า โอลิมปิก 2028 คือเป้าหมายสำคัญของเธอ และเธอจะไม่ยอมให้กฎเกณฑ์ที่ไม่เป็นธรรมมาหยุดยั้งเส้นทางการเป็นแชมป์ของ 

“เหรียญทองที่สอง แน่นอนที่สุด กับการแข่งขันที่อเมริกา ลอส แองเจลิส และฉันตอบแบบตรงไปตรงมานะ ผู้นำของสหรัฐฯ ออกคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับคนข้ามเพศในอเมริกา แต่ฉันไม่ใช่คนข้ามเพศ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฉัน และไม่ทำให้ฉันรู้สึกกังวลเลย” นักชกวัย 25 ปี กล่าว 

ฝรั่งเศสยกระดับความพร้อม แจก ‘คู่มือเอาตัวรอด’ เตรียมรับมือวิกฤตและความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น

(21 มี.ค. 68) สำนักข่าว CNN รายงานว่า รัฐบาลฝรั่งเศสประกาศแผนแจกจ่าย “คู่มือเอาตัวรอด” ให้กับทุกครัวเรือนทั่วประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมของประชาชนในการรับมือกับ ภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งรวมถึงความเป็นไปได้ของ ความขัดแย้งด้วยอาวุธบนผืนแผ่นดินฝรั่งเศส

คู่มือฉบับนี้จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับ แนวทางปฏิบัติในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น วิธีป้องกันตัวจากภัยธรรมชาติ การโจมตีทางไซเบอร์ หรือภาวะขาดแคลนพลังงาน รวมถึงขั้นตอนปฏิบัติเมื่อเกิดสงคราม คู่มือนี้จะเน้น การจัดเตรียมสิ่งของจำเป็น อาทิ เสบียงอาหาร น้ำดื่ม ยา และอุปกรณ์ปฐมพยาบาล ตลอดจนแนวทางในการหาที่หลบภัยและการติดต่อหน่วยงานฉุกเฉิน

แหล่งข่าวจากรัฐบาลระบุว่า การแจกคู่มือครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการเพิ่ม ความตระหนักและความพร้อม ของประชาชนต่อสถานการณ์ความมั่นคงที่เปลี่ยนแปลงไปในยุโรป โดยเฉพาะจาก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และภัยคุกคามด้านความมั่นคง ที่ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

“คู่มือเอาตัวรอดนี้มุ่งหวังที่จะกระตุ้นให้ประชาชนพัฒนาความสามารถในการฟื้นตัวเมื่อเผชิญกับวิกฤตต่างๆ” ​โฆษกของนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ฟรองซัวส์ บายรู กล่าวกับ CNN เมื่อวันพุธที่ผ่านมา

ด้าน ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงมองว่า ฝรั่งเศสอาจได้รับแรงกดดันให้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้น เช่น สงครามในยุโรป ความตึงเครียดกับรัสเซีย หรือภัยคุกคามจากการก่อการร้าย ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องสร้างความตื่นตัวในหมู่ประชาชน

ทั้งนี้ รัฐบาลฝรั่งเศสคาดว่าจะเริ่มแจกจ่ายคู่มือฉบับนี้ ภายในปี 2025 โดยจะส่งตรงไปยังที่พักอาศัยของประชาชน และสามารถเข้าถึงในรูปแบบ ดิจิทัล ผ่านเว็บไซต์ของหน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติ

มาตรการนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่ฝรั่งเศสออกแนวทางเตรียมพร้อมในลักษณะนี้ ซึ่งสะท้อนถึง ระดับความกังวลที่เพิ่มขึ้นของรัฐบาลต่อภัยคุกคามในอนาคต

‘ทรัมป์’ ลงนาม ปูทางยุบกระทรวงศึกษาฯ ฝ่ายค้านเตือนเตรียมรับผลกระทบที่ร้ายแรง

(21 มี.ค. 68) ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งบริหารที่อาจเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาของประเทศไปตลอดกาล โดยมีเป้าหมายเพื่อนำไปสู่การยุบกระทรวงศึกษาธิการของสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในหน่วยงานหลักของรัฐบาลกลาง

คำสั่งดังกล่าวมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “คำสั่งปรับปรุงผลลัพธ์ทางการศึกษา ด้วยการส่งเสริมผู้ปกครอง รัฐ และชุมชน” โดยทรัมป์ย้ำว่า การปิดกระทรวงศึกษาธิการเป็น “สิ่งที่ถูกต้อง” และรัฐบาลจะดำเนินการให้เร็วที่สุด

ภายใต้คำสั่งนี้ รัฐบาลกลางจะ ลดบทบาทของตนในด้านการศึกษา และ กระจายอำนาจ ไปยังระดับรัฐและท้องถิ่นมากขึ้น ซึ่งทรัมป์เชื่อว่า รัฐและผู้ปกครองควรเป็นผู้กำหนดแนวทางการศึกษาเอง มากกว่าถูกกำกับโดยรัฐบาลกลาง

“เราต้องให้พ่อแม่ ชุมชน และรัฐบาลท้องถิ่นมีอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับการศึกษาของเด็กๆ ไม่ใช่ข้าราชการในวอชิงตัน” ทรัมป์กล่าวระหว่างการลงนาม

แผนการนี้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่มองว่า กระทรวงศึกษาธิการของสหรัฐฯ มีบทบาทมากเกินไปและไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีในการเรียนการสอน 

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายตรงข้ามรวมถึงพรรคเดโมแครต และองค์กรด้านการศึกษาออกมาคัดค้านอย่างหนัก โดยเตือนว่า การยุบกระทรวงอาจส่งผลให้การศึกษาขาดมาตรฐานและเพิ่มความเหลื่อมล้ำในระบบการศึกษา

สหพันธ์ครูแห่งอเมริกาออกแถลงการณ์ว่า “ไม่มีใครชอบระบบราชการ และทุกคนก็เห็นด้วยกับประสิทธิภาพที่มากขึ้น ดังนั้นเรามาหาวิธีการทำให้สำเร็จกันดีกว่า แต่อย่าใช้การ 'ทำสงครามกับคนตื่นรู้' เพื่อโจมตีเด็กที่อาศัยอยู่ในความยากจนและเด็กพิการ”

เบ็ตซี่ เดวอส อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนแนวคิดการกระจายอำนาจทางการศึกษา กล่าวว่าการยุบกระทรวงเป็น 'ก้าวที่กล้าหาญ' ที่จะคืนอำนาจให้กับประชาชน ขณะที่นักวิจารณ์มองว่า อาจทำให้โครงการช่วยเหลือนักเรียนในพื้นที่ด้อยโอกาสได้รับผลกระทบ

แม้ว่าคำสั่งบริหารฉบับนี้จะเป็นก้าวแรกสู่การปิดกระทรวงศึกษาธิการ แต่การดำเนินการจริงจำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจาก 'สภาคองเกรส' ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำคัญต่อแผนของทรัมป์

ขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนเกี่ยวกับการปิดกระทรวง แต่ฝ่ายบริหารของทรัมป์ยืนยันว่าจะผลักดันเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ท่ามกลางเสียงถกเถียงที่ร้อนแรงในวงการการศึกษาและการเมืองของสหรัฐฯ

ธนาคารกลางโลกสะสมทองคำเพิ่มกว่า 1,044.6 เมตริกตัน ปี 2024 เอเชีย ตะวันออกกลาง ละตินอเมริกาตื่นตัว เพิ่มทองคำสำรองลดความเสี่ยง

(21 มี.ค. 68) ในปี 2024 เป็นปีที่ 3 ติดต่อกันที่การถือครองทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกทะลุ 1,000 เมตริกตัน โดยเพิ่มขึ้นรวมกันกว่า 1,044.6 เมตริกตัน ตามรายงานล่าสุดของ สภาทองคำโลก (WGC) สะท้อนแนวโน้มการกระจายความเสี่ยง และลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่กำลังเผชิญความไม่แน่นอน

ธนาคารกลางหลายประเทศ โดยเฉพาะใน เอเชีย ตะวันออกกลาง และละตินอเมริกา หันมาเพิ่มทองคำสำรองเพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดการเงินโลก รวมถึงการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่ทำให้หลายชาติเริ่มมองหาทางเลือกอื่นนอกเหนือจากดอลลาร์สหรัฐ

“ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีความเสี่ยงจากคู่สัญญา (counterparty risk) และสามารถรักษามูลค่าได้ในระยะยาว ทำให้หลายประเทศใช้เป็นเครื่องมือกระจายความเสี่ยงของทุนสำรองระหว่างประเทศ” สภาทองคำโลก (WGC) ระบุ

ทั้งนี้ ปริมาณทองคำสำรองของธนาคารกลางเพิ่มขึ้นกว่า สองเท่า ระหว่างปี 2021 ถึง 2024 โดยสัดส่วนของทองคำในทุนสำรองเงินตราต่างประเทศทั่วโลกเพิ่มขึ้นจาก 12.9% ในปลายปี 2021 เป็น 15.3% ในสิ้นปี 2023 และแตะระดับ 18.4% ในปลายปี 2024

จากผลสำรวจของ WGC ในปี 2024 พบว่า 81% ของผู้บริหารธนาคารกลางทั่วโลกคาดการณ์ว่าปริมาณทองคำสำรองจะเพิ่มขึ้นในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดย WGC ระบุว่าแนวโน้มการซื้อทองคำของธนาคารกลางจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันความต้องการทองคำในปีนี้

สำหรับ 10 อันดับประเทศที่ถือครองทองคำมากที่สุดในโลก ประกอบด้วย

1. สหรัฐอเมริกา – ครองแชมป์อันดับ 1 ด้วยทองคำสำรอง 8,133.46 เมตริกตัน มากที่สุดในโลก และยังคงเป็นหนึ่งในเสาหลักของระบบการเงินระหว่างประเทศ
2. เยอรมนี – มีทองคำสำรอง 3,351.53 เมตริกตัน ถือเป็นประเทศที่มีทองคำมากที่สุดในยุโรป และมีการนำทองคำที่เคยฝากไว้ในต่างประเทศกลับคืนมาเพื่อเสริมความมั่นคงทางการเงิน
3. อิตาลี – อยู่ในอันดับ 3 ด้วยปริมาณทองคำ 2,451.84 เมตริกตัน ซึ่งธนาคารกลางของอิตาลียังคงถือครองไว้โดยไม่มีแผนขายออก
4. ฝรั่งเศส – ตามมาติด ๆ ในอันดับ 4 กับทองคำสำรอง 2,437 เมตริกตัน ซึ่งถูกเก็บรักษาเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ด้านเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ
5. รัสเซีย – รั้งอันดับ 5 ด้วยทองคำ 2,332.74 เมตริกตัน โดยรัสเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่เพิ่มทองคำสำรองอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพื่อลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
6. จีน – มีทองคำสำรอง 2,279.56 เมตริกตัน โดยรัฐบาลจีนยังคงซื้อทองคำเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงและเสริมอำนาจทางเศรษฐกิจ
7. สวิตเซอร์แลนด์ – แม้จะเป็นประเทศขนาดเล็ก แต่มีทองคำสำรองถึง 1,039.94 เมตริกตัน ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
8. อินเดีย – ถือครองทองคำ 876.18 เมตริกตัน โดยอินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความต้องการทองคำสูงที่สุดในโลก เนื่องจากวัฒนธรรมและเศรษฐกิจที่ผูกพันกับทองคำ
9. ญี่ปุ่น – มีทองคำสำรอง 845.97 เมตริกตัน โดยธนาคารกลางญี่ปุ่นใช้ทองคำเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์รักษาเสถียรภาพทางการเงิน
10. เนเธอร์แลนด์ – ปิดท้าย 10 อันดับแรกด้วยทองคำสำรอง 612.45 เมตริกตัน โดยมีนโยบายเก็บรักษาทองคำในประเทศและทยอยนำทองคำที่เคยฝากไว้ในต่างประเทศกลับคืน

ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า แนวโน้มการสะสมทองคำจะดำเนินต่อไป โดยเฉพาะจากประเทศที่ต้องการลดการพึ่งพาระบบการเงินตะวันตก และป้องกันความเสี่ยงจากมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ

การเคลื่อนไหวนี้เป็นสัญญาณว่า โลกกำลังปรับโครงสร้างระบบการเงินระหว่างประเทศครั้งใหญ่ ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top