บทเหยื่อปลอมบนชายแดน : เกมเดิมของฮุน เซน กับการปะทะ 10 นาทีเพื่อเช็คเคลมดินแดน
ในโลกของความขัดแย้งระหว่างรัฐ การยิงปะทะกันเพียงไม่กี่นาทีก็อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนของอธิปไตยได้ — โดยเฉพาะเมื่อมันเกิดในพื้นที่ที่ยังไม่มีเส้นแบ่งเขตที่ชัดเจน และยิ่งอันตรายมากขึ้น หากฝ่ายหนึ่งพยายามเปลี่ยน 'กระสุน' ให้กลายเป็น 'เครื่องมือทางกฎหมาย' บนเวทีโลก
เหตุปะทะที่ 'ช่องบก' จ.อุบลราชธานี ระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาในช่วงเช้าวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ใช้เวลาเพียงแค่ 10 นาที ตั้งแต่เวลา 05.45 น. ถึง 05.55 น. แต่สิ่งที่ตามมาหลังเสียงปืนเงียบลงกลับไม่เงียบตามไปด้วย เพราะทันทีที่เกิดเหตุการณ์ กองทัพบกไทยชี้แจงชัดเจนว่า เหตุปะทะเริ่มจากการที่ทหารกัมพูชาเข้ามาวางกำลังในเขต 'พื้นที่ทับซ้อน' ซึ่งยังไม่มีข้อตกลงระหว่างประเทศว่าฝ่ายใดเป็นเจ้าของที่แน่ชัด ฝ่ายไทยจึงส่งชุดประสานงานเข้าไปเจรจาตามแนวปฏิบัติปกติ แต่กลับถูกเข้าใจผิดและถูกยิงใส่ก่อน ฝ่ายไทยจึงจำเป็นต้องตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง ก่อนที่ผู้บัญชาการทั้งสองฝ่ายจะโทรศัพท์และตกลงหยุดยิงในเวลาเพียงไม่ถึงสิบนาที
ในชั่วโมงแรก ฝ่ายไทยและกัมพูชาต่างแถลงตรงกันว่า “ไม่มีผู้เสียชีวิต” ท่าทีดูเหมือนจะคลี่คลาย แต่ในเวลาไม่นาน ฝ่ายกัมพูชากลับคำ และระบุว่ามีทหารของตนเสียชีวิต 1 นาย และในเวลาต่อมา สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกฯ กัมพูชา ก็ออกแถลงการณ์ประณามไทย พร้อมทั้งเปรียบเหตุการณ์นี้กับการรุกรานในช่วงปี 2008–2011 ซึ่งเคยนำไปสู่การฟ้องร้องในศาลโลกกรณีวัดพระวิหาร โดยกล่าวชัดว่าจะใช้ “ทหาร การทูต และกฎหมาย” ในการต่อสู้เพื่ออธิปไตย
ถ้าอ่านให้ลึก นี่ไม่ใช่เพียงแค่แถลงการณ์ตามพิธีการ แต่เป็น 'หมากชุดใหม่' ที่มีเป้าหมายชัดเจนมากกว่าแค่สร้างกระแสในประเทศ ฮุน เซนกำลังพยายาม 'เช็คเคลม' พื้นที่ทับซ้อนบริเวณช่องบก ซึ่งเป็นจุดที่ทั้งไทยและกัมพูชาต่างอ้างสิทธิ์มายาวนาน แต่ยังไม่มีข้อยุติทางการทูตและยังไม่ได้ตีเส้นแบ่งบนแผนที่อย่างเป็นทางการ ซึ่งในทางระหว่างประเทศนั้น การ “ครอบครองที่ดินโดยพฤติกรรม” เช่น การส่งทหาร การตั้งฐาน หรือแม้แต่การมี “เหตุปะทะที่ฝ่ายตนถูกกระทำ” ล้วนสามารถถูกใช้เป็น “พฤติการณ์ประกอบ” ในการอ้างสิทธิ์ในชั้นศาลได้
นี่คือเหตุผลว่าทำไมกัมพูชาจึงต้องกลับคำมาอ้างว่ามีผู้เสียชีวิต และทำไมฮุน เซนจึงต้องรีบโยงเรื่องนี้กลับไปยังคำวินิจฉัยของศาลโลกในอดีต เพราะในสายตาของเขา การปะทะครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องของความเข้าใจผิดชั่วคราว แต่คือการ 'สร้างพยานหลักฐาน' เพื่อใช้ในกระบวนการพิพาทเขตแดนในระดับระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อจุดปะทะอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีการปักปันเขตแดนถาวร
แต่ในทางกลับกัน สิ่งที่ประเทศไทยต้องตระหนักก็คือ ไม่ว่าใครจะเล่นเกมอะไร สิ่งสำคัญที่สุดคือ 'การรู้ทัน' และ 'การบันทึกข้อเท็จจริงอย่างเป็นระบบ' เพราะเราไม่สามารถห้ามฝ่ายตรงข้ามจากการกล่าวหาได้ แต่เราสามารถป้องกันผลลัพธ์ของคำกล่าวหานั้นได้ หากเรามีข้อมูลที่ชัดเจนและหลักฐานที่เพียงพอ
เหตุปะทะครั้งนี้อาจกินเวลาแค่ 10 นาที แต่สำหรับเวทีศาลโลก มันอาจถูกขยายความให้ยาวเป็นปี สิ่งที่ไทยต้องทำตอนนี้ไม่ใช่การโต้แย้งด้วยถ้อยคำ แต่คือการรวบรวมทุกวินาทีของความจริง ตั้งแต่การเคลื่อนกำลัง จุดปะทะ รูปแบบการตอบโต้ ไปจนถึงการเจรจาหลังเหตุการณ์ เพื่อให้โลกเห็นว่า ไทยไม่ได้รุกราน ไม่ได้เริ่มก่อน และไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องนี้ขยายตัว
เรารู้ว่าเราทำอะไร ที่ไหน และทำเพื่ออะไร นี่ไม่ใช่การหลบหลีกความรับผิดชอบ แต่คือการยืนยันในความสุจริตของการปฏิบัติหน้าที่ภายใต้กรอบของความสงบ และการรู้ทันเกมเดิมที่อีกฝ่ายพยายามเล่นซ้ำ — เพียงเปลี่ยนเวทีจากพระวิหาร มาเป็นช่องบกเท่านั้น
