Wednesday, 14 May 2025
World

ที่ปรึกษาส่วนตัวประธานอาเซียนปีหน้า เผยคุณสมบัติประสบการณ์ระดับ 'รัฐบุรุษ'

(16 ธ.ค. 67) สื่อมาเลเซียรายงานว่า นายอันวาร์ อิบบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียจะแต่งตั้งให้ อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ทำหน้าที่เป็น "ที่ปรึกษาส่วนตัว" ให้กับนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ในขณะที่มาเลเซียจะเป็นประธานอาเซียนในปีหน้า

นายอันวาร์ เผยว่า คุณสมบัติของนายทักษิณ นอกจากมีประสบการณ์ระดับรัฐบุรุษแล้ว ยังเป็นบุคคลที่ได้รับความเคารพและสนับสนุนจากชาติสมาชิกหลายฝ่ายในอาเซียน ซึ่งเป็นการแต่งตั้งอย่างไม่เป็นทางการ

“ผมตกลงแต่งตั้ง (ทักษิณ) เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวในฐานะประธานอาเซียน ขอบคุณที่ยอมรับการแต่งตั้งนี้ เพราะเราต้องการประโยชน์จากประสบการณ์ของรัฐบุรุษแบบนี้” นายอันวาร์กล่าวกับนางสาวแพทองธาร ธิดาคนเล็กของนายทักษิณ

“ขอบคุณที่เขายอมรับการแต่งตั้งครั้งนี้ เพราะเราเห็นความสำคัญจากประสบการณ์ของนักการเมืองผู้มีประสบการณ์เช่นคุณพ่อของท่าน” อันวาร์กล่าวต่อนายกรัฐมนตรีแพทองธาร

นอกจากนี้ ในระหว่างการหารือแบบทวิภาคีระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร กับนายอันวาร์ อันวาอิบราฮิม เผยว่า มาเลเซียต้องการเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างสองชาติ โดยตั้งเป้าหมายการค้าถึง 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2027

"อาจจะมองว่าเป็นเป้าหมายที่ทะเยอทะยาน แต่เมื่อพิจารณาถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ในประเทศไทยและมาเลเซีย เราก็มีสิ่งที่สามารถร่วมมือกันได้" นายอันวาร์ กล่าว นอกจากนี้นายกมาเลย์ยังกล่าวถึงความจำเป็นในการส่งเสริมการเคลื่อนย้ายสินค้าอย่างไร้รอยต่อในอาเซียน เพื่อให้การค้าภายในภูมิภาคมีประสิทธิภาพมากขึ้น

'สี จิ้นผิง' เตือนพรรคคอมมิวนิสต์ต้องเอาจริง จัดการปัญหาภายใน ไร้ระเบียบวินัย-คอร์รัปชัน

(16 ธ.ค. 67) ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำของจีน กล่าวว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจำเป็นต้อง “หันมีดเข้าหาตัวเอง” เพื่อแก้ไขปัญหาการไร้ระเบียบวินัยภายในพรรคและการทุจริตคอร์รัปชัน โดยเป็นการส่งสัญญาณใหม่ในการเดินหน้าปราบปรามเจ้าหน้าที่รัฐที่ประพฤติมิชอบ รวมถึงกลุ่มที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนการทุจริต

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ตั้งแต่ที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดของประเทศในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา เขาได้ดำเนินการอย่างจริงจังในการปราบปรามการทุจริตในหมู่สมาชิกพรรค ไม่ว่าจะเป็น "เสือ" ซึ่งหมายถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ทุจริต หรือ "แมลงวัน" ซึ่งหมายถึงเจ้าหน้าที่ระดับล่างที่ไม่ปฏิบัติตามนโยบายรัฐ

แม้การปราบปรามจะดำเนินไปอย่างเข้มงวด แต่พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังคงเผชิญกับปัญหาการทุจริต โดยเฉพาะในกองทัพ เช่น กรณีที่รัฐมนตรีกลาโหม 2 คนถูกขับออกจากพรรคในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจาก "ละเมิดวินัยร้ายแรง" ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกการทุจริตในจีน

ในสุนทรพจน์ที่เผยแพร่ในวันนี้ (16 ธันวาคม) ผ่านทางวารสารฉิวซื่อ ซึ่งเป็นนิตยสารหลักของพรรคฯ ปธน.สี จิ้นผิงได้กล่าวว่า พรรคต้องเด็ดขาดในการจัดการกับกลุ่มผลประโยชน์ องค์กรที่ใช้อำนาจในทางมิชอบ หรือกลุ่มอภิสิทธิ์ชนที่พยายามหาผลประโยชน์หรือชักจูงสมาชิกพรรคให้ทุจริต

"เมื่อสถานการณ์และภารกิจที่พรรคเผชิญเปลี่ยนแปลงไป ย่อมเกิดความขัดแย้งและปัญหาภายในพรรคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้" ปธน.สี กล่าว "เราต้องกล้าหันมีดเข้าหาตัวเอง ขจัดอิทธิพลด้านลบเหล่านี้ให้ทันท่วงที เพื่อให้พรรคมีพลังและมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ"

คำว่า "หันมีดเข้าหาตัวเอง" เป็นส่วนหนึ่งของสุนทรพจน์ที่ปธน.สี จิ้นผิงกล่าวในการประชุมใหญ่กับหน่วยงานปราบปรามการทุจริตของพรรคในวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งไม่เคยเปิดเผยต่อสาธารณชนมาก่อน

การเผยแพร่เนื้อหานี้ในวันนี้เน้นย้ำถึงการเดินหน้าปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจังและกว้างขวางขึ้น เพื่อเสริมสร้างระเบียบวินัยและกำจัดเจ้าหน้าที่ที่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว รวมถึงผู้ที่สนับสนุนการทุจริต

เมื่อเดือนที่แล้ว กระทรวงกลาโหมจีนได้เปิดเผยว่า พลเรือเอกนายหนึ่งที่เคยดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการทหารกลาง หน่วยงานทางทหารที่สำคัญของจีน กำลังถูกสอบสวนในข้อหาละเมิดวินัยร้ายแรง

คณะกรรมการกลางเพื่อการตรวจสอบวินัยของพรรคฯ เปิดเผยว่า เมื่อปีที่แล้วมีเจ้าหน้าที่ของพรรคกว่า 610,000 คนที่ถูกลงโทษฐานละเมิดวินัย ซึ่งรวมถึง 49 คนที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงกว่ารัฐมนตรีช่วยหรือผู้ว่าการมณฑล

หัวหน้าพรรครัฐบาลเกาหลีใต้ลาออก สวนทางฝ่ายค้านคะแนนนิยมพุ่ง

(16 ธ.ค. 67) ฮันดงฮุน หัวหน้าพรรคพลังประชาชน (PPP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของเกาหลีใต้ ประกาศลาออกเมื่อวันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม หลังจากที่รัฐสภาเกาหลีใต้ลงมติถอดถอนประธานาธิบดียุน ซอก-ยอล การลาออกเกิดขึ้นไม่ถึงห้าเดือนหลังจากฮันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำพรรค

ฮันเปิดเผยเหตุผลการลาออกว่า เนื่องจากสภาสูงสุดของพรรคฯ ได้ยุบตัวลงหลังจากสมาชิกพรรคลาออก ทำให้เขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้นำพรรคได้ต่อไป พร้อมทั้งขอโทษประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากกรณีที่ยุนประกาศกฎอัยการศึกฉุกเฉินในคืนวันที่ 3 ธันวาคม แม้ว่าภายหลังจะมีการยกเลิกในอีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมา

ก่อนหน้านี้ ฮันเคยผลักดันให้ยุน “ลาออกตามระเบียบ” และกล่าวว่าเขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับประเทศ โดยไม่ต้องใช้มาตรการถอดถอนประธานาธิบดี

ในวันเดียวกัน รัฐสภาเกาหลีใต้ผ่านญัตติถอดถอนประธานาธิบดียุนเป็นครั้งที่สอง และส่งต่อเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อการพิจารณาภายใน 180 วัน ซึ่งระหว่างนั้นยุนจะถูกระงับอำนาจประธานาธิบดี

การลาออกของฮันทำให้ควอน ซอง-ดอง ผู้นำสมาชิกพรรคในรัฐสภา กลายเป็นรักษาการหัวหน้าพรรคพลังประชาชนแทน

ในขณะเดียวกัน ผลสำรวจจากบริษัทเรียลมิเตอร์ (Realmeter) เผยว่า คะแนนสนับสนุนพรรคประชาธิปไตยเกาหลี ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านหลักของเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญก่อนการพิจารณาถอดถอนประธานาธิบดีในครั้งที่สอง ผลการสำรวจระบุว่า คะแนนความนิยมของพรรคประชาธิปไตยเกาหลีเพิ่มขึ้นเป็น 52.4% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 4.8% จากสัปดาห์ก่อนหน้า

ในขณะที่พรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นพรรครัฐบาลได้รับคะแนนลดลงเหลือ 25.7% ความแตกต่างของคะแนนระหว่างพรรคฝ่ายค้านและพรรครัฐบาลเพิ่มสูงขึ้นเป็น 26.7% นับตั้งแต่ยุนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนพฤษภาคม 2022

ก่อนหน้านี้ การลงมติถอดถอนครั้งแรกของรัฐสภาถูกยกเลิกไปเมื่อสัปดาห์ก่อน เนื่องจากสมาชิกพรรคพลังประชาชนส่วนใหญ่ปฏิเสธการลงคะแนนเสียง

ทั้งนี้ ยุนได้ประกาศกฎอัยการศึกฉุกเฉินในคืนวันที่ 3 ธันวาคม แต่ถูกเพิกถอนโดยรัฐสภาภายในไม่กี่ชั่วโมง หลังจากนั้นเขากลายเป็นผู้ต้องสงสัยในข้อหาก่อกบฏ และกลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกของเกาหลีใต้ที่ถูกห้ามออกนอกประเทศระหว่างดำรงตำแหน่ง

'โชว ชู' ซีอีโอ TikTok ดอดพบ 'ทรัมป์' สัญญาณบวกว่าที่ผู้นำสหรัฐใจอ่อนสั่งปลดแบน

(17 ธ.ค. 67) โชว ชู ซีอีโอของติ๊กต๊อก (TikTok) ได้เข้าพบโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่รีสอร์ตมาร์-อา-ลาโกในเมืองปาล์มบีช รัฐฟลอริดาเมื่อวันจันทร์ที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการพบปะก่อนที่ติ๊กต๊อกจะถูกแบนในสหรัฐฯ จากข้อกังวลด้านความมั่นคงแห่งชาติ

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า การพบปะครั้งนี้เกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่ทรัมป์กล่าวว่าเขาอาจพิจารณายกเลิกคำสั่งแบนเพื่อสนับสนุนติ๊กต๊อก ซึ่งเป็นแอปที่เขาใช้เข้าถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งวัยหนุ่มสาวระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง "เราจะพิจารณาเรื่องติ๊กต๊อก" ทรัมป์กล่าว พร้อมเสริมว่า "คุณรู้ไหม ผมมีความรู้สึกดี ๆ ให้กับติ๊กต๊อก"

ก่อนหน้านี้ทรัมป์เคยพยายามสั่งแบนติ๊กต๊อกในปี 2563 แต่ภายหลังเปลี่ยนจุดยืนเกี่ยวกับแอปนี้

แม้ว่าในขณะนี้ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดการหารือระหว่างทรัมป์และโชว ชู โฆษกของติ๊กต๊อกก็ไม่ได้ตอบกลับการขอความคิดเห็นจากสื่อ

การสั่งแบนติ๊กต๊อกมีผลในวันที่ 19 มกราคม 2568 ตามกฎหมายที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนลงนาม ยกเว้นหากบริษัท ByteDance ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของติ๊กต๊อก ยอมขายแอปให้กับผู้ถือหุ้นชาวอเมริกัน

ถึงแม้ ByteDance จะพยายามต่อสู้กับกฎหมายนี้ แต่ศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางในกรุงวอชิงตันก็มีคำตัดสินให้คงคำสั่งแบนและปฏิเสธคำขอระงับคำสั่งแบนชั่วคราว โดยในวันจันทร์ที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา ติ๊กต๊อกได้ยื่นคำร้องต่อศาลสูงสุดของสหรัฐฯ เพื่อขอให้ทบทวนคำตัดสินดังกล่าว

โชว ชู เป็นหนึ่งในผู้นำด้านเทคโนโลยีที่เลือกเข้าพบทรัมป์ก่อนพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคมนี้ โดยก่อนหน้านี้มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของเมตาแพลตฟอร์มส์ (Meta Platforms) และทิม คุก ซีอีโอของแอปเปิล (Apple) ก็เคยพบกับทรัมป์ที่มาร์-อา-ลาโกในโอกาสต่างๆ

อย่างไรก็ตาม ศึกแบนติ๊กต๊อกยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ ByteDance ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุดเพื่อขอระงับคำสั่งแบนที่จะมีผลในวันที่ 19 มกราคม 2568 ทว่า ทรัมป์ก็ส่งสัญญาณว่าจะพิจารณายกเลิกคำสั่งแบนนี้ หากคำสั่งแบนยังคงอยู่ ทรัมป์อาจมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจเรื่องนี้ในฐานะประธานาธิบดีคนใหม่

อังกฤษอาศัยช่วงเปลี่ยนขั้วรัฐบาล กล่าวหา 'หยาง เติ้งป๋อ' นักธุรกิจจีนเป็นสายลับให้ปักกิ่ง เอี่ยวโยงเจ้าชายแอนดรูว์

(17 ธ.ค.67) กลายเป็นเรื่องใหญ่ของสหราชอาณาจักร เมื่อมีรายงานข่าวว่า ศาลอังกฤษได้สั่งห้ามบุคคลต้องสงสัยชาวเอเชียที่ชื่อ หยาง เติ้งป๋อ เข้าประเทศ โดยอังกฤษอ้างว่านายหยางมีพฤติการณ์ต้องสงสัยแฝงตัวเป็นสายลับในคราบนักธุรกิจโปรไฟล์ดี สามารถเข้าถึงใกล้ชิดบุคคลระดับสูงทั้งในระดับรัฐบาลอังกฤษจนถึงพระราชวงศ์ระดับสูง

จากการเปิดเผยข้อมูลของฝ่ายความมั่นคงอังกฤษได้กล่าวหาว่านาย หยาง เติ้งป๋อ วัย 50 ปี หรือที่รู้จักภายใต้โค้ดเนมว่า H6 เป็นสายลับจีนที่มีความใกล้ชิดต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีน เคยปรากฏภาพเข้าร่วมประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ในกรุงปักกิ่ง อังกฤษกล่าวหาว่านายหยางมีความเกี่ยวข้องกับแนวร่วม United Front Work Department (UFWD) ซึ่งเป็นหน่วยงานลับของรัฐบาลจีนที่จัดการกับการเผยแพร่อิทธิพลทางวัฒนธรรมของจีนในต่างประเทศ

สำหรับประวัติของ หยาง เติ้งป๋อ หรือชื่อที่รู้จักกันในนาม 'คริส หยาง' เกิดที่ประเทศจีนในปี 1974 เขามาอังกฤษครั้งแรกในปี 2002 และศึกษาที่กรุงลอนดอนเป็นเวลา 1 ปี ก่อนจะศึกษาต่อในระดับปริญญาโทด้านการบริหารราชการและนโยบายสาธารณะที่มหาวิทยาลัยยอร์ก

ในปี 2005 เขาก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษา Hampton Group International ดำเนินธุรกิจให้คำปรึกษาด้านการจดทะเบียนบริษัทในสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าบริษัทที่เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการในสหราชอาณาจักร 

ในวันที่ 21 พฤษภาคม 2013 เขาได้รับการอนุญาตให้ถือวีซ่าพำนักถาวรในสหราชอาณาจักร ช่วงที่โควิดระบาดใหญ่เขาใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในการทำธุรกิจที่อังกฤษ กระทั่งเมื่อการระบาดเริ่มลดน้อยลง จึงเดินทางไป-มา ระหว่างลอนดอนกับประเทศจีน

6 พฤศจิกายน 2021 หยางถูกเจ้าหน้าที่ตม.อังกฤษไม่อนุญาตเข้าประเทศ พร้อมกับถูกควบคุมตัว อีกทั้งเขายังถูกยึดและตรวจสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิดที่พกติดตัว ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 หยางยื่นคำร้องต่อรัฐบาลอังกฤษเพื่อขออนุญาตเข้าประเทศ ซึ่งเขาเคยชนะคดีในศาลชั้นต้น แต่ต่อมาแพ้ในการอุทธรณ์

ในคำตัดสินของศาลอุทธรณ์อังกฤษอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ ยืนยันตามคำสั่งของกระทรวงกิจการภายในสั่งห้ามหยางเข้าประเทศ โดยชี้ว่าพบหลักฐานจากอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือของหยางที่มีการยึดในปี 2021 ตลอดจนเอกสารบางส่วนที่ชี้ว่าเขามีส่วนเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน โดยอัยการอังกฤษชี้ว่า หยางมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงในพรรคคอมมิวนิสต์จีน และมีความพยายามส่งต่อข้อมูลบางประการต่อรัฐบาลปักกิ่ง 

ในการพิจารณาคดีหยางได้ปฏิเสธในทุกข้อกล่าวหา พร้อมทั้งยืนยันว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำผิดใดๆ โดยว่าสหราชอาณาจักรเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของเขา เขาเดินทางเข้าออกสหราชอาณาจักรมานานกว่า 20 ปีตั้งแต่เรียนหนังสือจนถึงตั้งตัวทำธุรกิจจนมีหน้ามีตาทางสังคม 

หยางปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดและกล่าวว่าเขาไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเมืองในจีน เขายืนยันว่าไม่ได้เป็นสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและไม่ได้ทำกิจกรรมใดๆ ให้กับ UFWD ทั้งยังบอกว่า 'เขากลายเป็นเหยื่อของการเมืองอังกฤษ ที่มีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลจากพรรคอนุรักษ์นิยมมาสู่พรรคแรงงานซึ่งมีจุดยืนแข็งกร้าวต่อจีน เขาจึงถูกเพ่งเล็งทางการเมือง'

ด้านความเชื่อมโยงกับเจ้าชายแอนดรูว์ ฝ่ายสืบสวนของอังกฤษพบหลักฐานที่เชื่อมโยงเขากับเจ้าชาย คือจดหมายระหว่างเขากับโดมินิก แฮมป์เชียร์  ที่ปรึกษาส่วนพระองค์ของเจ้าชายแอนดรูว์ ซึ่งระบุว่าหยางสามารถทำหน้าที่แทนเจ้าชายในการติดต่อกับนักลงทุนชาวจีน โดยมีภาพถ่ายปรากฏเจ้าชายแอนดรูว์ดยุกแห่งยอร์กและนายหยางถูกรายงานผ่านสื่อ 

ต่อมาเลขาของเจ้าชายแอนดรูว์ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า พระองค์ทรงตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับนักธุรกิจจีนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นสายลับให้ปักกิ่งหลังได้รับคำแนะนำจากรัฐบาลอังกฤษ โดยสำนักพระราชวังกล่าวผ่านแถลงการณ์ว่า เจ้าชายแอนดรูว์ทรงพบกับชายผู้นี้ผ่าน 'ช่องทางการ'และไม่มีการหารือในประเด็นอ่อนไหวด้านความมั่นคง

จากการขุดคุ้ยของสื่ออังกฤษ ยังเผยอีกว่า นายหยาง เคยได้รับเชิญให้ร่วมงานเลี้ยงฉลองวันตรุษจีนในทำเนียบถนนดาวนิง ทั้งยังมีความใกล้ชิดกับ 2 อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษจากพรรคอนุรักษ์นิยม อีกทั้งยังเคยได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงภายในพระราชวังบักกิ้งแฮมในหลายครั้ง

นอกจากนี้หยางยังดำรงตำแหน่งระดับสูงในกลุ่มธุรกิจอังกฤษ-จีน ได้รับการยกย่องให้เป็นประธานบริหารของ China Business Council ในสหราชอาณาจักร และเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของสมาคมธุรกิจจีน-อังกฤษที่เรียกว่า 48 Group Club ซึ่งมีบุคคลสำคัญชาวอังกฤษหลายคนเป็นสมาชิก ทางการอังกฤษมองว่า หยางอยู่ในตำแหน่งที่จะสามารถสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลสำคัญของสหราชอาณาจักรกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีน สามารถถูกนำไปใช้เพื่อแทรกแซงทางการเมือง จนสั่งห้ามเขาเดินทางเข้าประเทศตามรายงานข้างต้น  

อย่างไรก็ตาม ทางด้านโฆษกจากกระทรวงต่างประเทศจีน ได้ออกมาตอบโต้ประเด็นนี้แล้วโดยกล่าวว่า "บางคนในอังกฤษมักจะสร้างเรื่องราว 'สายลับ' ที่ไม่มีมูลความจริงเพื่อโจมตีจีน มันไม่คุ้มค่าเลยที่จะสร้างข่าวลืออันไม่เป็นธรรมเหล่านี้เพื่อทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติ" 

ทางการจีนยังตั้งข้อสังเกตว่า การดำเนินดดีของหยางมีความคืบหน้าผิดปกติในช่วงที่อังกฤษเปลี่ยนขั้วรัฐบาล อีกทั้งหน่วยราชการลับอังกฤษเพิ่งมาเปิดเผยรายละเอียดของหยางในช่วงที่อังกฤษมีรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของพรรคแรงงานที่มีจุดยืนแข็งกร้าวต่อปักกิ่ง

สังหาร 'พลโท อิกอร์ คิริลอฟ' หัวหน้าฝ่ายนิวเคลียร์ เผยคนร้ายขี่สกู๊ตเตอร์ซุกระเบิดจอดหน้าบ้าน สงสัยเอี่ยวยูเครน

(17 ธ.ค. 67) คณะกรรมการสอบสวนของรัสเซียเปิดเผยว่า เกิดเหตุระเบิดรุนแรงจากอุปกรณ์แสวงเครื่องซุกซ่อนในสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า บริเวณถนน Ryazansky Prospekt ในกรุงมอสโก ส่งผลให้ พลโท อิกอร์ คิริลลอฟ ผู้บัญชาการกองกำลังป้องกันนิวเคลียร์ ชีวภาพ และเคมีของกองทัพรัสเซีย พร้อมผู้ช่วยเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ

คณะกรรมการสอบสวนของรัสเซียระบุว่า ได้เปิดสอบสวนทางอาญาเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้อย่างเป็นทางการแล้ว โดยเจ้าหน้าที่สืบสวน นักนิติวิทยาศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดกำลังปฏิบัติงานในจุดเกิดเหตุอย่างเร่งด่วน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและค้นหาผู้ก่อเหตุ

หน่วยฉุกเฉินของรัสเซียเปิดเผยว่า พลังระเบิดของอุปกรณ์มีความแรงเทียบเท่า TNT ประมาณ 200 กรัม ซึ่งส่งผลให้กระจกของอาคารใกล้เคียงแตกเสียหาย ขณะเดียวกัน กองกำลังความมั่นคงกำลังตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดในพื้นที่เพื่อหาข้อมูลเบาะแสเพิ่มเติม

หนึ่งวันก่อนหน้าเกิดเหตุ หน่วยความมั่นคงยูเครน (SBU) ได้ตั้งข้อหากับพลโทคิริลลอฟ โดยกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธเคมีต้องห้ามจำนวนมากในแนวหน้า  ขณะที่ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้ดำเนินมาตรการตอบโต้ เนื่องจากคิริลลอฟมีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลการใช้อาวุธเคมีในยูเครน

ด้านนาง มาเรีย ซาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ระบุว่าพลโทคิริลลอฟเป็นผู้ที่กล้าหาญในการเปิดโปงอาชญากรรมและยั่วยุของกลุ่มนาโต้อย่างต่อเนื่อง ด้านคอนสแตนติน โคซาเชฟ รองประธานสภาสูงของรัสเซีย กล่าวไว้อาลัยว่า “นี่คือการสูญเสียที่ไม่อาจทดแทนได้ ฆาตกรต้องถูกลงโทษอย่างไร้ความปรานี”

สมาชิกรัฐสภารัสเซีย อเล็กซี จูราฟเลฟ กล่าวกับสำนักข่าวสปุตนิกว่า หน่วยข่าวกรองยูเครนอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ โดยอ้างว่ายูเครนอาจพยายามสร้างผลกระทบเชิงโฆษณาชวนเชื่อจากการเสียชีวิตของคิริลลอฟ พร้อมระบุว่า การดำเนินการในลักษณะนี้สะท้อนถึงการสนับสนุนการก่อการร้ายจากชาติตะวันตก

ทัพรัสเซียตั้งกองกำลังโดรนพลีชีพ เสริมทัพแนวหน้าศึกยูเครน

เมื่อวันที่ (16 ธ.ค. 67) นายอังเดร เบโลโซฟ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมรัสเซียเผยว่า ได้อนุมัติการจัดตั้งกองกำลังรบรูปแบบใหม่ที่ใช้การโจมตีด้วยอากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรน ภายใต้หน่วยที่ชื่อ 'Unmanned Systems Forces' โดยหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นใหม่นี้นอกจากเป็นกองกำลังด้านการรบโดยใช้โดรนในแนวหน้าแล้ว ยังรับผิดชอบด้านการฝึกอบรม จัดหายุทโธปกรณ์ จัดหาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านโดรนโดยเฉพาะต่อหน่วยงานอื่นๆ ของรัฐบาลรัสเซียด้วย

Dmitry Kornev ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ข่าวสารทางทหารของรัสเซียกล่าวกับสปุตนิก ว่า หนึ่งในวิธีการบริหารกองทัพที่มีประสิทธิภาพคือการจัดตั้งหน่วยงานที่เสมือนกองทัพขนาดย่อมๆ แยกต่างหาก เพื่อดำเนินการงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน โดยที่ผ่านกองทัพรัสเซียเริ่มมีการใช้และจัดหาโดรนและอากาศยานไร้คนขับด้านการทหารมากขึ้น

Kornev ยังคาดการณ์กับสปุตนิกว่า โดรนที่คาดว่ากองทัพรัสเซียจะใช้ในภารกิจการรบและเฝ้าระวังในแนวหน้าแถบยูเครนมีหลายรูปแบบ ตั้งแต่โดรนติดมิสไซส์ Ovod (Gadfly) และ Upyr ที่มามารถบรรทุกอาวุธ เช่น หัวรบจาก RPG-7 และระเบิดขนาดเล็กได้ ไปจนถึง โดรนสังหารแบบกามิกาเซ่ที่นอกจากใช้ลาดตระเวนแล้วยังสามารถเปลี่ยนให้เป็นโดรนทำลายเป้าหมายได้ด้วยเช่น 

Orlan-10 โดรนอเนกประสงค์สำหรับการลาดตระเวน ซึ่งสามารถบูรณาการกับระบบเรดาร์เฝ้าระวังอิเล็กทรอนิกส์แบบ RB-341V Leer-3 ได้ มีพิสัยการบินไกล 600 กม. และบินอยู่กลางอากาศได้นาน 18 ชั่วโมง 

โดรนแบบ  HESA Shahed 136 เป็นโดรนโจมตีระยะไกลแบบกามิกาเซ่ที่โจมตีโครงสร้างพื้นฐานทางทหาร มีเครื่องยนต์ไอพ่น บินได้เร็วถึง 800 กม./ชม. มีพิสัยการบิน 2,500 กม. และบรรทุกวัตถุระเบิดได้มากถึง 50 กก.

และโดรนแบบZALA Kub-BLA  ซึ่งเป็นโดรนสำหรับ ภารกิจ ลาดตระเวนและโจมตีแบบพลีชีพ โดยสามารถบรรทุกน้ำหนักได้ 3 กิโลกรัม บินด้วยความเร็วสูงสุด 130 กม./ชม. นาน 30 นาที ขณะที่รุ่นปรับปรุงใหม่สามารถโจมตีได้ไกลกว่า 50 กม. และสามารถโจมตีเป็นกลุ่มได้พร้อมกัน

ตัวเลขบ่งชัด!! ‘แรงงานต่างด้าว’ แห่ทะลักเข้าไทยฉ่ำ เหตุสวัสดิการเย้ายวนทั้งรักษาพยาบาล - การศึกษา

เอย่าเห็นคนมักพูดกันตอนนี้ว่าต่างด้าวครองเมืองแล้ว เพราะไปที่ไหนก็เจอแต่ต่างด้าวโดยเฉพาะโรงพยาบาลรัฐที่คนไทยผู้รับบริการรู้สึกเหมือนกลายเป็นบุคคลชั้นสองไปแล้ว  มาดูจากข้อมูลย้อนหลังสิบปีจะพบว่าในปี พ.ศ. 2557 มีแรงงานต่างด้าวที่ลงในระบบอยู่ 1,444,747 คน แต่มาถึงปี 2567 พบว่าขนาดยังไม่ครบปีเรามีแรงงานต่างด้าวในระบบอยู่ถึง 3,289,536 คน ซึ่งแรงงานส่วนใหญ่เป็นคนเมียนมานั่นเอง

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้วอีกเรื่องที่ต้องกล่าวถึงคือการให้สวัสดิการกับแรงงานต่างด้าวเหล่านี้โดยแรงงานต่างด้าวเหล่านี้จะสามารถซื้อบัตรประกันสังคมได้  โดยราคาบัตรรักษาพยาบาลจะมีราคาตั้งแต่ 365 บาทต่อปีจนถึงราคา 3,200 บาทต่อปี ซึ่งเมื่อมาดูจำนวนผู้ขึ้นทะเบียนบัตรประชากรต่างด้าวแล้วพบว่า ในปีงบประมาณ 2564-65 มีจำนวน 541,905 รายในขณะที่ปีงบประมาณ 2566-67 มีผู้ขึ้นทะเบียนทั้งสิ้น 551,662 ราย จากสถิติพบว่าเพิ่มขึ้น 1.8% โดยบัตรที่มีการขึ้นทะเบียนมากที่สุดคือบัตรราคา 3,200 บาทต่อปี ซึ่งมีอัตราผู้ขึ้นทะเบียนสูงสุดเป็นร้อยละ 30 ของทั้งกลุ่ม โดยจากผู้ขึ้นทะเบียนส่วนใหญ่เป็นชาวเมียนมาถึง 68% ทั้งหมดทั้งมวลนี้จึงได้เกิดคำถามขึ้นว่า ทำไมชาวเมียนมาถึงมาทำบัตรสวัสดิการนี้ได้มากมายเหลือเกิน จากข้อมูลที่มีการเปิดเผยยังเผยอีกว่าจำนวนคนต่างด้าวที่มาแห่ทำบัตรสวัสดิการดังกล่าวส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่จังหวัด สุราษฎร์ธานี เชียงใหม่และกรุงเทพ เป็นหลัก

สวัสดิการที่ต่างด้าวได้รับหากมีประกันสังคมคือ การประกันสุขภาพจะครอบคลุม 4 ด้าน ได้แก่ การรักษา พยาบาล การควบคุมและป้องกันโรค การส่งเสริมสุขภาพและ การฟื้นฟูสภาพร่างกายอันรวมถึงการฉีดวัคซีนพื้นฐานสำหรับเด็กด้วย โดยจะไม่ครอบคลุมในรายการดังต่อไปนี้

1) โรคจิต 
2) การบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาและสารเสพติด ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติด 
3) ผู้ประสบภัยจากรถที่สามารถใช้สิทธิตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ 
4) ผู้ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยจากการทำงาน ที่สามารถใช้สิทธิตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 
5) การรักษาภาวะมีบุตรยาก 
6) การผสมเทียม 
7) การผ่าตัดแปลงเพศ 
8) การกระทำใด ๆ เพื่อความสวยงามโดยไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์

ก็เพราะสวัสดิการประเทศไทยมันดีอย่างนี้นี่เอง ต่างด้าวโดยเฉพาะชาวเมียนมาที่มีพวกหัวโจกเป็นพวกมาก่อนและสมอ้างว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์แล้วได้บัตรสัญชาติไทยจึงพยายามแห่แหนกันมาเมืองไทยพร้อมกับตั้งตนเป็นตัวตั้งตัวตีนายหน้าทำบัตรพวกนี้ให้ด้วย สังเกตได้จากตามโซเชียลมีเดียจะเห็นได้ว่ามีการโฆษณากันอย่างโจ๋งครึ่มยังไม่พอแถมรู้อีกว่าหากถือบัตรไทยจะมีโอกาสเข้าถึงการรักษาฟรีของ สปสช. ยิ่งทำให้คนพวกนี้กระเหี้ยนกระหือรืออยากเป็นคนไทยถึงขั้นยอมติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อให้ได้เป็นชาวชาติพันธุ์เพื่อสักวันหนึ่งจะมีโอกาสได้บัตรประชาชน

อีกอย่างที่ดังในกลุ่มคนพม่าก็คือเรื่องการได้รับการศึกษาภาคบังคับฟรี และหากลูกพวกเขาโตจนอายุ 20 ปีบริบูรณ์คนเหล่านี้จะขอสัญชาติไทยได้ ตามที่กฎหมายเปิดช่องไว้ และนั่นทำให้เป็นแผนระยะยาวที่พ่อแม่ชาวเมียนมาฝากความหวังไว้กับรุ่นลูกของเขา

เอย่าไม่ได้เป็นคนที่ต่อต้านการที่ต่างชาติอยากได้สัญชาติไทยแต่เราควรมีการคัดเลือกเอาแต่บุคคลที่มีคุณภาพและศักยภาพทั้งทางด้านการศึกษาและการเงินไม่ใช่เอาแค่คนที่มีเงินจ่ายเจ้าหน้าที่ เพราะอย่าลืมว่าเราได้พิสูจน์แล้วว่าคนเหล่านี้พอเวลาไทยเกิดปัญหากับชาวชาติพันธุ์เขา เขาเลือกชาวชาติพันธุ์ด้วยกันเองนะไม่ได้เลือกอยากเป็นคนไทย ดังนั้นการเป็นคนไทยเหล่านี้คือประตูแห่งความสะดวกสบายของพวกเขาเท่านั้น ผู้ที่เป็นรัฐบาลในขณะนี้ควรตรึกตรองไว้บ้างก็ดีนะคะ

โฮจิมินห์ผุดไอเดียเรียนฟรี ชงแผนยกเว้นค่าเทอม นร.อนุบาล ถึงม.ปลาย คาดเริ่มปีการศึกษาหน้า

(17 ธ.ค. 67) หน่วยงานด้านการศึกษาและการฝึกอบรบท้องถิ่นของนครโฮจิมินห์ เวียดนาม ได้เสนอแผนการยกเว้นการเก็บค่าเล่าเรียนสำหรับนักเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สำหรับโรงเรียนรัฐบาลที่อยู่ในสังกัดท้องถิ่นนครโฮจิมินห์ซิตี้ ตั้งเป้าเริ่มต้นในปีการศึกษา 2025-2026 

รายงานระบุว่า แผนการนี้ระบุว่า การยกเว้นค่าเล่าเรียนจะเป็นของขวัญที่มีความหมายสำหรับนักเรียนทั่วทั้งเมือง แสดงให้เห็นถึงการลงทุนด้านการศึกษาอย่างจริงจังของหน่วยงานท้องถิ่นของเมือง

หากข้อเสนอนี้ได้รับการอนุมัติ นักเรียนทุกคนในโรงเรียนของรัฐตลอดจนโรงเรียนเอกชนบางแห่ง จะได้รับสิทธิยกเว้นค่าเล่าเรียน ยกเว้นเฉพาะโรงเรียนนานาชาติ

กรมการศึกษาฯ คาดการณ์ว่า จะต้องใช้งบประมาณจากเงินทุนสาธารณะประมาณ 653 พันล้านดอง หรือราว (880 ล้านบาท) เพื่อสนับสนุนโครงการนี้ในปีการศึกษา 2025-2026

ปัจจุบัน มี 7 เมืองและจังหวัดในเวียดนามที่ยกเว้นค่าเล่าเรียนให้กับนักเรียน ได้แก่ กว๋างนาม เยนไบ๋ กว๋างนิงห์ คั้ญหว่า ไฮฟอง ดานัง และจังหวัดบ่าเสียะ-หวุงเต่า ตามแนวทางการเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียมของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม

ฮอนด้า-นิสสัน เจรจาควบรวมตั้งบริษัทโฮลดิ้ง หวังสู้เทสลา-รถ EV จีน จ่อนำมิตซูฯร่วมด้วยอีกค่าย

(18 ธ.ค.67) นิกเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) รายงาน ว่า ฮอนด้า มอเตอร์ (Honda Motor) และ นิสสัน มอเตอร์ (Nissan Motor) สองบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น เตรียมเข้าสู่การเจรจาควบรวมกิจการ เพื่อผสานทรัพยากรของทั้งสองบริษัทให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อแข่งขันกับเทสลา (Tesla) และผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าจากจีนในอุตสาหกรรมที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ตามรายงาน ทั้งสองบริษัทกำลังพิจารณาจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้ง (Holding Company) เพื่อบริหารจัดการร่วมกัน และคาดว่าจะลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในเร็ว ๆ นี้ โดยสัดส่วนการถือหุ้นและรายละเอียดอื่น ๆ จะมีการตัดสินใจในภายหลัง

สงครามราคารถยนต์ไฟฟ้าที่เริ่มขึ้นโดยเทสลาและบีวายดี (BYD) ผู้ผลิตจากจีน ได้สร้างแรงกดดันให้กับบริษัทรถยนต์แบบดั้งเดิม ซึ่งต้องเผชิญกับความท้าทายด้านรายได้และส่วนแบ่งการตลาด

ปัจจุบัน ฮอนด้ามีมูลค่าตลาดประมาณ 5.95 ล้านล้านเยน (1.32 ล้านล้านบาท) ขณะที่นิสสันมีมูลค่าตลาดประมาณ 1.17 ล้านล้านเยน (2.6 แสนล้านบาท) หากการควบรวมเกิดขึ้นจริง จะเป็นหนึ่งในข้อตกลงใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมยานยนต์ นับตั้งแต่การควบรวมมูลค่า 5.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.77 ล้านล้านบาท) ระหว่าง Fiat Chrysler และ PSA ในปี 2021 ซึ่งก่อให้เกิด Stellantis

ฮอนด้าและนิสสันเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 2 และ 3 ของญี่ปุ่น รองจากโตโยต้า (Toyota) แต่กำลังสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดในจีน ซึ่งเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูง

ยอดขายรถยนต์รวมทั่วโลกของทั้งสองบริษัทในปี 2023 อยู่ที่ 7.4 ล้านคัน แต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายจากผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะในจีน

ก่อนหน้านี้ในเดือนมีนาคม ฮอนด้าและนิสสันตกลงร่วมมือกันในธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า และในเดือนสิงหาคม ได้กระชับความสัมพันธ์เพิ่มเติมด้วยการร่วมพัฒนาแบตเตอรี่ เพลาไฟฟ้า และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง

นิกเคอิยังรายงานเพิ่มเติมว่า ทั้งสองบริษัทกำลังพิจารณานำมิตซูบิชิ มอเตอร์ส (Mitsubishi Motors) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทโฮลดิ้งด้วย โดยปัจจุบันนิสสันถือหุ้นในมิตซูบิชิอยู่ 24% การผนวกรวมนี้อาจทำให้บริษัทใหม่กลายเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยยอดขายรวมกว่า 8 ล้านคันต่อปี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top