Tuesday, 13 May 2025
World

‘ตบตูดแกะ’ เทรนด์ใหม่ในกลุ่ม ‘วัยรุ่นจีน’ ชี้!! คลายเครียดได้ดี ได้ลองแล้วจะติดใจ

(7 ก.ค.67) ที่ตลาดค้าปศุสัตว์ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาทำอะไรแปลกๆ กับแกะที่ถูกมัดอยู่ โดยจะได้ยินเสียงตบดังแปะเบาๆ ตามมาด้วยเสียงหัวเราะ

ต่อมาโลกโซเชียลของจีนก็เต็มไปด้วยคำชักชวนให้ลองไปสัมผัสและตบตูดแกะที่ตลาดดังกล่าว โดยนักท่องเที่ยวรายหนึ่งเล่าผ่าน ‘เสี่ยวหงซู’ (แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของจีน) ว่าตูดของแกะนั้นทั้งเด้งและนุ่ม ซึ่งถ้าได้ลองแล้วจะติดใจอย่างไม่น่าเชื่อ

นอกจากนี้ ในคลิปวิดีโอที่แชร์กันบนโลกโซเชียล มีคนหนึ่งได้ลองตบตูดแกะแล้วบอกว่า ‘นี่มันคลายเครียดได้จริงๆ’ ขณะที่อีกคนบอกว่า ‘ฉันลงทุนนั่งเครื่องบินมา 5 ชั่วโมง เพื่อที่จะมาตบตูดแกะ เพราะมันเป็นประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาได้จากในเมือง’

เทรนด์ตบตูดแกะกลายเป็นที่นิยม ถึงขนาดมีคนออกมาแนะนำข้อมูลและให้รายละเอียดเกี่ยวกับสายพันธุ์แกะที่พอตบตูดพวกมันแล้วจะให้ความรู้สึกฟินมากเป็นพิเศษ รวมทั้งยังมีการแนะนำองศา มุม และความแรงในการตบ ซึ่งบางคนบอกว่า ‘ช่วยตบมันเบาๆ หน่อย’

แม้คนเลี้ยงแกะส่วนใหญ่จะยอมรับเทรนด์นี้ ซึ่งช่วยสร้างความคึกคักและกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นอย่างดี แต่พวกเขายังมีความกังวลเกี่ยวกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากเกินไป

‘ถ้ามีคนมาจับตูดแกะมากเกินไป อาจทำให้พวกมันเกิดภาวะซึมเศร้าได้ มนุษย์ไม่สนใจพวกแกะหรอก พวกเขาสนใจแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น’ คนเลี้ยงแกะกล่าว

ด้านผู้เชี่ยวชาญได้ออกมาอธิบายเกี่ยวกับความนิยมที่เพิ่มขึ้นของเทรนด์นี้ว่า เป็นวิธีการแหวกแนวที่คนหนุ่มสาวนำมาใช้ เพื่อให้หลุดพ้นจากข้อจำกัด หรือข้อบังคับในชีวิตประจำวัน แต่ถึงกระนั้นก็ไม่แนะนำให้ทำตามเทรนด์แบบสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะพฤติกรรมดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการขาดความเคารพต่อสัตว์ ดังนั้น ควรไปหาความบันเทิงในรูปแบบอื่นจะดีกว่า

มีรายงานว่า หญิงคนหนึ่งมีอาการท้องเสียและอาเจียน หลังจากไปตบตูดแกะ โดยเธอได้รับแจ้งว่าอาจเกิดจากแบคทีเรียจากสัตว์ภายในฟาร์ม เนื่องจากภายในคอกแกะมีก้อนอุจจาระอยู่เป็นจำนวนมาก

หลังเรื่องราวดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ชาวเน็ตต่างคอมเมนต์ เช่น 

เราแค่ตบตูดของแกะเบาๆ ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อสัตว์ และคนเลี้ยงแกะก็เห็นด้วย มันเป็นวิธีผ่อนคลายที่น่าสนใจ

ฉันรู้สึกเสียใจกับแกะพวกนี้ ถ้าพวกมันพูดได้ มันอาจจะรู้สึกว่ากำลังถูกคุกคาม

ฉันหวังว่าคนเลี้ยงแกะในท้องถิ่นจะกำหนดกฎต่างๆ เช่น จำกัดจำนวนผู้ที่มาตบตูดแกะในแต่ละวัน เพื่อที่จะได้ไม่เหนื่อยจนเกินไป

‘Disney-Netflix’ ลั่น หยุดบริจาค หาก ‘เดโมแครต’ ไม่ยอมเปลี่ยนคนอื่นมาชน ‘ทรัมพ์’ มั่นใจ!! หายนะแน่ เพราะสภาพร่างกายไปต่อไม่ไหวแล้ว ชี้!! ดัน ‘แฮริส’ ขึ้นมายังดีกว่า

(7 ก.ค.67) หายนะจากงานดีเบทรอบแรกระหว่าง ไบเดน และ ทรัมพ์ ยังไม่จบง่ายๆ และดูเหมือนจะกลายเป็นสนิมเซาะกร่อนภายในพรรคเดโมแครตไปเรื่อยๆ เมื่อมีคนวงในพรรคหลายคน ออกมาแสดงความเห็นอย่างชัดเจนว่า ต้องการให้โจ ไบเดน ถอนตัวจากการแข่งขันเลือกตั้งประธานาธิบดี 2024 ที่จะถึงนี้ 

ทว่า โจ ไบเดน ยังยืนยันที่จะลงชิงตำแหน่งต่อเป็นสมัยที่ 2 และ ล่าสุดได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ ABC News ว่า มีเพียง ฤทธานุภาพของพระเจ้าเท่านั้น ที่สามารถดลบันดาลให้เขายอมถอนตัวออกจากสนามชิงชัยในการเลือกตั้งครั้งนี้ได้ 

และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า แต่ถ้าผลเกิดเลือกตั้งแพ้ทรัมพ์ขึ้นมา ไบเดนจะว่ายังไง? ไบเดนก็ตอบแบบลางไม่ค่อยดีว่า ‘ผมรู้สึกว่า ผมก็ทุ่มสุดตัวและทำหน้าที่ได้อย่างดีที่สุดเท่าที่ทำได้แล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมทำอยู่’

ฟังดูก็น่าเป็นห่วงอยู่ ว่า โจ ไบเดน วางเดิมพันกับการเลือกตั้งครั้งนี้ ด้วยบุญเก่าของตัวเองล้วนๆ ถ้าเสียงสวรรค์ชาวอเมริกันจะเลือกไบเดน ก็อาจเพราะเห็นใจอยากให้ปู่อยู่ต่อ หรือเป็นแฟนคลับเดนตายของเดโมแครต ที่ไม่เกี่ยงว่าพรรคจะส่งใครมา ยังไงก็เลือก โดยไม่ต้องไปคาดหวังว่าปู่โจ ไบเดน ยังจะขึ้นบันได Air Force One ไหวหรือเปล่า

แต่เมื่อโจ ไบเดน ได้อ้างถึง ฤทธานุภาพของพระเจ้า ผู้ทรงอำนาจสูงสุดในการดลใจมนุษย์หล่ะก็ พระเจ้าอาจไม่แสดงอิทธิฤทธิ์ให้มนุษย์เห็นตรงๆ แต่ทำงานผ่านคนกลาง ผู้มีศักยภาพมากพอที่จะเสกอะไรก็ได้ ประหนึ่งลูกพระเจ้าได้เหมือนกัน 

เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า กิจกรรมพรรคการเมืองขนาดใหญ่ระดับเดโมแครต จะขับเคลื่อนไม่ได้เลย หากไม่มีนายทุนผู้สนับสนุนพรรค ซึ่งนักลงทุนรายใหญ่จะตัดสินใจบริจาคเงินสนับสนุนใครก็ต่อเมื่อเขามั่นใจว่าจะเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า และมองเห็นอนาคต

ซึ่งตอนนี้ ผู้สนับสนุนรายใหญ่ของเดโมแครตหลายคนเริ่มไม่ค่อยมั่นใจในสภาพร่างกายของโจ ไบเดน แล้ว ว่าอาจเป็นตัวเลือกที่เสี่ยงเกินไป เมื่อต้องลงแข่งขันเลือกตั้งกับโดนัลด์ ทรัมพ์ ในครั้งนี้ 

หนึ่งในนายทุนรายใหญ่ที่สุดของเดโมแครตก็คือ อบิเกล ดิสนีย์ ทายาทอาณาจักรดิสนีย์ผู้มั่งคั่ง ออกมาประกาศชัดเจนว่า เธอจะยุติการสนับสนุนทุนให้แก่พรรคเดโมแครต ตราบใดที่พรรคไม่ยอมหาใครมาแทน โจ ไบเดน ในสนามเลือกตั้งครั้งนี้ 

อบิเกลได้ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า ‘นี่คือโลกแห่งความเป็นจริงค่ะ ไม่ได้มีเจตนาหยามเหยียดใคร ไบเดนเป็นคนดีที่ทำงานรับใช้ชาติได้อย่างน่าชื่นชม แต่เดิมพันครั้งนี้มันสูงเกินไป ถ้าไบเดนไม่ถอนตัว เดโมแครตแพ้แน่ ฉันมั่นใจอย่างนั้น และผลจากความพ่ายแพ้ครั้งนี้มันคือหายนะดีๆนี่เอง’
หรือถ้าพรรคยังหาตัวเลือกแทนไบเดนไม่ได้ อบิเกล เสนอให้ดัน กมลา แฮริส รองประธานาธิบดีคนปัจจุบันขึ้นมาแข่งแทน และเชื่อว่าสามารถเอาชนะทรัมพ์ได้ไม่ยากเลย และเรียกร้องให้พรรคอย่ามัวแต่เอาเวลามาล้อเลียนข้อบกพร่องของแฮริส ถ้าพรรคสามารถมองข้ามข้อเสียของไบเดนได้ ทำไมถึงยอมหยวนๆ กับข้อบกพร่องของแฮริสไม่ได้ 

และไม่ใช่เฉพาะทายาทดิสนีย์ ที่ออกมากดดันพรรคเดโมแครตให้เปลี่ยนตัวไบเดน รีด เฮสทิงส์ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Netflix และเป็นผู้บริจาครายใหญ่ของเดโมแครต ก็ออกมาเรียกร้องให้ไบเดนถอนตัวเช่นกัน เพื่อเห็นแก่พระเจ้า อุ่ย! ไม่ใช่! เพื่อเห็นแก่พรรคในการแข่งขันเพื่อเอาชนะทรัมพ์
รีด เฮสทิงส์ และ ภรรยา คือผู้ที่ลงเงินสนับสนุนให้กับแคมเปญหาเสียงของไบเดนตั้งแต่งานเลือกตั้งปี 2020 ถึง 1.5 ล้านเหรียญ และเมื่อไบเดน ตัดสินใจลงสนามอีกครั้งในปีนี้ เขาบริจาคเงินให้แคมเปญของไบเดนอีก 1 แสนเหรียญทันที ก่อนประกาศยุติการสนับสนุนหลังเห็นผลงานการดีเบทของไบเดนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

และนอกจากผู้บริหาร Disney และ Netflix จะออกมาประกาศเทไบเดนแล้ว ยังมีเศรษฐีกระเป๋าหนักด้อมเดโมแครต ที่ออกมายอมรับว่าจะไม่สนับสนุนไบเดนแล้ว อาทิ แบร์รี่ ดิลเลอร์ ผู้บริหารสื่อยักษ์ใหญ่ หรือ อารี เอ็มมานูเอล CEO บริษัทเอเจนซีเจ้าดังในฮอลลิวูด โดยเขาเปรียบเทียบว่า หากสหรัฐอเมริกาเป็นรถยนต์หรูราคา 2.7 ล้านล้านดอลลาร์คันหนึ่ง เขาคงไม่ยอมให้ทั้งทรัมพ์ และ ไบเดน ขับรถคันนี้ออกถนนในยามค่ำคืนแน่ๆ 

แม้ความเห็นของมหาเศรษฐีไม่กี่คน จะสู้เสียงของพระเจ้าในใจไบเดนไม่ได้ แต่ บางคนก็บอกว่า เงินนั่นแหล่ะคือพระเจ้า ถ้าเงินไม่มี จะไปทำอะไรได้ ซึ่งก็อาจจะจริงในแง่หนึ่งเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

เพราะทุกการลงทุนคือความเสี่ยง เช่นเดียวกับการทอดลูกเต๋า โอกาสที่ไบเดนที่จะชนะทรัมพ์ ก็ไม่ได้เป็น 0 เสมอไป เพราะบางคนเลือกแค่คนที่รัก แต่บางคนก็เลือกเพราะพรรคที่ชอบ 

แต่หากเป็นเรื่องของประเทศชาติบ้านเมือง ถ้ามัวแต่เกรงใจกัน ก็ต้องยอมรับผลลัพธ์ร่วมกัน ว่าเราได้เลือกแล้วว่าจะให้ใครมาขับรถหรูคันละ 2.7 ล้านล้าน ออกไปซิ่งยามค่ำคืนในอีก 4 ปีข้างหน้า 

‘อินเดีย’ร่วมทุนกับ ‘รัสเซีย’ ตั้ง Indo-Russia Rifles Private Limited (IRRPL)  โรงงานผลิตปืนเล็กยาวตระกูล AK ในเมือง Korwa เขต Amethi รัฐอุตตรประเทศ

(7 ก.ค.67) แรกเริ่มเดิมที กองทัพอินเดียได้ทำการผลิตปืนเล็กยาวบรรจุกระสุนเองแบบ L1A1 ซึ่งได้ลิขสิทธิ์ผลิตในประเทศในช่วงปลายทศวรรษปี 1950 ต่อมาช่วงกลางทศวรรษปี 1980 กองทัพอินเดียตัดสินใจพัฒนาปืนเล็กยาวขนาด 5.56×45 มม. (กระสุนมาตรฐาน NATO) เพื่อทดแทนปืนเล็กยาวที่ได้เลิกผลิตไปแล้ว โดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอาวุธ (ARDE) เมือง Pune ได้ออกแบบปืนเล็กยาว INSAS ของอินเดียเอง และกองทัพอินเดียนำมาใช้ในปี 1990 และกลายเป็นปืนเล็กยาวจู่โจมมาตรฐานของทหารราบสังกัดกองทัพบกอินเดีย อย่างไรก็ตาม เพื่อยุติการใช้ปืนเล็กยาว Lee–Enfield แบบลูกเลื่อนที่ยังใช้งานในกองทัพอินเดียอยู่ให้เร็วที่สุด ในช่วงปี 1990–92 อินเดียจึงต้องจัดหาปืนเล็กยาวตระกูล AKM ขนาด 7.62×39 มม. จำนวน 100,000 กระบอกจากรัสเซีย ฮังการี โรมาเนีย และอิสราเอล

ในช่วงแรกปืนเล็กยาว INSAS สร้างขึ้นโดยใช้คุณสมบัติที่หยิบยืมมาจากปืนเล็กยาวหลายรุ่น ทั้งไม่ได้ออกแบบและผลิตขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของกองกำลังรักษาความมั่นคงของอินเดีย แม้ว่า ปืนเล็กยาว INSAS จะรับใช้กองทัพอินเดียนานกว่า 30 ปี แต่ก็เริ่มล้าหลังเมื่อพิจารณาถึงความต้องการของสงครามสมัยใหม่ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปืนเล็กยาว INSAS ต้องอยู่ภายใต้การตรวจสอบที่มากขึ้น ด้วยปัญหาหลายประการที่เกิดขึ้นจากการใช้งานของกองกำลังในแนวหน้าซึ่งกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางการปฏิบัติการ ตัวอย่างเช่น แม็กกาซีนพลาสติกของปืนเล็กยาว INSAS แตกร้าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสภาพอากาศที่หนาวเย็น และมีรายงานว่า ปืนเล็กยาว INSAS ร้อนมากจนเกินไปในระหว่างการสู้รบที่ยาวนาน จึงทำให้การทำงานของปืนเล็กยาว INSAS ผิดปกติ จนปืนเล็กยาวรุ่นนี้ไม่น่าเชื่อถือสำหรับปืนเล็กยาวมาตรฐานทั่วไป

สืบเนื่องมาจากความขัดข้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหล่านี้ ในเดือนเมษายน 2013 รัฐบาลอินเดียจึงต้องเปลี่ยนปืนเล็กยาว INSAS ของกองกำลังตำรวจติดอาวุธกลาง (CRPF) ด้วยปืนเล็กยาวรุ่น AKM เพื่อให้มั่นใจว่า CRPF จะประสบความสำเร็จมากขึ้นในการต่อสู้กับกลุ่ม Naxalites ดังนั้น จากความล้มเหลวเหล่านี้และความต้องการปืนเล็กยาวที่เปลี่ยนไปของกองกำลังติดอาวุธของอินเดีย จึงมีการประกาศในช่วงต้นปี 2017 ว่า ปืนเล็กยาว INSAS จะถูกปลดประจำการ และแทนที่ด้วยปืนเล็กยาวที่สามารถยิงกระสุนขนาด 7.62×51 มม. ของ NATO ได้

แต่ด้วยความสัมพันธ์อันใกล้ชิดและยาวนานระหว่างอินเดียและรัสเซีย โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางทหาร อินเดียและรัสเซียจึงร่วมทุนกันจัดตั้ง Indo-Russia Rifles Private Limited (IRRPL) โรงงานผลิตปืนเล็กยาวตระกูล AK ขึ้นในประเทศอินเดีย โดย IRRPL เป็นการร่วมทุนระหว่าง 4 บริษัท ณ ปี 2023 AWEIL (อินเดีย) ถือหุ้นที่ 42.5% Munitions India Limited (อินเดีย) ถือหุ้น 8% Kalashnikov Concern (รัสเซีย) ถือหุ้น 42% และ Rosoboronexport (รัสเซีย) ถือหุ้น 7.5% และได้รับอนุญาตสิทธิบัตรให้ผลิตปืนเล็กยาวจู่โจม AK-203 จำนวน 600,000 กระบอก ซึ่งใช้กระสุนขนาด 7.62×39 มม. สำหรับ AK-203 เป็นปืนเล็กยาวจู่โจมรุ่น 200 ซีรีส์ที่ได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัยและเป็นรุ่นหนึ่งของปืนเล็กยาวจู่โจม AK-Pattern ของรัสเซียในปัจจุบัน ซีรีส์ 200 นั้นอิงรายละเอียดทางเทคนิคจากปืนเล็กยาวตระกูล AK-100 และปืนเล็กยาวรุ่น AK-12 ซึ่งมีราคาแพงกว่า โดยปืนเล็กยาว AK-203 เป็นปืนเล็กยาวจู่โจมรุ่นใหม่ล่าสุดที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดจากปืนเล็กยาว AK-47 ของอดีตสหภาพโซเวียตหรือรัสเซียในปัจจุบัน

ในระหว่างงาน Defense Expo 2020 ที่เมืองลัคเนา พลตรี Sengar (อดีต CEO และกรรมการผู้จัดการ) ประกาศว่าโรงงาน IRRPL ในเมือง Amethi จะผลิต AK-203 ได้ 75,000 กระบอกต่อปีเป็นเวลา 10 ปี โดยผลิตปืนเล็กยาว AK-203 จำนวน 670,000 กระบอกสำหรับกองทัพอินเดีย การผลิตปืนเล็กยาว AK-203 เริ่มเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2023 ในเดือนพฤษภาคม 2024 ปืนเล็กยาวชุดแรกจำนวน 27,000 กระบอกได้รับการส่งมอบ ในขณะที่อีกชุดหนึ่งจำนวน 8,000 กระบอกจะได้รับการส่งมอบในเดือนกรกฎาคม 2024 รวม 35,000 กระบอก ปัจจุบัน พลตรี SK Sharma, SM (Bar), VSM จากกองทัพบกอินเดีย ทำหน้าที่เป็น CEO และกรรมการผู้จัดการ โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากอินเดียและรัสเซีย ฝ่ายละ 8 คน

แฉ!! แผนระยะยาวต่างชาติเคลมไทย ชุบตัวต่างด้าว 'ให้สิทธิเลือกตั้ง-ครองที่ดิน'

เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา 'ประชาไท' ในแพลตฟอร์ม X ได้ลงข่าวว่ามีแรงงานพม่าเรียกร้อง UN ESCAP ให้รับรองแรงงานข้ามชาติให้ได้บัตรชมพู โดยอ้างว่าเพื่อลดความซับซ้อนสำหรับแรงงานต่างด้าวที่เข้าเมืองผิดกฎหมายและไม่มีพาสปอร์ตว่าเป็นพลเมืองชาวเมียนมา

วันนี้ เอย่า จะมาวิเคราะห์ให้รู้กันว่า ทำไมคนพวกนี้ถวิลหาขนาดนั้น แต่ก่อนอื่นเราควรมาทำความรู้จักก่อนว่า UN ESCAP คือหน่วยงานใด

UN ESCAP หรือชื่อภาษาไทยว่าคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติแห่งเอเชียและแปซิฟิก เป็นหนึ่งในห้าคณะกรรมการส่วนภูมิภาคของคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ

ESCAP เป็นองค์กรบริหาร (Executing Agency) ที่เน้นดำเนินการในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภูมิภาคและประเด็นเกิดใหม่ที่สำคัญต่อภูมิภาค เช่น การขจัดความยากจน วิกฤตเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางด้านอาหารและพลังงาน การจัดการกับภัยพิบัติ การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ ความเท่าเทียมกันทางเพศและการส่งเสริมบทบาทของสตรี ผ่านการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน

ต่อมาเรามารู้จัก 'บัตรชมพู' กันดีกว่า

บัตรชมพู คือ บัตรประจำตัวคนที่ไม่มีสัญชาติไทย เป็นเอกสารทะเบียนราษฎร์ที่นายทะเบียนออกมหาดไทยให้กับต่างชาติทุกคนที่มีถิ่นพำนักที่ชัดเจนในประเทศไทย

ในกรณีการเรียกร้องขอบัตรชมพู โดยทั่วไปจะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของนายทะเบียน ว่าจะได้รับคำสั่งจากกระทรวงมหาดไทยมาอย่างไร ซึ่งในอดีตเนื่องจากในประเทศไทยมีการใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายจำนวนมากที่เข้ามาอาศัยในประเทศไทย ทำให้ในยุคของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี จึงมีการอนุโลมคนต่างด้าวที่มีนายจ้างเป็นคนรับรองว่าเป็นลูกจ้างแต่ไม่มีหลักฐานใด ๆ มาทำการขึ้นทะเบียนคนต่างด้าวให้ได้บัตรชมพูและทำระบบ MOU เพื่อจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวเหล่านี้

แต่ด้วยความหละหลวมของระบบมหาดไทยของไทย ทำให้คนต่างด้าวหลายคนเมื่อบัตรหมดอายุแล้ว กลับไม่ไปต่อ แต่ใช้วิธีเปลี่ยนชื่อเป็นคนใหม่ไปขึ้นทะเบียนเพื่อให้ได้บัตรอีกรอบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง รวมถึงเจ้าหน้าที่นายทะเบียนและเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสัญชาติไม่มีข้อมูลหรืออะไรก็ไม่ทราบ ทำให้การออกบัตรชมพูทำได้ง่าย และส่งผลให้ 1 ชีวิตของชาวเมียนมามีตัวตนมากกว่า 1

และนั่นทำให้ปัจจุบัน มีคนต่างด้าวรอบ ๆ ข้างไทยหนีเข้าเมืองกันมามากขึ้นทั้ง คนลาว, พม่า และกัมพูชา

การเรียกร้องเช่นนี้ย่อมเป็นการเปิดช่องให้คนกลุ่มที่เข้าเมืองแบบไม่ถูกต้องเข้ามาใช้ช่องทางบัตรชมพู แล้วก็ฟอกตัวเองให้มีงานทำ จากนั้นเมื่อมีลูกก็จะสามารถส่งลูกเรียนในไทยได้ จนเมื่อครบ 20 ปีบริบูรณ์ คนกลุ่มนี้ก็จะมีสิทธิ์ขอสัญชาติไทยได้ตามกฎหมายและสามารถครอบครองอสังหาริมทรัพย์อย่างบ้านหรือที่ดินได้อย่างสมบูรณ์

แน่นอนแผนการนี้คนระดับแรงงานย่อมคิดไม่ได้ หากไม่มีตัวการที่คอยส่งเครื่องไม้เครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้ให้แรงงานกลุ่มนี้ไปเป็นหุ่นเชิดเพื่อเรียกร้องสิ่งที่ไม่ควรที่จะได้

ดังนั้น นี่จึงเป็นเรื่องที่อันตรายมากของกลุ่มคนไทยขายชาติที่ใช้กลุ่มคนเหล่านี้มาเป็นฐานเสียงในระยะยาว 

ก็ลองคิดดูละกันว่า เมื่อลูกหลานพวกเขามีสิทธิ์เลือกตั้ง จะเกิดอะไรขึ้น?

อย่างไม่นานมานี้ ในแพลตฟอร์ม X ก็เริ่มมีการแชร์ภาพเรียกร้องให้คนต่างด้าวมีสิทธิ์เลือกตั้งในประเทศไทย ซึ่งหากคิดเล่น ๆ เรื่องนี้อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องขำขัน แต่ในประเทศที่เจริญทางประชาธิปไตยอย่างในยุโรปหรืออเมริกา เขาไม่ขำและก็ไม่ได้ให้สิทธิ์คนต่างด้าวในประเทศเลือกตั้ง

ฉะนั้น หากคิดให้ดี นี่คือมะเร็งร้ายที่พยายามชี้นำบ่อนทำลายให้คนไทยมีความคิดที่บิดเบี้ยวโดยอาศัยสิ่งที่คนไทยเป็นมาตลอดคือ "คนไทยเป็นคนง่ายๆ... อะไรก็ได้ เราอะลุ่มอล่วย" 

'วิจัยโตเกียว’ เผย!! ครึ่งปีแรก บ.ญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะล้มละลายเกือบ 5 พันแห่ง เหตุ ‘เยนอ่อน' ดัน 'ต้นทุนสูง-เงินเฟ้อพุ่ง’ คาดทั้งปีเสี่ยงล้มแตะหมื่น

(8 ก.ค. 67) จากการสำรวจข้อมูลของบริษัทโตเกียว โชโก รีเสิร์ช ผู้ให้บริการด้านการจัดทำความน่าเชื่อถือด้านการเงินพบว่า บริษัทในญี่ปุ่นที่ประสบภาวะล้มละลายระหว่างเดือน ม.ค ถึง มิ.ย ปี 2024 มีจำนวนอยู่ที่ 4,931 ราย สูงขึ้น 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2023 และเป็นระดับสูงสุดที่ในรอบ 10 ปี และนับเป็นการเพิ่มขึ้นปีที่ 3 ติดต่อกันแล้ว

การล้มละลายดังกล่าวซึ่งรวมถึงกรณีการมีหนี้สินคงค้าง 10 ล้านเยนขึ้นไป หรือเกือบ 2.3 ล้านบาทมีสาเหตุหลัก ๆ จากเรื่องจากปัญหาขาดแคลนแรงงานและภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงในญี่ปุ่น

โดยมีบริษัทถึง 374 แห่งที่อ้างเหตุผลเรื่องราคาต้นทุนที่เพิ่มขึ้น หรือมากกว่าปีที่แล้ว 23.4% ส่วนบริษัทอีก 327 แห่งอ้างเหตุผลเรื่องไม่สามารถจ่ายคืนเงินกู้ปลอดดอกเบี้ยภายใต้โครงการช่วยเหลือของรัฐบาลในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ส่วนบริษัทที่อ้างเหตุผลเรื่องการขาดแคลนแรงงานนั้น แม้จะมีจำนวนเพียง 145 บริษัท แต่ก็เป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และยังสูงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการสำรวจบริษัทล้มละลายตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา

นอกจากนี้ยังพบว่าการออกกฎควบคุมการทำงานนอกเวลา หรือ โอที ที่เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่เดือน เม.ย และราคาวัสดุก่อสร้างที่แพงขึ้นทำให้บริษัทในอุตสาหกรรมก่อสร้างล้มละลาย 947 แห่ง หรือเพิ่มขึ้น 20.6%

บริษัทที่ล้มละลายส่วนใหญ่ ประมาณ 88.4 เปอร์เซ็นต์ เป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กมีจำนวนพนักงานต่ำกว่า 10 คน โดยบริษัทโตเกียว โชโก รีเสิร์ช เตือนว่าตลอดทั้งปีนี้จำนวนบริษัทล้มละลายในญี่ปุ่นอาจเพิ่มขึ้นเกินกว่า 10,000 แห่ง หากค่าเงินเยนยังคงอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้นทุนต่าง ๆ สูงขึ้นอีก

‘Masoud Pezeshkian’ คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งอิหร่าน ก้าวสู่ตำแหน่ง ‘ประธานาธิบดี’ แห่งสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน

หลังจากอสัญกรรมของประธานาธิบดี Ebrahim Raisi ในเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ตกเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา ทางการอิหร่านจึงจัดให้มีการเลือกตั้ง โดยผู้สมัครสี่คนลงแข่งขันในรอบแรกของการเลือกตั้ง ซึ่ง ‘Masoud Pezeshkian’ ได้คะแนนมาเป็นอันดับหนึ่งด้วยคะแนนเสียง 44%, Saeed Jalili มาเป็นอันดับสองด้วยคะแนนเสียง 40%, Mohammad Bagher Ghalibaf ได้คะแนนเสียง 14% และ Mostafa Pourmohammadi ได้คะแนนเสียงน้อยกว่า 1% 

Pezeshkian เป็นผู้สมัครแนวปฏิรูปเพียงคนเดียว เนื่องจากไม่มีผู้สมัครคนใดได้รับคะแนนเสียงข้างมาก (เกิน 50%) ในรอบแรก จึงต้องมีการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งรอบสองระหว่าง Jalili และ Pezeshkian ในวันที่ 5 กรกฎาคม ซึ่ง Masoud Pezeshkian ได้รับชัยชนะด้วยคะแนนเสียง 54.76% วันที่ 6 กรกฎาคม 2024 กระทรวงมหาดไทยอิหร่านประกาศว่า Pezeshkian เป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง โดย Jalili ได้ประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ในเวลาต่อมาไม่นาน

ด้วยจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 39.93% ในการเลือกตั้งรอบแรกถือเป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่มีผู้เข้าร่วมน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน โดยจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งเพิ่มขึ้นเป็น 49.68% ในการเลือกตั้งในรอบที่สอง

Masoud Pezeshkian ว่าที่ประธานาธิบดีสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน เกิดเมื่อวันที่ 29 กันยายน 1954 เป็นศัลยแพทย์หัวใจและนักการเมืองสายปฏิรูป โดยก่อนหน้านี้ Pezeshkian เป็นผู้แทนของเขตเลือกตั้ง Tabriz, Osku และ Azarshahr ในรัฐสภาของอิหร่าน และยังดำรงตำแหน่งรองประธานสภานคนที่ 1 ตั้งแต่ปี 2016 ถึง 2020 เขาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและการศึกษาการแพทย์ระหว่างปี 2001 ถึง 2005 ในรัฐบาลของ Mohammad Khatami

Pezeshkian ได้รับเลือกเป็นผู้ว่าการเขต Piranshahr และ Naghadeh ในจังหวัดอาเซอร์ไบจานตะวันตกในช่วงทศวรรษ 1980 เขาลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2013 แต่ถอนตัว เขาลงสมัครอีกครั้งในการเลือกตั้งในปี 2021 แต่ถูกปฏิเสธ สำหรับการเลือกตั้งปี 2024 ชื่อของ Pezeshkian ได้รับการอนุมัติ และในวันที่ 5 กรกฎาคม เขาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2024 ด้วยคะแนนเสียงนิยม 54.76% กลายเป็นบุคคลที่มีอายุมากที่สุดที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของอิหร่านในวัย 69 ปี

Pezeshkian เป็นผู้สนับสนุนกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิสลาม (IRGC) และได้เรียกกองกำลังปัจจุบันว่า ‘แตกต่างจากอดีต’ Pezeshkian ได้วิพากษ์วิจารณ์ระบบของอิหร่านหลายครั้ง ระหว่างการประท้วงหลังการเลือกตั้งในปี 2009 ในสุนทรพจน์ที่วิพากษ์วิจารณ์วิธีการปฏิบัติต่อผู้ประท้วง เขากล่าวถึงคำพูดของอิหม่ามชีอะห์คนแรก [อาลี] ที่พูดกับมาลิก แอชตาร์ว่าไม่ควรปฏิบัติต่อผู้คน ‘เหมือนสัตว์ป่า’ เขาได้เน้นย้ำถึงสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ชาวอาเซอร์ไบจาน ชาวเคิร์ด และชาวบาลูจิ และระบุว่าสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ควรได้รับการคุ้มครอง

‘Pezeshkian’ สนับสนุนให้เริ่มการเจรจากับสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านอีกครั้ง โดยให้คำมั่นว่าจะรื้อฟื้นข้อตกลงที่ทำกับสหรัฐอเมริกาและมหาอำนาจโลกอื่น ๆ ในปี 2015 เพื่อแลกกับการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรระหว่างประเทศต่ออิหร่าน เขาสนับสนุนการสร้างความสัมพันธ์ฉันมิตรกับทุกประเทศ ยกเว้นอิสราเอล โดยระบุว่าอิหร่านจะยังคงสนับสนุน ‘แกนต่อต้าน’ ต่อต้านอิสราเอลต่อไป

ภรรยาของ Pezeshkian เป็นสูตินรีแพทย์ เธอเสียชีวิตพร้อมกับลูกชายคนเล็กในอุบัติเหตุทางรถยนต์ในปี 1993 เขาเลี้ยงดูลูกชาย 2 คนและลูกสาวอีกหนึ่งคนที่เหลือเพียงลำพังและไม่เคยแต่งงานใหม่

'มาเลเซีย' ปิ๊งไอเดีย!! หยุดร้าง เมืองแสนล้าน 'Forest Garden'  โปรโมตเป็นทำเลทอง ดึงกองถ่ายระดับโลก 'ถ่ายหนัง-ทำสารคดี'

หลังจากที่รัฐบาลมาเลเซียต้องปวดหัวกับโครงการ Forest Garden เมืองนิรมิตมูลค่ากว่าแสนล้านดอลลาร์ ในรัฐยะโฮร์ ซึ่งหมายมั่นปั้นมือว่าจะเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจใหม่ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในอาเซียน แต่ตอนนี้กลับมีสภาพไม่ต่างจาก Ghost Town หรือเมืองร้าง จากผลพวงพิษเศรษฐกิจหลัง Covid-19 ที่ยังไม่ฟื้นกลับคืน

จากโครงการก่อสร้างยักษ์ใหญ่ที่ร่วมทุนระหว่าง Country Garden บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของจีน และ Esplanade 88 Danga Bay ของมาเลเซีย สร้างเมืองแห่งโลกอนาคต อันประกอบด้วยที่พักอาศัยหรู, โรงแรม, ห้างสรรพสินค้า, สนามกีฬา, สวนสนุก ฯลฯ เพื่อรองรับผู้พักอาศัยถึง 7 แสนคน

แต่ปัจจุบันกลับมาผู้อาศัยจริงเพียงแค่หลักพัน จนทำให้โครงการใหญ่กลายสภาพเป็นเมืองร้าง แม้รัฐบาลมาเลเซียจะพยายามกระตุ้นให้มีการจัดงานอีเวนต์ เรียกนักท่องเที่ยวระยะสั้น หรือ วางแผนใช้พื้นที่เป็นเขตการเงินพิเศษสำหรับนักลงทุนต่างชาติ แต่ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนภาพลักษณ์เมืองผี ให้กลายเป็นเมืองมนุษย์ที่มีชีวิตชีวาได้

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด มาเลเซียเริ่มหาทางใช้ประโยชน์จากพื้นที่ Forest City ได้บ้างแล้ว เมื่อ ทีมงานสร้างซีรีส์จาก Netflix ได้เลือก Forest City เป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำรายการเรียลลิตี้  'The Mole' ซีซันล่าสุด ที่ยกกองมาถ่ายทำถึงในมาเลเซีย 

สำหรับ The Mole เป็นรายการประเภท Survivor Game แข่งขันตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย เพื่อชิงเงินรางวัลหลายแสนดอลลาร์ในสัปดาห์สุดท้าย เป็นหนึ่งในรายการเรียลลิตี้ที่ประสบความสำเร็จ และจะเปลี่ยนสถานที่ถ่ายทำใหม่ทุกๆ ซีซัน แต่ซีซันล่าสุดนี้เป็นครั้งแรกที่ทางทีมงานเลือกใช้สถานที่ถ่ายทำในประเทศแถบเอเชีย

โดยได้เลือกเมืองร้าง Forest City เป็นหนึ่งใน Location สำหรับปฏิบัติภารกิจด้วย สร้างความฮือฮาให้ผู้ชมได้ไม่น้อย และนั่นก็ทำให้รัฐบาลมาเลเซียเกิดไอเดียที่จะพลิกวิกฤติ ให้เป็นโอกาส ด้วยการโปรโมต Forest City ให้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ หรือ ซีรีส์ สำหรับกองถ่ายระดับนานาชาติ โดยใช้ประโยชน์จากพื้นที่กว้างขวาง วิวริมชายฝั่งสวยงาม สิ่งอำนวยความสะดวกครบ แต่ยังมีผู้อาศัยเบาบาง จึงง่ายต่อการควบคุมการถ่ายทำ

นอกเหนือจากรายการเรียลลิตี้ The Mole ของ Netflix ที่เข้ามาถ่ายทำใน Forest City แล้ว ล่าสุดยังมีกองถ่ายจากเกาหลีใต้ ได้เข้ามาถ่ายรายการเรียลลิตี้ ด้านการท่องเที่ยว 'Battle Trip' นอกจากนี้ ยังมีบริษัท ProSiebenTV กองถ่ายจากเยอรมนีเข้ามาถ่ายทำสารคดีสั้นเกี่ยวกับ Forest City และ กองถ่ายจากออสเตรีย ที่ได้มาติดต่อขอถ่ายทำสารคดีเรื่อง 'Hungry: Tipping the Scales' ในเขตเมืองร้างแห่งนี้ด้วย

นับเป็นไอเดียที่ดีในการเปลี่ยนจุดอ่อน ให้เป็นจุดขาย ใช้พื้นที่รกร้างให้เกิดประโยชน์บ้าง แม้ไม่อาจคาดหวังว่ารายได้จากการเปิดให้ใช้สถานที่สำหรับถ่ายทำภาพยนตร์ว่าจะสามารถถอนทุนกว่าแสนล้านเหรียญที่ถมลงในโครงการนี้ได้ แต่ก็พอกระตุ้นเศรษฐกิจ และความคึกคักให้กับเมืองได้บ้าง 

แต่ก็ไม่แน่ว่า อนาคตอาจมีซีรีส์ที่ถ่ายทำใน Forest City แล้วเกิดประสบความสำเร็จเป็นกระแสฮิตเปรี้ยงขึ้นมา อาจทำให้มีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกหลั่งไหลเข้ามาขอเช็คอินตามรอยบ้าง ที่จะเปลี่ยนเมืองร้างให้กลายเป็นเมืองที่ Instagrammable ก็เป็นไปได้ 

‘สหรัฐฯ’ หนักข้อ!! คนร้ายเกือบร้อย บุกปล้นมินิมาร์ทในโอ๊คแลนด์ ‘รื้อข้าวของ-พังร้านยับเยิน’ สร้างความเสียหาย 3.6 ล้านบาท

(8 ก.ค.67) คนร้ายหลายสิบคนบุกปล้นร้านสะดวกซื้อภายในสถานีบริการน้ำมันแห่งหนึ่ง ใกล้สนามบินนานาชาติโอ๊คแลนด์ ในเมืองโอ๊คแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ในตอนเช้าวันศุกร์ที่ผ่านมา (5 ก.ค.) ส่งผลให้มินิมาร์ทแห่งนี้เสียหายยับเยิน

ทั้งนี้ จากภาพจากกล้องวงจรปิดพบเห็นบรรดาผู้ต้องสงสัยจับกลุ่มกันเป็นแฟลชม็อบ ปล้นทำลายร้านสะดวกซื้อพังเละเทะ โดยพวกเขากรูกันเข้าไปรื้อค้นตามแผนกตู้แช่และชั้นวางสินค้าต่าง ๆ ทุบทำลายข้าวของ หยิบฉวยสินค้าออกไปเท่าที่จะเอาไปได้

ด้าน แซม มาร์เดย์ เจ้าของร้าน 76 แก๊สสเตชัน และมินิ มาร์เก็ต ให้สัมภาษณ์กับฟ็อกซ์นิวส์ คาดหมายว่า มีราว 80-100 คนที่บุกเข้ามาในร้าน และพวกคนร้ายได้งัดเอาเงินสดจากเครื่องคิดเงินไป 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 910,000 บาท) และกวาดเอาสินค้าบนชั้นวางรวมทั้งเครื่องดื่มในตู้แช่ใส่กล่องและตะกร้า

โดยเขาบอกด้วยว่าพวกคนร้ายก่อความเสียหายทั้งสิ้นราว 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.6 ล้านบาท) พร้อมกับข่มขู่พนักงาน 2 คน ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเวลาดังกล่าว ทั้งนี้แก๊งคนร้ายใช้เวลาอยู่ในร้านราว 45 นาทีก่อนหลบหนีไป

คลิปจากกล้องวงจรปิดเผยให้ความวุ่นวายภายในร้าน รวมทั้งสินค้าที่ตกกระจายเต็มพื้น มาร์เดย์เผยว่า ช่วงเวลาเกิดเหตุ พนักงานปิดล็อคประตูและให้บริการเฉพาะผู้มาเติมน้ำมันผ่านช่องหน้าต่างเท่านั้น แต่กลุ่มคนร้ายใช้วิธีพังประตูเข้ามา ซึ่งมาร์เดย์เปิดเผยว่าสถานการณ์ที่เมืองโอ๊คแลนด์นับวันยิ่งเลวร้าย พร้อมเรียกร้องเจ้าหน้าที่รัฐให้ลุกขึ้นมาจัดการ

เจ้าของร้านรายนี้ให้สัมภาษณ์กับฟ็อกซ์นิวส์ต่อว่า ต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมงกว่าที่ตำรวจจะตอบสนองในเรื่องนี้ หลังจากเบื้องต้นอาชญากรรมนี้ถูกจัดอยู่ในฐานะมีความสำคัญลำดับรองลงไป ซึ่งหมายถึงว่าไม่มีพวกผู้ต้องสงสัยอยู่ในสถานที่เกิดเหตุแล้ว

ตอนที่เดินทางมาถึงสถานีบริการน้ำมัน มาร์เดย์ โทรศัพท์แจ้งกรมตำรวจโอ๊คแลนด์ แต่เขาได้รับการบอกกล่าวให้ยื่นใบแจ้งความทางออนไลน์ จากนั้นเขาพยายามติดต่อไปยัง ฟลอยด์ มิตเชลล์ ผู้บัญชาการตำรวจโอ๊คแลนด์ แต่ได้รับแจ้งว่าจำเป็นต้องนัดหมายล่วงหน้า

ในเวลาต่อมาทางกรมตำรวจโอ๊คแลนด์ ชี้แจงว่าเจ้าของร้านโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเกิดขึ้นหลังจากพวกผู้ต้องสงสัยหลบหนีไปจากที่เกิดเหตุแล้ว เพราะฉะนั้นมันจึงถูกจัดอยู่ในฐานะอาชญากรรมที่มีความสำคัญรองลงไป

ถ้อยแถลงระบุว่า "ต่อมาได้มีการมอบหลักฐานวิดีโอแก่กรมตำรวจโอ๊คแลนด์ ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงขอบเขตและรายละเอียดของเหตุการณ์ ในนั้นรวมถึงผู้ต้องสงสัยจำนวนมาก และเหตุการณ์นี้ถูกยกระดับให้เป็นอาชญากรรมที่มีความสำคัญสุดในทันที กระตุ้นให้เจ้าหน้าที่เดินทางไปยังจุดเกิดเหตุเพื่อติดต่อเจ้าของ และเวลานี้ทีมสืบสวนกำลังเก็บหลักฐานและทำงานโดยตรงร่วมกับเจ้าของสถานีบริการน้ำมัน"

เมืองโอ๊คแลนด์ถูกรุมเร้าไปด้วยอาชญากรรมรุนแรงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มีเหตุอาชญากรรมโดยรวมเพิ่มขึ้น 18% ขณะที่อาชญากรรมรุนแรงเพิ่มขึ้น 21% ในนั้นรวมถึงเหตุอาชญากรรม ที่เพิ่มจาก 78 คดี ในปี 2019 เป็น 126 คดีในปีที่แล้ว

เหตุอาชญากรรมที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุด คือการปล้นที่พักอาศัย ซึ่งใน 4 เดือนแรกของปี 2024 เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วถึง 118%

‘แฟนบอล’ แห่ลงชื่อให้ ‘เยอรมนี-สเปน’ แข่งศึกยูโรใหม่ หลังมองการตัดสินของแมตช์ดังกล่าวไม่ยุติธรรม

(8 ก.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แฟนบอลเกิน 30,000 รายได้ลงชื่อบนเว็บไซต์ 'Change.org' ภายหลังจากเยอรมนีในฐานะเจ้าภาพต้องจบเส้นทางของฟุตบอลยูโร 2024 ไว้ที่รอบ 8 ทีมสุดท้าย หลังพ่ายต่อสเปนในช่วงต่อเวลาพิเศษ 1-2 เมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา เพื่อให้มีการเตะกันใหม่อีกครั้ง

เนื่องจาก ในเกมดังกล่าวเกิดจังหวะปัญหาขึ้นเมื่อ ‘แอนโธนี เทย์เลอร์’ ผู้ตัดสินชาวอังกฤษ ไม่เป่าให้เยอรมนีได้ลูกโทษในจังหวะที่ลูกยิงของ ‘จามาล มูเซียลา’ ไปโดนมือของ ‘มาร์ก กูกูเรยา’ กองหลังสเปนในกรอบเขตโทษช่วงต่อเวลาพิเศษ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าลูกนี้เป็นการแฮนด์บอลชัดเจน

ล่าสุดมีแฟนบอลเกิน 30,000 ราย ได้ลงชื่อบนเว็บไซต์ 'Change.org' ในการเรียกร้องให้แมตช์ดังกล่าวกลับมาเตะใหม่กันอีกครั้ง เนื่องจากมองว่าการตัดสินของ ‘แอนโธนี เทย์เลอร์’ นั้นไม่ยุติธรรม

ทั้งนี้ ‘โรแบร์โต โรเซ็ตติ’ หัวหน้าผู้ตัดสินของ ยูฟ่า ระบุถึงจังหวะปัญหาดังกล่าวว่า เขาไม่ต้องการเห็นจุดโทษที่ได้รับจากเหตุการณ์ที่แขนของกองหลังอยู่ใกล้ลำตัว

‘นครฮาร์บิน’ เปิด ‘สวนสนุกน้ำแข็ง-หิมะในร่ม’ แห่งใหม่ รับนักท่องเที่ยว ด้าน กินเนสส์เวิลด์ฯ ยก!! ให้ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยพื้นที่ 23,800 ตร.ม.

เมื่อวานนี้ (7 ก.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นครฮาร์บิน เจ้าของสมญานาม ‘เมืองน้ำแข็ง’ ในมณฑลเฮยหลงเจียงทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ได้เปิด ‘สวนสนุกน้ำแข็งและหิมะในร่ม’ แห่งใหม่ต้อนรับนักท่องเที่ยว เมื่อวันเสาร์ (6 ก.ค.) ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ รายงานระบุว่า สวนสนุกแห่งใหม่นี้ ได้รับการบันทึกสถิติของกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด (Guinness World Record) ให้เป็นสวนสนุกน้ำแข็งและหิมะในร่มขนาดใหญ่ที่สุดโลกด้วยพื้นที่ก่อสร้าง 23,800 ตารางเมตร

โดยสวนสนุกแห่งนี้แบ่งพื้นที่เป็น 9 ส่วน ซึ่งจัดแสดงประติมากรรมน้ำแข็งเหมือนจริง พร้อมประดับแสงไฟหลากสีสัน และควบคุมอุณหภูมิให้คงที่เพื่อสามารถรับรองนักท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี

อนึ่ง สวนสนุกแห่งนี้จะเป็นส่วนเสริมของสวนสนุกโลกน้ำแข็ง-หิมะ ฮาร์บิน (Harbin Ice-Snow World) ซึ่งเป็นสวนสนุกน้ำแข็งและหิมะกลางแจ้งตามฤดูกาล ทำให้ฮาร์บินกลายเป็นจุดหมายท่องเที่ยวในทุกฤดู

อย่างไรก็ตาม สวนสนุกโลกน้ำแข็ง-หิมะ ฮาร์บิน ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 810,000 ตารางเมตร ได้รับรองนักท่องเที่ยวในฤดูหนาวที่ผ่านมาเฉลี่ยกว่า 30,000 คนต่อวัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top