Wednesday, 14 May 2025
World

สื่อแฉไบเดนกดดันยูเครน ลดอายุเกณฑ์ 18 ปี สู้ศึกรัสเซีย

(28 พ.ย.67) สำนักข่าวเอพีรายงานเมื่อวันพุธ โดยอ้างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลโจ ไบเดน ที่ไม่ประสงค์ออกนาม ระบุว่า สหรัฐฯ เรียกร้องให้ยูเครนเพิ่มกำลังพลด้วยการลดอายุเกณฑ์ทหารจาก 25 ปี เหลือ 18 ปี พร้อมปรับปรุงกฎหมายเพื่อขยายฐานกำลังพลให้เพียงพอต่อการสู้รบกับรัสเซียที่มีกำลังทหารมากกว่า  

เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวเผยว่า ยูเครนต้องการกำลังพลเพิ่มอีก 160,000 นาย จากปัจจุบันที่มีกำลังทหารรวมกว่า 1 ล้านนาย แต่สหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตกมองว่ายังไม่เพียงพอ และชี้ว่ากำลังพลมีความสำคัญมากกว่าปัญหาอาวุธในสงครามนี้  

ประเด็นการเกณฑ์ทหารยังคงอ่อนไหวในยูเครน ตลอดสงครามที่ยืดเยื้อมานานเกือบ 3 ปี โดยประชาชนบางส่วนกังวลว่าการลดอายุเกณฑ์จะส่งผลกระทบต่อแรงงานและเศรษฐกิจหลังสงคราม  

ด้านเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่ายูเครนสามารถบริหารจัดการกำลังพลที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยแก้ปัญหาผู้หลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหารหรือไม่เข้ารายงานตัว

เปิดประวัติ คีธ เคลล็อกก์ อดีตนายพล ทรัมป์ตั้งเป็นทูตสหรัฐฯ ประจำยูเครนคนใหม่

(28 พ.ย.67) โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศว่าเขาได้เสนอชื่อพลเอก คีธ เคลล็อกก์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยประธานาธิบดีและทูตพิเศษประจำยูเครนและรัสเซียคนใหม่ 

"ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เสนอชื่อพลเอกคีธ เคลล็อกก์ (Keith Kellogg) ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยประธานาธิบดีและทูตพิเศษสำหรับยูเครนและรัสเซีย คีธเป็นผู้นำในอาชีพทหารและธุรกิจที่โดดเด่น รวมถึงรับหน้าที่ด้านความมั่นคงแห่งชาติที่ละเอียดอ่อนในรัฐบาลชุดแรกของผม" ทรัมป์ ระบุว่าแพลตฟอร์ม Truth Social

สำนักข่าวสปุตนิกได้เผยประวัติที่น่าสนใจของนายพลเคลล็อกก์ โดยเขามียศเป็นนายพลสามดาวของกองทัพสหรัฐฯ ที่เกษียณอายุราชการแล้วและได้รับการยกย่องอย่างสูง โดยเขามีประสบการณ์ด้านการทหารและกิจการระหว่างประเทศมากมาย

ก่อนเกษียณเคลล็อกก์ ดำรงตำแหน่งสุดท้ายในปี 2003 คือ ผู้บัญชาการกองบัญชาการ การควบคุม การสื่อสาร และคอมพิวเตอร์ เขายังทำหน้าที่ในตำแหน่งนี้ระหว่างการโจมตีด้วยการก่อการร้ายในวันที่ 11 กันยายนอีกด้วย

ล่าสุด เคลล็อกก์ ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติให้กับอดีตรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ และดำรงตำแหน่งอื่น ๆ อีกหลายตำแหน่งในช่วงวาระแรกของทรัมป์

เมื่อเดือนเมษายน เขาร่วมเขียนงานวิจัยที่สนับสนุนการยุติความขัดแย้งในยูเครนด้วยสันติภาพ และเสนอเงื่อนไขในการจัดหาเสบียงทางทหารให้กับยูเครนโดยขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลเคียฟจะเข้าร่วมการเจรจาสันติภาพกับรัสเซียหรือไม่

นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้รัฐบาลเคียฟสามารถเจรจากับรัสเซียเพื่อเปลี่ยนจากจุดยืนที่แข็งกร้าว และหารือถึง การเก็บภาษีการขายพลังงานของรัสเซียเพื่อจ่ายสำหรับการฟื้นฟูยูเครน

เคลล็อกก์ระบุเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ว่าการที่ทรัมป์กลับเข้าทำเนียบขาวอาจทำให้สมาชิกนาโต้บางส่วนซึ่งจ่ายด้านการป้องกันประเทศไม่ถึง 2% ของ GDP อาจเสียสิทธิ์ในการคุ้มกันประเทศหากถูกโจมตีตามมาตรา 5 นอกจากนี้ เขายังกล่าวอีกว่า หากทรัมป์ชนะเลือกตั้ง เขาสามารถจัดการประชุมสุดยอดนาโต้ในเดือนมิถุนายน 2025 เพื่อหารือเกี่ยวกับอนาคตของพันธมิตร

ตามคำกล่าวของเคลล็อกก์ นาโต้อาจกลายเป็น 'พันธมิตรแบบแบ่งชั้น' ซึ่งสมาชิกบางส่วนได้รับการคุ้มครองมากขึ้น ตามอัตราการบริจาคเงินที่ให้กับนาโต้

ศาลอาญาโลกเล็งเอาผิด "มิน อ่อง หล่าย" ฐานก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

(28 พ.ย. 67) อัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) เปิดเผยเมื่อวันพุธว่า ได้ยื่นคำร้องออกหมายจับพลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย ผู้นำกองทัพเมียนมา ฐานก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ จากกรณีการประหัตประหารชาวโรฮีนจาที่นับถือศาสนาอิสลาม ตามรายงานของรอยเตอร์  

รัฐบาลทหารเมียนมาตอบโต้ผ่านแถลงการณ์ว่า เมียนมาไม่ได้เป็นสมาชิก ICC และไม่ยอมรับอำนาจศาลหรือคำแถลงใดๆ ของ ICC  

ชาวโรฮีนจากว่าล้านคนต้องลี้ภัยไปยังบังกลาเทศ ตั้งแต่ปฏิบัติการโจมตีของกองทัพเมียนมาเริ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม 2017 ซึ่งเจ้าหน้าที่สหประชาชาติระบุว่าเป็น "ตัวอย่างชัดเจนของการล้างเผ่าพันธุ์" โดยรายงานยังชี้ว่าทหาร ตำรวจ และประชาชนบางกลุ่มในเมียนมามีส่วนร่วมในการทำลายหมู่บ้าน ทรมาน สังหารหมู่ และข่มขืนชาวโรฮีนจาในรัฐยะไข่  

เมียนมาปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ โดยยืนยันว่าสิ่งที่ทำเป็นปฏิบัติการทางกฎหมายเพื่อต่อสู้กับกลุ่มติดอาวุธที่โจมตีเจ้าหน้าที่

ปัจจุบัน ผู้ลี้ภัยชาวโรฮีนจาส่วนใหญ่ยังอาศัยอยู่ในค่ายที่แออัดและขาดแคลนในบังกลาเทศ โดยโมฮัมเหม็ด ซูแบร์ นักวิจัยด้านโรฮีนจาในค่ายผู้ลี้ภัย ระบุว่า มิน อ่อง หล่าย คือผู้สั่งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮีนจาผู้บริสุทธิ์ และกองทัพภายใต้การบัญชาของเขาได้สังหารชาวโรฮีนจาหลายพันคน รวมถึงทำร้ายทางเพศผู้หญิงและเด็กหญิงอย่างนับไม่ถ้วน  

นิโคลัส คูมจิอัน หัวหน้าคณะสอบสวนอิสระของสหประชาชาติ กล่าวว่า การร้องขอหมายจับนี้แสดงให้เห็นว่า "ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย" โดยขณะนี้คณะตุลาการ 3 คนของ ICC จะพิจารณาว่ามีเหตุผลเพียงพอหรือไม่ในการออกหมายจับมิน อ่อง หล่าย  

กระบวนการพิจารณามักใช้เวลาราว 3 เดือน แต่ยังไม่มีกำหนดเวลาที่ชัดเจนสำหรับการตัดสินใจในกรณีนี้ 

การขอหมายจับดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันทางการเมืองต่อ ICC หลังการออกหมายจับผู้นำระดับสูงของอิสราเอล ซึ่งเป็นอีกกรณีที่สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในระดับนานาชาติ

ศาลมาเลย์สั่งรัฐบาล คืนนาฬิกา 172 เรือน รุ่น 'ไพรด์' ให้บริษัท สวอท์ช

(29 พ.ย.67) ศาลมาเลเซียมีคำสั่งให้คืน นาฬิกาสวอท์ช ไพรด์ รุ่นสีรุ้งจำนวน 172 เรือนให้แก่บริษัทสวอท์ช ผู้ผลิตนาฬิกาชั้นนำจากสวิตเซอร์แลนด์ หลังจากที่ถูกทางการมาเลเซียยึดไปเมื่อปีที่แล้ว โดยศาลตัดสินว่าการยึดนาฬิกาดังกล่าวไม่มีความชอบธรรม เนื่องจากรัฐบาลมาเลเซียไม่ได้มีหมายศาลในการยึดทรัพย์ และกฎหมายที่ห้ามขายนาฬิกานั้นก็ไม่ได้รับการอนุมัติจากศาล

ก่อนหน้านี้ในเดือนพฤษภาคม 2566 รัฐบาลมาเลเซียอ้างว่า นาฬิกาไพรด์ ซึ่งมีสัญลักษณ์ LGBTQ+ ส่งเสริมความหลากหลายทางเพศ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดตามกฎหมายและหลักศาสนาของประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม โดยมีกฎหมายห้ามความรักที่ไม่ใช่ระหว่างชายหญิง และผู้กระทำผิดอาจถูกจำคุกสูงสุด 20 ปี โดยเจ้าหน้าที่ยึดสินค้าจากร้านสวอท์ชทั่วมาเลเซีย บริษัทสวอท์ชจึงไม่สามารถจำหน่ายสินค้าที่ถูกยึดไป

ทว่าล่าสุด ศาลได้ตัดสินว่าไม่มีเหตุผลทางกฎหมายในการยึดนาฬิกาเหล่านี้ และถือว่าการยึดทรัพย์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พร้อมสั่งให้ทางการต้องคืนนาฬิกาดังกล่าวแก่บริษัทเอกชนใน 14 วัน นายไซฟุดดิน นาซูชัน อิสมาอิล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของมาเลเซีย กล่าวว่าทีมงานด้านกฎหมายจะพิจารณาคำตัดสินอย่างละเอียด ก่อนที่จะตัดสินใจยื่นอุทธรณ์ต่อไป

จีนเข้มปราบมิจฉาชีพออนไลน์ แบล็กลิสต์ 3 ปี คุกสูงสุด 5 ปี เริ่ม 1 ธ.ค.นี้

(28 พ.ย. 67) ซินหัวของทางการจีนรายงานว่า กระทรวงความมั่นคงสาธารณะ คณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ และธนาคารประชาชนจีน ร่วมออกแนวปฏิบัติใหม่ที่มีชื่อว่า “มาตรการลงโทษการฉ้อโกงทางโทรคมนาคมและออนไลน์ และอาชญากรรมที่เกี่ยวข้อง” กำหนดเริ่มบังคับใช้วันที่ 1 ธันวาคม 2567 มุ่งยกระดับการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการฉ้อโกงทางโทรคมนาคมและออนไลน์ของประเทศให้เข้มงวดยิ่งขึ้น

แนวปฏิบัติดังกล่าวประกอบด้วย 18 บท มุ่งเป้าไปที่การฉ้อโกงทางโทรคมนาคมลักษณะต่าง ๆ พร้อมกับกำหนดเกณฑ์ในการระบุตัวผู้กระทำผิดและกำหนดบทลงโทษตามสัดส่วนความผิด แนวปฏิบัติชี้ว่า ผู้กระทำผิดอาจต้องเผชิญกับข้อจำกัดทางการเงิน โทรคมนาคม และเครดิตนานถึง 3 ปี ขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของการมีส่วนร่วม ส่วนผู้ที่กระทำผิดซ้ำอาจได้รับโทษสูงสุดถึง 5 ปี

เจ้าหน้าที่จีนระบุว่า สาเหตุที่การฉ้อโกงทางโทรคมนาคมและเครือข่ายเพิ่มมากขึ้น เป็นเพราะเศรษฐกิจใต้ดินที่สนับสนุนกิจกรรมผิดกฎหมายดังกล่าว ผู้ประกอบการในตลาดมืดและตลาดสีเทาเหล่านี้ให้เช่าหรือขายซิมการ์ดและบัญชีธนาคาร ซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล ส่งเสริมการรับส่งข้อมูลออนไลน์ พัฒนาซอฟต์แวร์ และมีส่วนร่วมในแผนการฟอกเงิน

นายกฯกัมพูชายัน 'คลองฟูนันเตโช' ไร้ปัญหาเรื่องเงินกับจีน แม้เริ่มก่อสร้าง 3 เดือนแต่ไร้คืบ

(28 พ.ย. 67) นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา ปฏิเสธรายงานข่าวจากสื่อต่างประเทศที่ระบุว่า โครงการเมกะโปรเจกต์คลองฟูนันเตโช ซึ่งกัมพูชาร่วมทุนกับจีน และเริ่มการก่อสร้างไปเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว กำลังเผชิญปัญหาการเงินจากการที่รัฐบาลจีนลดขนาดการลงทุนในต่างประเทศ เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจในจีนที่อ่อนแอลง แม้กัมพูชาจะเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญของจีน

ฮุน มาเนต ระบุว่า โครงการนี้ไม่มีอะไรที่จะขัดขวางการดำเนินงานได้ และรัฐบาลของเขากำลังดำเนินการอย่างรอบคอบ โดยปฏิบัติตามคำสั่งที่ชัดเจนเพื่อจำกัดผลกระทบต่อประชาชนในระดับรากหญ้า กัมพูชายังมีหุ้นส่วนสำรองหลายรายที่พร้อมจะช่วยดูแล หากโครงการใดล้มเหลว พร้อมทั้งยืนยันว่ากลุ่มทำงานยังคงดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน

คำกล่าวของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต สอดคล้องกับคำยืนยันของรองนายกรัฐมนตรีซุน จันทอล ประธานคณะกรรมาธิการพิเศษโครงการก่อสร้างคลองฟูนันเตโช ซึ่งกล่าวว่าโครงการยังคงดำเนินไปตามแผน และได้ปฏิเสธรายงานจากสื่อต่างประเทศที่ระบุว่าโครงการล่าช้าเนื่องจากปัญหาทางการเงินของจีน

โครงการคลองฟูนันเตโชมีแผนจะเริ่มเปิดใช้งานในช่วงต้นปี 2028 โดยมีงบการลงทุนมูลค่า 1,700 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 58,000 ล้านบาท คิดเป็น 4% ของจีดีพีกัมพูชา โดยในตอนแรกรัฐบาลกัมพูชาประกาศว่าจีนจะเป็นผู้ช่วยเหลือการลงทุนทั้งหมด แต่ภายหลังมีการแก้ไขเป็นจีนจะออกเงินช่วยเหลือ 49% และบริษัทต่าง ๆ ของกัมพูชาจะเป็นผู้รับผิดชอบต้นทุนที่เหลือ 51%

แม้โครงการเริ่มต้นด้วยพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อ 3 เดือนที่แล้ว แต่ความคืบหน้าในโครงการต่างๆ ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ โดยเฉพาะสถานที่จัดพิธีที่ถูกปล่อยทิ้งร้าง และมีการรายงานถึงปัญหาด้านเงินทุนที่ไม่ตรงกันระหว่างจีนและกัมพูชา รวมถึงความกังวลของจีนที่มีต่อโครงการนี้

ก่อนหน้านี้ รอยเตอร์ส (Reuters) รายงานว่า เนื่องจากเศรษฐกิจจีนที่ซบเซา รัฐบาลจีนได้ลดขนาดการลงทุนในต่างประเทศลง แม้ในประเทศที่จีนมองว่าเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ เช่น กัมพูชา ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ากัมพูชามีหนี้สินกับจีนถึงหนึ่งในสามของหนี้ทั้งหมด

คาดว่าในปี 2026 จีนจะระดมทุนให้กับกัมพูชาน้อยลง โดยลดจาก 240 ล้านดอลลาร์ในปี 2021 เหลือเพียง 35 ล้านดอลลาร์ตามข้อมูลจากแหล่งข่าวทางการ ซึ่งในครึ่งแรกของปี 2024 กัมพูชายังไม่ได้รับเงินกู้ใหม่จากจีนเลย

สำหรับโครงการคลองฟูนันเตโชถือเป็นเมกะโปรเจกต์สำคัญที่นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนตต้องการผลักดัน โดยมีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าจากแม่น้ำโขงผ่านกรุงพนมเปญไปยังอ่าวไทย ลดการพึ่งพาการขนส่งทางทะเลจากเวียดนาม คลองนี้จะมีความกว้าง 100 เมตร ลึก 5.4 เมตร และยาว 180 กิโลเมตร คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งได้ถึง 16%

โครงการนี้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2024 ด้วยพิธีวางศิลาฤกษ์ โดยตรงกับวันคล้ายวันเกิดของฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ผู้ริเริ่มโครงการนี้และถูกสานต่อมาในรัฐบาลรุ่นลูก

กรุงโซลยังอ่วม หิมะตกหนัก 2 วันติด สะสมสูงกว่า 40 ซม. กระทบขนส่งเครื่องบิน-รถไฟล่าช้า

(28 พ.ย.67) สำนักข่าวยอนฮับของเกาหลีใต้รายงานว่า หลายพื้นที่ของกรุงโซลยังคงเผชิญกับสถานการณ์หิมะตกหนักติดต่อกันเป็นวันที่สอง โดยมีหิมะสะสมสูงสุดในหลายพื้นที่ เช่น เมืองยงอินในจังหวัดคยองกีที่มีหิมะสะสม 47.5 เซนติเมตร ขณะที่บางส่วนของกรุงโซล เช่น เขตกวานัก มีหิมะสะสมหนาถึง 40.2 เซนติเมตร

ปริมาณหิมะเฉลี่ยในกรุงโซลวัดได้ 28.6 เซนติเมตร ซึ่งถือว่าเกิดขึ้นไม่บ่อยในฤดูหนาว โดยสถิติสูงสุดของหิมะที่ตกในพื้นที่นี้คือ 31 เซนติเมตร เมื่อเดือนมีนาคม ปี 1922 นับว่าเป็นสถานการณ์หิมะตกที่รุนแรงสุดในรอบร้อยปี

การจราจรในกรุงโซลและพื้นที่ใกล้เคียงติดขัดอย่างหนัก เนื่องจากมีการปิดถนนบางส่วน รวมถึงเขตกวางจินที่ต้นไม้ล้มขวางถนนเพราะน้ำหนักของหิมะ ส่วนระบบรถไฟหลายสายล่าช้า เนื่องจากต้องเคลียร์กิ่งไม้และหิมะออกจากราง โดย Korea Railroad เพิ่มขบวนรถไฟอีก 10 ขบวนในชั่วโมงเร่งด่วน 

โรงเรียนบางแห่งในกรุงโซลและพื้นที่โดยรอบปิดทำการหรือเลื่อนเวลาเริ่มเรียน ขณะที่เที่ยวบินระหว่างประเทศ 114 เที่ยวบินและภายในประเทศ 28 เที่ยวบินถูกยกเลิก

มีผู้เสียชีวิต 2 รายจากอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับหิมะ รายแรกในเมืองยงอินจากต้นไม้ล้มทับ และอีกรายในเมืองพยองแท็กจากโครงสร้างถล่มขณะเคลื่อนย้ายหิมะ  

คาดว่าหิมะในกรุงโซล อินชอน และคยองกีตอนเหนือจะหยุดตกในช่วงบ่ายวันที่ 28 พฤศจิกายน ส่วนพื้นที่อื่น ๆ เช่น คังวอน ชุงชอง และชอลลา จะยังคงมีหิมะตกต่อเนื่อง โดยเกาะเชจูอาจเผชิญหิมะตกถึงช่วงเช้าวันที่ 30 พฤศจิกายน

ไบเดนทิ้งทวน อัดฉีดยูเครนอีก 725 ล้านดอลลาร์ ส่งสารพัดอาวุธให้เซเลนสกีสู้ศึกรัสเซีย

(28 พ.ย. 67) รอยเตอร์รายงานว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เตรียมจัดส่งอาวุธมูลค่า 725 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 24,934 ล้านบาท) ให้ยูเครนสู้ศึกรัสเซีย ก่อนหมดวาระในเดือนมกราคมนี้  

ตามรายงานจากเจ้าหน้าที่สหรัฐ แพ็กเกจดังกล่าวประกอบด้วยขีปนาวุธต่อต้านรถถัง ทุ่นระเบิด โดรน ขีปนาวุธสติงเกอร์ และกระสุนสำหรับเครื่องยิงจรวด HIMARS โดยมีเป้าหมายลดความรุกคืบของรัสเซีย และช่วยเสริมแสนยานุภาพให้กองกำลังยูเครน  

คาดว่าแพ็กเกจนี้จะรวมถึงระเบิดลูกปราย (Cluster Munitions) ซึ่งเป็นประเด็นถกเถียงในระดับนานาชาติ เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อพลเรือน แม้ว่าระเบิดรุ่นใหม่ของสหรัฐจะเป็นแบบสลายตัวเองเพื่อลดผลกระทบระยะยาว  

เจ้าหน้าที่เผยว่ามีงบประมาณ PDA (Presidential Drawdown Authority) เหลือประมาณ 4,000-5,000 ล้านดอลลาร์ที่รัฐสภาอนุมัติไว้ และคาดว่าไบเดนจะใช้งบส่วนนี้ก่อนที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2025

เปิดไอเดีย 'ทรัมป์' ปฏิรูป NATO จ่ายน้อย คุ้มครองน้อย หากชาติพันธมิตรบริจาคเงินไม่ถึง 2% ของ GDP

(28 พ.ย.67) นับตั้งแต่ที่โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังจะกลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอีกสมัย ส่งผลให้บรรดาชาติในยุโรปโดยเฉพาะกลุ่มสมาชิกนาโต้ เกิดความกังวลในประเด็นต่าง ๆ ตั้งแต่การบริจาคด้านงบประมาณกลาโหมของแต่ละชาติให้กับนาโต้ ไปจนถึงเรื่องสถานการณ์ในยูเครน 

ตลอดช่วงการหาเสียงทรัมป์ทรัมป์วิพากษ์วิจารณ์พันธมิตรอย่างต่อเนื่องและบ่นว่าสหรัฐฯ จ่ายเงินงบประมาณมากเกินไปในขณะที่สมาชิกสหภาพยุโรปใช้จ่ายด้านกลาโหมน้อยเกินไป ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง เขากล่าวว่าสหรัฐฯ จะปกป้องสมาชิกนาโตจากการโจมตีของรัสเซียในอนาคตก็ต่อเมื่อสมาชิกปฏิบัติตามพันธกรณีการใช้จ่ายด้านกลาโหม

ด้านมาร์ก รุตเตอ เลขาธิการ NATO ได้กล่าวแสดงความเห็นด้วยกับแนวคิดของทรัมป์โดยเฉพาะประเด็นการใช้จ่ายงบประมาณด้านกลาโหมให้มากกว่า 2%

ล่าสุดทรัมป์ได้ตั้งพลเอก คีธ เคลล็อกก์ นายพลเกษียณอายุราชการและอดีตหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่สภาความมั่นคงแห่งชาติของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้ช่วยประธานาธิบดีและทูตพิเศษประจำยูเครนและรัสเซีย ในรัฐบาลทรัมป์ 2.0 ที่จะเริ่มขึ้นในปีหน้า ซึ่งตำแหน่งดังกล่าวจะมีบทบาทโดยตรงกับองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ในฐานะฝ่ายที่สนับสนุนยูเครน

ก่อนหน้านี้ช่วงเดือนก.พ.ที่ผ่านมา พลเอกเคลล็อกก์ เคยให้สัมภาษณ์ว่า หากสมาชิกในกลุ่มพันธมิตร 31 ประเทศไม่สามารถบริจาคเงินให้ได้อย่างน้อย 2% ของจีดีพี ประเทศนั้นไม่ควรมีสิทธิ์ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 5 ของนาโต้

มาตรา 5 ของนาโต้ มีข้อกำหนดว่า หากประเทศใดก็ตามในกลุ่มชาติสมาชิกถูกโจมตี จะเท่ากับเป็นการโจมตีชาตินาโต้ทั้งหมด สมาชิกทั้งหมดของนาโต้ต้องตอบโต้ร่วมกัน

"หากคุณต้องการเป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตร คุณต้องมีส่วนสนับสนุนพันธมิตร" เคลล็อกก์ กล่าว

เคลล็อกก์ ยังกล่าวอีกว่าหากทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง เขาจะเสนอให้จัดประชุมสมาชิกนาโต้นัดพิเศษในเดือนมิถุนายน 2025 เพื่อหารือเกี่ยวกับอนาคตของนาโต้ โดยทรัมป์จะเสนอให้รูปแบบสมาชิกของชาตินาโต้เป็นแบบแพ็กเกจ (tiered alliance) โดยสมาชิกบางรายจะได้รับการคุ้มครองมากขึ้นตามความสอดคล้องของมาตรา 5 และตามงบประมาณสนับสนุนด้านกลาโหมที่ไม่น้อยกว่า 2% ของจีดีพีแต่ละชาติ

บริษัทจีนสร้างเคเบิลใต้น้ำลึกทุบสถิติ ทนสภาวะความลึกถึงร่องมาเรียน่า

(29 พ.ย. 67) สื่อจีนรายงานว่า ทีมวิศวกรจากมหาวิทยาลัยการเดินเรือต้าเหลียน ร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์หลายแห่งของจีน ได้ทำการทดลองวางสายเคเบิลที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ให้สามารถทนต่อแรงดันใต้น้ำและการกัดกร่อนได้สมุทรได้ยิ่งขึ้น ระบบใหม่นี้มีชื่อว่า Haiwei GD11000

หลี่ เหวินฮวา หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ของโครงการ Haiwei GD11000 เปิดเผยว่า จากการทดลองสายเคเบิลชนิดใหม่นี้สามารถรองรับน้ำหนักได้มากกว่า 15 ตัน มีอัตราความเร็วในการวางระบบใต้ทะเลที่  393.7 ฟุตต่อนาที อีกทั้งยังประสบความสำเร็จในการทดสอบความลึกที่มากกว่า 4 กิโลเมตร จากการทดสอบในทะเลจีนใต้ โดยเหวินฮวา ยืนยันว่า จากการทดสอบในหลายสภาวะใต้สมุทร Haiwei GD11000 เป็นเคเบิลที่สามารถทนความลึกได้ถึงระดับ 11,000 เมตร (36,089 ฟุต) ซึ่งเทียบเท่ากับความลึกของ Challenger Deep ของร่องลึกมาเรียน่า

เหวินฮวา กล่าวว่า จากความสำเร็จดังกล่าว ทำให้ Haiwei GD11000 สามารถเป็นเคเบิลใต้น้ำที่วางระบบในมหาสมุทรทั่วโลกได้ในทุกความลึกและทุกสภาวะของพื้นใต้สมุทร สำหรับระบบเคเบิ้ลใต้น้ำลึก สถิติก่อนหน้านี้เป็นของบริษัท Prysmian ผู้ผลิตสายเคเบิลและผู้ให้บริการติดตั้งสายเคเบิลของอิตาลีที่เคยทำไว้เมื่อเดือนกรกฎาคมโดยบริษัทได้วางสายเคเบิลที่ความลึก 2,150 เมตร (7,053 ฟุต)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top