Saturday, 31 May 2025
TheStatesTimes

ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. ติดตามเหตุกลุ่มวัยรุ่นบุกรุกทำร้ายนักท่องเที่ยวในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมมอบนโยบาย 4 แนวทางปฏิบัติ กวาดล้างอาชญากร และผู้ทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย

(29 พ.ค.68) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมพิเศษตามนโยบายเร่งด่วน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศนรด.ตร.) เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายการปฏิบัติหน้าที่ราชการ และติดตามความคืบหน้าเหตุกลุ่มวัยรุ่นบุกรุกทำร้ายนักท่องเที่ยวในสถานบริการในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมี พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (ผบช.ภ.1) , พล.ต.ต.โชคชัย งามวงศ์ รอง ผบช.ภ.1 , พล.ต.ต.นฤนาท พุทไธสง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา , กองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 1 และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ร่วมประชุม ณ ห้องประชุมนันทโชติ ตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

พล.ต.อ.อัคราเดชฯ กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจาก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้มาช่วยดูแลและเป็นกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยวันนี้ได้มาประชุมร่วมกันเพื่อติดตามความคืบหน้าของคดี กรณีวันที่ 18 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 23.30 น. มีกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวน 14 ราย ในคราวแรก และตรวจสอบเพิ่มเติมอีก 1 ราย รวมเป็น 15 ราย ได้กระทำความผิดฝ่าฝืนกฎหมาย ใช้กำลังเข้าไปทำร้ายและพยายามปล้นทรัพย์ ข่มขู่ กระทำการผิดกฎหมายหลายกระทง ต่างกรรมต่างวาระ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการสอบสวนขยายผล รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับทั้งหมดจำนวน 13 หมาย ส่วนอีก 2 รายอยู่ในขั้นตอนที่จะมีการออกหมายเรียก ซึ่งล่าสุดผู้ต้องหาจำนวน 12 ราย ได้เข้ามามอบตัวกับพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนปากคำที่ สภ.พระนครศรีอยุธยา ในขั้นตอนต่อไปได้จะนำตัวไปฝากขัง สำหรับการดำเนินคดีถือว่าคืบหน้าไปมาถึง 80% แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังคงต้องมีมาตรการต่อไปในการที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชน ว่าจะต้องอยู่ดีมีสุข และมีความมั่นใจในความปลอดภัย 

นอกจากนี้ พล.ต.อ.อัคราเดชฯ กล่าวว่า สิ่งที่ได้กำหนดแนวทางในที่ประชุม ที่จะต้องดำเนินการต่อไปมี 4 แนวทาง คือ

1. เตรียมเปิดปฏิบัติการ “ปิดเมืองไล่ล่า อยุธยาต้องผาสุก” โดยจะมีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย หรือผู้ที่อยู่เบื้องหลัง จะมีการปิดเมืองปิดล้อมตรวจค้น จับกุมตัวมาดำเนินคดี อย่างเต็มกำลังความสามารถ

2. การรุกเข้าหาเป้าหมายเพื่อทำลายเครือข่ายต่างๆ เพื่อไม่ให้มีการขยายเครือข่าย หยุดยังไม่ให้มีการเอาเยี่ยงอย่าง

3. เร่งดำเนินการเรื่องคดีค้างเก่าที่มีหมายจับในคดีสำคัญในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยาทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีที่เกี่ยวข้องกับความผิดมูลฐาน 17 ด้าน ในเรื่องของผู้มีอิทธิพล และความผิดคดีพิเศษ ที่อาจส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน

4. การจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจลงไปพบปะพี่น้องประชาชนเพิ่มมากขึ้น เพื่อที่จะไปรับฟัง รับรู้ถึงปัญหา สิ่งต่างๆ ที่ประชาชนรู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจ เพื่อจะได้เก็บข้อมูลข่าวสารต่างๆ ซึ่งในส่วนนี้เจ้าหน้าที่จะเก็บเป็นความลับ เพื่อจะนำมาขยายผลต่อยอดและวางแผนในการปฏิบัติต่อไป

30 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว กษัตริย์นักประชาธิปไตย เสด็จสวรรคต

30 พ.ค. ของทุกปี เป็น ‘วันพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว’ น้อมรำลึกวันสวรรคตของล้นเกล้ารัชกาลที่ 7 กษัตริย์นักประชาธิปไตย 

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 พระราชสมภพเมื่อวันพุธที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 ทรงเป็นพระราชโอรสองค์สุดท้องในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ทรงศึกษาในระดับมัธยมที่วิทยาลัยอีตัน ประเทศอังกฤษ

จากนั้นทรงศึกษาต่อด้านวิชาการทหารที่โรงเรียนนายร้อยเมืองวูลิช และทรงอภิเษกสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี สวัสดิวัตน์ เมื่อพ.ศ. 2461 เสด็จขึ้นครองราชย์ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบพระราชสันตติวงศ์เมื่อพุทธศักราช 2467 

ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2468 (นับตามปฏิทินปัจจุบัน คือ พ.ศ. 2469) และทรงสละราชสมบัติขณะประทับที่ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 (พ.ศ. 2478 ตามปฏิทินปัจจุบัน) เนื่องด้วยความคิดเห็นที่ขัดแย้งทางการเมืองบางประการ

หลังจากนั้นได้ประทับอยู่ที่ประเทศอังกฤษจนกระทั่งสวรรคตเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พุทธศักราช 2484 ขณะมีพระชนมายุ 48 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงจัดการถวายพระเพลิงพระบรมศพเป็นการส่วนพระองค์อย่างเรียบง่าย ปราศจากพิธีการใด ๆ ที่สุสานโกลเดอร์ส กรีน (Golders Green)

กระทั่งในปี พ.ศ. 2492 รัฐบาลได้กราบบังคมทูลสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ขอพระราชทานให้ทรงอัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวกลับสู่ประเทศไทย เพื่ออัญเชิญขึ้นประดิษฐานไว้ร่วมกับสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าในพระบรมมหาราชวัง ในการนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีทักษิณานุปทานอุทิศถวายตามพระราชประเพณี

หลังจากนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระโกศพระบรมอัฐิขึ้นประดิษฐาน ณ หอพระบรมอัฐิ ซึ่งอยู่ชั้นบนของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ส่วนพระบรมสรีรางคารนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บรรจุไว้ที่พระพุทธบัลลังก์พระพุทธอังคีรสภายในพระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร

พระราชกรณียกิจสำคัญในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้แก่ การฉลองพระนครครบ 150 ปี รัชกาลที่ 7 เสด็จฯเปิดปฐมบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกและสะพานพุทธฯ เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2475 และในปีเดียวกันนี้เอง พระองค์ยังทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวรครั้งแรกในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อประเทศชาติและประชาชน ทั้งด้านการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และศาสนา

พระราชดำริที่สำคัญยิ่งประการหนึ่ง คือ การพัฒนาการเมืองไปสู่ระบอบประชาธิปไตย โดยทรงพระกรุณาให้มีการเตรียมร่างรัฐธรรมนูญพระราชทานแก่ชาวไทยทั้งมวล แม้จะยังมิได้ดำเนินการตามแนวพระราชดำริ เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองขึ้นในปี พ.ศ. 2475

เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระองค์ให้เป็นที่ประจักษ์แก่อนุชนรุ่นหลังอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น รวมทั้งเป็นการน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ในปลายปีพ.ศ. 2544

สถาบันพระปกเกล้าจึงมีความเห็นว่า สมควรที่จะเสนอให้มี วันพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังนั้น สถาบันฯ จึงแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาโดยมี นายทองต่อ กล้วยไม้ ณ อยุธยา เป็นประธาน คณะทำงานชุดดังกล่าวนี้ มีมติว่า สมควรกำหนดให้วันคล้ายวันสวรรคตของรัชกาลที่ 7 คือ วันที่ 30 พฤษภาคม ของทุกปีเป็น 'วันพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว' ต่อมาวันที่ 7 พฤษภาคม 2545 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้กำหนดวันที่ 30 พฤษภาคมของทุกปีเป็น 'วันพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว'

ร้านยากิโทริในโอซาก้า ติดป้ายห้ามคนจีนเข้า เดือดร้อน บ.แม่แถลงขอโทษ ย้ำไม่สนับสนุนการเลือกปฏิบัติ

(29 พ.ค. 68) ร้านไก่ย่างถ่านชื่อดังในโอซาก้า “Sumibi Yakitori Hayashin” กลายเป็นประเด็นดราม่าร้อน หลังมีผู้เผยภาพป้ายที่ระบุไม่อนุญาตให้ลูกค้าชาวจีนเข้าร้าน โดยให้เหตุผลว่า “หลายคนไร้มารยาท” จนเกิดเสียงวิจารณ์หนักทั้งในญี่ปุ่นและจีน

แม้ทางร้านยังไม่มีแถลงการณ์ชี้แจง แต่กระแสในโซเชียลหลายคนมองว่าการเหมารวมเช่นนี้เข้าข่ายการเลือกปฏิบัติ ส่วนชาวญี่ปุ่นสายชาตินิยมบางกลุ่มกลับสนับสนุนการกระทำของร้าน ขณะที่ชาวเน็ตจีนส่วนใหญ่แสดงความโกรธและผิดหวัง

SASAYA Holdings บริษัทแม่ของร้าน ได้ออกแถลงการณ์ขอโทษอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ระบุว่าป้ายดังกล่าวเป็นการตัดสินใจของร้านโดยไม่ได้รับอนุญาตจากบริษัท พร้อมย้ำจุดยืนในการให้บริการอย่างเท่าเทียมกับลูกค้าทุกเชื้อชาติ

หลังเกิดเหตุ ร้าน Hayashin ได้หยุดให้บริการทันทีในวันเดียวกับการแถลงขอโทษ และชื่อร้านก็ถูกถอดออกจากเว็บไซต์ของบริษัทแม่แล้ว ขณะเดียวกันประเด็นนี้ยังสะท้อนปัญหาความตึงเครียดระหว่างชาวญี่ปุ่นบางกลุ่มกับนักท่องเที่ยวจีน

แม้นักท่องเที่ยวต่างชาติจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจญี่ปุ่นอย่างมาก แต่ก็มีเสียงสะท้อนจากชาวบ้านจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกไม่พอใจกับพฤติกรรมไร้มารยาทของนักท่องเที่ยวบางกลุ่ม โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่มักตกเป็นเป้าในกระแส “มลพิษทางการท่องเที่ยว” หรือ Overtourism ที่กำลังเป็นคำฮิตในสังคมญี่ปุ่นขณะนี้

เติมความรู้จากผู้มีประสบการณ์จริง!!

ฟรี!! เชิญเข้าร่วมฟัง Special Talk โดย นายวิชัย ทองแตง ประธานมูลนิธิหนึ่งน้ำใจ 
ที่จะมาเผย 'แนวทางการปรับตัวของเอสเอ็มอีท่ามกลางวิกฤตโลก' 

ภายในงาน 'มหกรรม SME BEYOND เติมทุนปลุกพลังเติบโตยั่งยืน'  
📌วันที่ 30 พฤษภาคม 2568 นี้  
📍ณ สำนักงานใหญ่ SME D Bank อาคาร SME Bank Tower
📌ลงทะเบียนร่วมงานได้ตั้งแต่เวลา 12.00 น. เป็นต้นไป 

นอกจากนั้น ในงานนี้ พบไฮไลต์อีกมากมาย จบครบเพื่อเอสเอ็มอีไทย 
📌 บริการเติมทุน: สินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3% ต่อปี เน้นสนับสนุนลงทุนติดตั้งโซลาร์เซลล์ ช่วยลดต้นทุนพลังงาน และเติมเสริมสภาพคล่อง ยื่นกู้ได้ทันที 
📌 เวทีเสวนาอัปเดตสถานการณ์เศรษฐกิจจากกูรูระดับประเทศ 
📌 บริการเสริมแกร่งธุรกิจครบวงจร 
📌 การออกบูธจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เปิดโอกาสเชื่อมโยงขยายเครือข่ายธุรกิจ

แจ้งความประสงค์เข้าร่วม 📌แจ้งความประสงค์เข้าร่วม https://shorturl.asia/ZWvIp
📍สถานที่ อาคาร 310 SME Bank Tower สำนักงานใหญ่ SME D Bank ถ.พหลโยธิน สามเสนใน พญาไท กทม. 10400
https://g.co/kgs/vSyfB2L

โซเชียลกัมพูชาผุดแคมเปญ ‘หยุดใช้สินค้าไทย’ เชิญชวนกลับมาสนับสนุนสินค้าชาติให้เติบโต

(30 พ.ค. 68) จากกรณีเหตุปะทะระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา ในพื้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี จนทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 ราย และกลายเป็นประเด็นร้อนระหว่างประเทศ

ล่าสุด บนโลกโซเชียลมีเดียฝั่งกัมพูชากำลังเกิดกระแส เผยแพร่ข้อความเชิญชวนให้ “หยุดใช้สินค้าไทย” โดยระบุว่าเป็นการแสดงจุดยืนทางความเชื่อและทัศนคติทางการเมือง พร้อมย้ำว่าจะเลิกใช้สินค้าจากประเทศไทยทันที โดยข้อความต้นทางระบุว่า 

“นี่คือโอกาสสำคัญที่เราทุกคนจะหันกลับมาสนับสนุนสินค้าในประเทศ เพื่อยกระดับคุณภาพ พัฒนาอุตสาหกรรมและหัตถกรรมของชาติ รวมถึงส่งเสริมการเคลื่อนไหวทางชาตินิยมให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น”

แม้ยังไม่มีการยืนยันแน่ชัดถึงกลุ่มผู้ริเริ่มแคมเปญดังกล่าว แต่ข้อความนี้ได้ถูกแชร์ต่อในหลายแพลตฟอร์มอย่างรวดเร็ว โดยมีทั้งผู้สนับสนุนที่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว และผู้คัดค้านที่มองว่าเป็นการกระทำที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาว

CHARLES & KEITH SALE ALERT

สินค้าราคาพิเศษลดแรงสูงสุด 50% และสินค้าราคาปกติลดทันที 10 %
แถมสมาชิกยังได้ลดเพิ่มอีกสูงสุด 10% 💥

📅 ตั้งแต่ 29 พ.ค. – 1 มิ.ย. 68 เท่านั้น!
ใครรอของเข้าตู้ ต้องรีบแล้วว 💼👠👜

นายกฯ เปิดแคมเปญท่องเที่ยว “สวัสดี หนีห่าว” ฟื้นความเชื่อมั่น ตอกย้ำสัมพันธ์ไทย-จีน 50 ปี

(30 พ.ค.68) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ร่วมพิธีเปิดแคมเปญเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต 50 ปี ไทย-จีน “สวัสดี หนีห่าว” (Sawasdee Nihao) ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 28 พ.ค.-1 มิ.ย. 68 ย้ำชัดไทยพร้อมเดินหน้ากระตุ้นนักท่องเที่ยวจีน และส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศไทย ในฐานะจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวคุณภาพ ปลอดภัย และเป็นมิตร ตอกย้ำความเป็น 'Quality Destination'

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า การท่องเที่ยว เป็นหนึ่งในสะพานสำคัญที่เชื่อมโยงไทยและจีนเข้าหากันอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวของทั้ง 2 ประเทศ โดยรัฐบาลไทย จะมุ่งยกระดับมาตรการอำนวยความสะดวก พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และเพิ่มความเข้มงวดในการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ท่องเที่ยว และนำเทคโนโลยีมายกระดับอย่างเข้มข้น เพื่อให้นักท่องเที่ยวมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงสนับสนุนการจัดทำสถานที่ท่องเที่ยวแบบ Man-Made Destination ประเภทใหม่ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง

โดยโครงการ “สวัสดี หนีห่าว” ในวันนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างเส้นทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกันอย่างยั่งยืน เพื่อให้ความมั่นใจว่า ทุกย่างก้าวของนักท่องเที่ยวในไทย ทั้งชาวจีนและชาติอื่น ๆ จะเต็มไปด้วยความสุข ความสบาย และความปลอดภัยอย่างแท้จริง

ด้านนายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า รัฐบาลมุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ ยั่งยืน และสร้างโอกาสให้กับทุกภาคส่วน โดยให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้าง สู่มาตรฐาน และคุณภาพเหนือปริมาณ 'Value over Volume' ซึ่ง “สวัสดี หนีห่าว” จะเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือระยะยาว สร้างความเชื่อมั่น โอกาสทางธุรกิจ และส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ

นอกจากนี้ ยังสะท้อนเจตนารมณ์อันแน่วแน่ในการปรับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยในตลาดจีน รวมทั้งเสริมสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรชาวจีน เพื่อร่วมกันสร้างเส้นทางการท่องเที่ยวที่มีความหมาย และยั่งยืนต่อไป

สำหรับโครงการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต 50 ปี ไทย-จีน “สวัสดี หนีห่าว” (Sawasdee Nihao) ระหว่างวันที่ 28 พ.ค.-1 มิ.ย. 68 มุ่งสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของไทย ในฐานะจุดหมายปลายทางที่ปลอดภัย มีคุณภาพ และเป็นมิตร เพื่อสร้างความมั่นใจ และความเชื่อมั่นในการเดินทางให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีน โดยนำตัวแทนบริษัทนำเที่ยว (Travel Agents) จำนวน 400 ราย สื่อมวลชน และ KOLs (Key Opinion Leader) อีก 200 ราย เดินทางสัมผัสประสบการณ์ท่องเที่ยว พร้อมจัดเวทีเจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการไทยกว่า 500 ราย เพื่อผลักดันการขายสู่ตลาดจีน

ทั้งนี้ คาดว่าจะสร้างการรับรู้กว่า 350 ล้านคน-ครั้ง และการเจรจาธุรกิจกว่า 5,000 นัดหมาย นอกจากนี้ “สวัสดี หนีห่าว” (Sawasdee Nihao)” ยังประกอบด้วย การจัดกิจกรรมหลัก 5 รายการ ได้แก่

1. กิจกรรมเจรจาธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทย-จีน (Table Top Sales) โดยนำผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวจากประเทศจีน (Buyers) จำนวนประมาณ 300 บริษัท รวม 400 ราย จากกว่า 25-30 มณฑลศักยภาพ ทั้งจากพื้นที่เมืองหลักและเมืองรองของจีน เข้าร่วมเจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวของไทย (Sellers) รวมจำนวน 500 ราย

2. กิจกรรมเวทีเสวนา (Tourism Forum) ระดับ G2G โดยมี น.ส.นัทรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท., พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, 'ว่านไฉ' อคิร วงษ์เซ็ง Influencer ไทย เพจอาสาพาไปหลง และ Xiao Tai Hou Influencer จีน ร่วมกิจกรรมฯ มุ่งเน้นการสื่อสารเชิงบวก สร้างความมั่นใจและเน้นย้ำบทบาทของไทยในฐานะ 'Quality Destination'

3. กิจกรรม Welcome Reception งานเลี้ยงต้อนรับอย่างเป็นทางการ แก่ผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวจากประเทศจีน สื่อมวลชน KOLS และผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวของไทย เพื่อสร้างความประทับใจ และสะท้อนความพร้อมของประเทศไทย ทั้งเน้นย้ำวาระการครบรอบความสัมพันธ์ทางการทูต 50 ปี ไทย-จีน

4. กิจกรรมสำรวจเส้นทาง และทดสอบสินค้าท่องเที่ยว (Agent & Media Mega Fam Trip) ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ชลบุรี (พัทยา) ระยอง จันทบุรี นครปฐม ราชบุรี และพระนครศรีอยุธยา และพื้นที่อื่น ๆ ที่มีศักยภาพในการนำเสนอขายตลาดจีน แก่ตัวแทนบริษัทนำเที่ยวจีน (Agent Educational Trip: AET) และกลุ่ม KOLs / สื่อมวลชนจีน (Media Educational Trip: MET)

5. Sawasdee Nihao: A Celebration of Thai-China Relations; Celebrities Marketing ปรับภาพลักษณ์ประเทศไทย โดยใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงและอิทธิพลสูงในตลาดจีน เป็นผู้ถ่ายทอดเนื้อหาเชิงบวก เพื่อสร้างกระแสใน Mainstream Media สร้างแรงบันดาลใจในการเดินทางของกลุ่มเป้าหมาย

นายสรวงศ์ กล่าวว่า แม้ว่าสถานการณ์ตลาดนักท่องเที่ยวจีน จะมีแนวโน้มลดลง โดยระหว่างวันที่ 1 ม.ค.-27 พ.ค. 68 ประเทศไทยได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวน 1,909,862 คน ททท. ยังคงวางแผนมาตรการเชิงรุก เดินหน้าบุกตลาดจีนอย่างเต็มที่ ทั้งการเร่งกระตุ้น Charter Flight ในหลายพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้น 52% ในปี 68 โดยพื้นที่ที่มีการเติบโตของ Charter Flight สูงได้แก่ ปักกิ่ง (+26%) เซี่ยงไฮ้ (+117%) และเฉิงตู (+164%)

นอกจากนี้ ยังเตรียมจัดโครงการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ประเทศไทยในประเทศจีน ให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทย และร่วมแชร์ประสบการณ์ผ่าน Social Media เพื่อสร้าง User Generated Content ในช่วงเดือนพ.ค.-ก.ค. 68 เสริมสร้างความมั่นใจในการเดินทางให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีน

พร้อมทั้งเตรียมจัดกิจกรรม Nihao Month อย่างยิ่งใหญ่ในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ และวันชาติจีนในช่วง Golden Week เดือนต.ค. ทั้งการจัด Mega Fam Trip กิจกรรมส่งเสริมการขาย Joint Promotion ร่วมกับแพลตฟอร์มออนไลน์ทางการท่องเที่ยว และร่วมกับพันธมิตรศูนย์การค้าและร้านอาหารมอบสิทธิพิเศษและโปรโมชันสินค้าและบริการต่าง ๆ รวมถึงการใช้ Celebrity Marketing ศิลปินที่มีชื่อเสียงดึงดูดนักท่องเที่ยวจีน

ตลอดจนการทำงานของ 5 สำนักงาน ททท. ในพื้นที่ตลาดจีน ที่มุ่งจัดกิจกรรมและโครงการเพื่อปรับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทย สร้างกระแสเชิงบวกเสริมความมั่นใจในการเดินทาง ขยายการรับรู้ในพื้นที่รองศักยภาพ กระตุ้นการเดินทางของกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ อาทิ Young Traveler, Incentive & Family, Golf, Active Senior ทั้งในส่วนตลาด FIT และ Group Tour รวมถึงการทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย Joint Promotion ร่วมกับพันธมิตรธุรกิจนำเที่ยว สายการบิน โรงแรมที่พัก คาดว่าจะเป็นแรงผลักดันตลาดนักท่องเที่ยวจากจีนสู่เป้าหมายในปี 68

ชาวเนปาลนับหมื่นลงถนน เรียกร้องฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ หลังไม่พอใจรัฐบาล ทำเศรษฐกิจประเทศตกต่ำ

เมื่อวานนี้ (29 พ.ค.68) ประชาชนหลายหมื่นคนออกมารวมตัวกันในกรุงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล เรียกร้องให้ฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ที่ถูกยกเลิกไปตั้งแต่ปี 2008 ท่ามกลางความไม่พอใจต่อสภาพเศรษฐกิจและการทำงานของรัฐบาลปัจจุบัน โดยผู้ชุมนุมยังเรียกร้องให้ศาสนาฮินดูกลับมาเป็นศาสนาประจำชาติ

กลุ่มผู้ชุมนุมได้ตะโกนข้อว่า “จงนำกษัตริย์กลับคืนราชบัลลังก์และช่วยชาติ เรารักกษัตริย์มากกว่าชีวิต” ขณะที่เป้าหมายของการเรียกร้องครั้งนี้คือการให้ กษัตริย์เกียนเอนทรา ชาห์ วัย 77 ปี อดีตกษัตริย์พระองค์สุดท้ายของเนปาล ซึ่งยังพำนักอยู่ในกาฐมาณฑุ กลับคืนสู่บัลลังก์อีกครั้ง

เนปาลกลายเป็นสาธารณรัฐหลังยกเลิกระบอบกษัตริย์ และปัจจุบันมีประธานาธิบดีเป็นประมุข อย่างไรก็ตาม ยังมีประชาชนบางส่วนที่ไม่พอใจกับชนชั้นการเมืองและสภาพเศรษฐกิจ ที่ทำให้ชาวเนปาลจำนวนมากต้องเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ เพื่อส่งเงินกลับบ้าน

แม้จะมีเสียงเรียกร้องเพิ่มขึ้น แต่โอกาสในการฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ยังคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากพรรคการเมืองหลักทั้งสามพรรคในสภายังคัดค้านแนวคิดดังกล่าว ขณะที่พรรคฝ่ายหนุนกษัตริย์อย่าง Rastriya Prajatantra Party มีเพียง 13 ที่นั่งจากทั้งหมด 275 ที่นั่งในรัฐสภาเท่านั้น

‘ฮุน เซน’ แพร่แถลงการณ์ 4 ข้อ หลังเจรจากับไทย ลั่น ทหารกัมพูชาจะไม่ถอนกำลังจากจุดปะทะ

(30 พ.ค. 68) จอมพล สมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา บิดาของนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาคนปัจจุบัน โพสต์ภาพแถลงการณ์จากกองบัญชาการทหารสูงสุดกัมพูชา ผ่านเฟซบุ๊ก “Samdech Hun Sen of Cambodia”  ที่มีข้อความระบุว่า หลังจากเกิดเหตุปะทะด้วยอาวุธระหว่างกองทัพกัมพูชาและกองทัพไทย เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 บริเวณหมู่บ้านเตโชมรกต ต.มรกต อ.จอมกระสานต์ จ.พระวิหาร

ในวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 เวลา 15:30 น. พล.อ.เมา โซะพัน รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการกองทัพบกกัมพูชา และ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบกของไทย ได้เข้าร่วมการหารือ ที่สำนักงานประสานงานชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณจุดผ่านแดนช่องจอม-โอเสม็ด ได้ผลสรุปออกมา 4 ข้อดังต่อไปนี้

1.ทั้งสองฝ่ายยังคงดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ผ่านกลไกที่มีอยู่ทั้งหมด ได้แก่ คณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) คณะกรรมการชายแดนทั่วไปกัมพูชา-ไทย (GBC)และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการรังวัดและกำหนดเขตแดนทางบกระหว่างไทย-กัมพูชาปี 2543 (MOU2543) เพื่อให้แนวชายแดนของทั้งสองประเทศเป็นชายแดนแห่งสันติภาพ มิตรภาพ ความร่วมมือ และการพัฒนา

2.ทั้งสองฝ่ายจะควบคุมสถานการณ์ตามสภาพเดิม อดทนอดกลั้น และแก้ไขปัญหาทั้งหมดผ่านคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) ซึ่งจะมีการประชุมภายใน 2 หรือ 3 สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ

3.ฝ่ายกัมพูชาขอให้มีการเคารพในอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกันและกัน และไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 อีก

4.ฝ่ายกัมพูชาจะไม่ถอนกำลังหรือวางกำลังโดยไม่ติดอาวุธ ณ จุดที่เกิดการปะทะ เพราะบริเวณดังกล่าวฝ่ายกัมพูชาได้ครอบครองมาตั้งแต่ก่อนมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการรังวัดและกำหนดเขตแดนทางบกระหว่างไทย-กัมพูชาปี 2543

แถลงการณ์กัมพูชาระบุว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องและยอมรับในทั้ง 4 ข้อข้างต้น และการหารือได้สิ้นสุดลงเมื่อเวลา 16.15 น. ของวันเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้นฝ่ายไทยได้แถลงข้อสรุปการหารือมีเพียง 3 ข้อ ได้แก่

1.ให้ทั้งสองฝ่ายดำเนินการแก้ไขปัญหาเป็นครั้งนี้ผ่านคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) ซึ่งจะจัดขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์

2.ให้ทั้งสองฝ่ายอยู่ในจุดที่เหมาะสม หรือ 200 เมตรจากจุดปะทะ ลดการเผชิญหน้า

3.ให้รักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ ให้ใช้ความอดทนอดกลั้น

ยูเครนร้องจีนสองมาตรฐาน ระงับขายโดรนให้ตะวันตก แต่ส่งให้รัสเซียเพิ่ม

(30 พ.ค. 68) ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกีของยูเครน เปิดเผยเมื่อ 29 พ.ค. ว่า จีนได้หยุดขายโดรนให้ยูเครนและประเทศตะวันตก แต่ยังคงส่งโดรนให้รัสเซีย โดยระบุว่า “Mavic จากจีนเปิดขายให้รัสเซีย แต่ปิดให้ยูเครน” ซึ่งเป็นโดรนรุ่นยอดนิยมของบริษัท DJI จากจีน

เลนสกีเผยอีกว่า มีสายการผลิตโดรนตั้งอยู่ในรัสเซียโดยมีตัวแทนจากจีนอยู่ด้วย ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ยุโรปที่ระบุว่าจีนได้ลดการส่งออกชิ้นส่วนโดรน เช่น แม่เหล็กมอเตอร์ ไปยังตะวันตก แต่เพิ่มการส่งให้รัสเซีย

แม้จีนจะอ้างความเป็นกลาง แต่ตลอดช่วงสงคราม โดรนได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในสนามรบ โดยทั้งสองฝ่ายนำมาใช้ในภารกิจลาดตระเวนและโจมตีแม่นยำ ขณะที่ยูเครนเตรียมเพิ่มกำลังการผลิตโดรนภายในประเทศให้ถึงขีดสุด เพื่อลดการพึ่งพาต่างชาติ

กระทรวงการต่างประเทศจีนยังคงปฏิเสธว่าไม่ได้ส่งยุทโธปกรณ์ให้ฝ่ายใด พร้อมยืนยันว่าควบคุมเข้มสินค้าสองทาง (Dual-use goods) แต่การที่จีนกระชับความสัมพันธ์กับรัสเซียมากขึ้น ได้สร้างความกังวลให้กับโลกตะวันตกและนาโต ซึ่งระบุว่าจีนกำลังเป็น 'ผู้สนับสนุนหลัก' ให้รัสเซียรุกรานยูเครน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top