Saturday, 31 May 2025
TheStatesTimes

บทเหยื่อปลอมบนชายแดน : เกมเดิมของฮุน เซน กับการปะทะ 10 นาทีเพื่อเช็คเคลมดินแดน

ในโลกของความขัดแย้งระหว่างรัฐ การยิงปะทะกันเพียงไม่กี่นาทีก็อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนของอธิปไตยได้ — โดยเฉพาะเมื่อมันเกิดในพื้นที่ที่ยังไม่มีเส้นแบ่งเขตที่ชัดเจน และยิ่งอันตรายมากขึ้น หากฝ่ายหนึ่งพยายามเปลี่ยน 'กระสุน' ให้กลายเป็น 'เครื่องมือทางกฎหมาย' บนเวทีโลก

เหตุปะทะที่ 'ช่องบก' จ.อุบลราชธานี ระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาในช่วงเช้าวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ใช้เวลาเพียงแค่ 10 นาที ตั้งแต่เวลา 05.45 น. ถึง 05.55 น. แต่สิ่งที่ตามมาหลังเสียงปืนเงียบลงกลับไม่เงียบตามไปด้วย เพราะทันทีที่เกิดเหตุการณ์ กองทัพบกไทยชี้แจงชัดเจนว่า เหตุปะทะเริ่มจากการที่ทหารกัมพูชาเข้ามาวางกำลังในเขต 'พื้นที่ทับซ้อน' ซึ่งยังไม่มีข้อตกลงระหว่างประเทศว่าฝ่ายใดเป็นเจ้าของที่แน่ชัด ฝ่ายไทยจึงส่งชุดประสานงานเข้าไปเจรจาตามแนวปฏิบัติปกติ แต่กลับถูกเข้าใจผิดและถูกยิงใส่ก่อน ฝ่ายไทยจึงจำเป็นต้องตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง ก่อนที่ผู้บัญชาการทั้งสองฝ่ายจะโทรศัพท์และตกลงหยุดยิงในเวลาเพียงไม่ถึงสิบนาที

ในชั่วโมงแรก ฝ่ายไทยและกัมพูชาต่างแถลงตรงกันว่า “ไม่มีผู้เสียชีวิต” ท่าทีดูเหมือนจะคลี่คลาย แต่ในเวลาไม่นาน ฝ่ายกัมพูชากลับคำ และระบุว่ามีทหารของตนเสียชีวิต 1 นาย และในเวลาต่อมา สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกฯ กัมพูชา ก็ออกแถลงการณ์ประณามไทย พร้อมทั้งเปรียบเหตุการณ์นี้กับการรุกรานในช่วงปี 2008–2011 ซึ่งเคยนำไปสู่การฟ้องร้องในศาลโลกกรณีวัดพระวิหาร โดยกล่าวชัดว่าจะใช้ “ทหาร การทูต และกฎหมาย” ในการต่อสู้เพื่ออธิปไตย

ถ้าอ่านให้ลึก นี่ไม่ใช่เพียงแค่แถลงการณ์ตามพิธีการ แต่เป็น 'หมากชุดใหม่' ที่มีเป้าหมายชัดเจนมากกว่าแค่สร้างกระแสในประเทศ ฮุน เซนกำลังพยายาม 'เช็คเคลม' พื้นที่ทับซ้อนบริเวณช่องบก ซึ่งเป็นจุดที่ทั้งไทยและกัมพูชาต่างอ้างสิทธิ์มายาวนาน แต่ยังไม่มีข้อยุติทางการทูตและยังไม่ได้ตีเส้นแบ่งบนแผนที่อย่างเป็นทางการ ซึ่งในทางระหว่างประเทศนั้น การ “ครอบครองที่ดินโดยพฤติกรรม” เช่น การส่งทหาร การตั้งฐาน หรือแม้แต่การมี “เหตุปะทะที่ฝ่ายตนถูกกระทำ” ล้วนสามารถถูกใช้เป็น “พฤติการณ์ประกอบ” ในการอ้างสิทธิ์ในชั้นศาลได้

นี่คือเหตุผลว่าทำไมกัมพูชาจึงต้องกลับคำมาอ้างว่ามีผู้เสียชีวิต และทำไมฮุน เซนจึงต้องรีบโยงเรื่องนี้กลับไปยังคำวินิจฉัยของศาลโลกในอดีต เพราะในสายตาของเขา การปะทะครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องของความเข้าใจผิดชั่วคราว แต่คือการ 'สร้างพยานหลักฐาน' เพื่อใช้ในกระบวนการพิพาทเขตแดนในระดับระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อจุดปะทะอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีการปักปันเขตแดนถาวร

แต่ในทางกลับกัน สิ่งที่ประเทศไทยต้องตระหนักก็คือ ไม่ว่าใครจะเล่นเกมอะไร สิ่งสำคัญที่สุดคือ 'การรู้ทัน' และ 'การบันทึกข้อเท็จจริงอย่างเป็นระบบ' เพราะเราไม่สามารถห้ามฝ่ายตรงข้ามจากการกล่าวหาได้ แต่เราสามารถป้องกันผลลัพธ์ของคำกล่าวหานั้นได้ หากเรามีข้อมูลที่ชัดเจนและหลักฐานที่เพียงพอ

เหตุปะทะครั้งนี้อาจกินเวลาแค่ 10 นาที แต่สำหรับเวทีศาลโลก มันอาจถูกขยายความให้ยาวเป็นปี สิ่งที่ไทยต้องทำตอนนี้ไม่ใช่การโต้แย้งด้วยถ้อยคำ แต่คือการรวบรวมทุกวินาทีของความจริง ตั้งแต่การเคลื่อนกำลัง จุดปะทะ รูปแบบการตอบโต้ ไปจนถึงการเจรจาหลังเหตุการณ์ เพื่อให้โลกเห็นว่า ไทยไม่ได้รุกราน ไม่ได้เริ่มก่อน และไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องนี้ขยายตัว

เรารู้ว่าเราทำอะไร ที่ไหน และทำเพื่ออะไร นี่ไม่ใช่การหลบหลีกความรับผิดชอบ แต่คือการยืนยันในความสุจริตของการปฏิบัติหน้าที่ภายใต้กรอบของความสงบ และการรู้ทันเกมเดิมที่อีกฝ่ายพยายามเล่นซ้ำ — เพียงเปลี่ยนเวทีจากพระวิหาร มาเป็นช่องบกเท่านั้น

รัสเซียเตือนอาจโจมตีเบอร์ลิน หากเยอรมนีสนับสนุนขีปนาวุธ ‘ทอรัส’ ยูเครนโจมตีมอสโก

(29 พ.ค. 68) มาร์การิตา ซิโมนยาน บรรณาธิการบริหารของสำนักข่าว RT ของรัสเซีย ออกโรงเตือนว่า หากเยอรมนีให้การสนับสนุนด้านเทคนิคแก่ยูเครนในการใช้ขีปนาวุธ ‘ทอรัส’ โจมตีกรุงมอสโก รัสเซียอาจไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตอบโต้ด้วยการโจมตีกรุงเบอร์ลิน

เป็นที่คาดการณ์ว่าเยอรมนีอาจส่งขีปนาวุธทอรัส ให้ยูเครนกลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง หลังจากนายกรัฐมนตรีฟรีดริช เมิร์ตซ์ ระบุว่า เยอรมนีและพันธมิตรได้ยกเลิกข้อจำกัดด้านระยะการใช้อาวุธของยูเครนแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลเยอรมนีว่าจะมีการส่งมอบอาวุธดังกล่าว

ซิโมนยานโพสต์ข้อความว่า “หากเกิดการโจมตีกรุงมอสโกโดยอาวุธเยอรมันภายใต้การควบคุมของเจ้าหน้าที่เยอรมัน การตอบโต้ด้วยการยิงใส่กรุงเบอร์ลินจะเป็นทางเลือกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” โดยเธอชี้ว่า ขีปนาวุธทอรัส จำเป็นต้องใช้บุคลากรเยอรมันในการควบคุมและตั้งโปรแกรม ซึ่งยูเครนไม่สามารถดำเนินการเองได้

ด้านโฆษกเครมลิน ดมีตรี เปสคอฟ เตือนว่าหากเยอรมนีตัดสินใจส่งมอบอาวุธดังกล่าวจริง จะเป็นการยกระดับความขัดแย้งอย่างร้ายแรง และบ่อนทำลายความพยายามในการหาทางยุติสงครามในยูเครน ขณะที่รัฐบาลเยอรมนีภายใต้การนำของอดีตนายกรัฐมนตรีโอลาฟ โชลซ์ เคยยืนยันมาตลอดว่าจะไม่ส่งขีปนาวุธทอรัส เพราะเสี่ยงต่อการถูกดึงเข้าไปในความขัดแย้งโดยตรงกับรัสเซีย

‘กรมธุรกิจพลังงาน’ ขันน็อต ออก 4 มาตรการ เฝ้าระวัง - เตรียมความพร้อมขนส่งน้ำมันทางถนน

กรมธุรกิจพลังงาน กำชับผู้ประกอบกิจการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง เพิ่มมาตรการในการประกอบกิจการรวมถึงเฝ้าระวังและเตรียมความพร้อมในการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทางถนน ให้มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ 

เมื่อวันที่ (27 พ.ค. 68) นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เปิดเผยว่า ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาของปี พ.ศ. 2568 กรมฯ ได้รับรายงานการเกิดอุบัติภัยของรถขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นจำนวนกว่า 26 ครั้ง ประกอบกับปัจจุบันประเทศไทยมีฝนตกฟ้าคะนองรุนแรงในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ เป็นเหตุให้เกิดความเสี่ยงในการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทางถนน ซึ่งอาจส่งผลต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงผู้ประกอบกิจการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง 

ดังนั้น เพื่อให้การขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทางถนนเป็นไปด้วยความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ กรมฯ จึงได้กำชับให้ผู้ประกอบกิจการถังขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้        

1. ตรวจสอบและกำชับผู้ขับขี่ หรือผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับถังขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงให้ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง กฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก รวมถึงกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเตรียมความพร้อม พักผ่อนอย่างเพียงพอ และเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ชุมชนและพื้นที่ความเสี่ยงสูง รวมถึงห้ามบริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ยารักษาโรคที่มีสารที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและสารเสพติดอื่นโดยเด็ดขาด

2. ตรวจสอบสภาพความพร้อมของยานพาหนะ เช่น ระบบขับเคลื่อน ระบบห้ามล้อ ยางรถ ถังขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง ระบบท่อและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงอุปกรณ์สำหรับป้องกันและระงับอัคคีภัย

3. ตรวจสอบเส้นทางและวางแผนเส้นทางการขนส่ง เพื่อกำหนดเส้นทางการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างปลอดภัย กำหนดจุดเฝ้าระวัง เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติภัย รวมถึงการตรวจสอบรายงานสภาพอากาศ การพยากรณ์อากาศ และประกาศแจ้งเตือนภัยพิบัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

4. พิจารณาการประยุกต์ใช้ระบบหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดการควบคุมพฤติกรรมการขับขี่ เช่น ระบบติดตามภายในรถ (In Vehicle Monitoring System; IVMS) ระบบ GEO Fence ระบบ GPS ตรวจจับตำแหน่งและความเร็วรถ ระบบกล้อง CCTV เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมการขับขี่ ระบบแจ้งเตือนความเร็วและระยะเวลาขับขี่เกินกำหนด ระบบป้องกันการหลับใน 

‘อาร์ต พศุตม์’ ยังไม่จบง่าย ๆ ฝากถึงทักษิณ - นายกฯ อิงค์ บอกคนอย่างหมอไม่ควรอยู่ข้างๆ จะทำให้เสียชื่อ

‘อาร์ต พศุตม์’ ยังไม่จบง่าย ๆ ฝากถึงทักษิณ - นายกฯ อิงค์ บอกคนอย่างหมอไม่ควรอยู่ข้างๆ จะทำให้เสียชื่อ

พลเรือโท อาภา ชพานนท์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 ร่วมงานแถลงข่าวการจัดแสดงกาชาดคอนเสิร์ต ครั้งที่ 51 ประจำปี 2568

เมื่อวานนี้ (28 พ.ค.68) พลเรือโท อาภา ชพานนท์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 ร่วมงานแถลงข่าวการจัดแสดงกาชาดคอนเสิร์ต ครั้งที่ 51 ประจำปี 2568 พร้อมร่วมมอบเงินบริจาคเพื่อสนับสนุนกิจกรรมของสภากาชาดไทย ณ ห้องเจ้าพระยา หอประชุมกองทัพเรือ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร โดยมี พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะประธานกรรมการจัดการแสดงกาชาดคอนเสิร์ต เป็นประธานในพิธีแถลงข่าวครั้งนี้

ในโอกาสนี้ พันเอกหญิง ขวัญโศภิษฐ์ ชพานนท์ ภริยาผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 ซึ่งเป็นสมาชิกสมาคมภริยาทหารเรือ ได้ร่วมมอบเงินบริจาคเพื่อสนับสนุนกิจกรรมของสภากาชาดไทย ในนามของสมาคมภริยาทหารเรือ เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือประชาชนและสังคม

การจัดแสดงกาชาดคอนเสิร์ตนับเป็นกิจกรรมสำคัญในการระดมทุนเพื่อสนับสนุนภารกิจของสภากาชาดไทย ซึ่งรายได้จากการแสดงจะนำไปใช้ในการดำเนินงานเพื่อช่วยเหลือประชาชนในด้านต่าง ๆ อีกทั้งยังสะท้อนถึงบทบาทของกองทัพเรือในการมีส่วนร่วมสร้างคุณประโยชน์แก่สังคมอย่างยั่งยืน

กองทัพเรือร่วมกับสภากาชาดไทย มีกำหนดจัดการแสดงกาชาดคอนเสิร์ต ครั้งที่ 51 ภายใต้ชื่อชุดการแสดง 'SEA OF LOVE' 🫧 ในวันจันทร์ที่ 9 และวันอังคารที่ 10 มิถุนายน 2568 เวลา 19.30 น. ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย

NETA โต้ลือหนีตลาดไทย หลังผู้บริหารโยกตำแหน่ง ย้ำมุ่งมั่นขยายธุรกิจ ไม่ทิ้งลูกค้า พร้อมเดินหน้าธุรกิจต่อ

(29 พ.ค. 68) NETA ออโต้ (ไทยแลนด์) ออกแถลงการณ์ยืนยันยังคงดำเนินธุรกิจในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมย้ำไม่ทิ้งลูกค้าไทย ท่ามกลางกระแสข่าวลือบนโซเชียลเกี่ยวกับการถอนตัวของผู้บริหารชาวจีนและความไม่ชัดเจนของโครงสร้างบริษัท 

บริษัทชี้แจงว่าการเปลี่ยนชื่อกรรมการเป็นคนไทยในหนังสือรับรองอยู่ระหว่างการแต่งตั้งคณะกรรมการใหม่ โดยมีตัวแทนจากสำนักงานใหญ่ประเทศจีนร่วมดำรงตำแหน่งใน NETA Thailand และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 12 มิ.ย. 2568

ส่วนกรณีผู้บริหารชาวจีน นายซูน เปาหลง ได้รับตำแหน่งใหม่ระดับภูมิภาคในฐานะหัวหน้าธุรกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังคงดูแลตลาดไทยควบคู่ไปด้วย ขณะที่ประเด็นการเปลี่ยนแปลงชื่อกรรมการและสัญญาเช่าออฟฟิศที่ RSU Tower บริษัทระบุว่ามีการต่อสัญญาเรียบร้อยแล้ว

NETA ย้ำว่าข่าวลือเรื่องการปิดกิจการไม่เป็นความจริง พร้อมยืนยันเดินหน้าพัฒนาบริการหลังการขาย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าชาวไทยต่อไป

นราธิวาส-ชาวนราฯสุขใจ ต้อนรับหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่ “มอบรอยยิ้ม ด้วยหัวใจ ไทยเดียวกัน”

ประชาชนชาวจังหวัดนราธิวาส แห่เข้าร่วมโครงการ “มอบรอยยิ้ม ด้วยหัวใจ ไทยเดียวกัน” ของหน่วยทันตแพทย์จิตอาสามูลนิธิบุญญานุภาพซึ่งเป็นหน่วยทันตกรรมของเอกชน ตั้งอยู่ในพื้นที่ของวัดห้วยไคร้ใหม่ ตำบลห้วยไคร้  อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และเป็นหน่วยทันตกรรมครบวงจร มาให้บริการทางด้านการอุดฟัน ขูดหินปูน รักษาโรคเหงือก ถอนฟัน ผ่าฟันคุด ตกแต่งกระดูก รักษาคลองรากฟัน 

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการบริการ ทันตอนามัยการดูแลสุขภาพช่องปากและวิธีการแปรงฟันอย่างถูกวิธีเป็นการป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพในช่องปาก แก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส โดยเฉพาะกลุ่มพระภิกษุ ผู้นำศาสนา สามเณร แม่ชี และบุคคลทั่วไป ที่มีความจำเจ็บแต่ขาดโอกาสในการเข้าถึงการบริการทางด้านทันกรรม ดำเนินงานภายใต้หลักเมตตาธรรมแบบครบวงจร โดยไม่คิดมูลค่า และให้บริการใส่ฟันทุกประเภท โดยเฉพาะการใส่ฟันให้กับ พระภิกษุ สามเณร แม่ชีซึ่งให้บริการฟรีโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้หน่วยทันกรรมเคลื่อนที่จัดโครงการในวันที่ 28-29 พฤษภาคม 2568 ณ หอประชุมเฉลิมพระเกีรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา ศาลากลางจังหวัดนราธิวาส โดยพลตรี ชาคริต อุจะรัตน รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค4ส่วนหน้า ( ผอ.รมน.ภาค4 สน.) เป็นประธานเปิดพิธี กลุ่มเป้าหมายที่มารับบริการ จำนวน 600 คน  วันที่28 พ.ค 2568 ประชาชนทั่วไปและเจ้าหน้าที่ จำนวน 300 คน และวันที่29 พ.ค 2568  ช่วงเช้า พระภิกษุ/ ผู้นำศาสนาจำนวน100คน  และประชาชน 50คน  ช่วงบ่าย ประชาชน จำนวน 150 คน รวม 600 คน  

สำหรับหน่วยทันตกรรมบุญญานุภาพ ก่อตั้งขึ้น เมื่อ วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2559 โดย พล.ต.ทพ. รังรักษ์ อิงอร่าม ที่ปรึกษากองทันตกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า หลังจากเสร็จภารกิจออกหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่ ที่วัดห้วยไคร้ใหม่ ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ก็ได้นำเก้าอี้ทำฟันตัวแรก ซึ่งบริจาคโดยคุณหญิงรัตนาภรณ์ มรูสุวรรณ เข้าติดตั้งในอาคารอำนวยการ ของโครงการบ้านพักคนชรา วัดห้วยไคร้ใหม่ โดยอยู่ในความอุปถัมภ์ของ ท่านพระเดชพระคุณ พระพุทธิวงศ์วิวัฒน์ เจ้าคณะอำเภอแม่สาย เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยตุงและวัดห้วยไคร้ใหม่ ด้วยบารมีของท่านเจ้าคุณพระพุทธิวงศ์วิวัฒน์ หน่วยทันตกรรมบุญญานุภาพได้ทำข้อตกลง ความร่วมมือ กับ ทางโรงพยาบาลแม่สาย และ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลห้วยไคร้  ที่เข้ามาร่วมดำเนินงาน และให้การสนับสนุนวัสดุทันตกรรมบางส่วน โดยบรรจุหน่วยทันตกรรมบุญญานุภาพ เป็นหน่วยย่อยของโครงการออกหน่วย บริการชุมชนของอำเภอแม่สาย  ทั้งยังส่งกำลังพลมาช่วยปฏิบัติงานทุกๆเดือน และช่วยดูแลติดตามผลการทำงานของหน่วยฯ ทำให้หน่วยฯ ทำงานด้วยความสบายใจ ไม่ต้องกังวล กับปัญหาที่อาจเกิดตามมาภายหลังการทำงาน เหมือนกับหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่ทั่วๆไปการปฏิบัติงาน ปัจจุบันเราให้การบริการทุก ๆ เดือน เดือนละ 2 วัน จะเป็นวันจันทร์ และอังคารสัปดาห์ที่ 3

นาวาเอก ยุทธนา สระดี รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดนราธิวาส ฝ่ายทหาร ได้รับความร่วมมือจากกองอำนวยการการรักษาความมั่นคงภายในภาค4 ส่วนหน้า โดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดนราธิวาส ศูนย์สันติวิธี  หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน กองทัพเรือศูนย์ประสานการแพทย์จังหวัดชายแดนใต้ โรงเรียนนราธิวาสการบริบาล กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด,โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์, องค์การบริหารส่วนจังหวัด,การประปาส่วนภูมิภาค สาขานราธิวาส บริษัทพิธานพานิชย์ มีทีมทันตแพทย์และเจ้าหน้าที่จิตอาสา เป็นกุศลยึดมั่นในหลัก “ให้ด้วยใจ ไทยเดียวกัน” เพื่อสร้างรอยยิ้มแห่งความสุขและสุขภาพช่องปากที่ดีแก่ทุกคน

NiA : สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ “จากการลดค่าไฟ สู่การลดอุณหภูมิโลก “ขอเชิญชวนประกวดผลงานด้านนวัตกรรมเวทีระดับชาติ

(29 พ.ค. 68) อากาศร้อน ค่าไฟพุ่ง ถือเป็นประเด็นหนึ่งที่คนในสังคมให้ความสนใจ โดยเฉพาะในปัจจุบันที่สภาพอากาศทั่วโลกได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน จนภูมิอากาศแปรปรวน และทำให้อุณหภูมิพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แน่นอนว่าปัจจัยเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะเมื่ออุณหภูมิรอบตัวสูงขึ้น เครื่องใช้ไฟฟ้าโดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็นก็ต้องทำงานหนักมากขึ้นตาม นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมค่าไฟจึงแพงขึ้นแม้ว่าจะใช้ไฟฟ้าในปริมาณเท่าเดิม ปัญหานี้ส่งผลกระทบกับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความจำเป็นต้องใช้งานเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ผลผลิตตามเป้าหมายที่ต้องการ ซึ่งนั่นหมายถึงภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นมหาศาล หากไม่มีการบริหารจัดการหรือวางแผนรับมืออย่างเหมาะสม ก็อาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินได้ 

ด้วยเหตุนี้ ‘บริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด’ Charoenchai Transformer องค์กรที่มีประสบการณ์การทำหม้อแปลงไฟฟ้ามายาวนานกว่า 60 ปี มองเห็นปัญหาในส่วนนี้ จึงได้คิดค้นนวัตกรรม “หม้อแปลง BCG & Low Carbon” ที่ตอบโจทย์ปัญหาเรื่องค่าไฟ และยังสามารถแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-zero) ในปี 2065 

นวัตกรรมหม้อแปลง BCG & Low Carbon เป็นหม้อแปลงรักษาระดับแรงดันไฟฟ้าให้คงที่แบบอัตโนมัติ (220/380 โวลต์) มีความสามารถในการบริหารจัดการพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและมีเสถียรภาพ สามารถควบคุมการใช้พลังงานได้เรียลไทม์ผ่านเทคโนโลยี IoT การติดตั้งหม้อแปลงนี้สามารถลดค่าไฟได้ 5–20% และยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องจักร 

ไม่เพียงแค่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย หม้อแปลง BCG & Low Carbon ยังเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการลดคาร์บอนให้กับภาคธุรกิจ โดยได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก. / TGO) จากการประเมินความสามารถในการลดก๊าซเรือนกระจกได้ 69.746 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าเมื่อปี 2565 ซึ่งการลดคาร์บอนได้มากถึง 100 ล้านตัน เทียบได้กับการปลูกป่า 105,263,158 ไร่เลยทีเดียว 

จากคุณสมบัติที่โดดเด่นนี้จะเห็นได้ว่าหม้อแปลง BCG & Low Carbon เป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์สำหรับภาคธุรกิจ และยังช่วยสนับสนุนการพัฒนาประเทศไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)

โดยนวัตกรรมหม้อแปลง BCG & Low Carbon นี้ ถือเป็นหนึ่งความสำเร็จของแวดวงเทคโนโลยีด้านพลังงาน จนได้รับ ‘รางวัลชนะเลิศ การประกวดรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ด้านเศรษฐกิจ ประเภทวิสาหกิจขนาดกลาง NIA ประจำปี 2566’ ซึ่งสะท้อนให้เห็นศักยภาพของนวัตกรรม ทั้งในมิติของคุณค่าเชิงเศรษฐกิจและการมุ่งสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนของประเทศ ผ่านการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้กับผู้ประกอบการ และส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ 

NIA ในฐานะองค์กรหลักในการเสริมสร้างระบบนวัตกรรมแห่งชาติ เพื่อเพิ่มคุณค่าที่ยั่งยืน จึงได้จัดการประกวดรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติขึ้นเพื่อเชิดชูเกียรติผลงานนวัตกรรมไทยที่สร้างการเปลี่ยนแปลงและก่อให้เกิดประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศมาอย่างต่อเนื่องกว่า 20 ปี และปีนี้กลับมาอีกครั้ง! กับการประกวดรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2568

ขอเชิญชวนทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลทั่วไป หน่วยงานรัฐ บริษัทเอกชน สถาบันการศึกษา สมาคม ร่วมส่งผลงานนวัตกรรมเข้าประกวดในเวทีระดับชาติ “รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2568” รางวัลทรงเกียรติสูงสุดของวงการนวัตกรรมไทย ส่งผลงานได้แล้วตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน ดูคู่มือการประกวดและสมัครผ่านทางออนไลน์ได้ที่ https://award.nia.or.th

อ่านเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้ที่ https://tinyurl.com/yc67x2bj

ติดตามคอนเทนต์ด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี และสตาร์ทอัพที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่
https://www.nia.or.th/article/blog.html

#NIA #NIAFocalConductor #มุ่งเป้าสู่ชาตินวัตกรรม #Innovation #นวัตกรรม #หม้อแปลงไฟฟ้า #BCG #LowCarbon

อ้างอิงข้อมูลจาก:
https://youtu.be/G_MrxotdPpg?si=VBJ2kGoAMgZE-oeJ
https://bcg.in.th/news/thailand-energy-awards-2023/
https://www.bangkokbiznews.com/pr-news/news/prnews/1093560

นายกรัฐมนตรี 'แพทองธาร' นำทัพตำรวจลุยเดือด ปราบยาเสพติดทั่วประเทศ ยึดยาบ้า 29.93 ล้านเม็ด ไอซ์และคีตามีน 4,443 กิโลกรัม และเฮโรอีน 126 กิโลกรัม ยึดอายัดทรัพย์สิน 1,900 ล้านบาท ล่าถึงทรัพย์!

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงต่อที่ประชุมรัฐสภา เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567 ว่าปัญหายาเสพติดถือเป็นนโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และคุณภาพชีวิตของเยาวชนไทย รัฐบาลจึงได้ประกาศให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็น 'วาระแห่งชาติ' โดยจะดำเนินการอย่างเด็ดขาด ครอบคลุม และเป็นระบบ ทั้งการตัดต้นตอการผลิตและจำหน่าย ด้วยความร่วมมือจากประเทศเพื่อนบ้าน การสกัดกั้นเส้นทางลำเลียงการปราบปรามจับกุมผู้ค้า และการยึดทรัพย์สินของเครือข่ายผู้กระทำผิดรายสำคัญ พร้อมทั้งมีระบบฟื้นฟูและติดตามผู้เสพ เพื่อป้องกันไม่ให้กลับเข้าสู่วงจรอีก และเพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพเกิดผลในทางปฏิบัติ รัฐบาลได้ผลักดัน ยุทธศาสตร์ SEAL – STOP – SAFE อย่างเข้มข้น โดย SEAL: ปิดล้อมพื้นที่ต้นทาง สกัดยาไม่ให้ทะลักเข้าไทย/ STOP: หยุดยั้งการแพร่ระบาดในประเทศ โดยกวาดล้างผู้ค้าอย่างเด็ดขาด/ SAFE: ทำให้ชุมชนปลอดภัย ลูกหลานไทยห่างไกลยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. สนองนโยบายดังกล่าวทันที พร้อมเปิดยุทธการเชิงรุกปราบปรามยาเสพติดแบบเข้มข้นทั่วประเทศ ปิดล้อม–บุกจับ–ขยายผล-ยึดทรัพย์ ทั้งคน ทั้งเส้นทางการเงิน ทั้งทรัพย์สิน ไม่มีละเว้น!

ล่าสุดวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 เวลา 09.30 ณ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาเป็นประธานการประชุมมอบนโยบายและแถลงผลการปฏิบัติ พร้อมด้วย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี, พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร./ประธานอนุกรรมการป้องกันปราบปรามการพักคอยยาเสพติดในพื้นที่ตอนในและสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดลงสู่พื้นที่ภาคใต้, พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง, พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์, พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า รอง ผบช.ปส. รวมถึง ผบก.ในสังกัด เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

ตลอดระยะเวลากว่า 2 เดือน ที่ผ่านมา (1 เม.ย. – ปัจจุบัน) หลังจากการเปิดปฏิบัติการ SEAL – STOP – SAFE กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ได้เดินหน้า ปิดล้อม–บุกจับ–ขยายผล-ยึดทรัพย์ เครือข่ายรายสำคัญได้กว่า 31 คดี ผู้ต้องหา 34 คน ยึดยาบ้า 29.93 ล้านเม็ด, เฮโรอีน 126 กิโลกรัม, ไอซ์และคีตามีน 4,443 กิโลกรัม ยึดอายัดทรัพย์สิน 1,900 ล้านบาท ยุทธการเชิงรุกในการสกัดกั้นและขยายผลการปราบปรามยาเสพติดในครั้งนี้ รายละเอียด ดังนี้ 
- สกัดกั้นจากชายแดนภาคเหนือ 10 คดี ผู้ต้องหา 17 คน ของกลาง ยาบ้ากว่า 29.93 ล้านเม็ด, เฮโรอีน 70 กิโลกรัม, ไอซ์และคีตามีน 2,476 กิโลกรัม 
- สกัดกั้นจากชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 คดี ผู้ต้องหา 8 คน ของกลาง ไอซ์ 697 กิโลกรัม 
- สกัดกั้นในพื้นที่ภาคใต้ไม่ให้ผ่านไปยังประเทศที่สาม 4 คดี ผู้ต้องหา 9 คน ของกลาง ไอซ์ 1,132 กิโลกรัม 
- สกัดกั้นลักลอบลำเลียงยาเสพติด ผ่านสนามบินสุวรรณภูมิ ปลายทาง ได้แก่ ออสเตรเลีย, ไต้หวัน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และกินี ตามโครงการ AITF 15 คดี ของกลาง ไอซ์ 137.68 กิโลกรัม และ เฮโรอีน 57.26 กิโลกรัม

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลเปิดปฏิบัติการ “SEAL-STOP-SAFE” เมื่อ 1 ก.พ.68 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เพิ่มความเข้มในการสกัดกั้นจับกุมในพื้นที่ชายแดน โดยให้ทุกหน่วยเปิดปฏิบัติการบุกทะลวงเครือข่ายลักลอบลำเลียงยาเสพติดรายสำคัญแบบไม่ให้ตั้งตัว เข้าถึงเป้าหมายอย่างเฉียบขาด ทลายจุดพักยา และเส้นทางลำเลียงอย่างเด็ดขาด พร้อมยึดอายัดทรัพย์สินที่ได้จากการค้ายาเสพติด ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรู บ้านพักหรู เงินสด ทองรูปพรรณ หรือทรัพย์สินที่ซุกซ่อนในรูปแบบซับซ้อน ทุกชิ้นถูกกวาดล้างอย่างไม่ปรานีและไม่มีหลุดรอดแม้แต่รายการเดียว ปฏิบัติการนี้สอดรับนโยบายอย่างเข้มข้น และที่สำคัญ ไม่ใช่แค่ “จับคนผิด” แต่ไล่ล่าทุกเส้นทางการเงิน ขยายผลถึงทรัพย์สิน ดำเนินการยึด อายัด และฟ้องร้องตามกฎหมายให้ถึงที่สุด ไม่มีละเว้น ไม่มียกเว้น! ทำให้มีผลการจับกุมและยึดทรัพย์สิน “เพิ่มขึ้นทุกมิติ” เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 และผลการปฏิบัติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 (7 เดือน) 

-ปิดล้อมตรวจค้น 25,745 เป้าหมาย, 6,549 เครือข่าย จับกุมผู้ค้ารายย่อย 34,563 คน ยึดยาบ้า 152 ล้านเม็ด, ไอซ์ 13,335 กิโลกรัม, อาวุธปืน 1,798 กระบอก, ระเบิด 4 ลูก และยึดทรัพย์สิน 2,795 ล้านบาท 

-จับกุมผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดทุกข้อหาทั่วประเทศ 158,832 คดี ผู้ต้องหา 157,881 คน จับกุมตามหมายจับ 3,899 คน ดำเนินคดีข้อหาสมคบ สนับสนุน 2,338 คดีข้อหาฟอกเงิน 181 คดี ของกลางยาเสพติด ยาบ้า 645.93 ล้านเม็ด, ไอซ์ 34,223 กก., เฮโรอีน 938 กก., คีตามีน 4,471 กก. และยาอี 271,329 เม็ด ยึดอายัดทรัพย์ผู้ค้ายาเสพติด 8,064 ล้านบาท  พร้อมทั้งได้สั่งการให้ขยายผลถึงระดับเครือข่ายและผู้สั่งการ ถือเป็นสัญญาณเตือนแรง! ถึงกลุ่มค้ายาที่ยังเหลืออยู่ว่า “ไม่มีที่ยืนในแผ่นดินไทย!”  

ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหายาเสพติดได้ โดยหากพบเบาะแส สามารถแจ้งได้ที่สถานีตำรวจใกล้บ้าน หรือโทรสายด่วน 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

MateBook Pro ใหม่จาก Huawei ใช้ชิป 5nm ผลิตโดย SMIC ไม่ง้อสหรัฐ

(29 พ.ค. 68) Huawei และ SMIC สร้างความฮือฮาในวงการเซมิคอนดักเตอร์ หลังมีรายงานว่าชิป Kirin X90 ที่ใช้ใน Huawei MateBook Pro รุ่นใหม่ ผลิตบนกระบวนการ 5nm N+3 node ได้สำเร็จโดยไม่ใช้เทคโนโลยี EUV จาก ASML ที่จีนไม่สามารถเข้าถึงได้ เพราะมาตรการแบนจากสหรัฐและเนเธอร์แลนด์

แม้จะใช้เทคโนโลยี DUV ที่ล้าหลังกว่า แต่ SMIC สามารถพัฒนาเทคนิค multi-patterning เพื่อให้ได้ลวดลายที่เล็กพอสำหรับระดับ 5nm ที่ใช้ต้นทุนสูง อัตราสำเร็จต่ำเพียง 20% แต่ถือเป็นก้าวสำคัญของจีนในการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยีขั้นสูง โดยไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์จากตะวันตก

ในด้านซอฟต์แวร์ Huawei ยังเดินหน้าทดแทนเทคโนโลยีที่ถูกจำกัดเช่นกัน โดยเปิดตัว HarmonyOS Next ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุดที่ไม่พึ่งพาโค้ดโอเพ่นซอร์สของ Android อีกต่อไป ขณะเดียวกันยังได้พัฒนา HarmonyOS 5 สำหรับพีซี โดยมีเป้าหมายแทนที่ระบบ Windows ในอนาคต

ความสำเร็จของ Huawei และ SMIC ในครั้งนี้ อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับชาติตะวันตก และสะท้อนถึงความสามารถของจีนในการพัฒนาเทคโนโลยีชั้นสูง แม้ต้องเผชิญข้อจำกัดด้านอุปกรณ์และการเข้าถึงทรัพยากรระดับโลก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top