Tuesday, 13 May 2025
World

อีกมุม!! 'นูนเญซ' เข้าปะทะแฟนบอล 'โคลอมเบีย' เหตุแฟนบอลคู่แข่งเมา เข้าคุกคามครอบครัวของตน

(11 ก.ค.67) ควันหลง โกปา อเมริกา 2024 ในเกมที่ 'จอมโหด' อุรุกวัย พ่ายแพ้ 'โคลอมเบีย' ที่เหลือผู้เล่น 10 คน ไปด้วยสกอร์ 0-1 ตกรอบ 4 ทีมสุดท้าย โดยเกมดังกล่าว โคลอมเบีย ขึ้นนำ 1-0 จาก เจฟเฟอร์สัน เลอร์มา น.39 ก่อนที่ ดาเนียล มูญอซ แข้งของทีม 'โคเคน' จะมาโดนเหลืองที่ 2 กลายเป็นใบแดงไล่ออกจากสนามก่อนจบครึ่งแรก

แม้ครึ่งหลัง อุรุกวัย จะลงผู้เล่นเกมรุกลงมาหลายคน และขึงเกมบุกใส่คู่แข่ง แต่เจาะแนวรับอันแข็งแกร่งของ โคลอมเบีย ไม่ได้ และตลอดทั้งเกมพวกเขายิงตรงกรอบแค่ 3 ครั้งเท่านั้น

ทั้งนี้ หลังจบเกม ดาร์วิน นูนเญซ หัวหอกทีมชาติอุรุกวัย จากทีม 'หงส์แดง' ลิเวอร์พูล ได้เข้าปะทะคารมกับกองเชียร์โคลอมเบียอย่างดุเดือดถึงขั้นลงไม้ลงมือชนิดที่เพื่อนร่วมทีมเข้ามาห้ามก็หยุดไม่อยู่

หลังสิ้นเสียงนกหวีดจบเกม ดาร์วิน นูนเญซ ซึ่งเกมนี้พลาดโอกาสทองหลายครั้ง นำเหล่าผู้เล่น อุรุกวัย จำนวนหนึ่งเข้าไปในกลุ่มแฟนบอลโคลอมเบีย ก่อนจะเกิดการปะทะกันอย่างรุนแรง ซึ่งทางหัวหอกของ ลิเวอร์พูล โดนแฟนบอลต่อยเข้าที่หน้า

จากรายงานของ 'เอล ปาอีส' สื่ออุรุกวัย ระบุว่า ผู้เล่นทีม 'จอมโหด' เข้าไปในกลุ่มแฟนบอลเพื่อช่วยครอบครัว และเพื่อนที่นั่งอยู่หลังม้านั่งสำรองของทีม ส่วน ฮอร์เก จอร์ดาโน ผู้อำนวยการทีมชาติอุรุกวัย และสื่อมวลชนของอุรุกวัย อย่าง เฟลิเป โกเตโล ก็มีการวิวาทกับกลุ่มแฟนบอลคู่แข่งด้วยเช่นกัน

มีรายงานเพิ่มเติมอีกว่า มานูเอล อูการ์เต เดินเข้าไปดูแลญาติของตัวเองในสนามที่สุ่มเสี่ยงต่อการโดนลูกหลงการทะเลาะวิวาทในครั้งนี้ ในขณะที่มีแฟนบอล อุรุกวัย บางคนได้รับบาดเจ็บสาหัสจากเหตุการณ์ดังกล่าวเนื่องจากแฟนบอลของ โคลอมเบีย มีมากกว่า

ด้าน โฆเซ ฆิเมเนซ เซ็นเตอร์แบ็กทีมชาติอุรุกวัย ออกมาเปิดเผยว่า แฟนโคลอมเบียเมาจนควบคุมตัวเองไม่ได้ คุกคามครอบครัวของนักเตะอุรุกวัย ตรงนั้นไม่มีตำรวจแม้แต่คนเดียว ครอบครัวของเรา พวกเขาตกอยู่ในอันตราย จึงต้องรีบขึ้นไปบนอัฒจันทร์เพื่อช่วยพวกเขาออกมา

ล่าสุดปรากฏภาพ ดาร์วิน นูนเญซ กำลังกอดปลอบขวัญลูกชายของตนอยู่ในสนาม หลังจากเพิ่งบุกขึ้นบนอัฒจันทร์ชกต่อยกับแฟนโคลอมเบีย เพราะสนามไม่มีระบบการรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนา

‘ดร.อักษรศรี’ มอง ‘เวียดนาม’ อยู่เป็น มีปัญหากับจีน แต่เลือกคบจีน แปลงจีนให้เป็นโอกาสอย่างชาญฉลาด แซงทุกชาติในอาเซียนขึ้นอันดับ 1 คู่ค้าจีน

(11 ก.ค.67) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

เวียดนาม 'อยู่เป็น' ในความสัมพันธ์กับจีน เวียดนามเลือกที่จะคบจีน #ไม่ต่อต้านจีนตามกระแส ทำให้เวียดนามกลายเป็นคู่ค้าหลักของจีนที่ขยายตัวเร็วมาก ก้าวขึ้นเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของจีน แซงเพื่อนบ้านอาเซียนทุกประเทศ

เวียดนามเลือกที่จะก้าวข้ามประเด็นความขัดแย้งกับจีน (พักปัญหาเอาไว้ก่อน) หันมาเน้นทำมาหากิน สร้างบ้านสร้างเมือง ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจต้องมาก่อน เวียดนามเลือกที่จะ #ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งให้ได้ก่อน เวียดนามฉลาดในการ #แปลงจีนให้เป็นโอกาส

เวียดนาม #ก้าวข้ามอดีตเพื่ออนาคต !! ทั้ง ๆ ที่เวียดนามมีประวัติศาสตร์ที่น่าขมขื่นกับจีน และยังคงมีปัญหาข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ แต่เวียดนามก็เลือกที่จะคบจีนอย่างชาญฉลาด ทั้งด้านการค้า การลงทุน และการเชื่อมโยงรถไฟจากฮานอยไปจีน จนสามารถใช้จีนเป็นทางผ่านรถไฟจากเวียดนามไปยุโรป 

เวียดนามมีทิศทางการพัฒนาที่ชัดเจน Well Planned + Long Term Strategy ชัดเจนว่า #ประเทศจะไปทางไหน จนตอนนี้ เวียดนามกลายเป็นฐานผลิต Smart Phone อันดับต้นของโลก 

เวียดนามมียุทธศาสตร์ชาติที่มุ่งทำ Digitalization เพื่อให้เศรษฐกิจดิจิทัลมีสัดส่วน 20% ของจีดีพีเวียดนาม ภายในปี 2025

‘กองทัพยิว’ ถล่มโรงเรียนในกาซาแห่งที่ 4 คร่าชีวิตเฉียด!! 30 ราย ด้านกลุ่มผู้เชี่ยวชาญแห่ประณาม จงใจก่อความรุนแรงฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

(11 ก.ค.67) กองทัพอิสราเอลระดมโจมตีทั้งตอนเหนือและตอนกลางของกาซาในวันพุธ (10 ก.ค.) ไม่กี่ชั่วโมง หลังจากโจมตีทางอากาศต่อโรงเรียนแห่งหนึ่งใกล้เมืองข่านยูนิสทางใต้ของกาซา ที่มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 29 คน นับเป็นครั้งที่ 4 ในรอบ 4 วัน ที่อาคารโรงเรียนที่ใช้เป็นที่หลบภัยถูกโจมตี ขณะที่กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนอิสระของยูเอ็นกล่าวหายิว ‘ดำเนินการเพื่อให้เกิดความอดอยากแบบกำหนดเป้าหมาย’ และ ‘ก่อความรุนแรงที่เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’

รายงานระบุว่า กองทัพอิสราเอลโปรยใบปลิวแจ้งให้พลเรือนทั้งหมดอพยพออกจากกาซาซิตี้ พร้อมแผนที่เส้นทางปลอดภัยบนถนน 2 สายมุ่งลงใต้สู่ตอนกลางของฉนวนกาซา

ด้านฮามาสระบุว่า ปฏิบัติการของอิสราเอลในวันอังคาร (9 ก.ค.) ทำให้ชาวปาเลสไตน์กว่า 60 คนเสียชีวิต และบ่อนทำลายความพยายามในการผลักดันข้อตกลงหยุดยิงที่มีการฟื้นการเจรจาอีกครั้งในวันพุธที่โดฮา

ทั้งนี้ รายงานระบุว่า ฮามาสส่งสัญญาณว่า พร้อมยกเลิกการเรียกร้องให้หยุดยิงโดยสมบูรณ์ในเงื่อนไขสำหรับการเริ่มต้นการเจรจาที่มีกาตาร์และอียิปต์เป็นตัวกลาง และสหรัฐฯ ให้การสนับสนุน

ทว่า ทางด้านสำนักนายกรัฐมนตรีอิสราเอลกลับกำหนดเงื่อนไขที่รวมถึงการเปิดทางให้อิสราเอลสู้รบต่อหลังการหยุดยิงจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายของสงคราม

เจ้าหน้าที่แพทย์ปาเลสไตน์ระบุว่า การโจมตีทางอากาศต่อค่ายผู้หลบภัยในโรงเรียนแห่งหนึ่งในย่านอาบาสซาน ทางตะวันออกของเมืองข่านยูนิส ในกาซาตอนใต้เมื่อวันอังคาร ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 29 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 4 ในรอบ 4 วันที่อาคารโรงเรียนที่ใช้เป็นที่หลบภัยถูกโจมตี

ทางด้านกองทัพอิสราเอลแถลงว่า กำลังตรวจสอบรายงานที่ว่า มีพลเรือนได้รับอันตราย พร้อมระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างการใช้กระสุนที่แม่นยำ โจมตีนักรบฮามาสคนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการบุกอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ซึ่งเป็นชนวนเหตุของสงครามกาซาในขณะนี้

ขณะเดียวกัน สมาคมเสี้ยววงเดือนแดงปาเลสไตน์เผยว่า ได้รับการติดต่อขอความช่วยเหลือจากประชาชนที่ติดอยู่ในกาซาซิตี้ แต่ไม่สามารถเข้าไปช่วยได้เนื่องจากมีการระดมทิ้งระเบิดอย่างหนักหน่วง และกองทัพอิสราเอลยังคงโจมตีเขตที่อยู่อาศัย ทำให้พลเรือนต้องหนีจากบ้านและที่หลบภัย

ที่ค่ายนูเซรัต ตอนกลางกาซา หน่วยแพทย์เผยว่า ชาวปาเลสไตน์ 6 คนที่รวมถึงเด็กเสียชีวิตจากการโจมตีทางอากาศต่อบ้านหลังหนึ่งเมื่อรุ่งเช้าวันพุธ และการโจมตีทางอากาศอีกระลอกมีผู้เสียชีวิต 2 คน และบาดเจ็บอีกหลายคนในข่านยูนิส

สหประชาชาติระบุว่า พลเรือนหลายแสนคนได้รับผลกระทบจากการระดมโจมตีนับจากอิสราเอลออกคำสั่งอพยพออกจากกาซาซิตี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 เดือนที่แล้ว

ฟิลิปเป ลาซซารินี ข้าหลวงใหญ่หน่วยงานผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ของยูเอ็น หรือ UNRWA แถลงว่า ขณะนี้มีพลเรือนราว 35,000 คนต้องออกเดินทางอีกครั้ง โดยที่ไม่มีที่ใดในกาซาที่ปลอดภัยอีกต่อไป

สำนักงานสิทธิมนุษยชนของยูเอ็นสำทับว่า ‘ตกใจ’ กับการที่พลเรือนที่ต้องอพยพโยกย้ายกันมาหลายครั้ง ได้รับคำสั่งให้มุ่งหน้าไปยังบริเวณที่ยังมีปฏิบัติการทางทหารต่อเนื่องและมีพลเรือนล้มตายตลอดเวลา

ขณะเดียวกัน กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนอิสระของยูเอ็นจำนวน 10 คน กล่าวหาอิสราเอล ‘ดำเนินการเพื่อให้เกิดความอดอยากแบบกำหนดเป้าหมาย’ ที่ส่งผลให้เด็กในกาซาเสียชีวิตและ ‘ก่อความรุนแรงที่เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’

กลุ่มผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวแจงว่า นับจากวันที่ 7 ต.ค.มีชาวปาเลสไตน์ 34 คน ส่วนใหญ่เป็นเด็ก เสียชีวิตจากความอดอยาก

ทว่า คณะทูตของอิสราเอลในยูเอ็นที่เจนีวา กล่าวหาผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นเผยแพร่ข้อมูลเท็จและสนับสนุนการโฆษณาชวนเชื่อของฮามาส

นอกจากนั้น สงครามที่ดำเนินมากว่า 9 เดือนส่งผลให้โรงพยาบาลมากมายในกาซาต้องปิดตัวลง โดยในวันอังคาร สมาคมเสี้ยววงเดือนแดงปาเลสไตน์แถลงว่า โรงพยาบาลทั้งหมดในกาซาซิตี้ยุติการให้บริการโดยสิ้นเชิง

บริษัทในสหรัฐฯ ล้มละลายพุ่งในรอบ 4 ปี ภาคสินค้าฟุ่มเฟือยหนักนำหน้าส่วนอื่นๆ

เมื่อวานนี้ (10 ก.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า รายงานจากเอสแอนด์พี โกลบอล อินเทลลิเจนซ์ (S&P Global Intelligence) เปิดเผยว่าจำนวนบริษัทในสหรัฐฯ ที่ยื่นล้มละลายในเดือนมิถุนายน พุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2020

มีบริษัทอย่างน้อย 75 แห่งยื่นขอคุ้มครองการล้มละลายในเดือนมิถุนายน ทำให้ยอดรวมของปีนี้อยู่ที่ 346 แห่ง ซึ่งสูงกว่าตัวเลขครึ่งปีแรกในช่วง 13 ปีที่ผ่านมาด้วย

โดยรายงานระบุว่าอัตราการล้มละลายของบริษัทในสหรัฐฯ เร่งตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ และพุ่งสูงอย่างชัดเจนในเดือนเมษายน ใกล้เคียงกับระดับในปี 2020 ซึ่งเป็นช่วงที่บริษัทหลายแห่งต้องล้มเลิกกิจการเนื่องจากโรคระบาดใหญ่

เอสแอนด์พีกล่าวว่าปัจจัยจากอัตราดอกเบี้ยสูง ปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทาน และการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ชะลอตัวส่งผลให้บริษัทหลายแห่งต้องปิดกิจการเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ รายงานเผยว่า ในหมู่บริษัทที่ยื่นล้มละลาย พบว่าภาคสินค้าฟุ่มเฟือยยังคงนำหน้าภาคส่วนอื่น ๆ โดยมีบริษัทยื่นล้มละลาย 55 แห่งในปีนี้ ตามด้วยภาคสาธารณสุขและอุตสาหกรรม ซึ่งต่างมีบริษัทยื่นล้มละลายภาคส่วนละ 40 แห่ง

3 รัฐในสหรัฐฯ ติดตั้งตู้ ‘ขายกระสุน’ ในร้านสะดวกซื้อ เงื่อนไขคนซื้อต้องโชว์บัตร ปชช.-สแกนใบหน้าด้วยระบบ AI

(11 ก.ค. 67) เรียกว่าเป็นกระแสฮือฮาในโลกออนไลน์ เมื่อเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘Fossbytes’ ผู้ผลิตคอนเทนต์ด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม ที่มีคนติดตามกว่า 7.7 ล้านคน ได้โพสต์เครื่องกดอัตโนมัติใหม่ในสหรัฐ ที่ทำให้หลายคนอึ้ง

พร้อมระบุข้อความว่า 3 รัฐในสหรัฐ เปิดตัวตู้จำหน่ายกระสุนอัตโนมัติในร้านขายของสะดวกซื้อ เพื่อให้คนเข้าถึงกระสุนได้มากขึ้น

โดยตู้ดังกล่าว เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงในทุกวัน เหมือนกับตู้เอทีเอ็ม ผู้ซื้อเพียงสัมผัสบนหน้าจอ สแกนบัตรประจำตัว และ นำกระสุนออกจากเครื่อง ทั้งนี้เครื่องดังกล่าว ได้ติดตั้ง AI เพื่อสแกนบัตร จดจำใบหน้า และ ตรวจสอบอายุ ตัวตน ของผู้ซื้อ

American Rounds ผู้ผลิต วางแผนที่จะขยายไปยังรัฐอื่น ๆ ที่เป็นที่นิยมในการล่าสัตว์ด้วย

โพสต์ดังกล่าว มีคนเข้าไปคอมเมนต์จำนวนมาก อาทิ

“สิ่งนี้จะเปลี่ยนภูมิทัศน์ของภาพยนตร์ซอมบี้ไปเลย”
“ฉันที่เคยตกใจกับร้านเหล้าแบบไดรฟ์ทรู ฉันไร้เดียงสามาก”
“พวกเขาอาจจะใส่ปืนพกเข้าไปด้วย นี่ดูเหมือนจะโง่เขลามาก”
“ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย ประเทศนี้ถูกทำลายแล้ว”
“มนุษยชาติบ้าไปแล้ว”

‘7 มหาวิทยาลัยจีน’ ติดโผ TOP 10 โลกด้านงานวิจัย แซงหน้า ‘สหรัฐฯ’ ไกล เหลือแค่ 'ฮาร์วาร์ด' ยังยืนท็อป

(11 ก.ค. 67) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Ethan Hunts’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

“วงการวิจัยและพัฒนาสหรัฐ เพิ่งตื่นตัวว่าการศึกษาจีน ด้านวิจัยและพัฒนาได้แซงหน้าสหรัฐไปแล้ว

การศึกษาแนว STEM หรือการศึกษาแนวบูรณาการ วิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (ที่มาของชื่อย่อ Science Technology Engineering & Mathematics) ขณะนี้สหรัฐเหลือเพียง ‘มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด’ ที่ยังคงติดอันดับ 1 ใน 10 มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกด้านงานวิจัย เพียงแห่งเดียวเท่านั้น ที่เหลือเป็นมหาวิทยาลัยของจีนถึง 7 แห่ง

ที่สำคัญงานวิจัยอเมริกัน ราว 40% ก็เป็นผลงานนักศึกษาจีนสัญชาติสหรัฐ (คล้าย ๆ ทีมแชมป์โอลิมปิกคณิตศาสตร์สหรัฐ ล้วนเป็นคนจีนที่ถือสัญชาติสหรัฐทั้งนั้น)

ทางการจีนจ้างนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยด้าน STEM เมื่อเดือนที่แล้วเกือบ 4.7 ล้านคน (เรียกได้ว่าจบมามีงานรออยู่) และด้านการศึกษา จีนลงทุนงานวิจัยพัฒนาในระดับอุดมศึกษา เป็นอัตราส่วนเมื่อเทียบกับสหรัฐ เกือบ 4:1 (1 ล้านล้านเหรียญ : 3 แสนล้านเหรียญ)”

'ไบเดน' ออกอาการเบลอ สับสนระหว่าง ‘มิตร-ศัตรู’ เรียก ‘เซเลนสกีแห่งยูเครน’ สลับเป็น ‘ปธน.ปูตินแห่งรัสเซีย’

เมื่อวานนี้ (11 ก.ค. 67) ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ออกอาการเบลออีกครั้ง คราวนี้พูดผิดระหว่างแนะนำตัวประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ต่อเวทีประชุมซัมมิตนาโต โดยเรียกเป็นประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย คู่อริของเซเลนสกีแทน ความผิดพลาดซึ่งเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าการแถลงข่าวครั้งสำคัญ ที่อาจเป็นตัวตัดสินชะตากรรมการเสนอตัวชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ อีกสมัยของเขาเลยทีเดียว

ผู้นำวัย 81 ปีของสหรัฐฯ รีบแก้คำผิดด้วยตนเอง ส่วน เซเลนสกี พูดติดตลกว่าเขาดีกว่าปูติน 

อย่างไรก็ตาม ความผิดพลาดของไบเดนในครั้งนี้ได้โหมกระพือความกังวลหนักหน่วงยิ่งขึ้นเกี่ยวกับอายุอานามของเขาและความเฉียบแหลมทางปัญญา ตามหลังผลงานหายนะในศึกประชันวิสัยทัศน์กับโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน

"ตอนนี้ผมขอส่งมอบเวทีนี้ให้แก่ประธานาธิบดียูเครน ผู้ซึ่งมีความกล้าหาญและความมุ่งมั่น คุณสุภาพสตรีและคุณสุภาพบุรุษ ขอต้อนรับ ประธานาธิบดีปูติน" เขากล่าวระหว่างแถลงต่อที่ประชุมซัมมิตนาโตในวอชิงตัน

ไบเดน หันหลังออกจากโพเดียม ก่อนย้อนกลับไปและเปล่งเสียงออกมาว่า "ประธานาธิบดีปูติน! เขากำลังเอาชนะประธานาธิบดีปูติน นั่นคือประธานาธิบดีเซเลนสกี" กระตุ้นให้ เซเลนสกี ดาวตลกทางทีวี ที่กลายมาเป็นผู้นำยามศึกสงครามของยูเครน รับมือกับการรุกรานของรัสเซีย ตอบกลับว่า "ผมดีกว่าเขา"

พวกรีพับลิกันคู่แข่งของไบเดน รุดแพร่กระจายคลิปดังกล่าวภายในเวลาไม่กี่นาที

การพูดผิดในครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ไม่ดีเท่าไหร่สำหรับไบเดน เนื่องจากหลังจากนี้เขามีกำหนดแถลงข่าวในวันพฤหัสบดี (11 ก.ค.) ในรูปแบบที่โฆษกทำเนียบขาว คารีน ฌอง ปิแอร์ เรียกว่าเป็นการแถลงแบบ ‘บิ๊กบอย’ หรือที่แปลว่า คนที่โตแล้ว ซึ่งถือเป็นการแถลงข่าวครั้งสำคัญของเขาครั้งแรกนับตั้งแต่ศึกดีเบต

การแถลงข่าวนี้จะเป็นการดวลไมค์แบบไม่เตรียมบทระหว่างไบเดนกับสื่อมวลชน ถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งยวดสำหรับผู้นำสูงสุดวัย 81 ปี ที่กำลังเผชิญกับข้อเคลือบแคลงด้านความพร้อมในทางร่างกายและความเฉียบแหลมของไหวพริบ ในการลงสนามการเมืองในศึกเลือกตั้งผู้นำสูงสุดในเดือนพฤศจิกายนนี้ ท่ามกลางเสียงเรียกร้องดังระงมมากขึ้นเรื่อย ๆ จากพรรคเดโมแครตของเขาเองให้เขาถอนตัว

ทั้งนี้ การแถลงข่าวดังกล่าวมีกำหนดเริ่มขึ้นตอนเวลา 18.30 น.(ตรงกับเมืองไทย 05.30 น.) แต่คาดหมายว่าอาจล่าช้าราว 1 ชั่วโมง

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้มีขึ้นในขณะที่มีสมาชิกพรรคเดโมแครตเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่เรียกร้องให้ ไบเดน ถอนตัวจากการเป็นตัวแทนพรรคลงสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี 2024

มีสมาชิกเดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ 14 คน ที่เรียกร้องอย่างเปิดเผยให้ชายที่เอาชนะ ทรัมป์ เมื่อ 4 ปีก่อน ถอนตัวออกมา เช่นเดียวกับวุฒิสมาชิกจากเดโมแครต 1 ราย

ผลโพลหนึ่งที่เผยแพร่ในวันพฤหัสบดี (11 ก.ค.) พบว่ามีชาวเดโมแครตมากกว่าครึ่ง บอกว่า ไบเดน ควรยุติการเสนอตัวชิงเก้าประธานาธิบดีสมัย 2 และ 2 ใน 3 ของชาวสหรัฐฯ เชื่อว่าเขาควรถอนตัวจากการชิงชัย

ขณะเดียวกัน หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส รายงานอ้างแหล่งข่าวซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนาม ระบุว่าบรรดาผู้ช่วยเก่าแก่ของประธานาธิบดีบางส่วนกำลังหารือกันในการหาทางโน้มน้าวให้ไบเดนถอนตัวออกมา อย่างไรก็ตามทำเนียบขาวรุดออกมาตอบโต้ในเวลาต่อมา ระบุรายงานข่าวนี้เป็นเท็จโดยสิ้นเชิง

ไบเดน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นคนช่างพูด กลับกลายเป็นผู้นำสหรัฐฯ ที่แถลงข่าวน้อยกว่าประธานาธิบดีคนก่อน ๆ และครั้งหลัง ๆ มักเป็นการแถลงข่าวร่วมกับพวกผู้นำต่างชาติเท่านั้น แถมแต่ละครั้งยังจำกัดให้ถามได้เพียงแค่ 2 คำถาม

เมื่อประกอบกับการที่ไม่ค่อยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน มันจึงนำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าทำเนียบขาวกำลังปกป้องผลกระทบทางอายุที่กำลังเกิดขึ้นกับประธานาธิบดีอายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ รายนี้

ไบเดน ยืนยันว่าเขายังคงมุ่งมั่นในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีเดือนพฤศจิกายน และด้วยที่เขาคว้าชัยในศึกหยั่งเสียงของพรรคเดโมแครต ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะบีบให้เขาถอนตัว

‘ตุรกี’ ปล่อย ‘ดาวเทียมสื่อสาร’ สร้างเองดวงแรกสำเร็จ พร้อมปฏิบัติภารกิจขยายพื้นที่บริการสื่อสารของประเทศ

เมื่อวันที่ (10 ก.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ‘เติร์กแซต 6เอ’ (Turksat 6A) ดาวเทียมสื่อสารที่สร้างขึ้นในตุรกี (ทูร์เคีย) ดวงแรก ถูกส่งขึ้นสู่ห้วงอวกาศโดยจรวดฟอลคอน 9 ของสเปซเอ็กซ์ (SpaceX) จากศูนย์อวกาศเคนเนดีในรัฐฟลอริดาของสหรัฐฯ เมื่อช่วงเช้าวันอังคาร (9 ก.ค.) ที่ผ่านมา

ด้าน เรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ประธานาธิบดีตุรกี กล่าวระหว่างร่วมพิธีปล่อยดาวเทียมผ่านทางระบบวิดีโอว่า การปล่อยดาวเทียมในครั้งนี้ทำให้ตุรกีเข้าสู่ระยะใหม่ในการผลิตดาวเทียม โดยดาวเทียม 6A ระดับชาติของเราจะสนับสนุนการสำรองข้อมูลของดาวเทียมที่มีอยู่เดิม พร้อมทั้งเพิ่มขีดความสามารถ

ด้าน อับดุลกาดีร์ อูราโลกลู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานของตุรกี เผยว่า ได้รับสัญญาณแรกจากดาวเทียมเติร์กแซต 6A ภายหลังการปล่อยสู่ห้วงอวกาศแล้ว 67 นาที ซึ่งเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ โดยดาวเทียมดวงนี้มีกำหนดเข้าสู่วงโคจรปฏิบัติการที่ระดับความสูง 35,786 กิโลเมตรเหนือพื้นผิวโลก และดำเนินการทดสอบในวงโคจรเป็นเวลาหนึ่งเดือน

ทั้งนี้ เมื่อวันจันทร์ (8 ก.ค.) แถลงการณ์จากอูราโลกลูระบุว่า ดาวเทียมดวงนี้จะปฏิบัติหน้าที่ที่ลองจิจูด 42 องศาตะวันออก ซึ่งจะขยายพื้นที่บริการสื่อสารของตุรกีครอบคลุมผู้คน 5 พันล้านคน

อนึ่ง เมื่อเดือนเมษายน 2023 ตุรกีได้ปล่อยไอมีซ (IMECE) ดาวเทียมที่ออกแบบและผลิตภายในประเทศดวงแรกสู่วงโคจรด้วยจรวดฟอลคอน 9 จากรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯ

'ลาว' สร้างกระแส “บ่เอาเงินบาท” ชู!! 1 บาทแลกได้ 250 กีบ อาจทำให้ขาดแคลนเงินตราต่างประเทศ-ส่งผลการท่องเที่ยวพัง

(12 ก.ค.67) จากเพจ 'World Forum ข่าวสารต่างประเทศ' ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีที่ร้านค้าลาวหลายแห่ง เริ่มปฏิเสธการรับเงินบาทและกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน 1 บาท เท่ากับ 250 กีบ (ซึ่งไม่มีการแลกเปลี่ยนจริง) อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในลาวอย่างมาก เพราะการกระทำเช่นนี้อาจทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกไม่มั่นใจในการใช้จ่ายและทำให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังลาว ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมที่กำลังประสบปัญหาอยู่แล้ว ว่า...

แคมเปญ เซฟเงินกีบ ลาว 🇱🇦

น่าจะทำให้ลาวเอง ขาดแคลนเงินตราต่างประเทศ และเสียโอกาส ดึงนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะ ผู้ที่ถือเงินบาท / ดอลลาร์

>> เหตุผล...

1. ร้านค้าจำนวนมาก ประกาศให้เรท 1 บาท / 250 กีบ เพราะอัตราแลกจริง 1 บาท / 700 กีบ โดยประมาณ 

2. ภาครัฐลาว ต้องการเงินตราต่างประเทศ ใช้นำเข้าน้ำมัน อาหาร ฯลฯ และใช้หนี้ต่างประเทศ ซึ่งล้วนแต่ต้องการเงินตราต่างประเทศ เพราะรายได้หลักคือส่งออกและท่องเที่ยว รวมทั้งแรงงานที่ส่งเงินกลับบ้าน 

**จากข้อ 1 นักท่องเที่ยวถือ 'เงินบาท-ดอลลาร์' ไม่กล้าซื้อของ (ซื้อเท่าที่แลกเงินไป) เสียโอกาสการขาย 

**จากแคมเปญระยะยาวถือเป็นเรื่องปลูกจิตสำนึก กระตุ้นการใช้เงินกีบ แต่ไม่ใช่ระยะสั้น และตั้งค่าเงินเอง...?

แน่นอนว่าเหตุผลของแคมเปญ คือ ลดอัตราเงินเฟ้อ และหยุดการอ่อนค่าเงินกีบ (ประเด็น : หากมองญี่ปุ่นเงินเยนอ่อน ยิ่งดึงนักท่องเที่ยวได้มากจนล้น ยิ่งส่งออกได้มาก) 

จากไวรัลหลายร้านค้า ออกมาประกาศ 1 บาทแลกได้ 250 กีบ ซึ่งไม่สอดคล้องอัตราแลกเปลี่ยนจริง น่าจะมีผลต่อการซื้อขาย และความสะดวกในการซื้อ เสียการขาย และเสียนักท่องเที่ยว

‘ยูนิลีเวอร์’ เตรียมปลดพนักงานครั้งใหญ่กว่า 3,200 คน  หั่นคนทิ้ง!! 1 ใน 3 ภายในสิ้นปี 68 นี้ คาดทำเพื่อฟื้นฟูองค์กร

(13 ก.ค.67) สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า ยูนิลีเวอร์ มีแผนที่จะลดพนักงาน 1 ใน 3 ของตำแหน่ง ในสำนักงานทั้งหมดในยุโรป ภายในสิ้นปี 2568 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ไฮน์ ชูมัคเกอร์ ในการฟื้นการเติบโตของบริษัท

ซีอีโอ ไฮน์ ชูมัคเกอร์ ที่เข้ามารับช่วงต่อเมื่อปีที่แล้ว ได้วางแผนในเดือนตุลาคม เพื่อเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับคืนมา หลังจากที่ทำได้ไม่ดีนักในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ยูนิลีเวอร์ กล่าวกับผู้บริหารระดับสูงเมื่อวันพุธ ว่าจะมีการปลดพนักงานมากถึง 3,200 ตำแหน่งในยุโรป ภายในสิ้นปี 2568

‘อีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เราจะเริ่มกระบวนการปรึกษาหารือกับพนักงาน ที่อาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงที่เสนอ’ โฆษกของยูนิลีเวอร์ กล่าวในอีเมล

ไฟแนนเชียล ไทมส์ รายงานรายละเอียดเป็นครั้งแรก เกี่ยวกับการปรับลดนี้ ว่าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเพิ่มผลผลิต ที่ประกาศเมื่อเดือนมีนาคม ซึ่งรวมถึงการลดพนักงานมากถึง 7,500 คน

คอนสแตนตินา ทริบู ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล กล่าวระหว่างสนทนาทางวิดีโอว่า ผลที่คาดหวังในยุโรประหว่างปัจจุบันถึงสิ้นปี 2568 อยู่ในช่วง 3,000 – 3,200 ตำแหน่ง

‘มาตรการเหล่านี้ หมายถึงการปรับลดตำแหน่งงานที่ใหญ่ที่สุดในยูนิลีเวอร์ มานานหลายทศวรรษ’ เฮอร์มันน์ ซ็อกเกเบิร์ก หัวหน้าสภาโรงงานแห่งยุโรปของยูนิลีเวอร์กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top