Tuesday, 13 May 2025
World

คู่รักสิงคโปร์โวยเครื่องเพชรของขวัญแต่งงานหาย หลังเช็คเอาท์โรงแรมหรู 5 ดาว ย่านนานา

(20 ธ.ค.67) กลายเป็นประเด็นร้อนในต่างประเทศ เมื่อคู่สามีภรรยาชาวสิงคโปร์เปิดเผยผ่านสื่อออนไลน์ในท้องถิ่นว่า เครื่องประดับมูลค่า 30,000 เหรียญสิงคโปร์ (ประมาณ 760,000 บาท) ของพวกเขาได้สูญหายระหว่างการเข้าพักที่โรงแรมหรู 5 ดาว ย่านนานา ระหว่างวันที่ 27 ตุลาคม ถึง 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทั้งคู่ระบุว่าลืมเครื่องประดับไว้ในห้องพักหลังเช็คเอาท์ไปเพียง 30 นาที เมื่อกลับมาตรวจสอบกับพนักงานโรงแรมกลับได้รับแจ้งว่าไม่มีสิ่งของหลงเหลืออยู่ในห้องพัก พวกเขาจึงให้เพื่อนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยช่วยแจ้งความก่อนบินกลับสิงคโปร์

นายเจิ้ง ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า เครื่องประดับที่หายไปมีความสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นของขวัญแต่งงานที่เพิ่งมอบให้กันเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ของที่หายประกอบด้วยแหวนแต่งงานจากแบรนด์ทิฟฟานี แหวนเพชร 2 วง และสร้อยข้อมือ 1 เส้น เขาเล่าว่าหลังจากเช็คเอาท์เวลา 14.30 น. ทั้งสองรอรับกระเป๋าเดินทางที่ล็อบบี้นานกว่า 15 นาที แต่เมื่อกระเป๋ายังมาไม่ถึงจึงออกไปชอปปิ้งก่อนกลับมาอีกครั้ง ภรรยาจึงนึกขึ้นได้ว่าลืมเครื่องประดับไว้ในห้องพัก แต่เมื่อขอให้พนักงานช่วยตรวจสอบ กลับไม่พบสิ่งของดังกล่าว

ทั้งคู่ได้แจ้งให้โรงแรมตรวจสอบกล้องวงจรปิด ซึ่งพบว่าพนักงานยกกระเป๋าคนหนึ่งมีพฤติกรรมที่ดูผิดปกติ โดยเฉพาะการมองไปที่กล้องในลักษณะที่น่าสงสัย ทำให้เกิดข้อกังขาเกี่ยวกับความเกี่ยวข้องของพนักงานรายนี้

โฆษกของกลุ่มแบรนด์ดัง ยืนยันว่า โรงแรมรับทราบเหตุการณ์และกำลังดำเนินการสอบสวนอย่างละเอียด พร้อมติดต่อผู้เสียหายโดยตรงเพื่อให้ความช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเพิ่มเติมไม่สามารถเปิดเผยได้เนื่องจากข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัวและมาตรฐานภายในของโรงแรม

ขณะนี้ทางตำรวจไทยอยู่ระหว่างการสืบสวน โดยคู่สามีภรรยาหวังว่าเหตุการณ์นี้จะเป็นอุทาหรณ์ให้ผู้เข้าพักระมัดระวังทรัพย์สินของตนมากขึ้น ทั้งนี้ผลการสอบสวนจะต้องรอติดตามความคืบหน้าจากเจ้าหน้าที่ต่อไป

อินโดนีเซียเปิดตัวใช้ 'ไบโอดีเซล B40' สะท้อนชาติเบอร์หนึ่งผลิตปาล์มน้ำมัน

(20 ธ.ค.67) ยูลิออต ตันจุง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพลังงานและทรัพยากรแร่ของอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า อินโดนีเซียเริ่มผลิตเชื้อเพลิงไบโอดีเซล บี40 (B40) ที่ประกอบด้วยน้ำมันปาล์ม 40% และน้ำมันดีเซล 60% ซึ่งมีส่วนผสมของน้ำมันปาล์มมากกว่าปัจจุบันที่ใช้น้ำมันปาล์มเพียง 35% โดยไบโอดีเซล บี40 จะเริ่มนำมาใช้จริงในปี 2025

ตันจุงกล่าวว่า รัฐบาลมีเป้าหมายการผลิตไบโอดีเซล บี40 ไว้ที่ 15.62 ล้านกิโลลิตรภายในปี 2025 และคาดว่าจะสามารถจำหน่ายให้กับผู้บริโภคได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2025 โดยหลังจากนั้นจะมีการพัฒนาไบโอดีเซลที่มีส่วนผสมของน้ำมันปาล์มถึง 50% ต่อไปในอนาคต

ด้านเอเนีย ลิสเตียนี เดวี อธิบดีฝ่ายการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานหมุนเวียนของกระทรวงพลังงานและทรัพยากรแร่ ยืนยันว่า การผลิตไบโอดีเซล บี40 ได้เริ่มต้นแล้วและผ่านการทดสอบการใช้งานทั้งในยานยนต์และการใช้งานอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ยานยนต์

แผนการเพิ่มการใช้ปาล์มน้ำมันเพื่อพลังงานสะอาดได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากการผลิตน้ำมันปาล์มในปริมาณมากของอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันปาล์มรายใหญ่ที่สุดในโลก

สำหรับน้ำมัน B40 ประกอบด้วยไบโอดีเซล 40% และดีเซล 60%

‘โดนัลด์ ทรัมป์’ บีบให้ยุโรปซื้อ ‘น้ำมัน - ก๊าซ’ จากสหรัฐฯ หากไม่อยากเจอ!! มาตรการลงโทษ ขึ้นภาษีศุลกากร

(21 ธ.ค. 67) ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของตนเองว่า เขาได้แจ้งกับสหภาพยุโรป (อียู) ว่าอียูจะต้องลดช่องว่างการขาดดุลการค้ากับสหรัฐด้วยการซื้อน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติจากสหรัฐให้มากขึ้น ไม่เช่นนั้น อียูอาจต้องเผชิญการขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐเป็นรายต่อไป 

"ผมบอกกับสหภาพยุโรปว่าพวกเขาต้องชดเชยการขาดดุลมหาศาลกับสหรัฐ ด้วยการซื้อน้ำมัน และก๊าซในปริมาณมาก มิฉะนั้นจะต้องเจอภาษีศุลกากร” ทรัมป์โพสต์ข้อความทาง Truth Social 

ทั้งนี้ จากข้อมูลของทางการสหรัฐระบุว่า สหรัฐขาดดุลการค้าสินค้า และบริการกับอียูถึง 1.313 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 2022

ทางด้านนักการทูตอาวุโสรายหนึ่งในอียูเปิดเผยกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรกับท่าทีของทรัมป์ในครั้งนี้ และมองว่าพลังงานเป็น ‘ทางเลือกที่ดี’ หากจะต้องซื้อสินค้าจากสหรัฐมากขึ้น  

ขณะที่แหล่งข่าวนักการทูตอีกรายหนึ่งเปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีโอลาฟ ชอล์ซ ของเยอรมนี ได้พูดคุยกับทรัมป์ในเรื่องนี้เมื่อคืนวันพฤหัสบดี ที่ผ่านมา หลังจากที่บรรดาผู้นำประเทศในอียูได้ประชุมร่วมกันเป็นครั้งสุดท้ายของปีนี้เกี่ยวกับประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับอียู

สส.ไต้หวัน ตะลุมบอน!! กลางสภา ขวางร่างแก้ไขกฎหมาย อ้าง!! อันตรายต่อประชาธิปไตย ลิดรอนสิทธิผู้เลือกตั้ง

(21 ธ.ค. 67) สส.พรรครัฐบาลกับสส.ฝ่ายค้าน ตะลุมบอน!! ซัดกันสุดชุลมุนกลางรัฐสภา ในขณะที่พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า(ดีพีพี) พรรครัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีไล่ ชิงเต๋อ ของไต้หวัน พยายามขัดขวางการผ่านร่างแก้ไขกฎหมายที่สส.พรรคฝ่ายค้านเสนอ ซึ่งพรรครัฐบาลชี้ว่าอาจเป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยของไต้หวันที่ปกครองตนเองแห่งนี้

สส.พรรคพีพีพีพยายามขัดขวางร่างแก้ไขกฎหมาย 3 ฉบับ ที่พรรคก๊กมินตั๋ง(เคเอ็มที) แกนนำพรรคฝ่ายค้าน และพรรคประชาชนไต้หวัน(ทีพีพี) พรรคพันธมิตรร่วมกันเสนอ ซึ่งพรรคดีพีพีชี้ว่าจะทำให้เป็นเรื่องยากยิ่งขึ้นสำหรับผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการที่จะถอดถอนเจ้าหน้าที่ที่มาจากการเลือกตั้งซึ่งพวกเขาเห็นว่าไม่เหมาะสมให้พ้นตำแหน่งไป

สส.พรรคดีพีพีบางคนตะโกนใส่หน้าสส.พรรคฝ่ายค้านว่าเป็น เผด็จการรัฐสภา’ ขณะที่แถลงการณ์ของพรรคดีพีพีระบุว่า “หากพรรคเคเอ็มทีบังคับให้ผ่านร่างแก้ไขกฎหมายดังกล่าว กลไกการตรวจสอบตนเองตามระบอบประชาธิปไตยและการฟื้นฟูไต้หวันจะสูญสิ้นไปและจะสร้างความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญและไม่สามารถย้อนกลับได้ต่อภาคประชาสังคมและประชาธิปไตยของไต้หวัน”

ก่อนหน้านี้ สส.พรรคดีพีพีหลายคนได้เข้ายึดเวทีของห้องประชุมใหญ่ของรัฐสภามาตั้งแต่คืนวันพฤหัสบดี(19 ธ.ค.) และยังนำเก้าอี้มากั้นขวางทางเข้าด้วย

ขณะที่หน้ารัฐสภาไต้หวัน ในกรุงไทเป มีประชาชนหลายพันคนรวมตัวชุมนุมกันอยู่ เพื่อประท้วงการเสนอร่างกฎหมายดังกล่าว โดยมีการตะโกนร้องร่วมกันว่า “เอาร่างแก้ไขที่ชั่วร้ายกลับไป” และ ปกป้องไต้หวัน”

ผู้ประท้วงรายหนึ่งกล่าวว่า ตนมาที่นี่เพื่อประท้วงพรรคฝ่ายค้านที่พยายามลิดรอนสิทธิของประชาชนในการถอดถอนเจ้าหน้าที่รัฐ

หนึ่งในร่างแก้ไขกฎหมายที่มีการโต้แย้งดังกล่าวคือร่างแก้ไขรัฐบัญญัติการเลือกตั้งและการถอดถอนเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งพรรคก๊กมินตั๋งและพรรคทีพีพีผลักดันเพื่อให้มีการเพิ่มเกณฑ์ในการถอดถอนเจ้าหน้าที่ที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งพรรคก๊กมินตั๋งกล่าวว่าจะป้องกันไม่ให้ ‘อำนาจการถอดถอน’ ถูกละเมิดได้

ขณะที่สส.พรรคดีพีพีกล่าวว่า พวกเขาเกรงว่าการผลักดันร่างกฎหมายดังกล่าวจะเป็นการลิดรอนสิทธิของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการจะปลดเจ้าหน้าที่รัฐที่พวกเขาเห็นว่าไม่เหมาะสมออกจากตำแหน่ง

‘ดร.เอ้’ เผยสาเหตุ!! ทำไม ‘Nvidia’ บริษัท AI ระดับโลก ไปลงทุนที่ ‘เวียดนาม’ ชี้!! ‘พัฒนาคน – หนุนการลงทุน – มีนโยบายต่อเนื่อง - สามัคคี ช่วยเหลือกัน'

(21 ธ.ค. 67) นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ ดร.เอ้ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า ทำไม Nvidia บริษัท AI ระดับโลก ไปลงทุนที่ ‘เวียดนาม’ แล้ว ‘ไทยจะทำอย่างไร’ เมื่อ ‘เวียดนาม’ ขึ้นแท่น ‘ผู้นำเศรษฐกิจอาเซียน’

ผมได้ยินจากปาก ‘เจนเซ่น หวง’ ประธานบริหาร Nvidia บริษัทผลิตคอมพิวเตอร์ AI ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ว่า "เราจะเปิดศูนย์ออกแบบและวิจัยที่เวียดนาม" ก่อนที่ Nvidia จะประกาศอย่างเป็นทางการเสียอีก

ผมถามกลับทันทีว่า ‘เวียดนาม’ เสนออะไรแก่คุณ ถึงไปลงทุน ‘ศูนย์ออกแบบ’ ที่เป็น ‘หัวใจ’ และ ‘มันสมอง’ ของอุตสาหกรรมไฮเทค ที่ทุกคนหวงแหน

คนสนิท เจนเซ่น หวง ขยับตัวทันที ห้ามไม่ให้นายพูดอะไรต่อ เจนเซ่นเลยตอบว่า "มันไม่สำคัญหรอก" (ไทยอย่าไปรู้เลย)

แต่ผมรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ เพราะผมในฐานะนายกสภามหาวิทยาลัย ‘CMKL’ ที่ Carnegie Mellon สถาบันระดับโลกด้าน AI มาก่อตั้งร่วม เราเป็น ‘ลูกค้าคนแรก’ ที่ซื้อ ‘ซุปเปอร์ AI คอมพิวเตอร์’ รุ่น DGX-A100 ความเร็วสูงสุดในประเทศจาก Nvidia เมื่อ 4 ปีที่แล้ว

ยิ่งผมนั่งตรงข้าม ‘ตามองตา’ กับ ‘เจนเซ่น หวง’ เราเป็นพันธมิตรกันมาหลายปี ‘รู้กัน’ จึงตอบคำถามได้ไม่ยากว่า มีอยู่ 4 ปัจจัยที่บริษัทระดับโลกไปลงทุนที่ ‘เวียดนาม’

1. เวียดนามพัฒนาคุณภาพคน

ประสบการณ์ของผม ทั้งที่มีเพื่อนชาวเวียดนามเมื่อครั้งเรียนที่ MIT และทั้งเคยสอนเด็กเวียดนามที่มาเรียนวิศวะลาดกระบัง ไม่ต้องอายแล้วที่จะบอกว่า "เด็กเวียดนาม" ฉลาด เก่ง และขยันมากกว่า ทั้งคะแนนวัดผล PISA ชี้ชัดว่าเด็กเวียดนามได้คะแนนสูงที่สุดในอาเซียน เป็นรองเพียงเด็กสิงคโปร์เท่านั้น

เวียดนามยังส่งเด็กรุ่นใหม่ ไปเรียนในสาขา ‘วิศวกรรม และคอมพิวเตอร์’ ในมหาวิทยาลัยระดับโลก ทั้งสหรัฐ ยุโรป และรัสเซีย มากกว่าชาติใดในอาเซียน เพื่อกลับมาสร้าง ‘นวัตกรรม’ พัฒนาเวียดนามสู่โลก AI เต็มรูปแบบ

พิสูจน์เวียดนาม ‘ทุ่มเท’ พัฒนาคุณภาพคน ตั้งแต่ ‘อนุบาลถึงปริญญาเอก’ จึงไม่แปลกที่บริษัทไฮเทค ทั้ง Nvidia Apple SpaceX และ Samsung ถึงยอมมาลงทุนที่เวียดนาม เพราะได้ ‘คนเก่ง’ ที่คุ้มค่ามาก เมื่อเปรียบเทียบกับ ‘ค่าจ้าง’

2. เวียดนามสนับสนุนการลงทุน
เพราะเวียดนามเรียนรู้จาก ‘จีน’ เรื่องการ ‘ดึงดูดทุนต่างชาติ’ ใช้วิธี "วันนี้ฉันยอมเธอก่อน" วันหน้าฉันทำได้เอง แล้วค่อยว่ากัน คือ ยอมสนับสนุน ให้สิทธิพิเศษมากมาย พอบริษัทไฮเทคมาลงทุนสร้างโรงงาน สร้างศูนย์วิจัย ให้ SME เวียดนามได้เป็นผู้จัดหาของ หรือ Supplier เรียนรู้จนทำได้เอง คราวนี้แหละ เดี๋ยวได้รู้กัน ฉันอาจจะชนะเธอก็เป็นไปได้ เลียนแบบกรณีจีนยอมเสนอให้ Tesla มาตั้งโรงงาน เพื่อให้ SME จีนเรียนรู้ สุดท้ายจีนกลายเป็น ‘เจ้าตลาด’ รถพลังงานไฟฟ้า ไปเรียบร้อย

3. เวียดนามมีนโยบายต่อเนื่อง

ไม่ว่า ‘ผู้นำ’ จะเป็นใครนโยบายเวียดนามไม่เปลี่ยน เพราะอะไรที่ดีต่อประเทศชาติ ยังไงก็ต้องสานต่อ

นโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจ 1986 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจเวียดนาม เปิดประเทศให้กับการลงทุนจากต่างชาติ นโยบายเดินไปอย่างต่อเนื่อง

ยิ่งเวียดนามเข้าร่วมองค์การการค้าโลก (WTO) ในปี 2007 ซึ่งช่วยเสริมความมั่นใจให้แก่นักลงทุนต่างชาติ เวียดนามได้จัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Economic Zones) ตามแบบจีน ยิ่งเกิดการลงทุนแบบก้าวกระโดด จนถึงทุกวันนี้

ขณะที่แนวคิดสานต่อไม่ค่อยเห็นในสังคมไทย เราดีแค่ไหน คนใหม่มา เขาก็อยากเปลี่ยน อยากทำแบบของเขา สุดท้ายองค์กร ‘เสียหาย’ ไม่พัฒนาต่อเนื่อง หากไม่เปลี่ยน ‘ทัศนคติ’ ประเทศไทยสู้คนอื่นยากครับ

4. เวียดนามสามัคคี ช่วยเหลือกัน

‘เวียดนาม’ ประเทศสังคมนิยม ที่บอบช้ำจากสงครามยาวนาน เคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส และเคยอยู่ใต้อิทธิพลของจีนมานานนับพันปี แต่วันนี้ผงาดขึ้นเป็นประเทศที่เติบโตเร็วที่สุด ทั้ง ‘ด้านเศรษฐกิจ’ เพราะรู้ว่า ‘ทางรอด’ มีทางเดียว คือ ‘ชาตินิยม’ เพราะไม่มีชนชาติใดรักเรา เท่าชนชาติเราเอง

คนเวียดนามไม่ว่าอยู่ที่ใดรวมกันติด และ ช่วยเหลือกัน ผลักดันทุกรูปแบบ ให้รัฐบาลสหรัฐ ยุโรป และรัสเซีย ต้องสนับสนุนเวียดนาม

‘ชาตินิยม’ แบบเวียดนาม จึงเป็นความรักชาติที่กลมกล่อม ไม่ไปรุกรานใคร แต่ก็พร้อมจะแข่งขันกับทุกคน ผมขอพยากรณ์ว่า เวียดนามจะเป็น ‘ผู้นำเศรษฐกิจอาเซียน’ และอาจขึ้นเทียบชั้นกับ 'เกาหลี' ในอนาคตได้

ที่จริงไทยเราจับ ‘สัญญาณ’ การก้าวกระโดดของเวียดนามได้มาหลายปี เพราะอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมากต่อเนื่อง แต่ไทยเรายังนิ่งไม่เข้าสู่โหมดแข่งขันอย่างจริงจังสักที ทำให้เสียโอกาสไปทุกวัน ที่ไม่อาจย้อนคืน

แม้ผมยังเชื่อมั่นว่า #คนไทยเก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก แต่ก็กังวลไม่น้อย เมื่อรู้แจ้งว่า เวียดนามและชาติอื่น วันนี้ไม่มีใครอยู่นิ่งเลย ทุกชาติ ‘พร้อมแข่งขัน’ แล้วไทยจะทำอย่างไร 

ทุกท่านคิดว่าไง แชร์กันได้นะครับ!!

‘สาวจีน’ อินเทรนด์!! สาดน้ำเป็นน้ำแข็ง แล้วถ่ายรูป อวดโซเชียล ได้ผลไม่เหมือนที่คิดไว้ น้ำร้อนลวกตัว เกิดแผลไหม้ ระดับ 2

(22 ธ.ค. 67) เรื่องราวนี้เป็นอุทาหรณ์เตือนนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการถ่ายรูปอย่าหาทำตาม เสี่ยงอันตราย โดยสาวรายหนึ่งอยากถ่ายรูปตามเทรนด์ ‘สาดน้ำเป็นน้ำแข็ง’ เธอได้ใช้น้ำร้อนเหวี่ยงไปท่ามกลางอุณหภูมิติดลบ หวังได้รูปสวย แต่แล้วเกิดผิดพลาด น้ำร้อนลวกบริเวณศีรษะ ทำให้เกิดแผลไหม้ระดับ 2

ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น เผยว่า นักท่องเที่ยวรายนี้เดินทางไปเที่ยวกับแฟน ที่มู่ตันเจียง ตั้งอยู่ในมณฑลเฮยหลงเจียง ของจีน ระหว่างเพลิดเพลินกับสถานที่ แฟนสาวอยากได้รูปสวยตามเทรนด์โซเชียลในจีน ที่สาดน้ำให้เป็นน้ำแข็งทันที จึงให้แฟนหนุ่มถ่ายให้

โดยเธอเหวี่ยงน้ำร้อนสาดทวนเข็มนาฬิกาขึ้นไปในอากาศ หวังจะให้เป็นน้ำแข็ง แต่แล้วปรากฏไม่เป็นตามที่คิด น้ำร้อนดันลวกโดนตัวเธอเต็มๆ จนศีรษะเธอเกิดแผลไหม้ระดับ 2 โชคดีที่เธอเป็นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ จึงสามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้น

เธอรีบประคบเย็นด้วยหิมะเป็นเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง จากนั้นจึงรีบไปที่คลินิกใกล้เคียง เพื่อรับการรักษา สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือแม้ว่าสาวรายนี้จะถูกไฟไหม้ระดับ 2 แต่เธอก็ยังไม่ยอมแพ้ เธอพยายามจะเลียนแบบการถ่ายรูปแบบนี้อีกครั้งในวันรุ่งขึ้นท่ามกลางอุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส แต่สุดท้ายก็ยังล้มเหลว

ทั้งนี้ มีรายงานว่า ‘การสาดน้ำลงในน้ำแข็ง’ ไม่ได้หมายความว่าน้ำร้อนจะแข็งตัวทันที แต่น้ำที่ไหลออกมากลายเป็นไอน้ำ และไอน้ำจะควบแน่นเป็นหยดน้ำ หรือผลึกน้ำแข็งขนาดเล็กในอากาศเย็น

‘นักวิชาการ’ ชี้ให้เห็นว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ ที่จะสาดน้ำแล้วน้ำจะกลายเป็นน้ำแข็งทันที แต่การที่น้ำจะเป็นน้ำแข็งได้นั้นจะต้องอยู่ในสภาพอากาศที่หนาวเย็นจัด จึงจะมีความเป็นไปได้ ‘ไม่ควรลองทำตาม’ ไม่เช่นนั้นมีโอกาสสูงที่การผ่าตัดกรณีเกิดแผลไหม้

นักบินอวกาศจีน สร้างประวัติศาสตร์ เดินบนอวกาศ!! นานกว่า 9 ชั่วโมง

(22 ธ.ค. 67) 2 นักบินอวกาศสัญชาติจีน สร้างสถิติโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้วยการเดินบนอวกาศกว่า 9 ชั่วโมง ตามแถลงการณ์ขององค์การอวกาศจีน (China Manned Space Agency)

การเดินสำรวจอวกาศ ดำเนินการโดย Cai Xuzhe และ Song Lingdong ซึ่งอยู่บริเวณสถานีอวกาศเทียนกง (Tiangong Space) ที่โคจรอยู่ในระดับวงโคจรต่ำของโลก โดยนานกว่าสถิติล่าสุด ของนักบินนาซา 2 คน คือ เจมส์ วอสส์ และซูซาน เฮล์มส์ ที่ทำไว้ในปี พ.ศ.2001 อย่างน้อย 4 นาที

โดยนักบินทั้งสองได้สวมชุดอวกาศรุ่น เฟยเทียน (Feitian) เพื่อดำเนินภารกิจที่สำคัญหลายรายการนอกสถานี เช่น ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันเศษวัสดุจากอวกาศ

การสำรวจอวกาศของนักบินอวกาศของจีน เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 2008 นับว่าความสำเร็จครั้งสำคัญนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางความสำเร็จทางอวกาศอื่นๆ ด้วย ซึ่งช่วยส่งเสริมให้ปักกิ่งมีจุดยืนทางการแข่งขันกับสหรัฐอเมริกา

นอกจากนี้ จีนได้ส่งยานสำรวจลำแรกลงจอดบนดาวอังคารได้ในปี 2021 พร้อมตั้งเป้าว่า ภายในปี 2030 จะส่งนักบินอวกาศชุดแรกไปเหยียบดวงจันทร์ โดยเป็นประเทศที่ 2 ต่อจากสหรัฐอเมริกา

ทั้งนี้ ปักกิ่งได้ขอความร่วมมือจากประเทศต่างๆ ประมาณ 12 ประเทศ สำหรับโครงการสถานีวิจัยดวงจันทร์ระหว่างประเทศ โดยมีความพยายามที่จะสร้างฐานบนดวงจันทร์ (moon base) ที่ขั้วใต้ของดวงจันทร์ด้วย (moon’s south pole)

โฮจิมินห์เปิดรถไฟฟ้าสายแรก ชาวเวียดนามแห่โดยสาร ค่าบริการเริ่ม 8 บาท

เมื่อวันที่ (22 ธ.ค.67) ชาวเวียดนามจำนวนมากหลั่งไหลมาที่สถานีเบนถัน (Ben Thanh) ซึ่งเป็นสถานีหลักของรถไฟฟ้าสายแรกในนครโฮจิมินห์ เพื่อรอใช้บริการเที่ยวปฐมฤกษ์ที่เริ่มต้นเวลา 10.00 น. รถไฟฟ้าสายนี้มีระยะทางรวม 19.7 กิโลเมตร ครอบคลุม 14 สถานี เชื่อมต่อจากตลาดเบนแถ่งในเขต 1 ซึ่งเป็นย่านการค้าที่สำคัญ ไปยังเมืองถูดึ๊ก (Thu Duc) และสวนสนุกเสื่อยเตียน (Suoi Tien) ในเขต 9

ในช่วงเปิดตัว รถไฟฟ้าจะให้บริการฟรี 30 วัน จนถึงวันที่ 20 มกราคมปีหน้า หลังจากนั้นจะคิดค่าโดยสารตามระยะทาง เริ่มต้นที่ 6,000-20,000 ดอง (ประมาณ 8-27 บาท) โดยเปิดให้บริการวันละ 200 เที่ยว รองรับประชากรในนครโฮจิมินห์กว่า 10 ล้านคน

โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายแรกของนครโฮจิมินห์ใช้งบประมาณราว 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 58,310 ล้านบาท) เริ่มต้นในปี 2555 โดยมีบริษัทวิศวกรรมโยธาหมายเลข 6 ของเวียดนาม และบริษัทซูมิโตโมคอร์ปอเรชั่นจากญี่ปุ่นร่วมดำเนินการ แม้โครงการจะได้รับอนุมัติมาตั้งแต่ปี 2550 และวางแผนจะเสร็จภายใน 5 ปี แต่ต้องเผชิญกับปัญหาหลายด้าน เช่น การเวนคืนที่ดิน การปรับแบบสถานีใต้ดินเบนแถ่งเพื่อรองรับโครงการอื่น ปัญหาขาดแคลนงบประมาณ และข้อบกพร่องในงานก่อสร้าง ส่งผลให้ล่าช้ากว่ากำหนดเดิม

รองประธานนครโฮจิมินห์ระบุว่า การเปิดตัวรถไฟฟ้าสายนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะของเมือง เพื่อตอบสนองความต้องการการเดินทางที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ด้านเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำเวียดนาม แสดงความหวังว่ารถไฟฟ้าสายเบนแถ่ง-เสื่อยเตียน จะช่วยลดปัญหาจราจรในพื้นที่หนาแน่น พร้อมกระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะแทนรถยนต์ส่วนตัว

โครงการรถไฟฟ้าสายแรกนี้ไม่เพียงแต่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในนครโฮจิมินห์ แต่ยังสะท้อนถึงความร่วมมือด้านโครงสร้างพื้นฐานระหว่างเวียดนามและญี่ปุ่นในระดับนานาชาติ

'ทรัมป์' ขู่ยึดคลองปานามาคืน จวกผู้นำปานามาคิดค่าผ่านทางแพงไป

(23 ธ.ค.67) โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้แสดงท่าทีขู่ทวงคืนคลองปานามาให้กลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมของสหรัฐฯ พร้อมทั้งกล่าวหาปานามาว่าเรียกเก็บค่าธรรมเนียมที่สูงเกินไปสำหรับการใช้คลองในการเดินเรือสินค้าและเรือทหารไปยังทวีปอเมริกากลาง ขณะที่เตือนว่าจีนนั้นมีอิทธิพลเหนือคลองปานามา

ท่าทีดังกล่าวของทรัมป์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 ธันวาคมที่ผ่านมา ขณะกล่าวกับกลุ่มผู้สนับสนุนในงาน AmericaFest ซึ่งจัดโดยกลุ่มเคลื่อนไหวอนุรักษนิยม Turning Point ที่เมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา โดยทรัมป์ประกาศว่าจะไม่ยอมให้คลองปานามาตกไปอยู่ในมือของบุคคลที่ไม่สมควร

“เราโดนโกงที่คลองปานามาเหมือนกับที่โดนโกงที่อื่น ๆ ค่าธรรมเนียมที่ปานามาเรียกเก็บนั้นไร้สาระและไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง การฉ้อโกงประเทศของเราจะยุติลงทันที” ทรัมป์กล่าว โดยอ้างถึงช่วงเวลาที่เขาจะเข้ารับตำแหน่งในเดือนหน้า

ทรัมป์กล่าวว่า คลองปานามาเคยเป็นของสหรัฐฯ แต่ถูกส่งมอบให้ปานามาควบคุมในปี 1999 ภายใต้การลงนามของจิมมี คาร์เตอร์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งทรัมป์กล่าวว่า การส่งมอบในครั้งนั้นเป็นการขายในราคา 1 ดอลลาร์สหรัฐ และเป็นการกระทำที่โง่เขลา

ทรัมป์ยังย้ำว่า การมอบคลองปานามาให้ปานามาและประชาชนชาวปานามา ควรเป็นการมอบให้รัฐบาลปานามาบริหารจัดการเพียงประเทศเดียว ไม่ใช่ให้จีนหรือประเทศอื่นเข้ามามีบทบาท

“หากหลักการทั้งทางศีลธรรมและกฎหมายของการมอบของขวัญนี้ไม่ได้รับการปฏิบัติตาม เราจะเรียกร้องให้คืนคลองปานามาให้กับเราโดยทันทีและไม่ลังเล” ทรัมป์กล่าว

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ได้โพสต์ข้อความบน Truth Social ว่าคลองปานามาเป็น ‘ทรัพย์สินสำคัญของชาติ’ สำหรับสหรัฐฯ และหลังจากร่วมงานที่รัฐแอริโซนา เขายังโพสต์ภาพธงชาติสหรัฐฯ เหนือผืนน้ำ พร้อมข้อความว่า “ยินดีต้อนรับสู่คลองสหรัฐฯ!”

ด้าน โชเซ ราอูล มูลิโน ประธานาธิบดีปานามา ตอบโต้ท่าทีของทรัมป์ โดยยืนยันว่า 'ทุกตารางเมตร' ของคลองปานามาและพื้นที่โดยรอบเป็นของประเทศปานามา และอำนาจอธิปไตยของปานามาไม่สามารถต่อรองได้

สำหรับคลองปานามามีความยาว 82 กิโลเมตร เชื่อมต่อมหาสมุทรแอตแลนติกกับมหาสมุทรแปซิฟิก และเป็นเส้นทางหลักสำหรับการขนส่งสินค้าระหว่างทวีป โดยคลองแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1900 และอยู่ภายใต้การควบคุมของสหรัฐฯ จนถึงปี 1977 ก่อนจะมีการลงนามสนธิสัญญาตอร์ริโฮส-คาร์เตอร์ (Torrijos-Carter Treaties) ซึ่งรับประกันการส่งมอบคลองให้แก่ปานามาในปี 1999

ทุกปีมีเรือมากถึง 14,000 ลำที่เดินทางผ่านคลองปานามา รวมถึงเรือบรรทุกสินค้าและเรือรบ โดยสหรัฐฯ เป็นผู้ใช้งานคลองนี้มากที่สุด โดยกว่า 72% ของการขนส่งผ่านคลองปานามาเป็นการขนส่งระหว่างท่าเรือสหรัฐฯ

สื่อแฉ 'ทรัมป์' ส่งข้อความหา 'เซเลนสกี' แนะสละดินแดนยูเครนแลกหยุดยิง

(23 ธ.ค.67) El Pais สื่อของสเปนรายงานอ้างแหล่งข่าวว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ส่งข้อความถึง โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ขอให้พิจารณาทบทวนเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิงและยอมรับการละทิ้งดินแดนบางส่วนที่ปัจจุบันอยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซีย ตามรายงานจากหนังสือพิมพ์เอลปาอิส เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม

ทรัมป์ยืนยันคำสัญญาที่ว่า เขาจะยุติความขัดแย้งในยูเครนภายในวันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง แต่ยังไม่ได้ให้รายละเอียดว่าแผนการของเขาจะสำเร็จได้อย่างไร คำประกาศของเขาทำให้เกิดความกังวลในเคียฟ โดยเฉพาะเรื่องความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ที่อาจลดลง และการตรวจสอบเงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์ที่ยูเครนได้รับจากรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน

“หากคุณมองไปที่เมืองต่าง ๆ เหล่านั้น บางเมืองไม่มีอาคารหลงเหลืออยู่ในสภาพดีเลยแม้แต่สักอาคารเดียว ดังนั้น เมื่อคุณพูดถึงการฟื้นฟูประเทศ ฟื้นฟูอะไร? การฟื้นฟูต้องใช้เวลามากกว่า 110 ปี” ทรัมป์กล่าวในข้อความที่ส่งถึงเซเลนสกี จากกอล์ฟคลับของเขาในฟลอริดา เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้ในช่วงกลางเดือนธันวาคม ทรัมป์เรียกร้องให้ทั้งยูเครนและรัสเซียบรรลุข้อตกลงหยุดยิงทันที โดยเขาโพสต์ข้อความบนทรัสต์โซเชียล แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ของเขาหลังจากที่ได้พบกับเซเลนสกีและประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศสในกรุงปารีส

หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานว่าในต้นเดือนธันวาคม ทรัมป์ได้กล่าวว่า ยุโรปตะวันตกควรประจำการทหารในยูเครน เพื่อสังเกตการณ์ข้อตกลงหยุดยิง และว่าอียูควรมีบทบาทหลักในการป้องกันและสนับสนุนยูเครน ในขณะที่สหรัฐฯ จะสนับสนุนทางการเงิน แต่ไม่ส่งกำลังพล

ในขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ได้เน้นย้ำในการแถลงข่าวสิ้นปีว่า มอสโกยังคงเปิดกว้างในการเจรจากับเคียฟโดยไม่ต้องวางเงื่อนไขล่วงหน้า ยกเว้นเงื่อนไขที่เคยตกลงกันในโต๊ะเจรจาที่อิสตันบูลในปี 2022 โดยพิจารณาสถานะความเป็นกลางของยูเครนและข้อจำกัดการประจำการอาวุธต่างชาติ

ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศฮังการี ปีเตอร์ ซิยาร์โต ได้กล่าวกับ RIA Novosti ของรัสเซีย ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่จำเป็นต้องการตัวกลางในการแก้ไขวิกฤตยูเครน “ถ้าจำเป็นต้องมีตัวกลาง ก็ต้องได้รับการเห็นชอบจากทั้งสองฝ่าย หรือทุกฝ่าย และผมไม่เห็นการเห็นชอบเช่นนั้นในตอนนี้” ซิยาร์โตกล่าว และเสริมว่า ทรัมป์สามารถติดต่อโดยตรงกับประธานาธิบดีของยูเครนหรือประธานาธิบดีของรัสเซียได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top