Tuesday, 13 May 2025
World

‘แบงก์โลก’ เผย!! ‘รัสเซีย’ ขยับขึ้นสู่ประเทศที่มีรายได้สูง สวนทางความพยายามชาติตะวันตกคว่ำบาตรนานกว่า 2 ปี

(9 ก.ค. 67) เฟซบุ๊ก ‘Salika’ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า…ธนาคารโลกชี้การเติบโตทางเศรษฐกิจของรัสเซียสวนทางกับการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกที่กินเวลายาวนานกว่า 2 ปีแล้ว

การจัดอันดับรายได้ประชาชาติประจำปีของธนาคารโลกล่าสุด แสดงให้เห็นว่า รัสเซียได้เลื่อนระดับจากประเทศที่มีรายได้ ‘ปานกลางระดับบน’ ไปเป็นประเทศที่มีรายได้ ‘สูง’ เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง

ธนาคารวัดรายได้มวลรวมประชาชาติ (GNI) ตามวิธีการย้อนหลังไปถึงปี 1989 และอัปเดตการจัดหมวดหมู่นี้ทุก ๆ วันที่ 1 กรกฎาคม โดยอิงตาม GNI ต่อหัวของปีปฏิทินก่อนหน้า รายได้วัดในหน่วยเทียบเท่ากับดอลลาร์สหรัฐ

“กิจกรรมทางเศรษฐกิจในรัสเซียได้รับอิทธิพลจากการเพิ่มขึ้นอย่างมากในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการทหารในปี 2566 ในขณะที่การเติบโตยังได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการค้า (+6.8%) ภาคการเงิน (+8.7%) และการก่อสร้าง (+6.6%)” บล็อกของธนาคารโลกระบุ

“ปัจจัยเหล่านี้นำไปสู่การเพิ่มขึ้นทั้ง GDP ที่แท้จริง (3.6%) และ GDP เล็กน้อย (10.9%) และ GNI (ตามวิธีคำนวณ Atlas Method) ของรัสเซียต่อหัวเพิ่มขึ้น 11.2%” ธนาคารโลกกล่าวเสริม

การเติบโตทางเศรษฐกิจนี้เกิดขึ้นแม้หลังจากที่สหรัฐฯ และพันธมิตรเรียกเก็บมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียหลายพันครั้งจากความขัดแย้งในยูเครน โดยระบุอย่างเปิดเผยว่าเป้าหมายของพวกเขาคือการทำลายเศรษฐกิจรัสเซียและกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในมอสโก

“ไม่มีเศรษฐกิจใดในโลก แม้แต่จีน ที่สามารถทนต่อการรุกรานทางการเงินและเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับรัสเซียได้” ศาสตราจารย์ Alexander Dynkin นักเศรษฐศาสตร์ชาวรัสเซียและประธานสถาบันวิจัยแห่งชาติ Primakov ด้านเศรษฐกิจโลกและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กล่าวกับ The Economic Times

“เราพึ่งพาตนเองได้ในด้านทรัพยากรพลังงาน วัตถุดิบ และอาหาร เรามีตลาดแรงงานที่มีทักษะ วิทยาศาสตร์พื้นฐานของเราอยู่ในระดับโลก ระบบนวัตกรรมระดับชาติของเราประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาอำนาจอธิปไตยทางเทคโนโลยีและเจาะตลาดเฉพาะกลุ่มที่ว่างอยู่”

ประธานาธิบดี Vladimir Putin ของรัสเซีย กล่าวถึงนักลงทุนที่งานประชุมเศรษฐกิจนานาชาติเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเมื่อเดือนที่แล้วว่า เศรษฐกิจรัสเซียกำลังเติบโตแม้จะมีการคว่ำบาตรจากนานาชาติอย่างหนัก และประเทศได้ขยายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับประเทศต่าง ๆ ในแอฟริกา ตะวันออกกลาง และเอเชีย AP รายงาน

ปัจจัยขับเคลื่อนหลักในการเติบโตทางเศรษฐกิจของรัสเซียคือการต่อสู้ในยูเครน ซึ่งขณะนี้มีความสำคัญต่อรัสเซียในเชิงเศรษฐกิจพอ ๆ กับในทางการเมือง แบรนด์ระดับโลกส่วนใหญ่ก็หายไป หรือกลับมาทำธุรกิจใหม่ในคราบของแบรนด์รัสเซีย แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนักในเชิงเศรษฐกิจสำหรับชาวรัสเซียส่วนใหญ่ โดยการใช้จ่ายของรัฐจำนวนมหาศาลสำหรับยุทโธปกรณ์ทางทหาร และการจ่ายเงินจำนวนมหาศาลให้กับทหารอาสาสมัคร ซึ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างแข็งแกร่ง

เศรษฐกิจของรัสเซียจะเติบโตต่อไปในปีนี้ แม้จะมีการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก ตามข้อมูลจากธนาคารเพื่อการบูรณะและพัฒนาแห่งยุโรป (EBRD) ในลอนดอน

EBRD คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้ของรัสเซียจะขยายตัว 2.5% ในปี 2024 และกลับมาอยู่เหนือระดับที่เห็นก่อนปฏิบัติการพิเศษทางทหารในยูเครนในปี 2022 นั่นแสดงถึงการยกระดับครั้งใหญ่จากคำแนะนำก่อนหน้านี้ที่ 1.0% ที่ให้ไว้ในเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา ในขณะที่รัสเซียชดเชยผลกระทบของการคว่ำบาตรด้วยรายจ่ายมหาศาลสำหรับเครื่องจักรสงครามของตน แต่ยังคงชะลอตัวลงอย่างมากจากการเติบโต 3.6% ในปี 2566

“มันไม่สมจริงเลยที่จะคาดหวังว่าการคว่ำบาตรรัสเซียจะนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจและการเงินครั้งใหญ่ ดังที่หลาย ๆ คนคาดหวังไว้” Beata Javorcik หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ EBRD กล่าวกับ AFP ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา รัสเซียได้ “มุ่งความสนใจไปที่เศรษฐกิจของตนไปที่ความพยายามในการทำสงคราม” เธอกล่าว “นี่กำลังนำไปสู่การเติบโตที่เร็วขึ้น” แต่ “การเติบโตนี้แปลไปสู่ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของผู้คนหรือเปล่า เป็นเรื่องที่น่าสงสัย” 

“การเติบโตของรัสเซียในระยะกลางจะต่ำกว่าที่ควรจะเป็นในกรณีที่ไม่มีการคว่ำบาตร” เธอกล่าว

ทั้งนี้ ในการพิจารณาว่าประเทศใดมีรายได้สูง ประเทศนั้นจะต้องมีรายได้ประชาชาติ หรือ GNI (ผลรวมของรายได้ประเภทต่าง ๆ ของบุคคลในระบบเศรษฐกิจ ได้รับในฐานะเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต ในรอบระยะเวลาหนึ่ง ๆ) มากกว่า 14,005 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นจาก 13,845 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีงบประมาณก่อนหน้า การปรับค่าใช้จ่ายจะขึ้นอยู่กับค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของ GDP deflators (ตัววัดค่าเฉลี่ยของระดับราคาของสินค้าทุกชนิดที่รวมอยู่ใน GDP) ของจีน ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และยูโรโซน

ธนาคารโลกกำหนดเศรษฐกิจของโลกไว้ 4 กลุ่มรายได้ ได้แก่ ต่ำ ปานกลางระดับล่าง ปานกลางระดับบน และสูง ซึ่งการจำแนกประเภทจะได้รับการอัปเดตทุกปีในวันที่ 1 กรกฎาคม

การแบ่งประเภทประเทศตามประเภทรายได้มีการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญตลอดช่วงเวลานับตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1980 โดยในปี 1987 พบว่า 30% เป็นประเทศที่มีรายได้ต่ำ และ 25% เป็นประเทศที่มีรายได้สูง สำหรับปี 2023 ประเทศที่มีรายได้ต่ำลดเหลือ 12% และประเทศที่มีรายสูงถึง 40% ในหมวดผู้มีรายได้สูงเพิ่มขึ้นเป็น 40%

อย่างไรก็ตาม ขนาดและทิศทางของการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีความแตกต่างกันอย่างมากระหว่างภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก นี่คือไฮไลต์บางส่วนของแต่ละภูมิภาค

- 100% ของประเทศในเอเชียใต้ถูกจัดเป็นประเทศที่มีรายได้ต่ำในปี 1987 ในขณะที่ส่วนแบ่งนี้ลดลงเหลือเพียง 13% ในปี 2023

- ในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือมีส่วนแบ่งของประเทศที่มีรายได้ต่ำในปี 2023 (10%) สูงกว่าในปี 1987 ที่ไม่มีประเทศใดถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่นี้

- ในละตินอเมริกาและแคริบเบียนสัดส่วนของประเทศที่มีรายได้สูงเพิ่มขึ้นจาก 9% ในปี 1987 เป็น 44% ในปี 2023

- ยุโรปและเอเชียกลางมีสัดส่วนของประเทศที่มีรายได้สูงในปี 2023 (69%) ต่ำกว่าปี 1987 (71%) เล็กน้อย

- นอกจากรัสเซีย แล้วยังมีอีก 2 ประเทศ คือ บัลแกเรียและปาเลา ที่ขึ้นแท่นเป็นประเทศที่มีรายได้สูง

‘ผู้โดยสารแอร์ไชนา’ ขึ้นเครื่องครั้งแรก พลาดเปิดประตูฉุกเฉิน  เข้าใจผิดว่าเป็นประตูห้องน้ำ คาด!! จ่ายค่าเสียหายเหยียบล้าน

ถือเป็นเหตุการณ์น่าระทึกใจอย่างยิ่ง เมื่อผู้โดยสารรายหนึ่งซึ่งขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรก พลาดไปเปิดประตูฉุกเฉินโดยไม่ตั้งใจ ขณะตามหาห้องน้ำ ส่งผลให้เครื่องบินโดยสารของสายการบินแอร์ไชนา ต้องวุ่นวายทั้งลำ แต่เคราะห์ดีที่มันเกิดบนภาคพื้น มิเช่นนั้นมันอาจกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ยากจะจินตนาการ

เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ รายงานว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนที่เที่ยวบิน 2745 ของสายการบินแอร์ไชนา กำลังอยู่บนลานจอด ณ สนามบินฉือโจว ในมณฑลเจ้อเจียง ทางภาคตะวันออกของจีน เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ 4 ก.ค. ที่ผ่านมา

รายงานข่าวระบุว่า ผู้โดยสารหน้าใหม่เดินไปบริเวณท้ายเครื่องบินและเปิดประตูฉุกเฉินโดยไม่มีใครสังเกตเห็น ทำให้ทางลาดฉุกเฉินสำหรับอพยพถูกเปิดใช้งาน

"ตอนที่ทางลาดฉุกเฉินกระเด้งออกมา แม้แต่พวกพนักงานต้อนรับบนเที่ยวบินก็ยังตกอกตกใจ" ผู้โดยสารรายหนึ่งชื่อว่า เฉิง เล่าถึงเหตุการณ์ ในขณะที่ภาพถ่ายบนสื่อสังคมออนไลน์จีน พบเห็นเครื่องบินจอดอยู่ตรงกลางลานบิน ในสภาพที่ทางลาดฉุกเฉินถูกปล่อยออกมาแล้ว

สุดท้ายแล้วเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องพาผู้โดยสารทั้งหมดลงจากเครื่องบิน และเที่ยวบินก็ถูกยกเลิกไปในท้ายที่สุด 

"ผู้โดยสารหญิงรายนี้ถึงกับร่ำไห้ ตอนที่ได้ทราบว่าเธอจำเป็นต้องจ่ายเงินชดใช้ความเสียหาย" เฉิงบอก 

ขณะที่เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ คาดหมายว่าค่าใช้จ่ายสำหรับเปิดใช้งานประตูฉุกเฉินของเครื่องบิน อยู่ที่ราว 28,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1 ล้านบาท) โดยผู้หญิงที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ความวุ่นวายนี้ถูกตำรวจเข้าสอบปากคำหลังจากนั้น อย่างไรก็ตาม ในรายงานข่าวไม่มีการระบุตัวตนสตรีรายนี้แต่อย่างใด

เรื่องนี้ก่อความวิตกบนสื่อสังคมออนไลน์ โดยผู้ใช้อินเทอร์เน็ตบางส่วนตั้งคำถามและแสดงความกังวลเกี่ยวกับข้อบกพร่องในการออกแบบประตูฉุกเฉิน ที่เปิดโอกาสให้ผู้โดยสารหนึ่ง ๆ สามารถเปิดประตูฉุกเฉินโดยไม่ได้ตั้งใจได้อย่างง่ายดาย

‘ชาวบาร์เซโลนา’ เดือด!! ฉีดน้ำใส่ นทท. ประท้วงต่อต้านการท่องเที่ยวมวลชน หลังสร้างผลกระทบ ‘ค่าครองชีพพุ่ง-คุณภาพชีวิตคนท้องถิ่นถดถอย'

(9 ก.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อไม่นานมานี้ ได้เกิดเหตุประท้วงครั้งใหญ่ที่เมืองบาร์เซโลนาของสเปน หนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

โดยชาวเมืองจำนวนมากได้ออกมาเดินขบวนผ่านพื้นที่ที่นักท่องเที่ยวชอบมา และฉีดปืนฉีดน้ำใส่พวกเขา พร้อมตะโกนว่า “นักท่องเที่ยวกลับไป” ขณะที่ผู้ประท้วงบางส่วนถือป้ายที่มีข้อความเขียนว่า ‘บาร์เซโลนาไม่ได้มีไว้ขาย’ หรือ ‘การท่องเที่ยวมวลชนกำลังฆ่าเมืองของเรา’

การประท้วงครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อต่อต้านการท่องเที่ยวมวลชน (Mass Tourism) ในสเปน ซึ่งส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพและคุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่น

การประท้วงครั้งนี้เกิดจากกลุ่มองค์กรท้องถิ่นมากกว่า 100 องค์กร นำโดย Assemblea de Barris pel Decreixement Turístic (การชุมนุมของท้องถิ่นเพื่อความเสื่อมโทรมของการท่องเที่ยว)

ตามตัวเลขอย่างเป็นทางการ เฉพาะปี 2023 มีนักท่องเที่ยวแบบพักค้างคืนเดินทางมาภูมิภาคบาร์เซโลนาเกือบ 26 ล้านคน เกิดการใช้จ่ายเงิน 1.27 หมื่นล้านยูโร (ราว 5 แสนล้านบาท)

อย่างไรก็ตาม Assemblea de Barris pel Decreixement Turístic กล่าวว่า นักท่องเที่ยวเหล่านี้ทำให้สินค้าขึ้นราคาและสร้างแรงกดดันต่อบริการสาธารณะ ในขณะที่ผลกำไรจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวก็ถูกกระจายอย่างไม่ยุติธรรมและเพิ่มความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม

กลุ่มผู้ประท้วงได้เผยแพร่ข้อเสนอ 13 ฉบับเพื่อลดจำนวนนักท่องเที่ยวและเปลี่ยนเมืองสู่รูปแบบใหม่ของการท่องเที่ยว ซึ่งรวมถึงการปิดท่าเรือสำราญ กฎระเบียบที่พักนักท่องเที่ยวเพิ่มเติม และการยุติการใช้จ่ายสาธารณะเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว

ด้าน เจาเม คอลโบนี นายกเทศมนตรีเมืองบาร์เซโลนา เน้นย้ำมาตรการต่าง ๆ ที่เขาได้ประกาศเมื่อเร็ว ๆ นี้เพื่อลดผลกระทบของการท่องเที่ยวมวลชน รวมถึงการเพิ่มภาษีนักท่องเที่ยวต่อคืนเป็น 4 ยูโร (เกือบ 160 บาท) และการจำกัดจำนวนผู้โดยสารบนเรือสำราญ

เมื่อปลายเดือน มิ.ย. คอลโบนียังได้ประกาศว่า จะยุติการเช่าอะพาร์ตเมนต์สำหรับนักท่องเที่ยวภายในปี 2028 ด้วยการยกเลิกใบอนุญาตการเช่าระยะสั้นสำหรับอะพาร์ตเมนต์มากกว่า 10,000 แห่ง

มาตรการนี้จะช่วยทำให้ที่อยู่อาศัยมีราคาไม่แพงมากสำหรับผู้อยู่อาศัยระยะยาว หลังช่วง 10 ปีที่ผ่านมาค่าเช่าเพิ่มขึ้น 68% ทำให้ค่าใช้จ่ายในการซื้อบ้านเพิ่มขึ้น 38%

อย่างไรก็ตาม คอลโบนีถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า อนุญาตให้จัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การแสดงแฟชั่นโชว์ของ หลุยส์ วิตตอง เมื่อเดือน พ.ค. รวมถึงการแข่งขันเรือใบ America's Cup ที่กำลังจะมีขึ้น

การประท้วงลักษณะนี้เป็นเรื่องปกติในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมหลายแห่งทั่วโลก ซึ่งมีจำนวนนักท่องเที่ยวมากเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวจากช่วงโควิด-19

แม้การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของนักท่องเที่ยวอาจส่งผลดีต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นและผลกำไรของธุรกิจการบริการ แต่ก็มีข้อเสียที่น่าสังเกตเช่นกัน ได้แก่ เสียงรบกวนที่เพิ่มขึ้น มลพิษ การจราจร และความเครียดต่อทรัพยากร คุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่นลดลง และอื่น ๆ อีกมากมาย

นั่นทำให้ไม่น่าแปลกใจที่สถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากทั่วโลก เช่น ญี่ปุ่น, เวนิส ฯลฯ เริ่มมีความคิดริเริ่มและข้อจำกัดที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อต่อสู้กับการท่องเที่ยวที่มากจนเกินไป รวมถึงการขึ้นภาษีหรือค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยว มาตรการกีดกันนักท่องเที่ยวที่มีปัญหา และการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม

ลือสะพัด!! 'ไบเดน' เป็นพาร์กินสัน ต้องเรียกหมอเฉพาะมาตรวจถี่ ด้านทำเนียบขาวยัน แค่ตรวจร่างกายตามปกติ ผู้นำวัย 81 ยังฟิตปั๋ง

กระแสความหวั่นวิตกเกี่ยวกับสภาพร่างกายของ โจ ไบเดน วัย 81 ปี ประธานาธิบดีในตำแหน่งที่มีอายุมากที่สุดในสหรัฐฯ และยังประกาศว่าพร้อมรับตำแหน่งต่อเป็นสมัยที่ 2 ยังคงมีออกมาอย่างต่อเนื่อง 

ล่าสุด สื่อสหรัฐฯ รายงานว่า โจ ไบเดน อาจมีอาการป่วยบางอย่างที่ไม่อาจเปิดเผยได้ และพบข้อมูลว่า ทำเนียบขาวได้เชิญแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคพาร์กินสันเข้าทำเนียบ อย่างน้อย 8 ครั้ง ตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว จนถึงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา 

ข้อมูลนี้เปิดเผยโดยสำนักข่าวรอยเตอร์ ที่ได้ตรวจสอบบันทึกผู้มาเยือนทำเนียบขาว และพบชื่อของ ดร.เควิน แคนนาร์ด แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาและความผิดปกติของการเคลื่อนไหวจากศูนย์การแพทย์ทหารแห่งชาติวอลเตอร์ รีด ที่เข้าทำเนียบขาวถึง 8 ครั้ง ในช่วงเดือนสิงหาคม 2023 - มีนาคม 2024 ซึ่ง ดร.เควิน ทำงานวิจัยเกี่ยวกับการรักษาโรคพาร์กินสันระยะเริ่มต้นที่ศูนย์การแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลต์ 

นอกจากนี้ แหล่งข่าวยังยืนยันด้วยว่า มีการนัดหารือกันระหว่าง ดร.เควิน แคนนาร์ด และ ดร.เควิน โอ'คอร์เนอร์ แพทย์ประจำตัวของโจ ไบเดน ในช่วงกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมาในทำเนียบขาวด้วย โดยไม่มีการอธิบายสาเหตุที่ทำให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคพาร์กินสันต้องมาเยือนทำเนียบขาวถึง 8 รอบในช่วงเวลาไม่ถึง 1 ปี ส่งผลให้ข่าวลือเรื่องสภาพร่างกายที่ถดถอยของไบเดนโหมกระพือรุนแรงยิ่งขึ้น

คารีน ฌอง-ปิแอร์ โฆษกทำเนียบขาวได้ออกมากล่าวยืนยันในห้องประชุมสื่อมวลชนเมื่อวันจันทร์ (8 กรกฎาคม 2024) ที่ผ่านมาว่า ประธานาธิบดีไม่ได้เข้ารับการตรวจหาอาการพาร์กินสัน หรือกำลังได้รับยารักษาอาการดังกล่าวทั้งสิ้น 

แต่เมื่อนักข่าวได้จี้ถามถึงประวัติการตรวจสุขภาพร่างกายประจำปีของ โจ ไบเดน ซึ่งนอกเหนือจากการตรวจสุขภาพทั่วไป ยังพบว่าไบเดน ได้นัดพบกับผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยามาแล้วถึง 3 ครั้ง โดยด้านโฆษกทำเนียบขาวยอมรับว่า เป็นเรื่องจริง ว่าทุกครั้งที่มีโปรแกรมตรวจสุขภาพประจำปี ต้องเข้าพบแพทย์ด้านประสาทวิทยาด้วย แต่ไม่ถือเป็นเรื่องผิดปกติแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ประวัติด้านสุขภาพของไบเดน ถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคล และมีเหตุผลด้านความมั่นคงด้วย จึงไม่สามารถเปิดเผยได้ และขอร้องสื่อมวลชน อย่าโยงการมาเยือนทำเนียบขาวของ ดร.เควิน แคนนาร์ด ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคพาร์กินสัน กับประวัติการตรวจร่างกายของประธานาธิบดี เนื่องจากในแต่ละปีก็มีบุคลากรจากศูนย์การแพทย์ทหารเข้า-ออก ทำเนียบขาวนับพันคนในแต่ละปี ที่ไม่ได้เกี่ยวกับภารกิจด้านการแพทย์ 

ด้าน ดร.เควิน โอ'คอร์เนอร์ แพทย์ประจำตัวผู้นำสหรัฐฯ ออกจดหมายยืนยันว่า โจ ไบเดน ไม่ได้พบนักประสาทวิทยาเป็นกรณีพิเศษที่นอกเหนือจากโปรแกรมตรวจร่างกายประจำปี และจากรายงานสุขภาพล่าสุดของไบเดน ของ ดร.โอ'คอนเนอร์ ระบุว่าประธานาธิบดีได้รับการตรวจคัดกรองอาการทางระบบประสาทหลายอย่าง รวมถึงโรคพาร์กินสันด้วย ซึ่งมีผลออกมาเป็นลบ ที่ยืนยันได้ว่า โจ ไบเดน มีสุขภาพร่างกายที่พร้อมสำหรับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ 

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการปิดข่าวจากเจ้ากรมข่าวลือ โจ ไบเดน ก็ได้ไปออกรายการ 'Morning Joe' ของสถานี MSNBC เมื่อช่วงเช้าวันจันทร์ที่ผ่านมา เพื่อยืนยันว่าเขาจะไม่ไปไหนทั้งนั้น และมั่นใจว่า ตัวเขานั้นเป็นผู้เข้าแข่งขันที่ดีที่สุดของพรรคในการต่อสู้กับ โดนัลด์ ทรัมป์ ในการเลือกตั้ง 2024 ที่จะถึงนี้ 

แม้เจ้าตัวจะยอมรับว่า ผลงานบนเวทีดีเบตล่าสุดที่ผ่านมา อาจไม่เข้าตาผู้บริหารระดับสูงภายในพรรค หรือ นายทุนผู้บริจาครายใหญ่ แต่ โจ ไบเดน ก็ยังประกาศกร้าวว่า "ผมไม่สนใจสิ่งที่พวกเศรษฐีคิดหรอกนะครับ ถึงเงินสนับสนุนจะสำคัญ แต่มันไม่ใช่เหตุผลที่ผมตัดสินใจลงแข่งขันในครั้งนี้"

ก็ถือเป็นคำยืนยันจากปู่ไบเดนว่า จะสู้ต่อ เพื่ออยู่ต่อ แม้จะมีแรงกดดันภายในพรรคให้ปู่ถอนตัวเพราะกลัวสังขารไปต่อไม่ไหวก็ตาม 

‘NASA’ ลุยปล่อย ‘ภารกิจคูรี’ ขึ้นสู่ห้วงอวกาศ หวังสำรวจ-ศึกษาต้นกำเนิด ‘คลื่นวิทยุ’ จากดวงอาทิตย์

(9 ก.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นาซามีกำหนดปล่อยภารกิจคูรี (CURIE) สู่ห้วงอวกาศในวันนี้ เพื่อสำรวจต้นกำเนิดของคลื่นวิทยุจากดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยขับเคลื่อนสภาพอากาศในอวกาศที่สำคัญ

ทั้งนี้ อุปกรณ์ในภารกิจดังกล่าวจะถูกขนส่งโดยจรวดแอเรียน 6 (Ariane 6) ขององค์การอวกาศยุโรป จากศูนย์อวกาศเกียนาในเมืองกูรู จังหวัดเฟรนช์เกียนาของฝรั่งเศส และประจำการที่ระดับความสูง 360 ไมล์ (ราว 580 กิโลเมตร) เหนือระดับพื้นผิวโลก

ภารกิจนี้จะใช้เทคนิคการรวมสัญญาณกล้องโทรทรรศน์วิทยุเพื่อศึกษาการปล่อยคลื่นวิทยุจากการปะทุของดวงอาทิตย์ อาทิ เปลวสุริยะ และการปลดปล่อยก้อนมวลสารจากโคโรนา (coronal mass ejection) ในเฮลิโอสเฟียร์ชั้นใน (inner heliosphere) ซึ่งปรากฏการณ์ข้างต้นเหล่านี้กระตุ้นสภาพอากาศในอวกาศให้เพิ่มการเกิดแสงเหนือและผลกระทบต่อสนามแม่เหล็กโลก

องค์การฯ ระบุว่า ทีมงานจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์เป็นผู้ออกแบบภารกิจคูรี ซึ่งจะเป็นภารกิจแรกที่วัดคลื่นวิทยุในช่วงความถี่ 0.1-19 เมกะเฮิร์ตซ์จากอวกาศ เนื่องจากชั้นบรรยากาศชั้นบนของโลกปิดกั้นความยาวคลื่นเหล่านี้ จึงสามารถดำเนินการวิจัยได้จากอวกาศเท่านั้น

นาซา เผยว่า คูรีจะใช้เทคนิคที่เรียกว่าการรวมสัญญาณกล้องโทรทรรศน์วิทยุย่านความถี่ต่ำในระหว่างการวิจัยคลื่นวิทยุจากดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นเทคนิคที่ยังไม่เคยใช้ในอวกาศมาก่อน โดยเทคนิคนี้ต้องอาศัยยานอวกาศอิสระสองลำ เมื่อรวมกันแล้วมีขนาดเล็กกว่ากล่องรองเท้า และจะโคจรรอบโลกห่างกันราว 2 ไมล์ (ราว 3.2 กิโลเมตร)

อย่างไรก็ตาม การแยกตัวกันนี้เอื้อให้เครื่องมือของคูรีตรวจวัดความแตกต่างแม้เพียงเล็กน้อยเมื่อเกิดการแผ่คลื่นวิทยุได้ ซึ่งช่วยให้ระบุแหล่งที่มาของคลื่นวิทยุได้อย่างชัดเจน

‘เวียดนาม’ ครองแชมป์!! ‘ค่าครองชีพถูกที่สุด’ สำหรับต่างชาติ ขึ้นแท่นอันดับ 1 ติดต่อกัน 4 ปีซ้อน จาก 53 ประเทศ

(9 ก.ค. 67) สำนักข่าวซีเอ็นบีซี รายงานว่า ตามการศึกษาของ InterNations คอมมูนิตี้สำหรับคนที่ไปทำงานต่างประเทศ ในปี 2024 ‘เวียดนาม’ ครองแชมป์ประเทศที่มีค่าครองชีพสำหรับชาวต่างชาติที่ย้ายไปอยู่ ‘น้อยที่สุด’ ในโลก เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน โดยเวียดนามได้อันดับ 1 จาก 53 ประเทศ 

อย่างไรก็ตาม ในด้านอื่น ๆ เวียดนาม อยู่อันดับที่ 40 จาก 53 ประเทศในด้านคุณภาพชีวิต อันดับที่ 29 สำหรับสิ่งจำเป็นสำหรับชาวต่างชาติ เช่น อินเทอร์เน็ต ที่อยู่อาศัย และภาษา และอยู่อันดับที่ 14 สำหรับการทำงานในต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงโอกาสทางอาชีพ เงินเดือน และความมั่นคงของงาน

จากการสำรวจ ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในเวียดนาม 86% เห็นพ้องกันว่าค่าครองชีพในประเทศนี้ดี ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 40% ถึงสองเท่า และ 65% ของผู้ตอบแบบสอบถามในประเทศเวียดนาม พอใจกับสถานการณ์ทางการเงินของตนเอง เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 54%

ความพึงพอใจในการทำงานโดยทั่วไปก็สูงมากในหมู่ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้ เวียดนามได้ก้าวกระโดดจากอันดับที่ 24 ในปีที่แล้ว มาเป็นอันดับที่ 3 ในปี 2024

โดยทั่วไปแล้ว ความสมดุลระหว่างชีวิต และการทำงานมีความสำคัญมากกว่าความก้าวหน้าในอาชีพ ซึ่งในเวียดนาม มีเพียงไม่ถึงครึ่ง (46%) ของชาวต่างชาติในประเทศนี้ที่ทำงานเต็มเวลา เทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 57% โดยประมาณหนึ่งในห้าของชาวต่างชาติ (21%) ทำงานพาร์ทไทม์ และประมาณ 18% ของชาวต่างชาติได้เกษียณอายุแล้ว

“ชีวิตที่นี่ไม่มีความเครียดสำหรับฉัน เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยอดเยี่ยมจากชีวิตการทำงานที่เคยเหนื่อยล้า และวุ่นวายมาก” ชาวอังกฤษที่อาศัยอยู่ในเวียดนามกล่าว

สำหรับดัชนีการเงินส่วนบุคคล (Personal Finance Index) ทาง InterNations ได้สอบถามผู้เข้าร่วมสำรวจเกี่ยวกับระดับความพึงพอใจส่วนบุคคลใน 3 ด้าน ได้แก่ ค่าครองชีพโดยทั่วไป ความพึงพอใจในสถานการณ์ทางการเงิน และรายได้สุทธิของครัวเรือนว่า มีเพียงพอที่จะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายหรือไม่

ผลการสำรวจพบว่า ‘10 อันดับแรก’ ของจุดหมายปลายทางที่ชาวต่างชาติบอกว่า ‘ดีที่สุดสำหรับการเงินส่วนบุคคล’ ของพวกเขา ได้แก่

- อันดับ 1 เวียดนาม 

- อันดับ 2 กัมพูชา 

- อันดับ 3 อินโดนีเซีย

- อันดับ 4 ปานามา 

- อันดับ 5 ฟิลิปปินส์ 

- อันดับ 6 อินเดีย 

- อันดับ 7 เม็กซิโก 

- อันดับ 8 ไทย 

- อันดับ 9 บราซิล

- อันดับ 10 จีน 

เห็นได้ว่า ประเทศใน ‘แถบเอเชีย’ ครองอันดับสูงสุดในปีนี้ โดยกวาดไปถึง 6 ใน 10 อันดับแรกของรายการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไทยที่ติดอันดับท็อป 10 ทั้งหมด

“ที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยสำคัญอย่างมากสำหรับค่าครองชีพ โดยไทยอยู่อันดับ 1 ที่ชาวต่างชาติเข้าถึงที่อยู่ได้ง่ายที่สุด เวียดนามอันดับ 2 ฟิลิปปินส์ อันดับ 5 และอินโดนีเซียอันดับ 8 ซึ่งชาวต่างชาติจำนวนมากเห็นพ้องว่า 4 ประเทศนี้ หาที่อยู่อาศัยได้ง่าย และพวกเขาพอใจกับความสามารถในการจ่ายได้” แคทริน ชูโดบา หัวหน้าฝ่ายการตลาดของ InterNations กล่าว

ทั้งนี้ จาก 53 จุดหมายปลายทางทั่วโลก มีสี่ประเทศในเอเชียที่ติดอันดับท็อป 10 ในปีนี้ ได้แก่ อินโดนีเซีย (อันดับ 3 โดยรวม), ไทย (อันดับ 6 โดยรวม), เวียดนาม (อันดับ 8 โดยรวม) และฟิลิปปินส์ (อันดับ 9 โดยรวม)

ประมวลเหตุการณ์ ส่งผลปลายทางสงคราม ‘รัสเซีย-ยูเครน’ ปิดฉากด้วย ‘ยูเครน’ ยอมแพ้ ไม่ใช่การเจรจาข้อตกลงร่วมกัน

“Ukraine war will end in surrender”
By STEPHEN BRYEN
02/07/2024

นี่ความคิดเห็นจาก ‘สตีเฟน ไบรเอน’ ผู้สื่อข่าวอาวุโสแห่งเอเชียไทมส์ ผู้ซึ่งเคยเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเจ้าหน้าที่ของคณะอนุกรรมการตะวันออกใกล้ แห่งคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภาสหรัฐฯ รวมทั้งเคยเป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหมด้านนโยบายของสหรัฐฯ

โดย ‘สตีเฟน ไบรเอน’ ยังระบุเพิ่มอีกว่า “แล้วมันก็จะไม่มีการเจรจาใด ๆ กับเซเลนสกี เมื่อกองทัพยูเครนพังครืนลงมา และมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่เข้าแทนที่”

นอกจากนี้ ‘สตีเฟน ไบรเอน’ ยังได้วิเคราะห์จุดจบแห่งสงครามในครั้งนี้ด้วยว่า สงครามยูเครนจะยุติลงด้วยการยอมจำนน ไม่ใช่ด้วยการทำข้อตกลงภายหลังการเจรจาต่อรองกัน นี่เป็นความรู้สึกของผมในเรื่องที่ว่าสงครามคราวนี้กำลังมุ่งหน้าไปยังทิศทางไหน และเป็นเหตุผลที่อธิบายว่าทำไมฝ่ายต่าง ๆ จึงไม่สามารถที่จะเจรจาเพื่อทำความตกลงกัน

การตั้งแง่เล่นเล่ห์เหลี่ยมเพื่อมุ่งชิงความได้เปรียบกันในช่วงหลัง ๆ มานี้ ที่ทำให้การเจรจากันยังเกิดขึ้นไม่ได้จนแล้วจนรอด ปรากฏตัวอย่างให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม ในคำประกาศซึ่งอยู่ในคำสัมภาษณ์ที่ โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน บอกกับสื่อฟิลาเดลเฟีย อินไควเรอร์ (Philadelphia Inquirer) [1] ในสหรัฐฯ

ในคำสัมภาษณ์นี้ เซเลนสกีกล่าวว่า มันไม่สามารถที่จะมีการเจรจาโดยตรง [2] ระหว่างยูเครนกับรัสเซีย แต่อาจจะมีการเจรจากันทางอ้อมโดยผ่านฝ่ายที่สาม ในฉากทัศน์ซึ่งเสนอขึ้นมาโดยเซเลนสกีนี้ ฝ่ายที่สามจะทำหน้าที่เป็นคนกลาง และการทำความตกลงใด ๆ จะต้องเป็นการตกลงกับคนกลางนี้เท่านั้น ไม่ใช่การตกลงระหว่างรัสเซียกับยูเครน ทั้งนี้เซเลนสกีเสนอแนะด้วยว่ายูเอ็นสามารถแสดงบทบาทเช่นนี้ได้

อย่างไรก็ดี ข้อเสนอนี้ของเซเลนสกีไม่สามารถที่จะเป็นจุดเริ่มต้นอะไรขึ้นมาได้หรอกด้วยเหตุผลหลาย ๆ ประการ แต่ข้อใหญ่ที่สุดก็คือความเป็นจริงที่ว่าประดารัฐซึ่งกำลังทำสงครามกันอยู่ จำเป็นที่จะต้องตกลงกันโดยตรงในเรื่องการยุติการสู้รบขัดแย้ง

การอาศัยฝ่ายที่สามเป็นผู้นำเอาข้อตกลงใด ๆ มาปฏิบัติให้เป็นจริงขึ้นมานั้น เป็นเรื่องที่ไม่มีหวังจะประสบความสำเร็จเอาเลย อย่างที่ข้อตกลงมินสก์ (Minsk agreement) ซึ่งล้มเหลวไม่เป็นท่า (ไม่ว่าฉบับปี 2014 หรือปี 2015) ได้แสดงให้เห็นกันอยู่แล้ว ข้อตกลงมินสก์ทั้งสองฉบับ ถือเป็นกรณีลูกผสมซึ่งมีการลงนามรับรองโดยรัสเซีย, ยูเครน, และองค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (Organization for Security and Cooperation in Europe หรือ OSCE)

แต่แล้วยูเครนปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงเหล่านี้ และ OSCE ก็ถูกพิสูจน์ให้เห็นว่าไร้ทั้งเขี้ยวเล็บและไร้ทั้งเจตนารมณ์ ที่จะพยายามและบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง การตกลงกันในคราวนั้นยังได้รับการหนุนหลังจากเยอรมนีและฝรั่งเศส ถึงแม้ทั้งคู่ต่างก็ไม่ได้ร่วมลงนามหรือมีพันธะผูกพันทางกฎหมายไม่ว่าในลักษณะใดก็ตามทีที่จะต้องสนับสนุนข้อตกลงซึ่งออกมา

‘ข้อเสนอ’ เช่นนี้ของเซเลนสกี แท้ที่จริงแล้วจึงเป็นเพียงม่านควันอีกอันหนึ่งซึ่งเขาปล่อยออกมาเพื่อหลบเลี่ยงไม่ให้ยูเครนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ต้องการทำความตกลงกับรัสเซีย ทั้งนี้มีพลังที่เข้มแข็ง 3 พลังด้วยกันที่ยังคงคอยดึงรั้งเซเลนสกีเอาไว้ไม่ให้เข้าสู่โต๊ะเจรจา

พลังหรือเหตุผลข้อสำคัญที่สุดก็คือ การที่เพลเยอร์ชาวแองโกล-แซกซอนตัวหลักในนาโต้ ซึ่งก็คือ ‘สหรัฐฯ’ และ ‘สหราชอาณาจักร’ มีท่าทีคัดค้านอย่างแข็งขันไม่ต้องการให้มีการเจรจาใด ๆ กับรัสเซีย สหรัฐฯ นั้นกำลังกระทำทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาสามารถทำได้ โดยรวมไปถึงการใช้การแซงก์ชั่นและมาตรการทางการทูตต่าง ๆ เพื่อขัดขวางไม่ให้เกิดการสนทนาใด ๆ กับรัสเซียไม่ว่าในหัวข้อใด ๆ (นอกเหนือจากเรื่องการแลกเปลี่ยนเชลยศึก)

เหตุผลประการที่สองคือกฎหมายของยูเครน ที่อุปถัมภ์โดยเซเลนสกี ซึ่งมีเนื้อหาระบุห้ามไม่ให้มีการเจรจาใด ๆ กับรัสเซีย รัฐสภาของยูเครนที่มีชื่อว่า เวอร์คอฟนา ราดา (Verkhovna Rada) สามารถที่จะยกเลิกกฎหมายดังกล่าวได้ภายเวลา 1 นาโนวินาที ถ้าเซเลนสกีร้องขอให้พวกเขากระทำเช่นนั้น ทว่าเขาไม่น่าจะอยากให้ทำหรอก

เซเลนสกีคือผู้ที่ควบคุมรัฐสภายูเครนเอาไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ รวมทั้งได้จับกุมหรือเนรเทศพวกนักการเมืองฝ่ายค้านให้ออกไปอยู่นอกประเทศ ตลอดจนควบคุมหนังสือพิมพ์และสื่ออื่น ๆ การใช้กำปั้นเหล็กของเซเลนสกีเช่นนี้หมายความว่า ตัวเขาเองจะไม่ยอมเป็นผู้เปิดทางให้มีการเจรจาโดยตรงอย่างแน่นอน

นอกจากนั้นแล้ว เซเลนสกียังได้ลงนามประกาศใช้กฤษฎีกาประธานาธิบดีฉบับหนึ่ง ที่ห้ามไม่ให้มีการเจรจาใด ๆ [3] กับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย

สำหรับเหตุผลประการที่สาม เกี่ยวข้องกับแรงกดดันต่อเซเลนสกีจากพวกนักชาตินิยมฝ่ายขวาสายแข็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็รวมไปถึงกองกำลังอาวุธอาซอฟ (Azov brigade) ที่เป็นพวกนาซีใหม่ (neo-Nazi) ซึ่งเวลานี้ถูกนำมารวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพยูเครนแล้ว หลักฐานโดยตรงที่แสดงให้เห็นถึงแรงบีบคั้นนี้ก็คือการปลด พลโท ยูริ โซดอล (Lieutenant General Yuri Sodol) ผู้บังคับบัญชาระดับท็อปของกองกำลังฝ่ายเคียฟที่อยู่พื้นที่แคว้นคาร์คอฟ (Kharkov)

**(คาร์คอฟ Kharkov ในภาษารัสเซีย หรือ คาร์คิฟ Kharkiv ในภาษายูเครน เป็นชื่อแคว้นและเมืองเอกของแคว้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของยูเครน และประชิดติดกับชายแดนรัสเซีย โดยที่เมืองคาร์คอฟยังเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของยูเครนอีกด้วย ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Kharkiv_Oblast และ https://en.wikipedia.org/wiki/Kharkiv)

โซดอล โดนข้อกล่าวหาจากพวกผู้นำกองกำลังอาซอฟ [4] ว่ากำลังสังหารชาวยูเครนมากยิ่งกว่าชาวรัสเซียอีกในการสู้รบทำศึกที่คาร์คอฟ อาซอฟส่งข้อความนี้ของตนไปยังรัฐสภา และเซเลนสกีก็กระทำตามด้วยการปลดโซดอล

ตั้งแต่ที่โซดอลถูกปลด สถานการณ์ของยูเครนตามแนวเส้นปะทะระหว่างยูเครนกับรัสเซียตลอดทั้งแนวรบทีเดียวก็อยู่ในสภาพเลวร้ายลงไปอีก ความสูญเสียจากการสู้รบของฝ่ายยูเครนอยู่ในระดับที่สูงมาก โดยในบางวันมีผู้ถูกสังหารและได้รับบาดเจ็บมากถึง 2,000 คนทีเดียว

ฝ่ายรัสเซียได้ยกระดับการโจมตีของพวกเขาด้วยการใช้ลูกระเบิดนำวิถี FAB (FAB glide bombs) ขนาดต่าง ๆ รวมทั้งเจ้าอสุรกาย FAB-3000 [5] ที่อัดวัตถุระเบิดแรงสูงเข้าไป 3,000 กิโลกรัม ซึ่งลูกหนึ่งเพิ่งถูกทิ้งลงใส่ศูนย์บัญชาการกองทัพบกยูเครนแห่งหนึ่งในเมืองเล็ก ๆ ของภูมิภาคดอนบาส (Donbas) ที่ถูกขนานนามว่า นิวยอร์ก (New York) [6] และมีรายงานว่าสังหารบุคลากรทางทหารของยูเครนไปไม่น้อยกว่า 60 คน

**(ดอนบาส Donbas เป็นภูมิภาคในยูเครนตะวันออกที่ประกอบด้วยแคว้นโดเนตสก์ Donetsk กับแคว้นลูฮันสก์ Luhansk หรือ ลูกันสก์ Lugansk ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Donbas)**

ทางรัสเซียยังบอกด้วยว่า เซเลนสกีนั้นไม่สามารถที่จะเป็นคู่เจรจาของฝ่ายตนได้ เนื่องจากวาระการดำรงตำแหน่งของเขาหมดไปตั้งแต่เมื่อเดือนพฤษภาคม อันที่จริงก็มีความสับสนอยู่เหมือนกันเกี่ยวกับฐานะตามกฎหมายของเซเลนสกีในเรื่องนี้ แต่พวกผู้เชี่ยวชาญทั้งในและนอกยูเครนต่างคิดว่า ตำแหน่งผู้นำของประเทศนี้ควรที่จะถูกส่งต่อให้แก่ประธานรัฐสภายูเครน [7] นับแต่ที่วาระของเซเลนสกีหมดสิ้นลง

ประธานรัฐสภายูเครนคนปัจจุบันคือ ‘รัสลัน สเตฟานชุค’ (Ruslan Stefanchuk) เวลานี้เขามีการเคลื่อนไหวทางการเมืองคึกคักยิ่งขึ้นกว่าเมื่อก่อน ถึงแม้เขายังไม่เคยแสดงการคัดค้านที่เซเลนสกียังคงปกครองประเทศต่อไปก็ตามที

ขณะเดียวกันนั้น เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ในสมรภูมิแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฝ่ายรัสเซียกำลังเล็งดูแล้วว่า เวลากำลังใกล้จะสุกงอมเต็มทีแล้วที่กองทัพยูเครนถ้าหากไม่พังครืนลงไปก็จะต้องขอยอมแพ้ หรือไม่ก็ทั้งสองอย่าง

แต่ไม่ว่าจะเป็นในกรณีไหน ก็จำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลยูเครนในบางลักษณะ บางทีอาจจะกระทำโดยคณะผู้นำทางทหารชั่วคราวที่คัดเลือกขึ้นมาโดยรัสเซีย นี่จะเปิดทางให้ฝ่ายรัสเซียสามารถกำหนดข้อตกลงในการยอมจำนน เอากับรัฐบาลชุดที่จะขึ้นมาแทนที่

การยอมแพ้ของกองทัพยูเครน และข้อตกลงที่ทำกับรัฐบาลซึ่งรัสเซียแต่งตั้งขึ้นมา ย่อมจะทำให้นาโต้เข้าเกี่ยวข้องพัวพันอยู่ในยูเครนต่อไปไม่ได้แล้ว

นี่อาจเป็นการเปิดประตูไปสู่การสนทนาด้านความมั่นคงระหว่างนาโต้กับรัสเซียขึ้นมาในท้ายที่สุด ในทันทีที่นาโต้บดย่อยและกลืนกินสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเหตุผลที่ทำไมมันจึงเกิดขึ้นมา ทั้งนี้ ต้องถือเป็นเรื่องโชคร้าย การนำเอาพวกผู้นำทางการเมืองอย่าง มาร์ค รึตเตอ (Marc Rutte) เข้าสู่นาโต้ ย่อมไม่ใช่ลางดีสำหรับอนาคตของกลุ่มพันธมิตรด้านความมั่นคงกลุ่มนี้

**(รึตเตอร์ อำลาตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2024 เพื่อเข้าเป็นเลขาธิการองค์การนาโต้คนถัดไปต่อจาก เยนส์ สโตลเตนเบิร์ก Jens Stoltenberg โดยมีกำหนดเริ่มดำรงตำแหน่งใหม่นี้ในวันที่ 1 ตุลาคม ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Mark_Rutte)**

ถ้าหากฝ่ายรัสเซียเป็นผู้ชนะในยูเครน ซึ่งดูน่าจะเป็นเช่นนั้นมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ สารสำคัญที่สุดจากเรื่องนี้สำหรับนาโต้ ก็คือว่า กลุ่มพันธมิตรด้านความมั่นคงกลุ่มนี้ต้องยุติการขยายตัวของตนเองเสียที และมองหาหนทางในการทำความตกลงเพื่อดำเนินการกับรัสเซียในยุโรป ซึ่งมีเสถียรภาพยิ่งกว่าที่เป็นมา

สตีเฟน ไบรเอน เป็นผู้สื่อข่าวอาวุโสอยู่ที่เอเชียไทมส์ เขาเคยเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเจ้าหน้าที่ของคณะอนุกรรมการตะวันออกใกล้ แห่งคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภาสหรัฐฯ รวมทั้งเคยเป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหมด้านนโยบายของสหรัฐฯ

ข้อเขียนนี้หนแรกสุดเผยแพร่อยู่ใน Weapons and Strategy ที่เป็นบล็อกบนแพลตฟอร์ม Substack ของผู้เขียน

เชิงอรรถ
[1] https://www.inquirer.com/opinion/zelensky-ukraine-war-interview-trudy-rubin-20240630.html
[2] https://www.rt.com/russia/600232-zelensky-model-talks-russia/
[3] https://www.livemint.com/news/world/ukraine-zelensky-signs-decree-rule-out-negotiation-russia-vladimir-putin-impossible-11664876727245.html
[4] https://unn.ua/en/news/details-of-the-complaint-that-krotevych-wrote-against-general-sodol-became-known
[5] https://x.com/NewRulesGeo/status/1807719236216746085
[6] https://sputnikglobe.com/20240701/watch-russian-forces-pound-new-york-in-donbass-with-fab-3000-guided-bomb-1119203142.html
[7] https://carnegieendowment.org/russia-eurasia/politika/2024/03/is-zelenskys-legitimacy-really-at-risk?lang=en

‘สิงคโปร์’ ไฟเขียว!! นำเข้าแมลง 16 ชนิด เพิ่มความมั่นคงทางอาหาร ด้าน 'ไทย' ตีปีก มีความได้เปรียบเหนือกว่าประเทศคู่แข่งเพียบ

(10 ก.ค. 67) สำนักงานอาหารของสิงคโปร์ออกประกาศเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (8 ก.ค.) เกี่ยวกับข้อกำหนดใหม่ในการนำเข้าแมลง 16 ชนิดที่ได้รับการอนุมัติเป็นอาหาร โดยประกาศดังกล่าวระบุว่า แมลงและผลิตภัณฑ์จากแมลงเหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถนำมาบริโภคหรือเป็นอาหารปศุสัตว์ โดยแมลงและผลิตภัณฑ์จากแมลงที่นำเข้าเพื่อการบริโภคโดยตรงของมนุษย์จะต้องได้รับการฆ่าเชื้อโรคอย่างเพียงพอ

ทั้งนี้ การนำเข้าแมลงแต่ละชนิดจะได้รับการอนุมัติให้นำเข้าในช่วงอายุที่กำหนดเท่านั้น เช่น จิ้งหรีดและตั๊กแตนได้รับอนุญาตให้นำเข้าในระยะโตเต็มวัยเท่านั้น ในขณะที่หนอนนกและด้วงจะต้องนำเข้าขณะที่ยังเป็นตัวอ่อน เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหาร 

ขณะที่ไทยเป็นประเทศที่มีความได้เปรียบกว่าประเทศคู่แข่ง ด้วยสภาพอากาศร้อนชื้นที่เหมาะสมสำหรับทำฟาร์มเพาะเลี้ยงแมลงเพื่อส่งออก และยังมีวัตถุดิบเพียงพอในการทำโรงงานผลิตแมลงแปรรูปได้อีก โดยแมลงยอดนิยม อาทิ จิ้งหรีด, ตั๊กแตน, แมงป่อง, ดักแด้, หนอนรถด่วน และด้วง จึงเป็นโอกาสสำคัญทางเศรษฐกิจไทยในการส่งออกแมลงที่เป็นสินค้าส่งออกที่มีอนาคตสดใส ในการสร้างรายได้ให้ประเทศ

โดนใจชาวจีน!! ‘ร้านชาถุงกระดาษสไตล์ไทย’ ร้อนแรงในแดนมังกร ความนิยมพุ่งในหลายเมือง ขายดีเป็นพิเศษยามเข้าสู่ฤดูร้อน

(10 ก.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ท่ามกลางการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างจีนกับไทย ‘วัฒนธรรมชา’ ถือเป็นหนึ่งส่วนสำคัญที่ช่วยส่งเสริมมิตรภาพระหว่างประชาชนสองประเทศ โดยปัจจุบันวัฒนธรรมชาของจีนและไทยมีชีวิตชีวาผ่านการบูรณาการและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่

จางกุ้ยเหวิน ได้เปิดร้านชาถุงกระดาษสไตล์ไทยในนครหนานหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงทางตอนใต้ของจีน โดยชาถุงกระดาษสไตล์ไทยนี้กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในหลายเมืองของจีน และขายดีเป็นพิเศษยามเข้าสู่ฤดูร้อนที่ผู้คนอยากได้เครื่องดื่มดับกระหาย

ชาไทย ชามะนาว รวมถึงกาแฟเย็นและเมนูอื่น ๆ ในบรรจุภัณฑ์ธรรมดาเรียบง่ายอย่างถุงพลาสติกใส่น้ำแข็งที่ถูกมัดยางจนพองกลมและสวมด้วยถุงกระดาษสี่เหลี่ยมที่มีลวดลายต่าง ๆ กลายเป็น ‘จุดขาย’ ดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคชาวจีนได้อย่างดีทีเดียว

อนึ่ง ร้านชาสไตล์ไทยหลายแห่งในกว่างซีใช้วัตถุดิบหลักที่นำเข้าจากไทย ซึ่งมีรสชาติเข้มข้นถูกใจผู้บริโภคเฉกเช่นเฉินย่วนย่วน ชาวเมืองหนานหนิง ที่เผยว่ามักซื้อใบชาไทยเพื่อทำชามะนาว ชานม และเครื่องดื่มอื่นๆ ด้วยตัวเอง

เมื่อไม่นานนี้ ชาตรามือ แบรนด์ชาชื่อดังของไทย ได้เปิดร้านสาขาในนครหนานหนิง ซึ่งมีผู้คนต่อแถวยาวเพื่อซื้อเครื่องดื่มหลากหลายเมนูและถ่ายรูปเช็กอิน โดยเฉินย่วนย่วนเล่าว่าชาตรามือเป็นร้านที่มักแวะซื้อเครื่องดื่มเมื่อไปเที่ยวกรุงเทพฯ รวมถึงซื้อชาซองของที่นี่กลับมาฝากครอบครัวและเพื่อนฝูง

‘นักการเมืองเกาหลีใต้’ โดนทัวร์ลง!! หลังโทษ ‘ผู้หญิง’ มีบทบาทมากขึ้น เหตุเป็นต้นตอทำ ‘ผู้ชาย’ ฆ่าตัวตายสูง มอง!! เป็นความคิดอันตราย-ไม่ฉลาด

(11 ก.ค. 67) นักการเมืองรายหนึ่งในเกาหลีใต้กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักต่อความเห็นที่อันตรายและไร้ข้อพิสูจน์ หลังเขาเชื่อมโยงเหตุผู้ชายฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นกับกรณีที่ผู้หญิงมีบทบาทสำคัญเพิ่มมากขึ้นในสังคม

โดย คิม คิ-ดุค สมาชิกสภาเมืองโซล อ้างว่า การมีส่วนร่วมมากขึ้นเรื่อย ๆ ของพวกผู้หญิงในที่ทำงานในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้พวกผู้ชายหางานยากขึ้น และเจอความยากลำบากกว่าเดิมในการหาผู้หญิงที่ต้องการแต่งงานกับพวกเขา

เขากล่าวว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ "ประเทศของเราเริ่มเปลี่ยนเข้าสู่สังคมที่ผู้หญิงมีบทบาทสำคัญและอาจอยู่เบื้องหลังบางส่วนของเหตุความพยายามฆ่าตัวตายที่เพิ่มมากขึ้นในผู้ชาย"

เกาหลีใต้เป็นหนึ่งในชาติที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในบรรดาชาติร่ำรวยของโลก และอีกด้านหนึ่งพวกเขาก็เป็นหนึ่งในชาติที่มีประวัติเลวร้ายด้านความเท่าเทียมทางเพศเช่นกัน

ความเห็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักของคิม เป็นอีกคำพูดที่เกิดขึ้นจากการขาดความรู้ความเข้าใจโดยบรรดานักการเมืองผู้ชายเกาหลีใต้

คิม จากพรรคประชาธิปไตย มีคำประเมินเช่นนี้จากการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนความพยายามฆ่าตัวตายบนสะพานต่าง ๆ ตามแม่น้ำฮันของกรุงโซล

รายงานที่เผยแพร่บนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของสภาเมือง พบว่า จำนวนความพยายามฆ่าตัวตายตามแม่น้ำฮัน เพิ่มขึ้นจากระดับ 430 รายในปี 2018 เป็น 1,035 รายในปี 2023 ซึ่งในบรรดาผู้พยายามปลิดชีพตนเองนั้นมีสัดส่วนที่เป็นผู้ชายเพิ่มขึ้นจาก 67% เป็น 77%

บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกันการฆ่าตัวตาย ต่างพากันแสดงความกังวลต่อความเห็นของคิม ในนั้นรวมถึงซอง อิน ฮาน ศาสตราจารย์ด้านสุขภาพจิตแห่งมหาวิทยาลัยยอนเซของกรุงโซล ที่ให้สัมภาษณ์กับบีบีซี ว่า "มันเป็นเรื่องอันตรายและไม่ฉลาดเลยที่กล่าวอ้างเช่นนี้โดยปราศจากหลักฐานที่พอเพียง"

เขาชี้ว่าทั่วโลกก็พบเห็นผู้ชายฆ่าตัวตายมากกว่าผู้หญิง และในหลายประเทศ ในนั้นรวมถึงสหราชอาณาจักร ผู้ที่ฆ่าตัวตายส่วนใหญ่คือกลุ่มผู้ชายอายุต่ำกว่า 50 ปี

กระนั้นก็ตาม ศาสตราจารย์ซอง ชี้ว่าสาเหตุที่อยู่เบื้องหลังการเพิ่มขึ้นอย่างมากของผู้ชายที่พยายามฆ่าตัวตายในกรุงโซล จำเป็นต้องได้รับการศึกษาทำความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ พร้อมระบุว่า มันน่าเสียใจอย่างยิ่งที่ทางสมาชิกสภาเมืองแสดงความคิดเห็นที่ก่อความขัดแย้งทางเพศ

ในเกาหลีใต้มีความแตกต่างกันอย่างมากระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง ในจำนวนลูกจ้างที่ได้รับการจ้างงานแบบเต็มเวลา ขณะที่จำนวนผู้หญิงที่ทำงานแบบชั่วคราวหรือพาร์ทไทม์ก็ไม่สมส่วนกับผู้ชาย ทั้งนี้ แม้ช่องว่างทางเพศเกี่ยวกับค่าจ้างกำลังลดน้อยลงเรื่อย ๆ แต่ปัจจุบันพวกผู้หญิงก็ยังคงได้รับค่าจ้างน้อยกว่าผู้ชายเฉลี่ยแล้วราว 29%

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านสตรีหนึ่งได้โผล่ขึ้นมาในเกาหลีใต้ นำโดยพวกชายหนุ่มที่หลงเชื่อผิด ๆ ที่อ้างว่าพวกเขาถูกเอาเปรียบจากความพยายามส่งเสริมวิถีชีวิตผู้หญิง

มุมมองดังกล่าวสะท้อนแนวคิดไปในทิศทางเดียวกับ คิม และในรายงานของคิม ได้สรุปว่าหนทางที่จะเอาชนะ ‘ปรากฏการณ์ผู้หญิงเป็นใหญ่’ คือส่งเสริมความตระหนักรู้ของประชาชนเกี่ยวกับความเท่าเทียมทางเพศ เพื่อที่ทั้งผู้หญิงและผู้ชายสามารถมีความพึงพอใจต่อโอกาสที่เท่าเทียม

อย่างไรก็ตาม ชาวเกาหลีใต้พากันไหลบ่าสู่สื่อสังคมออนไลน์แพลตฟอร์มเอ็กซ์ ประณามความเห็นของสมาชิกสภาเมืองโซลรายนี้ ว่าไม่อยู่บนหลักความเป็นจริงและเกลียดชังผู้หญิง หนึ่งในนั้นถึงขั้นตั้งคำถามว่านักการเมืองรายนี้กับพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในโลกคู่ขนานกันหรือเปล่า

ด้านพรรคยุติธรรม กล่าวหาสมาชิกสภาเมืองรายดังกล่าวว่า "หาทางออกง่าย ๆ ด้วยการกล่าวโทษพวกผู้หญิงในสังคมเกาหลี ที่ต้องดิ้นรนเพื่อหลุดพ้นจากการเลือกปฏิบัติทางเพศ" พร้อมเรียกร้องให้เขาถอนคำพูดและวิเคราะห์ต้นตอปัญหาอย่างเหมาะสมแทน

เมื่อได้รับการติดต่อขอคำชี้แจงจากบีบีซี ทาง คิม อ้างว่าเขาไม่ได้มีเจตนาวิพากษ์วิจารณ์สังคมที่ถูกครอบงำโดยผู้หญิง และเพียงแค่ให้มุมมองส่วนตัวเกี่ยวกับผลกระทบบางอย่างจากสิ่งนี้

อย่างไรก็ตาม ความเห็นของเขามีขึ้นตามหลังข้อเสนอทางการเมืองต่าง ๆ จำนวนหนึ่ง ที่ปราศจากหลักการทางวิทยาศาสตร์และบางครั้งออกแนวแปลกประหลาด อ้างว่ามีเป้าหมายเพื่อจัดการกับประเด็นที่ก่อแรงกดดันทางสังคมอย่างยิ่งในเกาหลีใต้ ในนั้นรวมถึงอาการป่วยทางจิต ความรุนแรงทางเพศและอัตราการเกิดที่ต่ำที่สุดในโลก

เมื่อเดือนที่แล้ว สมาชิกสภากรุงโซลอีกคนในวัย 60 ปีเศษ ๆ เผยแพร่บนความบนเว็บไซต์ของทางการ ยุให้สาวเล่นยิมนาสติกและออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน เพื่อเพิ่มอัตราการเกิด ขณะเดียวกันสถาบันวิจัยแห่งหนึ่งของรัฐบาลแนะนำอนุญาตให้เด็กผู้หญิงเริ่มเข้าโรงเรียนเร็วกว่าเด็กผู้ชาย โดยเชื่อว่าการสร้างช่องว่างของอายุระหว่างชายและหญิงในโรงเรียนจะสร้างความดึงดูดใจมากขึ้น เมื่อพวกเขาเข้าสู่วัยที่แต่งงานได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top