Sunday, 11 May 2025
World

อินเดียแห่แย่งเข้าวัดฟรี เสียชีวิต 6 เจ็บ 35

เหตุการณ์เศร้าสลดเกิดขึ้นใกล้วัดศรีเวงกเฏศวรสวามี หรือ วัดติรุปติ หนึ่งในวัดฮินดูที่มีผู้ศรัทธาเข้ามาสักการะมากที่สุดในอินเดีย โดยมีรายงานผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 6 ราย และบาดเจ็บอีก 35 ราย เหตุจากการเบียดเสียดเพื่อแย่งรับบัตรเข้าชมวัดฟรี  

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันพุธที่ 8 มกราคม ที่รัฐอานธรประเทศ ทางตอนใต้ของอินเดีย ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลมงคลระหว่างวันที่ 10-19 มกราคม ที่ผู้ศรัทธานิยมเข้าวัดเพื่อสักการะองค์เทพ  

เจ้าหน้าที่ระดับสูงประจำเขต เอส เวงกเฏศวร เปิดเผยว่า ขณะเปิดประตูประชาชนราว 2,500 คนต่างแห่กันเข้าไปจนเกิดความชุลมุน มีผู้ล้มลงและถูกเหยียบตามมา โดยเจ้าหน้าที่กำลังเร่งสอบสวนเหตุการณ์เพื่อหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม  

เหตุสลดนี้เกิดขึ้นบริเวณด้านนอกโรงเรียนแห่งหนึ่งที่ใช้เป็นจุดแจกบัตรเข้าชมวัด ซึ่งอยู่ห่างจากตัววัดเพียงไม่กี่กิโลเมตร โดยตามกำหนดการ การแจกบัตรฟรีจะเริ่มในวันพฤหัสบดี ทั้งนี้ บัตรเข้าชมวัดปกติจะมีราคาประมาณ 300 รูปี หรือราว 3.50 ดอลลาร์สหรัฐ และจำหน่ายผ่านระบบออนไลน์  

จากวิดีโอของสำนักข่าว ANI แสดงให้เห็นภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังพยายามควบคุมฝูงชนที่แออัดอย่างหนัก เจ้าหน้าที่ระบุว่า การเบียดเสียดเริ่มจากกลุ่มคนที่อยู่หน้าสุดผลักดันแถวด้านหลัง ซึ่งนำไปสู่การล้มและเหยียบกันจนเกิดความสูญเสีย  

สำหรับผู้บาดเจ็บ 35 ราย ขณะนี้มี 12 รายที่ยังต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ติรุมลาติรุปตีเทวัสถานัม (TTD) ซึ่งเป็นหน่วยงานบริหารจัดการวัด ได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมให้คำมั่นว่าจะดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้อง  

นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ยังได้โพสต์ข้อความแสดงความเสียใจผ่านแพลตฟอร์มเอ็กซ์ โดยระบุว่า “ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้สูญเสีย และขอส่งกำลังใจให้ทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้”

นักวิทย์จีนพัฒนาธงชาติ โบกสะบัดได้ใน 'อวกาศ' ผืนแรกบนดวงจันทร์

(10 ม.ค.68) ทีมนักวิจัยของจีนจากกรุงปักกิ่งและมณฑลอันฮุยทางตะวันออกของจีนกำลังร่วมกันสำรวจความเป็นไปได้ของแนวคิดในการประดิษฐ์ธงชาติที่สามารถโบกสะบัดในสภาพแวดล้อมไร้อากาศบนดวงจันทร์ และพัฒนาอุปกรณ์บรรทุก (payload) สำหรับภารกิจฉางเอ๋อ-7 (Chang’e-7) ณ ห้องปฏิบัติการสำรวจห้วงอวกาศลึก ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนระดับชั้นประถมในนครฉางซา มณฑลหูหนานทางตอนกลางของจีน

จางเทียนจู้ รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเทคโนโลยีแห่งอนาคตของห้องปฏิบัติการฯ เผยว่าอุปกรณ์บรรทุกนี้ ซึ่งเป็นโครงการเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ จะถูกส่งไปพร้อมกับยานสำรวจฉางเอ๋อ-7 สู่ซีกใต้ของดวงจันทร์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ปฏิกิริยาของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าในการทำให้ธงสามารถโบกสะบัดบนดวงจันทร์ได้

จางอธิบายว่าสภาพแวดล้อมที่ไร้ชั้นบรรยากาศบนดวงจันทร์เป็นตัวทำให้เกิดภาวะสุญญากาศ ซึ่งทำให้ธงสะบัดได้ยากไม่เหมือนบนพื้นโลก ทว่าเหล่านักเรียนเสนอให้เราออกแบบสายควบคุมระบบปิดบนผืนธง ซึ่งจะทำให้กระแสไฟฟ้าสามารถไหลผ่านได้สองทาง และปฏิกิริยาระหว่างสนามแม่เหล็กไฟฟ้าจะทำให้ธงสะบัดได้

มีการคาดการณ์ว่าโครงการนี้จะเสร็จสิ้นภายในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งจางระบุว่าหากทำสำเร็จ ธงนี้จะเป็นธงผืนแรกที่ได้ไปโบกสะบัดอยู่บนพื้นผิวดวงจันทร์ และแผนริเริ่มดังกล่าวจะช่วยให้คนรุ่นใหม่เข้าใจความพยายามด้านอวกาศของจีนมากขึ้น พร้อมจุดประกายความสนใจและความกระตือรือร้นสำหรับอาชีพในภาคการบินและอวกาศในอนาคต

อนึ่ง ภารกิจฉางเอ๋อ-6 (Chang’e-6) ของจีนได้นำตัวอย่างจากด้านไกลของดวงจันทร์กลับมาเป็นครั้งแรกสำเร็จลุล่วงในปี 2024

สำหรับปี 2025 การพัฒนาภารกิจต่อไปอย่างฉางเอ๋อ-7 และฉางเอ๋อ-8 (Chang’e-8) ซึ่งอยู่ภายใต้โครงการสำรวจดวงจันทร์ของจีน ระยะที่ 4 กำลังคืบหน้าไปอย่างต่อเนื่อง โดยภารกิจฉางเอ๋อ-7 มีกำหนดการปล่อยสู่ห้วงอวกาศในราวปี 2026 เพื่อค้นหาหลักฐานน้ำหรือน้ำแข็งบริเวณซีกใต้ของดวงจันทร์

นอกจากนั้น ทีมนักวิจัยกำลังพัฒนากระบวนการตรวจสอบสำหรับภารกิจฉางเอ๋อ-8 และโครงการสถานีวิจัยดวงจันทร์นานาชาติ โดยมีกำหนดการปล่อยยานฉางเอ๋อ-8 ในราวปี 2028 เพื่อดำเนินการทดลองโดยใช้ทรัพยากรบนดวงจันทร์

จางกล่าวอีกว่าภายในปี 2035 คาดว่าภารกิจฉางเอ๋อ-7 และฉางเอ๋อ-8 จะประกอบด้วยแบบจำลองพื้นฐานของโครงการสถานีวิจัยดวงจันทร์นานาชาติ ซึ่งเป็นศูนย์กลางสำหรับวิศวกร ห้องปฏิบัติการสำหรับนักวิทยาศาสตร์ ตลอดจนแหล่งบ่มเพาะผู้มีความสามารถด้านห้วงอวกาศลึกในระดับนานาชาติ

รัสเซียซัดทรัมป์เล็งฮุบกรีนแลนด์ แต่ยังมองเป็นแค่ 'วาทกรรม' ไร้จริงจัง

(10 ม.ค.68) นายดมิทรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน เผยว่ารัสเซียกำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ แสดงความสนใจในเขตปกครองตนเองกรีนแลนด์ของเดนมาร์ก โดยระบุว่าเรื่องนี้ยังคงอยู่ในระดับวาทกรรม แต่รัสเซียย้ำความมุ่งมั่นในการรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในพื้นที่ พร้อมเรียกร้องให้รับฟังเสียงของชาวกรีนแลนด์  

เปสคอฟยังกล่าวว่า รัสเซียมีบทบาทในภูมิภาคอาร์กติกมาอย่างยาวนาน และยืนยันว่าจะยังคงอยู่ต่อไป  

ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีเมตเต เฟรเดอริกเซน ผู้นำเดนมาร์ก ได้เรียกประชุมแกนนำพรรคการเมืองและสมาชิกรัฐสภาจากกรีนแลนด์ เพื่อหารือเกี่ยวกับท่าทีของทรัมป์ แม้มีรายงานการติดต่อไปยังทรัมป์ แต่รัฐบาลเดนมาร์กยืนยันว่าไม่มีการสนทนาโดยตรงระหว่างเฟรเดอริกเซนกับว่าที่ผู้นำสหรัฐ  

ทั้งนี้ สหรัฐมีฐานทัพถาวรในกรีนแลนด์ตั้งแต่ช่วงสงครามเย็น และทรัมป์เคยแสดงความต้องการครอบครองกรีนแลนด์เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2562 แต่ก็ถูกปฏิเสธโดยรัฐบาลเดนมาร์กอย่างชัดเจน

ญี่ปุ่นเจอไข้หวัดใหญ่ระบาดหนัก ป่วยทะลุ 300,000 ราย สูงสุดรอบ 25 ปี

(10 ม.ค.68) ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ญี่ปุ่นประสบกับการระบาดของไข้หวัดใหญ่ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 25 ปีที่ผ่านมา โดยเป็นการระบาดที่สูงที่สุดนับตั้งแต่มีการเก็บข้อมูลเทียบเคียงกันตามรายงานจากหน่วยงานสาธารณสุขเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

การวิเคราะห์ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่น ที่เก็บจากคลินิกการแพทย์กว่า 5,000 แห่ง แสดงให้เห็นว่าในช่วงระหว่างวันที่ 23-29 ธันวาคม มีผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ถึง 317,812 คน

ตัวเลขนี้สูงกว่าสามเท่าของ 104,612 คนที่พบในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2023 และเป็นจำนวนสูงสุดในรอบสัปดาห์ตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกข้อมูลในปี 1999 กระทรวงฯ กล่าว

การระบาดของไข้หวัดใหญ่มักจะเพิ่มขึ้นในฤดูหนาวในญี่ปุ่นและในประเทศอื่น ๆ แต่บางประเทศได้เห็นการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยอย่างรวดเร็วในช่วงหลัง รวมถึงฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร

ออสเตรเลียรายงานว่ามีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่ได้รับการยืนยันจากห้องปฏิบัติการมากกว่า 350,000 คนในปีที่แล้ว ซึ่งมากกว่าค่าสูงสุดเดิมที่ 313,615 คนในปี 2019 ตามข้อมูลจากระบบเฝ้าระวังโรคของประเทศนั้น

อิหร่านเลือก 'มักราน' ตั้งเมืองหลวงใหม่ หวังหนีปัญหาแออัด - ขยายเขตเศรษฐกิจ

(10 ม.ค.68) รัฐบาลอิหร่านประกาศย้ายเมืองหลวงจากกรุงเตหะรานไปยัง 'มักราน' หวังสร้างศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่และแก้ปัญหาหลายด้าน

รัฐบาลอิหร่านเปิดเผยว่าจะย้ายเมืองหลวงจากกรุงเตหะรานที่ดำรงตำแหน่งมาเป็นเวลากว่า 200 ปี ไปยังเมืองมักรานที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ โดยกล่าวว่าแผนการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เช่น ประชากรที่ล้นเกิน ขาดแคลนพลังงาน และปัญหาการขาดแคลนน้ำ

ตามคำกล่าวของรัฐบาล, เมืองมักรานมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางทางการค้าสำคัญและเส้นทางการเดินเรือที่สามารถช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถทางเศรษฐกิจของประเทศ และลดภาระทางเศรษฐกิจที่กรุงเตหะรานต้องเผชิญ

นอกจากนี้ เมืองมักรานยังมีข้อได้เปรียบในด้านภูมิศาสตร์เนื่องจากใกล้กับอ่าวโอมาน ซึ่งเป็นประโยชน์ทางกลยุทธ์ในเรื่องการค้าระหว่างประเทศ ในขณะที่รองประธานาธิบดี โมฮัมหมัด เรซา อารีฟ ยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาภูมิภาคอย่างมาก และยังถือว่าเมืองมักรานมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในช่วงสมัยจักรวรรดิอาเคเมนิดด้วย

แนวคิดการย้ายเมืองหลวงนี้เริ่มได้รับการพูดถึงตั้งแต่ปี 2000 และมีความพยายามในการดำเนินการมาตลอดหลายปี แต่ก็เงียบหายไปจนกระทั่งในสมัยของประธานาธิบดี มาซูด เปเซชเคียน ที่ได้รื้อฟื้นแนวคิดนี้ขึ้นอีกครั้ง โดยอ้างถึงความไม่สมดุลของการใช้ทรัพยากรในกรุงเตหะราน

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากทุกฝ่าย มีนักวิจารณ์บางคนที่แสดงความกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายมหาศาลในการย้ายเมืองหลวง รวมถึงปัญหาทางด้านโลจิสติกส์ที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงนี้ ซึ่งอาจขัดแย้งกับสภาพเศรษฐกิจที่กำลังซบเซาของประเทศ

จีนเริ่มแคนเซิลทัวร์มาไทยช่วงตรุษจีน หวั่นถูกจีนเทาลักพาตัวเหมือนกรณีซิงซิง

(10 ม.ค.68) เว็บไซต์เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ สื่อฮ่องกงรายงานว่า นักท่องเที่ยวจีนหลายคนที่วางแผนจะเดินทางไปประเทศไทยในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้ ได้แสดงความกังวลผ่านโซเชียลมีเดีย พร้อมตั้งคำถามตรงไปตรงมาหลังเกิดเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับนักแสดงจีน 'หวังซิง' (Wang Xing) ซึ่งหายตัวไปหลังจากเดินทางมาถึงประเทศไทยจนกลายเป็นประเด็นใหญ่ที่หลายฝ่ายจับตาตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

หวังซิง ก่อนหน้านี้เขาเป็นนักแสดงที่ไม่เป็นที่รู้จักมากนัก จนกระทั่งเหตุการณ์หายตัวไปของเขากลายเป็นข่าวดัง ชื่อของเขาได้ปรากฏในการค้นหาอันดับต้น ๆ บนสื่อโซเชียลมีเดียของจีน

แม้การหายตัวไปของเขา ทางด้านเจ้าหน้าที่ไทยได้ดำเนินการอย่างรวดเร็วท่ามกลางการจับตามองจากสาธารณะ โดยสามารถช่วยเหลือหวังซิงออกมาจากกลุ่มขบวนการสแกมเมอร์ ในเมืองที่ตั้งอยู่ใกล้ชายแดนไทยกับเมียนมาเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เขาถูกมองว่าเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์และถูกพบในสภาพอิดโรย พร้อมถูกโกนหัวตามภาพที่ถูกเผยแพร่

เหตุการณ์นี้ได้สร้างความวิตกกังวลให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนที่กำลังจะเดินทางมาประเทศไทยในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่กำลังใกล้เข้ามาเป็นอย่างมาก

บนแพลตฟอร์ม Xiaohongshu หรือ 'Little Red Book' หรือที่รู้จักกันในฐานะ Instagram ของจีน มีการค้นหาคำว่า 'How do I cancel my Thailand trip?' พบโพสต์มากกว่า 380,000 โพสต์ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

ชาวนา หลี่ (Shawna Li) หญิงสาวจากมณฑลเจ้อเจียงในจีน กล่าวว่าตนเองและเพื่อนหญิงสามคนวางแผนจะเดินทางไปประเทศไทยในช่วงวันหยุดเทศกาลตรุษจีนระหว่างวันที่ 28 มกราคมถึง 4 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ แต่เมื่อทราบข่าวเกี่ยวกับหวังซิง พวกเธอจึงตกลงใจที่จะยกเลิกการเดินทาง

"เราเปลี่ยนใจเพราะกังวลเรื่องความปลอดภัย โดยเฉพาะเมื่อเราทั้งสี่เป็นผู้หญิงที่เดินทางไปด้วยกัน" เธอกล่าว "ฉันไม่เคยไปประเทศไทยมาก่อน เคยได้ยินว่ามีราคาถูกและสนุก ฉันเคยคิดว่าอาจจะไม่ปลอดภัยบ้าง แต่ไม่ถึงขนาดนี้"

ผู้จัดการของตัวแทนท่องเที่ยวออนไลน์ชั้นนำของจีนอย่าง Ctrip สาขาในเซี่ยงไฮ้กล่าวว่า ประสบการณ์ของหวังซิงส่งผลให้จำนวนการจองเที่ยวบินไปประเทศไทยลดลง

ผู้จัดการ Ctrip เผยว่าจนถึงขณะนี้ มีทัวร์ไปประเทศไทยเพียงทริปเดียวที่กำหนดจะออกเดินทางก่อนสิ้นเดือนนี้ โดยมีผู้ร่วมทริปเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น "ในระยะสั้น เรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในการเดินทาง" ผู้จัดการกล่าว

สื่อฮ่องกงยังตั้งข้อสังเกตว่า การดำเนินการอย่างรวดเร็วของตำรวจไทยต่อกรณีหวังซิง มีขึ้นหลังการเรียกร้องของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ให้ปราบปรามอาชญากรรมเหล่านี้และจำกัดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับภาคการท่องเที่ยวของไทย หลังจากที่ข่าวเกี่ยวกับการหายตัวของหวังซิงเผยแพร่ไปทั่ว

หลังจากที่หวังซิงได้รับการช่วยเหลือในวันอังคารที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ไทยได้ถามเขาต่อหน้าสื่อเพื่อให้แสดงความพร้อมที่จะกลับมาท่องเที่ยวประเทศไทยอีกครั้ง

หวังซิงซึ่งสวมหมวกสีดำปิดบังใบหน้า ยืนยันด้วยคำพูดทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีนว่า "ประเทศไทยยังคงปลอดภัย และผมจะกลับมาอีก"

มีรายงานว่า จำนวนการเยือนของนักท่องเที่ยวชาวจีนในประเทศไทยอาจลดลงระหว่าง 10 ถึง 20% ในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ตามการประเมินของสมาคมตัวแทนการท่องเที่ยวไทย (ATTA)

โดยในปี 2024 ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาประเทศไทยถึง 6.73 ล้านคน ซึ่งจีนเป็นตลาดการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ตามข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

ทั้งนี้ ช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีจำนวนชาวจีนจำนวนไม่น้อยที่ถูกล่อลวงไปเข้าร่วมขบวนการสแกมเมอร์ที่ดำเนินการในภาคเหนือของเมียนมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยทางการจีนเคยเผยข้อมูลเมืองปี 2023 ประเมินว่ามีชาวจีนราว 100,000 คน ที่ถูกหลอกลวงให้ไปทำงานเป็นสแกมเมอร์บริเวณชายแดนไทยเมียนมา

ส่องโมเดล 'เต็นท์น้ำเงิน' ตำรวจสิงคโปร์ เคารพสิทธิผู้ตาย - รักษาจุดเกิดเหตุ

เมื่อไม่นานมานี้ที่สิงคโปร์มีข่าวนักปั่นจักรยานวัย 61 ประสบเหตุชนกับรถบัสในย่านจูรง แต่สิ่งที่น่าสนใจคือเจ้าหน้าที่ตำรวจสิงคโปร์มีการรักษาสภาพจุดเกิดเหตุด้วยกางเต็นท์น้ำเงิน เพื่อปกปิดศพไม่ให้สาธารณชนเห็น

การจัดการจุดเกิดเหตุในแต่ละประเทศมีมาตรฐานที่แตกต่างกัน สำหรับที่สิงคโปร์มีระบบการจัดการแบบเฉพาะตัวเมื่อเกิดอุบัติเหตุที่มีผู้เสียชีวิต เจ้าหน้าที่ตำรวจหรือหน่วยฉุกเฉินในสิงคโปร์จะใช้เต็นท์สีน้ำเงินคลุมร่างผู้เสียชีวิตทันทีที่ถึงที่เกิดเหตุ

มาตรการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงความเคารพต่อผู้เสียชีวิต, ปกป้องความเป็นส่วนตัวของครอบครัวผู้เสียชีวิต และลดผลกระทบทางจิตใจต่อผู้ที่อยู่ในพื้นที่นั้น

ข้อมูลจากสำนักงานตำรวจสิงคโปร์ยังระบุว่า การใช้เต็นท์ยังช่วยรักษาความสมบูรณ์ของสถานที่เกิดเหตุสำหรับการสืบสวน เช่น ป้องกันหลักฐานจากการถูกทำลายหรือปนเปื้อนจากสภาพแวดล้อม โดยเต็นท์จะถูกตั้งไว้จนกว่าการเก็บข้อมูลจากที่เกิดเหตุจะเสร็จสมบูรณ์

การดำเนินการเช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงการจัดการที่มีประสิทธิภาพของสิงคโปร์ พร้อมทั้งแสดงความเคารพต่อความรู้สึกของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

ตามระเบียบของตำรวจสิงคโปร์ระบุว่า เต็นท์ที่ใช้ในการปฏิบัติการของตำรวจออกแบบมาเพื่อการใช้งานในสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น การสืบสวนเหตุการณ์อาชญากรรม อุบัติเหตุ หรือภารกิจเฉพาะ โดยสามารถให้ความเป็นส่วนตัวได้ เต็นท์บางรุ่นมีหลังคาที่โปร่งแสงและข้างเต็นท์ที่ป้องกันความเป็นส่วนตัว รวมถึงผ้าคลุมสีดำ

เหตุที่ต้องใช้สีน้ำเงินเนื่องจาก เป็นสีสัญลักษณ์ประจำของตำรวจสิงคโปร์ ซึ่งสีนี้ถูกใช้มาตั้งแต่ปี 1969  การใช้ 'เต็นท์สีน้ำเงิน' เริ่มต้นในช่วงปลายทศวรรษ 1990 หรือประมาณปี 2000 เป็นส่วนหนึ่งของการปรับปรุงกระบวนการสอบสวนและการจัดการสถานที่เกิดเหตุให้มีความเป็นระเบียบและเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น

การตั้งเต็นท์สีน้ำเงินนอกจากยังช่วยป้องกันไม่ให้พื้นที่เกิดแล้ว ยังป้องกันการถูกแทรกแซงจากประชาชนและสื่อมวลชน ลดการรบกวนจากผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง และช่วยให้การสอบสวนของเจ้าหน้าที่ดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและรักษาความลับของการสอบสวนด้วย นับว่าเป็นโมเดลที่ดีที่หากตำรวจไทยจะนำมาประยุกต์ใช้ก็น่าสนใจไม่น้อย

‘กองทัพเมียนมา’ มีแผนเตรียมปล่อยตัว!! ‘อองซาน ซูจี’ ชี้!! มีความเป็น ‘ชาตินิยม’ สูงกว่า ‘การรักชาติพันธุ์’

หลังจาก ‘เอย่า’ นั่งถกประเด็นศาสนามาในอาทิตย์ก่อน อาทิตย์ที่ผ่านมา ‘เอย่า’ ไปมีโอกาสเดินทางไปยัง ‘เนปิดอว์’ และเข้าพบกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่หลายท่าน และนั่นก็อดไม่ได้ที่จะทำให้ได้ข่าวนี้ออกมา

ช่วงที่ผ่านมามีการโยกย้ายโผทหารในเมียนมาซึ่งก็ดูเหมือนจะเป็นปกติไม่มีอะไร  แต่หากสังเกตดี ๆ จะพบว่าการโยกย้ายครั้งนี้มีการโยกย้ายทหารที่มีอาวุโสน้อยกว่าแต่มีศักยภาพเข้ามารับตำแหน่งใหญ่ ๆ ในกองทัพหลายคน

ในมุมของนักวิเคราะห์กลาโหมแล้วมองว่าเป็นไปได้ที่ ‘การผลัดใบของกองทัพเมียนมา’ครั้งนี้จะสอดคล้องกับการเลือกตั้งที่ว่าจะเกิดขึ้นในอีกไม่นานนี้ หลังการสำรวจสำมะโนประชากรเสร็จสิ้น

อีกเรื่องคือมีข่าวว่าทางกองทัพเมียนมามีแผนจะปล่อยตัว ‘นางอองซาน ซูจี’ ด้วยหากการเลือกตั้งเป็นไปตามแผนการ  ซึ่งล่าสุดตามที่เอย่าได้ข่าวมาสายข่าวระบุว่านางซูจียังสบายดีอยู่ในเรือนรับรองของที่กองทัพฯ จัดหาให้ มีอาหาร คนรับใช้และแพทย์ดูแลใกล้ชิด

แต่ดูเหมือนฝ่ายต่อต้านก็จะรู้ทันโดยเฉพาะเรื่องการสำรวจสำมะโนประชากรว่าหากทำสำเร็จ ทางกองทัพจะดำเนินแผนการเลือกตั้งตามที่วางไว้และเมื่อรัฐบาลใหม่ที่เกิดขึ้นเป็นรัฐบาลผสมที่มีทั้งพรรคใหญ่และพรรคของชาติพันธุ์ ซึ่งนั่นอาจจะไม่ถูกใจกลุ่มต่อต้านนัก

แม้กลุ่มต่อต้านจะถือกำเนิดขึ้นจากกลุ่ม NLD แต่ก็ต้องยอมรับว่าปัจจุบันหัวโจกกลุ่มต่อต้านคือคนพม่าที่อยู่นอกประเทศและเป็นพวกที่ติดต่อกับชาติตะวันตกเพื่อนำเงินทุนมาสนับสนุนการก่อความไม่สงบในประเทศ 

คำถามสุดท้ายในใจ ‘เอย่า’ จึงเกิดขึ้นว่าหากมีการปล่อยตัว ‘นางอองซาน ซูจี’ จริงแล้วจะยังไงต่อ นายทหารท่านนั้นกล่าวกับทางเอย่าว่า ตลอดมาท่านซูจีเป็นคนที่มีชาตินิยมสูงมากเทียบไปก็ต้องบอกว่าสูงกว่าการรักชาติพันธุ์เสียอีก ซึ่งเป็นสิ่งที่นางพยายามทำให้เกิดรัฐบาลพรรคเดียวเพราะไม่ต้องการให้ชาติพันธุ์มามีอำนาจต่อรองกับรัฐบาลกลางที่ชาวเมียนมาเป็นผู้ปกครอง แต่ทว่าทุกอย่างอาจจะเปลี่ยนไปแล้วเพราะตลอดมาจะเห็นได้ว่าเมื่อกองกำลังหลายกองกำลังก็รบสร้างรายได้จากการสนับสนุนโดยตรงจากชาติตะวันตก ซึ่งนั่นเป็นโจทก์ใหญ่มากที่ทางกองทัพทุ่มเทดูแลท่านซูจีอย่างดีเพราะหากเกิดอะไรขึ้นกับท่านซูจีในช่วงที่อยู่ในการอารักขาของกองทัพอีกฝ่ายจะเอามาโจมตีได้  และต่อให้ปล่อยตัวท่านแล้วอาจจะมีการลอบสังหารท่านเพื่อป้ายสีมายังกองทัพเมียนมาเพื่อสร้างสถานการณ์ให้เลวร้ายลงก็เป็นได้ ส่วนสถานการณ์คนเมียนมาในต่างแดนเช่นไทยจะเลิกระดมทุน เลิกรบ เดินทางกลับเมียนมาไหม นายทหารท่านนั้นเชื่อว่าไม่  เพราะทุกวันนี้กลุ่มต่อต้านไม่ได้ต่อสู้เพื่ออุดมการณ์อยู่แล้ว คนเหล่านั้นทำเพราะได้เงินส่วนแบ่งต่างหาก ยกเว้นคนที่ไม่รับรู้เลยเท่านั้นที่ยังยินยอมพร้อมใจจะตกเป็นเหยื่อคนกลุ่มนี้ต่อไป

‘เกาหลีใต้’ เผย!! กล่องดำ ‘เจจูแอร์’ หยุดทำงาน 4 นาที ก่อนเครื่องพุ่งไถล ชี้!! แหล่งกำเนิดพลังงานทั้งหมดบนเครื่องบิน ไฟสำรอง อาจถูกตัด

(11 ม.ค. 68) กล่องบันทึกข้อมูลการบิน (flight data recorder) และกล่องบันทึกเสียงในห้องนักบิน (cockpit voice recorder) ของเครื่องบินเจจูแอร์ (Jeju Air) ที่ประสบอุบัติเหตุเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. หยุดทำงานราว ๆ 4 นาทีก่อนที่เครื่องบินจะลื่นไถลรันเวย์ไปชนกับกำแพงคอนกรีตที่สนามบินนานาชาติมูอัน ตามข้อมูลจากกระทรวงคมนาคมเกาหลีใต้วันนี้ (11 ม.ค.)

พนักงานสอบสวนอุบัติเหตุเครื่องบินตกที่คร่าชีวิตผู้โดยสารและลูกเรือรวม 179 คน และถือเป็นโศกนาฏกรรมทางการบินครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์เกาหลีใต้ เตรียมที่จะวิเคราะห์เพิ่มเติมว่าอะไรเป็นสาเหตุทำให้ ‘กล่องดำ’ ทั้ง 2 ใบหยุดทำงานไปเฉยๆ ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนั้น

ทางกระทรวงระบุว่า กล่องบันทึกเสียงภายในห้องนักบินถูกนำมาตรวจวิเคราะห์เบื้องต้นในเกาหลีใต้ และเมื่อพบว่าข้อมูลบางส่วนหายไป จึงได้มีการส่งไปยังห้องแล็บของคณะกรรมการความปลอดภัยขนส่งแห่งชาติสหรัฐฯ (NTSB) เพื่อตรวจสอบโดยละเอียด

ด้านกล่องบันทึกข้อมูลการบินที่เสียหายก็ถูกส่งไปตรวจวิเคราะห์ในสหรัฐฯ แล้วเช่นกัน

เที่ยวบิน 7C2216 ของเจจูแอร์ซึ่งออกเดินทางจากกรุงเทพมหานครไปยังสนามบินมูอันในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของเกาหลีใต้ ลงจอดในสภาพที่ล้อไม่กาง ก่อนจะลื่นไถลหลุดรันเวย์ไปชนกับกำแพงคอนกรีตจนเกิดระเบิดไฟลุกท่วม คร่าชีวิตผู้โดยสารและลูกเรือไป 179 คน และมีเพียงลูกเรือ 2 คนที่นั่งอยู่ในส่วนท้ายเครื่องเท่านั้นที่รอดมาได้

นักบินผู้ควบคุมเครื่องได้แจ้งไปยังหอควบคุมการบินว่าเครื่องบิน ‘พุ่งชนนก’ และประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินราวๆ 4 นาทีก่อนที่เครื่องจะชนเข้ากับกำแพงคอนกรีตปลายรันเวย์

ทั้งนี้ หอควบคุมการบินเองได้มีการแจ้งเตือน ‘กิจกรรมของนก’ บริเวณรอบๆ สนามบิน ก่อนที่เครื่องบินลำนี้จะส่งสัญญาณ Mayday ประมาณ 2 นาที และหลังจากที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว นักบินได้ตัดสินใจยกเลิกการลงจอด และนำเครื่องกลับไปบินวน 1 รอบ

อย่างไรก็ตาม แทนที่จะบินวนจนครบรอบ เครื่องบินโบอิ้ง 737-800 ลำนี้กลับหักเลี้ยวอย่างกะทันหัน และตรงเข้าไปยังรันเวย์เดี่ยวของทางสนามบินมูอันจากทิศทางตรงกันข้าม ก่อนจะลงจอดในสภาพที่ท้องเครื่องบินครูดไถลไปกับพื้นด้วยความเร็วสูง

ซิม ไจดง (Sim Jai-dong) อดีตพนักงานสอบสวนอุบัติเหตุของกระทรวงคมนาคมเกาหลีใต้ ระบุว่าการค้นพบว่ากล่องดำหยุดทำงานในช่วงไม่กี่นาทีสุดท้ายถือว่าน่าประหลาดใจ และสะท้อนว่าแหล่งกำเนิดพลังงานทั้งหมดบนเครื่องรวมถึงไฟสำรองอาจถูกตัด ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก

กระทรวงคมนาคมเกาหลีใต้แถลงว่า ข้อมูลอื่นๆ ที่มีอยู่จะถูกนำมาใช้ในกระบวนการสอบสวน พร้อมยืนยันว่าจะตรวจสอบต้นตอของอุบัติเหตุครั้งนี้อย่างโปร่งใส และแชร์ข้อมูลให้ครอบครัวของเหยื่อได้ทราบ

ประกันอ่วม!! จ่ายเงินชดเชย ‘ไฟป่าแอลเอ’ สูงที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ คาดพุ่งทะลุถึง 5.2 ล้านล้านบาท เหตุ!! ลามถึงเขตอสังหาริมทรัพย์ ราคาแพง

(12 ม.ค. 68) ไฟป่าลอสแอนเจลิส ที่ปะทุขึ้นยังคงลุกลามอย่างต่อเนื่อง แต่คาดการณ์ว่าจะเป็นไฟป่าที่สร้างความเสียหายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ และสูงติดอันดับต้นๆ ของกลุ่มภัยธรรมชาติในสหรัฐอเมริกา

ไฟป่าแอลเอ ครั้งนี้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วอย่างน้อย 11 ราย และทำลายอาคารบ้านเรือนไปกว่า 12,000 หลัง ตั้งแต่วันอังคารที่ 7 ม.ค. ส่งผลให้ชุมชนที่เคยเป็นที่ตั้งของทรัพย์สินมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ต้องพังทลายไปทั้งชุมชน แม้จะยังเร็วเกินไปที่จะสรุปมูลค่าความเสียหายได้อย่างแม่นยำ แต่จากการประมาณการต่างๆ บ่งชี้ว่า ความสูญเสียที่เกิดขึ้นจนถึงขณะนี้มีแนวโน้มว่าจะสร้างความเสียหายเป็นมูลค่าสูงที่สุดเท่าที่เคยเกิดไฟป่าสหรัฐมา

การประมาณการเบื้องต้นโดย AccuWeather ระบุว่า ความเสียหายและความสูญเสียทางเศรษฐกิจจนถึงขณะนี้อยู่ที่ระหว่าง 135,000 - 150,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 5.2 ล้านล้านบาท) ในขณะที่ความเสียหายจากพายุเฮอริเคนเฮเลน เมื่อปี 2024 ซึ่งพัดถล่ม 6 รัฐทางตะวันออกเฉียงใต้เมื่อฤดูใบไม้ร่วงที่แล้ว อยู่ที่ 225,000 - 250,000 ล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ จากการเปรียบเทียบข้อมูลจนถึงปัจจุบันพบว่า ไฟป่าแอลเอในครั้งนี้คาดว่าจะสร้างความเสียหายเป็นวงเงินสูงที่สุด ทุบสถิติของไฟป่า Camp Fire ในรัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อปี 2018 ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายอยู่ที่ประมาณ 1.25 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนความเสียหายจาก ‘ภัยธรรมชาติ’ ที่คิดเป็นมูลค่าสูงที่สุดในสหรัฐนั้นยังคงเป็นกลุ่ม ‘พายุเฮอร์ริเคน’ นำโดยเฮอร์ริเคนแคทรีนา เมื่อปี 2005 ที่ความเสียหาย 2.01 แสนล้านดอลลาร์

ทางด้านบริษัทโบรกเกอร์ประกันภัย Aon PLC เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ว่า ไฟป่าในเขตลอสแอนเจลิสมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นไฟป่าที่สร้างความเสียหายสูงสุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ แม้ว่าจะไม่ได้ออกประมาณการก็ตาม Aon จัดอันดับไฟป่าที่รู้จักกันในชื่อ Camp Fire ในเมืองพาราไดซ์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ในปี 2018 ให้เป็นไฟป่าที่สร้างความเสียหายสูงสุดในประวัติศาสตร์สหรัฐจนถึงขณะนี้ โดยมีมูลค่า 12,500 ล้านดอลลาร์เมื่อปรับตามอัตราเงินเฟ้อ คร่าชีวิตผู้คนไป 85 ราย และทำลายบ้านเรือนไปประมาณ 11,000 หลัง

สำหรับสถานการณ์เมื่อวันเสาร์ ไฟป่าในแอลเอซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากพายุลม Santa Ana และภัยแล้งรุนแรง ยังคงไม่สามารถควบคุมได้เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งหมายความว่ายอดรวมความเสียหายจากไฟป่ามีแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้นอย่างมาก

ทางด้านบริษัทจัดอันดับเครดิต ‘มูดีส์’ (Moody's) เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า ไฟป่าครั้งนี้จะเป็นไฟป่าที่สร้างความเสียหายมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ เนื่องจากได้ลุกลามไปยังพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นและมีอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ แม้ว่ารัฐนี้จะเคยประสบกับไฟป่าครั้งใหญ่มาบ้างแล้ว แต่โดยทั่วไป ไฟป่าจะกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ตอนในที่ไม่มีประชากรหนาแน่น ส่งผลให้มีการทำลายล้างต่อเอเคอร์น้อยลง และส่วนใหญ่จะสร้างความเสียหายต่อบ้านเรือนที่มีราคาถูกกว่า

แต่ในครั้งนี้ ไฟป่าได้ทำลายทรัพย์สินหลายพันหลังในเขตแปซิฟิก พาลิเซดส์ (Pacific Palisades) และมาลิบู (Malibu) ซึ่งเป็นบ้านของดาราฮอลลีวูดและผู้บริหารระดับสูงหลายคนที่มีทรัพย์สินมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ โดยมีดาราดังหลายคนสูญเสียบ้านเรือนไปจากไฟไหม้ในครั้งนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top