Tuesday, 20 May 2025
World

‘เวนิส’ เตรียมทดลองเก็บค่า ‘เหยียบแผ่นดิน’ หัวละ 5 ยูโร หวังคุมจำนวน นทท.ล้นเมือง กระทบผู้อยู่อาศัยในท้องถิ่น

(6 ก.ย. 66) ‘เวนิส’ เมืองท่องเที่ยวชื่อดังในประเทศอิตาลี ที่เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก เตรียมจะทดลองเก็บค่าธรรมเนียมเข้าเมือง 5 ยูโร (หรือราว 190 บาท) สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ค้างคืน โดยจะนำระบบนี้มาทดลองใช้ในปีหน้า ในความพยายามจัดการควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยว ที่ไหลบ่าเข้าสู่เมืองประวัติศาสตร์แห่งสายน้ำอันแสนโรแมนติกของยุโรปแห่งนี้ มากจนล้นเกินจนกระทบต่อผู้คนในท้องถิ่น

จากการเปิดเผยแผนการนี้ของสภาเมืองเวนิส เมื่อวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา ระบุว่า ค่าธรรมเนียมเข้าเมืองจะทดลองใช้เป็นเวลา 30 วันในปีหน้า โดยจะเน้นไปที่วันหยุดธนาคารช่วงฤดูใบไม้ผลิและสุดสัปดาห์ในฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงที่จำนวนนักท่องเที่ยวถึงจุดสูงสุด โดยจะเก็บค่าธรรมเนียมเข้าเมืองกับนักท่องเที่ยวที่มีอายุ 14 ปีขึ้นไป

“วัตถุประสงค์ก็เพื่อจะหาความสมดุลใหม่ระหว่างสิทธิของผู้อยู่อาศัย เรียนหนังสือ หรือ ผู้ทำงานอยู่ในเมืองเวนิส กับผู้ที่มาเที่ยวชมเมือง” ซิโมเน เวนทูรินี สมาชิกสภาการท่องเที่ยวเมืองเวนิส กล่าว และว่า นี่ไม่ใช่การสร้างรายได้ โดยค่าธรรมเนียมดังกล่าวจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการแผนงานเมืองเท่านั้น โดยกำหนดเวลาทดลองตามแผนการนี้และจะดำเนินการอย่างไรนั้น จะได้รับการเห็นชอบหลังจากมีการอนุมัติแผนงานในขั้นสุดท้ายของสภาเมืองแล้ว ที่คาดว่าจะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า

แผนเก็บค่าธรรมเนียมเข้าเมืองเวนิสนี้ ซึ่งเป็นที่ถกเถียงครั้งแรกในปี 2019 นั้น ได้ถูกเลื่อนออกไป เนื่องจากเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทำให้นักท่องเที่ยวหายไปและด้วยเหตุผลทางเทคนิคและในแง่ของกระบวนการขั้นตอน

อย่างไรก็ดี การหลั่งไหลกลับเข้ามาของนักท่องเที่ยวสู่เมืองเวนิส ซึ่งมีจำนวนมากกว่าผู้อยู่อาศัยในใจกลางเมืองเวนิสประมาณ 50,000 คน จนท่วมท้นตามตรอกแคบๆ ของเมือง โดยการมีนักท่องเที่ยวล้นเมือง เป็นปัญหาที่รุมเร้าเมืองเวนิสที่มีความเปราะบางมานานแล้ว

แผนการข้างต้น ยังนับเป็นการสนับสนุนความเคลื่อนไหวที่มีก่อนหน้านี้ในเดือนกรกรกฎาคม เมื่อผู้เชี่ยวชาญขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้เสนอแนะให้เพิ่ม เมืองเวนิส อยู่ในรายชื่อแหล่งมรดกโลกที่กำลังตกอยู่ในภาวะอันตราย โดยอ้างว่าอิตาลีไม่ได้ดำเนินการมากเพียงพอที่จะปกป้องเมืองเวนิสจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการท่องเที่ยวที่มากล้นเกิน

'จีน' สั่ง!! ห้ามเจ้าหน้าที่รัฐใช้ iPhone  หวั่น!! เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ

ไม่นานมานี้ จีนได้ออกคำสั่ง 'ห้ามเจ้าหน้าที่รัฐใช้โทรศัพท์ IPhone' เพราะกังวลว่าการใช้โทรศัพท์ที่ผลิตโดยบริษัทในสหรัฐฯ อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติได้

โดยคำสั่งนี้เริ่มออกมาตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคม โดยมุ่งเป้าไปที่หน่วยงานรัฐของจีนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการค้า การลงทุน และกิจการระหว่างประเทศโดยเฉพาะ ซึ่งเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานดังกล่าวจะมีเวลาถึงสิ้นเดือนกันยายนนี้ ในการเปลี่ยนไปใช้สมาร์ตโฟนแบรนด์อื่นแทน

เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นภายหลังความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น คำสั่งดังกล่าวจึงชี้ชัดว่า จีนต้องการแสดงออกถึงการแบนสหรัฐอเมริกา เนื่องจากคำสั่งห้ามเฉพาะเจาะจงไปที่ IPhone เพียงแบรนด์เดียวเท่านั้น แต่สมาร์ตโฟนแบรนด์อื่น ๆ ที่ไม่ได้มาจากสหรัฐฯ ยังคงใช้ได้ในประเทศจีน

ในทำนองเดียวกัน โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบันก็เคยมีคำสั่งห้ามใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง Huawei และ ZTE มาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2021 แล้วเช่นเดียวกัน โดยให้เหตุผลว่าต้องการปกป้องชาวอเมริกันจากปัญหาด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นจากอุปกรณ์โทรคมนาคมเหล่านี้

คำสั่งเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำถึงปัญหาความตึงเครียดของจีนกับสหรัฐฯ ที่เพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนความไม่ไว้วางใจที่เพิ่มขึ้นระหว่างจีนและโลกตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการค้า เทคโนโลยี และการสอดแนม

‘เบอร์มิงแฮม’ เมืองใหญ่ของอังกฤษ ประกาศล้มละลาย หลังเผชิญวิกฤตงบประมาณขาดดุล-ปัญหาภาระหนี้สิน

เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 66 หัวหน้าฝ่ายการเงินของสภาเมืองเบอร์มิงแฮมได้ประกาศใช้มาตรา 114 ที่หมายความว่าจะไม่มีการใช้จ่ายงบประมาณใหม่ ๆ เกิดขึ้น ยกเว้นการใช้จ่ายที่จำเป็น ทั้งการดูแลประชาชนกลุ่มเปราะบาง บริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน และภาระผูกพันทางการเงินที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

ส่วนบริการที่คาดว่าจะต้อง ถูกปรับลดงบประมาณมีทั้งการทำความสะอาดถนน การดูแลรักษาสวนสาธารณะ ห้องสมุด บริการเกี่ยวกับเด็กที่อยู่นอกเหนือจากการช่วยเหลือทางสังคม และการเก็บขยะที่อาจต้องทิ้งช่วงเวลานานขึ้น

สภาเมืองเบอร์มิงแฮม ระบุว่า สาเหตุหลักที่ต้องประกาศล้มละลาย เพราะต้องจ่ายค่าชดเชยมูลค่าสูงถึง 760 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 34,000 ล้านบาท ให้แก่กลุ่มพนักงานหญิงทั้งในอดีตและปัจจุบัน ที่รวมตัวยื่นฟ้องในคดีจ่ายค่าตอบแทนที่ไม่เท่าเทียมระหว่างเพศ

การจ่ายเงินค่าชดเชยดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ด้านกฎหมายกับสหภาพแรงงานที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน โดยเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา สภาเมืองเบอร์มิงแฮมเปิดเผยว่า ได้จ่ายค่าชดเชยให้กับพนักงานหญิงไปแล้ว 1,100 ล้านปอนด์ หรือ ประมาณ 50,000 ล้านบาท แต่ยังเหลือยอดหนี้อีกราว 650-750 ล้านปอนด์ ทำให้มีภาระเพิ่มขึ้นเดือนละ 5 ล้าน ถึง 15 ล้านปอนด์ หรือ 200 ล้าน ถึง 670 ล้านบาท ซึ่งสภาเมืองไม่สามารถหาเงินมาชำระได้

นอกจากเบอร์มิงแฮม ยังมีสภาท้องถิ่นอีกหลายแห่งที่ต้องประกาศล้มละลายเหมือนกับเบอร์มิงแฮม เช่น วอคกิง ครอยดอน และเทอร์รอค หลังจากหลายโครงการลงทุนเกิดปัญหา และเผชิญกับการปรับลดเงินทุน

ขณะที่สมาคมองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นอังกฤษประเมินว่า ตลอด 2 ปีนับจากนี้ สภาเมืองต่างๆ ทั่วประเทศจะเผชิญกับปัญหาขาดแคลนเงินทุนรวมกันประมาณ 2,000 ล้านปอนด์ หรือ 9 หมื่นล้านบาท เพื่อให้บริการสาธารณะที่มีอยู่ตอนนี้ยังคงดำเนินการต่อไปได้ตามปกติ

‘สาวกิมจิ’ ชี้!! ชีวิต นร.เกาหลีใต้หดหู่ ต้องเรียน ‘เช้าจรดดึก’ เทียบ นร.ไทย ‘ดีกว่า’ เลิกเรียนเวลาปกติ แถมมีชีวิตอิสระ

เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีวิดีโอที่เป็นไวรัลอยู่ในโลกออนไลน์ เป็นวิดีโอของหญิงสาวชาวเกาหลีใต้ที่ออกมาเล่าถึงชีวิตความเป็นอยู่ของนักเรียนในเกาหลีใต้ และเน้นย้ำว่าชีวิตนักเรียนเกาหลีใต้น่าสงสาร แตกต่างจากนักเรียนไทยที่ดีและมีอิสระมากกว่า…

หญิงสาวชาวเกาหลีใต้เจ้าของวิดีโอมีชื่อว่า ‘ริซชี่’ ปัจจุบันใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยมาแล้ว 15 ปี โดยเธอได้ระบุในวิดีโอว่า เรื่องที่ไทยดีกว่าเกาหลีใต้ มีหลายเรื่องมาก ๆ หนึ่งในนั้นคือเรื่องชีวิตประจำวันของนักเรียน โดยที่เกาหลีใต้จะมีตารางเรียนให้นักเรียน ซึ่งเรียนตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 4 ทุ่ม ใน 1 วันเรียนทั้งหมด 7 วิชา และต้องกินข้าวกลางวันและข้าวเย็นที่โรงเรียน

เธอยังระบุอีกว่า วิชาสุดท้ายเรียนจบตั้งแต่ช่วงห้าโมงเย็นแล้ว แต่ทางโรงเรียนบังคับนักเรียนให้อ่านหนังสือต่อจนถึงสี่ทุ่ม หลังจากอ่านหนังสือเสร็จก็ยังไม่ได้กลับบ้าน เพราะต้องไปเรียนพิเศษต่อ โดยจะมีรถบัสเรียนพิเศษมารอรับที่โรงเรียนเลย และเรียนพิเศษจนถึงเที่ยงคืน สำหรับการเรียนพิเศษ ต้องไปทุกวัน เสาร์อาทิตย์ก็ไม่ได้หยุด ทำให้เด็กนักเรียนเจอคุณครูมากกว่าพ่อแม่เสียอีก

สาวเกาหลีใต้รายนี้ยังระบุอีกว่า จริง ๆ ก็เรียนไหว ไม่ได้แย่ขนาดนั้น เพราะตอนที่เรียนมีเพื่อนอยู่ด้วยทุกคน เธอยังบอกอีกว่าสาเหตุที่ต้องเรียนโหดขนาดนี้ เพราะว่าการแข่งเกาหลีสูงมาก ๆ เพื่อให้ได้งานดี ๆ ก็ต้องเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ให้ได้ก่อน ซึ่งแตกต่างจากฝั่งตะวันตกที่สอนว่าความสามารถของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ต่อให้เรียนไม่เก่งก็ยังสามารถมีความสุขได้ แต่สำหรับที่เกาหลีใต้นั้นมีทรัพยากรไม่มากพอ ทำให้โรงเรียนและผู้ปกครองพยายามสอนนักเรียน ต้องเรียนให้เก่ง เพื่อหางานดี ๆ จะได้มีชีวิตที่ดีในอนาคต 

ริซชี่ระบุทิ้งท้ายว่า ตัวเธอเองไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมเกาหลี และหวังว่าในอนาคตอยากเห็นนักเรียนที่เกาหลีใต้มีชีวิตที่ดี และสามารถเลิกเรียนได้ตามเวลาปกติเหมือนเด็กนักเรียนไทย 

‘ญี่ปุ่น’ ยิงจรวดขนส่งยาน ‘มูนสไนเปอร์’ ขึ้นสู่อวกาศ มุ่งหน้าทำภารกิจลงจอดดวงจันทร์ เป็นชาติที่ 5 ของโลก

(7 ก.ย. 66) สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า ญี่ปุ่นได้ปล่อยจรวดขนส่ง ‘H-IIA’ เพื่อส่งยานสำรวจดวงจันทร์ ‘มูนสไนเปอร์’ ของญี่ปุ่น พร้อมดาวเทียม ‘X-Ray Imaging and Spectroscopy Mission’ (XRISM)

ออกจากฐานยิงบนเกาะทาเนกาชิมะ ทางตอนใต้ของประเทศ ขึ้นสู่อวกาศเป็นผลสำเร็จ เมื่อวันที่ 7 กันยายน นับเป็นความพยายามครั้งที่ 4 หลังจากครั้งก่อนต้องล้มเหลว เพราะสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย ในภารกิจส่งยานสำรวจมูนสไนเปอร์ลงจอดบนพื้นผิวดวงจันทร์ ที่คาดว่ายานสไนเปอร์จะลงจอดภายในระยะ 100 เมตรจากตำแหน่งใกล้กับปล่อง Shioli บนด้านใกล้ของดวงจันทร์

โดยยานสไนเปอร์จะเข้าสู่วงโคจรของดวงจันทร์ภายใน 4 เดือนนับจากนี้ จากนั้นจะโคจรรอบดวงจันทร์ ก่อนพยายามลงจอดบนพื้นผิวดวงจันทร์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นได้ในราวเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งหากทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ญี่ปุ่น จะกลายเป็นประเทศที่ 5 ของโลก ที่ส่งยานสำรวจลงจอดบนดวงจันทร์สำเร็จ หลังจากเมื่อเร็วๆ นี้ อินเดีย ได้สร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นชาติที่ 4 ของโลกนอกจากสหรัฐ รัสเซียและจีนที่ส่งยานสำรวจไปลงดวงจันทร์สำเร็จ

ทั้งนี้ ภารกิจส่งยานสำรวจมูนสไนเปอร์ไปยังดวงจันทร์ ที่มีมูลค่าโครงการ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3,562 ล้านบาท) มีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสามารถของญี่ปุ่น ในการส่งยานอวกาศที่มีน้ำหนักเบาและใช้ต้นทุนต่ำไปลงจอดบนดวงจันทร์ได้

นอกจากนี้ จรวดขนส่ง ยังบรรทุกดาวเทียม X-Ray Imaging and Spectroscopy Mission (XRISM) ซึ่งติดกล้องโทรทรรศน์ขนาดเท่ารถบัสไว้ด้วย เพื่อจะไปศึกษาปรากฏการณ์ในอวกาศ เช่น หลุมดำ อันเป็นโครงการร่วมระหว่างหน่วยงานอวกาศของญี่ปุ่น อเมริกา และยุโรป

‘ฮ่องกง’ เจอน้ำท่วมใหญ่ ‘ถนน-สถานีรถไฟใต้ดิน-ห้าง’ ได้รับผลกระทบหนัก สั่งปิดรร.-ให้ปชช.ทำงานที่บ้าน พร้อมประกาศเตือนพายุฝนอยู่ระดับสูงสุด

(8 ก.ย.66) สำนักข่าวรอยเตอร์ และเอเอฟพีรายงานว่า ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักบนเกาะฮ่องกง ส่งผลทำให้เกิดน้ำท่วมสูงเป็นวงกว้างในฮ่องกง ทำให้ถนนหนทาง ห้างสรรพสินค้า สถานีรถไฟใต้ดิน จมอยู่ใต้น้ำ ขณะที่ทางการฮ่องกงได้สั่งปิดโรงเรียน และขอให้ประชาชนทำงานอยู่ที่บ้าน

ข่าวระบุว่า ฝนที่ตกลงมาถือว่าเป็นฝนที่ตกหนักที่สุดในรอบ 140 ปี นับตั้งแต่มีการบันทึกสถิติมาของฮ่องกง ส่งผลให้น้ำหลายสายไหลลงมาตามพื้นที่เนินเขา ขณะที่ทางการออกประกาศเตือนความเสี่ยงที่จะเกิดดินถล่ม

ทั้งนี้ มีคลิปวิดีโอที่ปรากฏบนโลกออนไลน์ แสดงให้เห็นถนนหลายสายที่มีกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว ขณะที่อีกคลิปหนึ่ง เป็นภาพของเจ้าหน้าที่รถไฟใต้ดินต้องเดินลุยน้ำเข้าไปในสถานี เพื่อพยายามควบคุมไม่ให้น้ำจากถนนทะลักเข้าไปภายในสถานี

โดยมีรายงานว่า อุโมงค์ข้ามท่าเรือของฮ่องกง ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางหลักที่เชื่อระหว่างเกาะฮ่องกงกับเกาลูน ก็ถูกน้ำท่วมสูงเช่นกัน รวมไปถึงย่านแหล่งข้อปปิ้งอย่างไฉหว่าน ที่ก็ปรากฏภาพของน้ำท่วมสูงด้วย

ด้านสำนักงานสังเกตการณ์ฮ่องกง รายงานว่า ปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน จนถึงเที่ยงคืนย่างเข้าสู่วันที่ 8 กันยายน อยู่ที่ระดับ 158.1 มิลลิเมตร และว่า ฝนที่ตกหนักครั้งนี้ เกิดขึ้นจากร่องความกดอากาศน้ำที่เกี่ยวข้องกับส่วนที่เหลือจากไต้ฝุ่นไห่ขุย

โดยตอนใต้ของจีนเพิ่งจะเจอกับไต้ฝุ่น 2 ลูก คือ เซาลา และไห่ขุย ขณะที่ฮ่องกงเองไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากไต้ฝุ่นทั้งสองลูกดังกล่าว

ขณะที่สำนักงานอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศเตือนพายุฝนระดับ ‘สีดำ’ ซึ่งเป็นระดับสูงสุด และว่า จะมีฝนตกลงมากว่า 200 มิลลิเมตรบนเกาะหลักของฮ่องกง เกาลูน และบางส่วนของฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของนิวเทอร์ริทอรีส์

นอกจากนี้ ยังมีรายงานปิดจุดผ่านแดนผู้โดยสารและสินค้าบางแห่ง ที่เชื่อมระหว่างฮ่องกับกับเมืองเสิ่นเจิ้นของจีนแผ่นดินใหญ่ เนื่องจากน้ำที่ท่วมสูง

ระทึก!! เกิดแผ่นดินไหวกลางดึกที่ ‘โมร็อกโก’ แรง 6.8 แมกนิจูด สั่นสะเทือนไกลถึง 350 กม. บ้านเรือนพังยับ ดับเกือบ 300 ศพ

(9 ก.ย. 66) เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง 6.8 แมกนิจูดทางตอนกลางในเทือกเขาไฮแอตลาสของประเทศโมร็อกโก หลังเวลา 23.00 น. ของวันที่ 8 ก.ย. ตามเวลาท้องถิ่น สถานีโทรทัศน์อัล-เอาลาของโมร็อกโกรายงานว่า เบื้องต้นมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างน้อย 296 ราย และได้รับบาดเจ็บอีก 153 คน

ศูนย์ธรณีฟิสิกส์ของโมร็อกโกระบุว่า แผ่นดินไหวเกิดขึ้นในพื้นที่อิกิลของไฮแอตลาส วัดความรุนแรงได้ 7.2 แมกนิจูด ขณะที่สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาแห่งชาติของสหรัฐฯ (ยูเอสจีเอส) ระบุว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้แรง 6.8 แมกนิจูด โดยจุดศูนย์กลางค่อนข้างตื้นอยู่ลึกลงไปใต้ดินเพียง 18.5 กิโลเมตร

ด้านกองทัพโมร็อกโกเตือนให้ประชาชนระมัดระวัง เพราะยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมา โดยเผยแพร่ข้อความบน X (ทวิตเตอร์) ว่า “เราขอเตือนถึงความจำเป็นที่จะต้องใช้ความระมัดระวัง และคำนึงถึงมาตรการด้านความปลอดภัยเนื่องจากความเสี่ยงที่จะเกิดอาฟเตอร์ช็อก”

ชาวบ้านในเมืองมาร์ราเกซ เมืองใหญ่ที่สุดที่อยู่ใกล้กับศูนย์กลางของแผ่นดินไหวมากที่สุด และยังเป็นเมืองที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกระบุว่า อาคารในมาร์ราเกซบางแห่งพังถล่มลงมา สถานีโทรทัศน์ท้อง เผยแพร่ภาพสุเหร่าและมัสยิดที่พังทลาย และมีเศษซากอาคารร่วงลงมาทับรถ

อิกิลเป็นพื้นที่ภูเขาซึ่งมีหมู่บ้านเกษตรกรรมขนาดเล็กๆ อยู่ห่างจากมาร์ราเกซไปทางตะวันตกเฉียงใต้ราว 70 กิโลเมตร เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นระบุว่า ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภูเขาซึ่งเข้าถึงได้ยาก ด้านชาวบ้านในหมู่บ้านบนภูเขาอัสนีใกล้กับศูนย์กลางของแผ่นดินไหวระบุว่า บ้านเรือนส่วนใหญ่ได้รับความเสียหายและมีผู้ติดอยู่ใต้ซากปรักหักพัง ขณะที่คนอื่นๆ เร่งหาทางช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ

‘พนง.เวียดนาม’ เห็นคุณยายขายลอตเตอรี่มือสั่น-กินข้าวคนเดียว รีบมาช่วยหั่นไก่-คุยแก้เหงา ชาวเน็ตซึ้ง แห่ชี้พิกัดอุดหนุนคุณยาย

(9 ก.ย. 66) กระแสไวรัลในโลกออนไลน์เวียดนาม กำลังแห่ชื่นชมพนักงานบริการที่ทำเอาอบอุ่นใจไปทั่วโซเชียล หลังคลิปวิดีโอแสดงภาพหญิงชราคนหนึ่งกำลังนั่งกินข้าวคนเดียวอยู่ในร้าน ซึ่งสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายและเดินเท้าเปล่า อีกทั้งขณะตักอาการด้วยความแก่ชรา เธอจึงมือสั่น แทบไม่มีแรงตักอาหารเข้าปาก

เมื่อเห็นเช่นนั้น พนักงานในร้านอาหารฟาสฟู้ดก็รีบวิ่งไปช่วยเหลือลูกค้าผู้สูงอายุทันที พนักงานสาวช่วยคุณยายหั่นบะหมี่และไก่ทอดให้กินง่าย ๆ พร้อมพูดคุยกับคุณยายอย่างเป็นกันเองเพื่อให้คุณยายไม่เหงา การกระทำของพนักงานบริการรายนี้ได้รับความสนใจจากคนรอบข้าง

นับตั้งแต่เรื่องราวดังกล่าวถูกแชร์ก็มียอดดูมากกว่า 6 ล้านครั้งในเวลาไม่กี่ชั่วโมงพร้อมมีชาวติ๊กต็อกเข้ามาคอมเมนต์เป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ชื่นชมความมีน้ำใจของพนักงานร้านไก่ทอดหญิง อาทิ

“การกระทำเล็กๆ น้อยๆ แต่สมควรได้รับการยกย่องอย่างยิ่ง”
“ไลฟ์สไตล์และทัศนคติเป็นสิ่งสำคัญมาก มันแสดงให้เห็นถึงศักดิ์ศรีของแต่ละคน ไม่ใช่ว่าคุณต้องทำอะไรที่ใหญ่โตเกินไป”
“ขอบคุณ Jollibee ขอบคุณทีมงาน การกระทำของคุณน่ารักมาก”
“มองดูแล้วน้ำตาฉันก็ไหล เธอเดินคนเดียวเท้าเปล่า เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย มือสั่น หากคุณยังคงมีแม่หรือญาติอยู่โปรดถนอมพวกเขาไว้”
“เธอไม่สวมรองเท้าแตะด้วยซ้ำ 😔”

ต่อมามีคนจำคุณยายได้ว่า เธอสู้ชีวิตเอาชนะความชราเพื่อความอยู่รอดโดยดำรงชีพด้วยการขายลอตเตอรี่ที่สี่แยกเมืองกายเหล่ย จังหวัดเตี่ยนซาง ประเทศเวียดนามทุกวัน ซึ่งหหลังจากชมวีดีโอชาวเน็ตจึงชวนกันมาซื้อสลากและอุดหนุนเธอ

‘โมร็อกโก’ ประกาศไว้อาลัย 3 วัน ให้เหยื่อแผ่นดินไหว หลังยอดทะลุ 2000 ศพ นานาชาติแห่ส่งความช่วยเหลือ

(10 ก.ย. 66) ความคืบหน้าเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในพื้นที่อีกิล (Ighil) ของภูเขาไฮแอตลาส ประเทศโมร็อกโก ช่วงกลางดึกของวันที่ 8 ก.ย.66 (ตามเวลาท้องถิ่น) ซึ่งตรงกับเช้าวันที่ 9 ก.ย.66 (ตามเวลาประเทศไทย) ระบุความรุนแรงขนาด 7.2 ริกเตอร์ โดยเป็นเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศในรอบกว่า 6 ทศวรรษ

ล่าสุดกระทรวงมหาดไทยโมร็อกโก ระบุว่า มีผู้เสียชีวิต 2,012 ราย บาดเจ็บ 2,059 ราย ในจำนวนนี้ 1,404 ราย อาการสาหัส โดยจังหวัดอัล ฮาอูซ มีผู้เสียชีวิตสูงสุด รองลงมาคือ จังหวัดทารูดันท์ แม้จะมีผู้เสียชีวิตน้อยกว่ามากในมาร์ราเกช แต่พื้นที่เมืองเก่าที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก กลับได้รับความเสียหายจำนวนมาก หอคอยสุเหร่า บริเวณจัตุรัสเจมา อัล-ฟานา ในย่านใจกลางเมืองได้รับความเสียหาย และคาดกันว่าบ้านเรือนที่สร้างด้วยอิฐโคลน หิน และไม้ ในหมู่บ้านหลายแห่งบนพื้นที่ภูเขาได้พังทลายลง แต่ขนาดของความเสียหายในพื้นที่ห่างไกลอาจต้องใช้เวลาในการประเมิน

ขณะที่สำนักพระราชวังโมร็อกโก กล่าวว่า โมร็อกโกประกาศการไว้อาลัยทั่วประเทศเป็นเวลา 3 วัน โดยในระหว่างนั้นจะมีการเชิญธงชาติลงครึ่งเสา กองทัพโมร็อกโกจะจัดทีมกู้ภัยเพื่อจัดหาน้ำดื่มสะอาด อาหาร เต็นท์ และผ้าห่มให้แก่พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ

ด้านองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) แถลงพร้อมให้ความช่วยเหลือแก่รัฐบาลโมร็อกโก เช่นเดียวกับนานาประเทศ รวมถึงสเปน ฝรั่งเศส และอิสราเอล ส่วนแอลจีเรีย ประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประกาศเปิดน่านฟ้าเพื่อให้การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่โมร็อกโก

‘ไบเดน’ ในวัย 80 ถูกโฆษกตัดจบทันที หลังพูดไปเรื่อยขณะแถลงข่าว จากผลสำรวจยิ่งตอกย้ำ!! เขาแก่เกินไปสำหรับทำหน้าที่ประธานาธิบดี

(11 ก.ย. 66) คารีน ฌอง ปิแอร์ เลขานุการฝ่ายสื่อสารมวลชนของทำเนียบขาว เข้าแทรกตัดจบการแถลงข่าวของประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ในทันทีเมื่อวันอาทิตย์ (10 ก.ย.) หลังจากผู้นำรายนี้พูดไปเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับโลกที่ 3 และการสนทนาระหว่างเขากับ หลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน

ไบเดน ได้ตอบคำถามต่างๆ จากสื่อมวลชน ระหว่างเดินทางเยือนกรุงฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม ก่อนบอกกับพวกผู้สื่อข่าวว่า "เขากำลังจะไปนอนแล้ว" อย่างไรก็ตาม ไบเดน ยังคงตอบคำถามใหม่ๆ เพิ่มเติม ในนั้นรวมถึงการพูดคุยระหว่างเขากับ หลี่ ณ ที่ประชุมซัมมิตจี 20 ในอินเดีย เมื่อวันเสาร์ (9 ก.ย.)

"มันไม่ใช่การเผชิญหน้ากันใดๆ เลย" ไบเดนกล่าว "เราพูดคุยกันเพื่อให้มั่นใจว่า โลกที่ 3 เอ่อ เอ่อ เอ่อ ซีกโลกใต้ จะเข้าถึงการเปลี่ยนแปลง"

ระหว่างที่ ไบเดน พูดจาเรื่อยเปื่อยต่อไปไม่หยุด จู่ๆ ฌอง ปิแอร์ ก็ประกาศผ่านไมค์ พูดแทรกว่า "การแถลงข่าวปัจจุบันนี้เสร็จสิ้นแล้ว" กระตุ้นให้ ไบเดน ที่ตอนนั้นกำลังพยายามตอบคำถามอีกคำถาม ต้องกล่าวขอบคุณ วางไมค์และเดินลงจากเวที

ปกติแล้วการแถลงข่าวของไบเดน จะได้รับการจัดการอย่างเข้มข้นจากบรรดาผู้ช่วยของเขา ประธานาธิบดีจะได้รับมอบใบคำถามจากผู้สื่อข่าวล่วงหน้าและได้รับแจ้งว่าผู้สื่อข่าวรายใดเป็นคนตั้งคำถาม อย่างไรก็ตามบางครั้ง ไบเดน หยุดพูดดื้อๆ แล้วลงเวที บ่อยครั้งก็ดูสับสนอย่างเห็นได้ชัด และบางครั้งต้องชี้นำโดยคณะทำงานของเขา

จากผลสำรวจของวอลล์สตรีท เจอร์นัล เมื่อเร็วๆ นี้ พบว่า 73% ของผู้มีสิทธิออกเสียงคิดว่า ไบเดน วัย 80 ปี แก่เกินไปสำหรับทำหน้าที่ประธานาธิบดี ในขณะที่ 60% เชื่อว่าเขาขาดสมรรถภาพทางจิตสำหรับตำแหน่งนี้

การเดินทางเยือนเวียดนามของไบเดน มีขึ้นในขณะที่สหรัฐฯ พยายามกระชับความสัมพันธ์กับบรรดาชาติในเอเชียเพิ่มเติม ในความพยายามตอบโต้การแผ่ขยายอิทธิพลของจีนในภูมิภาค โดยในวันอาทิตย์ (10 ก.ย.) ไบเดน และ เหงียน ฟู้ จ่อง เลขาธิการใหญ่คณะบริหารงานศูนย์กลางพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม แถลงข้อตกลงการค้าและการลงทุนทวิภาคี ในนั้นรวมถึงมาตรการต่างๆ เพื่อส่งเสริมการผลิตเซมิคอนดักเตอร์และการวิจัยในเวียดนาม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top