Sunday, 1 June 2025
TheStatesTimes

สมุทรปราการ-ลพบุรี ส่งเสริมการตลาดเปิดงาน 'ลพบุรี MARKET FEST เทศกาลของดี ของเด็ดจังหวัดลพบุรี'  

                    

เมื่อวันที่ (29 พ.ค.68) นายประยูร ศิริวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ภายใต้โครงการส่งเสริมการตลาดสินค้าเกษตรปลอดภัย และการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ กิจกรรม ส่งเสริมการตลาดและเชื่อมโยงการจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ และอาหารปลอดภัยนอกพื้นที่จังหวัดลพบุรี โครงการตามแผนปฏิบัติราชการของจังหวัดลพบุรี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 

ภายใต้ชื่องาน 'ลพบุรี MARKET FEST เทศกาลของดี ของเด็ดจังหวัดลพบุรี' โดยมี นางสาวกษมา สุทธวิชัย พาณิชย์จังหวัดลพบุรี พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการ คุณโอฬาร กิจเลิศไพโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ศูนย์การค้าอิมพีเรียล เวิลด์ สำโรง ตลอดจนแขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชน ณ Big Zone ชั้น 1 ศูนย์การค้าอิมพีเรียล เวิลด์ สำโรง อ.เมือง จ.สมุทรปราการ โดยจังหวัดลพบุรี โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดลพบุรี ในฐานะที่เป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริม ด้านการตลาด ขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าของจังหวัด 

กำหนดจัดกิจกรรมงานแสดงและจำหน่ายสินค้าและการเจรจาธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจการค้าของผู้ผลิต ผู้ประกอบการ วิสาหกิจชุมชน เกษตรกรผู้ผลิตสินค้าเกษตร เกษตรปลอดภัย สินค้า OTOP/SMEs ตลอดจนผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องของจังหวัดลพบุรี ได้รับการ สนับสนุนส่งเสริมด้านการตลาดในการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง การจัดงาน 'ลพบุรี MARKET FEST : เทศกาลของดี ของเด็ดจังหวัดลพบุรี' จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 พฤษภาคม – 2 มิถุนายน 2568 ณ Big Zone ชั้น 1 ศูนย์การค้าอิมพีเรียล เวิลด์ สำโรง อ.เมือง จ.สมุทรปราการ

เพื่อให้ผู้ผลิตผู้ประกอบการสินค้าเกษตร ผลิตภัณฑ์และอาหารปลอดภัยของจังหวัดลพบุรี มีช่องทางการจำหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้น รวมทั้งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้สินค้าดี สินค้าเด่นของจังหวัดลพบุรี ให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ภายในงานได้มีการจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าเกษตร ผลิตภัณฑ์และอาหารปลอดภัย สินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) สินค้า OTOP/SMEs ของผู้ประกอบการ กลุ่มเกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชม กลุ่มสมาชิก MOC BIZ CLUB เข้าร่วมแสดงและจำหน่ายสินค้า รวมทั้งสิ้น 50 คูหา
​นอกจากนี้ภายในงานยังมีกิจกรรมเจรจาธุรกิจ เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น รวมถึงกิจกรรมพิเศษอื่นๆ เช่น กิจกรรมนาทีทองที่ทุกท่านจะสามารถซื้อสินค้าภายในงานได้ในราคาถูก , กิจกรรมจับสลากลุ้นรางวัลทุกวัน รวมมูลค่ากว่า 50,000 บาท ตลอดการจัดงาน และในทุกวัน เวลา 17.30 น. เป็นต้นไป

นอกจากนี้ ยังมีการแสดงมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดัง อาทิ ​29 พฤษภาคม 2568 พบกับ ก้านตอง ทุ่งเงิน​​ 30 พฤษภาคม 2568 พบกับ ก๊อต สุทธิรักษ์ 31 พฤษภาคม 2568 พบกับ ดอกแค ท็อปไลน์ 1 มิถุนายน 2568 พบกับ ญาณิ ท็อปไลน์ 2 มิถุนายน 2568 พบกับ ไอฟ์ ไหทองคำ

และนอกจากนี้ วันที่ 29 และ 31 พฤษภาคม 2568 เวลา 16.45 น. จะได้พบกับการรังสรรค์เมนูใหม่ จากของดีเมืองลพบุรี โดย chef owner @chunk’s เชฟบูม กันต์ยรัตน์ เพียรพอดีตน ให้ทุกท่านได้ลิ้มรสความอร่อยผู้สนใจสามารถเข้าร่วมชมงานได้ฟรี ระหว่างวันที่ 29 พฤษภาคม – 2 มิถุนายน 2568 ณ Big Zone ชั้น 1 ศูนย์การค้าอิมพีเรียล เวิลด์ สำโรง อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดงาน ปลุกพลังชาวภาคกลาง ลุกขึ้น 'แค่ขยับ โลกก็เปลี่ยน' ป้องกันโรค NCDs 

เมื่อวานนี้ (29 พ.ค.68) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานเปิดงาน แค่ขยับ โลกก็เปลี่ยน ภายใต้โครงการส่งเสริมการมีกิจกรรมทางกายเพื่อสุขภาพสำหรับประชาชนทุกกลุ่มวัย ภาคกลาง โดยมี นายศุภมิตร ชิณศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน ณ ห้องคอนเวนชั่นฮอลล์ ชั้น 6 ศูนย์การค้าอิมพีเรียลเวิลด์ สำโรง ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ 

โดยทางด้าน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขยังคงมุ่งมั่นในการส่งเสริมและป้องกันโรค NCDs ให้กับประชาชน เพื่อลดอัตราป่วย อัตราการเสียชีวิต ลำดับแรกของประชากรไทย คิดเป็นร้อยละ 75 หรือ 320,000 คนต่อปี รวมทั้ง ลดการสูญเสียทรัพยากรของประเทศ ทั้งค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข ค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการเดินทางมาโรงพยาบาล โรค NCDs เช่น โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง รวมถึงสุขภาพจิต เป็นโรคที่สามารถป้องกันแก้ไขได้ ด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต และลดปัจจัยเสี่ยง เช่น การกินอาหารไม่เหมาะสม การสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า มลพิษทางอากาศ และขาดการออกกำลังกาย จากการเปิดตัวกิจกรรม “มหกรรมสุขภาพดี ที่พิษณุโลก” (Good Health @Phitsanulok) ภายใต้โครงการ LONG LIFE…THAI FIT ฟิตกาย ฟิตใจ 

เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอครั้งแรก ที่ภาคเหนือ สำหรับวันนี้ กระทรวงสาธารณสุข มาปลุกพลังประชาชนภาคกลาง ให้มีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้น ในงาน “แค่ขยับ...โลกก็เปลี่ยน : Just Move The World Changes” เพื่อช่วยสร้างการรับรู้ถึงความสำคัญของการออกกำลังกาย ทำให้ประชาชนทุกกลุ่มวัยมีกิจกรรมทางกายอย่างเพียงพอและเหมาะสม ทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ห่างไกลโรค NCDs และขอเชิญชวนท่านคน มาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควบคู่ไปกับการกินอาหารที่เหมาะสม ลดหวาน มัน เค็ม รู้จักนับคาร์บ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง สวย หล่อ อายุยืน 

ด้านแพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า จากพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนภาคกลาง พบว่า ภาคกลางเป็นภูมิภาคที่มีประชากรหนาแน่น มีความเป็นเมืองสูง และมีสถานประกอบการจำนวนมาก ส่งผลให้ประชาชนมีพื้นที่และเวลาในการออกกำลังกาย หรือมีกิจกรรมทางกายน้อย มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนลงพุง และโรค NCDs จากข้อมูลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย ครั้งที่ 6 ปี 2562 – 2563 พบว่า ความชุกของภาวะอ้วนสูงที่สุดในภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร รองลงมาคือ ภาคใต้ ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเหนือมีความใกล้เคียงกัน ประกอบกับสถานการณ์โรค NCDs ในปี 2562 

พบว่า ประชาชนที่อาศัยอยู่ในภาคกลาง มีการบริโภค อาหารที่มีไขมันสูง กินขนมทานเล่น หรือขนมกรุบกรอบ อาหารจานด่วน เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ และอาหารสำเร็จรูป มากกว่าประชาชนที่อาศัยอยู่ในภาคอื่น สำหรับประชาชนในจังหวัดสมุทรปราการ พบว่า สาเหตุการตาย 5 ลำดับแรก ในปี 2564 ได้แก่ โรคมะเร็ง รองลงมา คือ ปอดอักเสบและโรคปอดอื่นๆ ความดันโลหิตสูงและโรคหลอดเลือดในสมอง โรคหัวใจ โรคไต 

ดังนั้น กิจกรรม "แค่ขยับ...โลกก็เปลี่ยน : Just Move The World Changes” จึงเป็นโครงการส่งเสริมการมีกิจกรรมทางกายเพื่อสุขภาพสำหรับประชาชนทุกกลุ่มวัยภาคกลาง  เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มวัยมีกิจกรรมทางกายอย่างเพียงพอและเหมาะสม กระตุ้นให้ประชาชนมีกิจกรรมทางกายมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันการเกิดโรค NCD  แพทย์หญิงนงนุช ภัทรอนันตนพ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขจัดกิจกรรม “แค่ขยับ...โลกก็เปลี่ยน : Just Move The World Changes” ครั้งที่ 2 ที่จังหวัดสมุทรปราการ มีผู้เข้าร่วมกิจกรรม ได้แก่ ประชาชนในจังหวัดสมุทรปราการและพื้นที่ใกล้เคียง เจ้าหน้าที่ จากหน่วยงานสาธารณสุข องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นักเรียน และนักศึกษา รวมทั้งสิ้นกว่า 1,000 คน และมีการนำเสนอนิทรรศการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย จาก 12 หน่วยงาน 

ได้แก่ ศูนย์อนามัย ที่ 6 ชลบุรี ศูนย์อนามัยที่ 4 สระบุรี สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กองกิจกรรมทางกายเพื่อสุขภาพ กรมอนามัย โรงพยาบาลสมุทรปราการ : อาหารเติมพลังก่อน-หลังออกกำลังกาย โรงพยาบาลบางพลี : คลินิกเวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle Medicine Clinic) โรงพยาบาลพระสมุทรเจดีย์สวาทยานนท์ : การออกกำลังกายผู้สูงอายุ (สูงวัยแข็งแรง) โรงพยาบาลพริ้นซ์สุวรรณภูมิ โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 โรงพยาบาลสำโรง ชมรมไม้พลอง ชุมชนเฟื่องฟ้า (รำไม้พลองเพิ่มความแข็งแรงทุกกลุ่มวัย) ชมรมรักษ์สุขภาพ อำเภอบางบ่อ และโรงเรียนราชประชาสมาสัย ฝ่ายมัธยม รัชดาภิเษก ในพระบรมราชูปถัมภ์ ทั้งนี้ กรมอนามัย ขอให้ประชาชนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เตรียมความพร้อมขยับร่างกาย ในกิจกรรมครั้งที่ 3 ที่จังหวัดขอนแก่นต่อไป  

'รมว.สุดาวรรณ' แถลงข่าวการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ 70 พรรษา สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

 

เมื่อวานนี้ (29 พ.ค.68) เวลา 13.30 น. นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในงานแถลงข่าวการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ 70 พรรษา สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี โดยมี นายกมล ทัศนาญชลี ศิลปินแห่งชาติ นางสาวพลอย ธนิกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม นายประสพ เรียงเงิน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางสาวลิปิการ์ กำลังชัย รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (รักษาราชการแทนอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม) นางสาววราพรรณ ชัยชนะศิริ รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกรมส่งเสริมวัฒนธรรม คณะศิลปินพื้นบ้าน และเครือข่ายทางวัฒนธรรม เข้าร่วมงาน

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรมได้ดำเนินโครงการเทิดพระเกียรติสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ที่ทรงวิริยะอุตสาหะ บำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ โดยการดำเนินกิจกรรมทางวัฒนธรรมและศิลปวัฒนธรรม ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ จำนวนหลายรายการ ในวาระสำคัญต่าง ๆ จากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน อาทิ ศิลปินแห่งชาติ ศิลปินพื้นบ้าน เครือข่ายทางวัฒนธรรม ในการขับเคลื่อน ถ่ายทอด และสร้างสรรค์งานวัฒนธรรมแขนงต่าง ๆ ตลอดจนองค์ความรู้มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย เป็นการนำทุนทางวัฒนธรรมมาสืบสาน รักษา และต่อยอด เพื่อเป็นการสร้างคุณค่าและเพิ่มมูลค่าต่อสังคมและเศรษฐกิจของประเทศในองค์รวม สอดรับกับแนวทางการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ตามนโยบายรัฐบาล

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล กล่าวต่อว่า เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ 70 พรรษา 2 เมษายน 2568 เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติในฐานะทรงเป็น “วิศิษฏศิลปิน” และ “เอกอัครราชูปถัมภกมรดกวัฒนธรรมไทย” ที่ทรงมีคุณูปการต่อเหล่าศิลปิน และศิลปวัฒนธรรมของชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ดำเนินการจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ ขึ้น เพื่อเผยแพร่พระปรีชาสามารถและพระอัจฉริยภาพ รวมถึงเปิดโอกาสให้หน่วยงานทุกภาคส่วนและประชาชนทุกหมู่เหล่า มีส่วนร่วมเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสมหามงคลนี้ รวมถึงเพื่อเป็นการเผยแพร่มรดกทางวัฒนธรรม อันเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ให้เป็นที่รับรู้แก่ประชาชนชาวไทยและชาวต่างชาติ

ด้าน นางสาวลิปิการ์ กำลังชัย รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กล่าวเสริมว่า การจัดงานเฉลิมพระเกียรติ 70 พรรษา สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี จะรวบรวมพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ พระอัจฉริยภาพ และการทรงงานด้านวรรณศิลป์ ด้านทัศนศิลป์ และด้านศิลปะการแสดง โดยนำเสนอในรูปแบบนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ การเสวนาและการประชุมเชิงปฏิบัติการ รวมถึงการแสดงดนตรีและการแสดงทางศิลปวัฒนธรรม โดยบูรณาการความร่วมมือจากศิลปินแห่งชาติ ศิลปินพื้นบ้าน และเครือข่ายทางวัฒนธรรม เพื่อเป็นการเผยแพร่มรดกทางวัฒนธรรม อันเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ให้เป็นที่รับรู้แก่ประชาชนชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยมีรายละเอียดดังนี้

1) พิธีเปิดงานเฉลิมพระเกียรติ 70 พรรษาฯ ในวันพุธที่ 4 มิถุนายน 2568 เวลา 13.30 น. ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยนางสาวสุดาวรรณ  หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน

2) การจัดกิจกรรม อาทิ นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ การเสวนา การแสดงดนตรีและการแสดงทางศิลปวัฒนธรรม ในวันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน 2568 ตั้งแต่เวลา 08.30 น. ณ หอประชุมใหญ่ และอาคารอเนกประสงค์ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และในวันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน 2568 ตั้งแต่เวลา 10.30 น. ณ Avenue A ชั้น G ศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ ขอเชิญชวนประชาชนและผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานดังกล่าว โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สำหรับการแสดงดนตรีและการแสดงทางศิลปวัฒนธรรม สามารถสำรองที่นั่งได้ ตามรายละเอียดเฟสบุ๊ค กรมส่งเสริมวัฒนธรรม เฟสบุ๊ค ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย หรือสอบถามได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 247 0013 ต่อ 4113 หรือ 4115

ทั้งนี้ ภายในงานแถลงข่าว ได้รับเกียรติจากศิลปินแห่งชาติและศิลปินต่าง ๆ ร่วมแถลงข่าว อาทิ นายกมล ทัศนาญชลี ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรมและสื่อผสม) พุทธศักราช 2540 กล่าวถึง ศิลปินแห่งชาติสร้างสรรค์งานศิลป์เทิดพระเกียรติวิศิษฏศิลปิน รองศาสตราจารย์บัวผัน สุพรรณยศ อุปนายกสมาคมศิลปินเพลงพื้นบ้านภาคกลางประเทศไทย กล่าวถึงการแสดงดนตรีและศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านเทิดพระเกียรติวิศิษฏศิลปิน คุณสุนารี ราชสีมา ศิลปิน กล่าวถึงการแสดงเพลงพระราชนิพนธ์ “ส้มตำ” ในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี นายเอกพันธุ์ มาบรรดิษฐ จาก คณะคชมุข สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กล่าวถึงการแสดงดนตรีและการแสดงพื้นบ้าน 4 ภาค ที่ได้รับรางวัลถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี

‘อนุชา’ แนะรัฐบาลหยุดใช้งบแบบหว่านแห โฟกัสอุตสาหกรรม New S-Curve ให้ชัดเจน

เมื่อวันที่ (29 พ.ค.68) นายอนุชา บูรพชัยศรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้อภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ว่า 

การอภิปรายของตนในครั้งนี้จะเน้นไปที่การสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สำหรับภาพรวมของเศรษฐกิจของประเทศไทยนั้น ในช่วงก่อนการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูงอย่างต่อเนื่อง และในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งมีการเกิดสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และเติบโตแบบลุ่ม ๆ ดอน ๆ เรื่อยมาจนถึงช่วงวิกฤติโควิดที่เศรษฐกิจตกต่ำอีกครั้งหนึ่ง และในปีนี้ประเทศไทยอยู่ในช่วงการเติบโตประมาณร้อยละ 2.1 จากการคาดการณ์ของสำนักเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง แต่สำหรับ World Bank มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของไทยจะเติบโตเพียงแค่ร้อยละ 1.6 เท่านั้น เนื่องจากข้อห่วงใยในเรื่องของหนี้สาธารณะ หนี้ครัวเรือน และความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า 

โดยทั่ว ๆ ไป พัฒนาการของเศรษฐกิจจะมีวัฏจักรคือทุก ๆ 12 ปี จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจขึ้น ซึ่งคาดว่าอีกไม่นานนี้ น่าจะประมาณ 2575 เราจะพบกับวิกฤติเศรษฐกิจอีกครั้ง ดังนั้นในวันนี้เราต้องพร้อมที่จะปรับตัวเพื่อรองรับวิกฤติเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น และพร้อมที่จะสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง และโจทย์ที่สำคัญคือการผลักดันให้ประเทศไทยหลุดพ้นออกจากประเทศรายได้ปานกลางที่ประเทศไทยอยู่จุดนี้มาไม่น้อยกว่า 30 ปี 

วันนี้ประเทศไทยโดยรัฐบาลจะต้องดำเนินการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจทั้งหมด เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้ ผ่านการสร้าง New S-Curve ให้กับธุรกิจของประเทศไทย เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics), การเกษตรขั้นสูงและเทคโนโลยีชีวภาพ (Advanced Agriculture and Biotechnology), เศรษฐกิจดิจิทัล, AI และหุ่นยนต์ (Digital Economy, AI, and Robotics) รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพ (Medical and Wellness Tourism) นี่คือสิ่งต่าง ๆ ที่รัฐบาลชุดนี้จะต้องสร้างระบบนิเวศเพื่อให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจริง 

สำหรับงบประมาณที่รัฐบาลได้เสนอมา โดยเฉพาะในส่วนของแผนงานบูรณาการการพัฒนาอุตสาหกรรมและการบริการแห่งอนาคตกลับมีการปรับลดงบประมาณลง จาก 8 พันล้านเหลือเพียงเกือบ 6 พันล้านเท่านั้นเอง รัฐบาลจะต้องจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสมเพื่อฟื้นความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนที่ตอนนี้ชะลอการตัดสินใจ เพื่อรอจังหวะที่จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ารัฐบาลกำลังจะทำอะไร 

รัฐบาลจะต้องหยุดสะเปะสะปะ หยุดทำทุกอย่าง แต่ต้องโฟกัสว่าอะไรคือสิ่งที่จะทำ อะไรคือ New S-Curve ที่รัฐบาลจะนำเสนอ เพื่อเป็นคำตอบที่ชัดเจนให้กับนักลงทุน และพร้อมจะขับเคลื่อนทุก ๆ องคาพยพทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมทั้งการปรับปรุงกฎหมายด้วย 

สำหรับการปรับปรุงกฎหมายรัฐบาลจะต้องเร่งนำกฎหมายที่สามารถกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจ และสร้างข้อพิพาทในสังคมน้อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็น กฎหมาย SEC ที่ตนได้เสนอ หรือกฎหมายสนับสนุนการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ที่ สส.พรรครวมไทยสร้างชาติได้รวมกันเสนอ ซึ่งหากมีการผลักดันอย่างต่อเนื่องจะสามารถเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม และประเทศไทยจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ 

และหากประเทศไทยเริ่มพัฒนาเศรษฐกิจตั้งแต่วันนี้และต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ เราจะสามารถรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่และได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

WFP เผย 'ฝูงชนอดอยาก' ล้อมคลังอาหารในกาซา ดับแล้ว 2 ราย บาดเจ็บอีกเพียบในการแย่งเสบียง

(30 พ.ค. 68) สถานการณ์ความอดอยากในฉนวนกาซาทวีความรุนแรง ขณะที่โครงการอาหารโลก (WFP) เปิดเผยว่า กลุ่มชาวปาเลสไตน์จำนวนมากซึ่งหิวโหย ได้บุกเข้าโกดังเก็บเสบียงในเมืองเดียร์ เอล-บาลาห์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บอีกหลายคน เหตุเกิดท่ามกลางภาวะขาดแคลนอาหารอย่างหนัก 

ในขณะเดียวกัน การโจมตีจากอิสราเอลยังคงดำเนินต่อเนื่อง กระทรวงสาธารณสุขในกาซาระบุว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 70 รายทั่วพื้นที่ โดยเฉพาะในค่ายผู้ลี้ภัยบูเรจในกาซากลาง มีผู้เสียชีวิต 23 ราย จากการโจมตีอาคารที่พักอาศัย ซึ่งเจ้าหน้าที่ฉุกเฉินต้องใช้เวลานานกว่า 30 นาทีในการกู้ร่างผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ

นอกจากนี้ ยังมีรายงานการโจมตีบ้านเรือนและโรงเรียนอนุบาลในเขตจาบาเลีย ทางเหนือของกาซา ทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีกอย่างน้อย 7 ราย ขณะที่จุดแจกจ่ายความช่วยเหลือที่ก่อตั้งโดยมูลนิธิ Gaza Humanitarian Foundation (GHF) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ก็เกิดระเบิดต่อเนื่อง โดยยังไม่มีความชัดเจนถึงสาเหตุ

องค์กรสิทธิมนุษยชนและสหประชาชาติแสดงความกังวลต่อบทบาทของ GHF โดยระบุว่าโครงการดังกล่าวขาดความเป็นกลางและละเมิดหลักการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ทั้งยังอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางทหารหรือการควบคุมพลเรือนของอิสราเอล

แม้อิสราเอลจะยืนยันว่าอนุญาตให้นำส่งความช่วยเหลือทั้งผ่าน UN และ GHF แต่เจ้าหน้าที่ UN ระบุว่าจำนวนความช่วยเหลือที่เข้าสู่กาซายัง 'น้อยเกินไป' เมื่อเทียบกับความต้องการระดับวิกฤต พร้อมเตือนว่า การแจกจ่ายแบบ 'จับตา-จำกัด' นี้ อาจยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ขาดแคลนอาหารและบั่นทอนหลักมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง

กกท. ยัน F1 ต้องการจัดสตรีทเซอร์กิตกลางกรุงเทพฯ ปักหมุดบริเวณ ‘จตุจักร’ รัฐบาลชงแผนเข้า ครม. 4 มิ.ย.นี้

(30 พ.ค. 68) นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เผยว่าหลังจากเดินทางพร้อมนายกรัฐมนตรีไปศึกษาการจัดแข่ง F1 ที่โมนาโก ได้หารือกับผู้บริหารระดับสูงของ F1 และได้รับสัญญาณเชิงบวก โดยคาดว่าจะมีข่าวดีต่อวงการมอเตอร์สปอร์ตไทย แต่ยังเปิดเผยรายละเอียดไม่ได้ เนื่องจากเป็นความลับของผู้จัด F1

แนวทางจัดการแข่งขันเน้นไปที่ 'สตรีทเซอร์กิต' หรือการใช้ถนนจริงในเมืองเป็นสนามแข่ง ซึ่งตรงกับแผนธุรกิจของ F1 ที่มุ่งดึงดูดกลุ่มเป้าหมายระดับบน ไม่ต้องสร้างสนามถาวรใหม่ให้เปลืองงบ หากไทยได้จัดจริง จะกลายเป็นสนามสตรีทเซอร์กิตลำดับที่ 7 ของโลก ถัดจากเมืองระดับโลกอย่างโมนาโก, สิงคโปร์, ไมอามี, ลาสเวกัส, เจดดาห์ และบาคู

พื้นที่ที่มีการพิจารณาเบื้องต้น คือย่านจตุจักร ครอบคลุมสวนสาธารณะใหญ่ 3 แห่ง รวมระยะทางประมาณ 5-6 กิโลเมตร โดยยืนยันว่า F1 ปีแรกสามารถคืนทุนได้แน่นอน ทั้งทางตรงและทางอ้อม และจะเสนอแผนเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 4 มิถุนายนนี้

สำหรับสนามโมนาโกที่ใช้ศึกษา เป็นหนึ่งในสนามแข่งที่เก่าแก่และโด่งดังที่สุดในโลก จัดมาตั้งแต่ปี 1950 และถือเป็นต้นแบบของสนามแข่ง F1 แบบสตรีทเซอร์กิตที่ผสานความหรูหรา เมืองเก่า และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้อย่างลงตัว ซึ่งเป็นโมเดลที่ไทยต้องการนำมาปรับใช้กับกรุงเทพฯ

31 พฤษภาคม พ.ศ.2423 สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี อัครมเหสีในรัชกาลที่ 5 เสด็จทิวงคตจากเหตุเรือพระที่นั่งล่ม

หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องราวในประวัติศาสตร์ ‘พระนางเรือล่ม’ ซึ่งวันนี้เมื่อ 105 ปีก่อน เป็นวันที่สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี อัครมเหสีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จทิวงคต จากเหตุการณ์อุบัติเหตุเรือพระที่นั่งล่ม จนเป็นที่มาของเรื่องราว ‘พระนางเรือล่ม’ ที่ถูกเล่าสืบต่อกันมา

สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา โดยเป็นพระอัครมเหสีพระองค์แรกในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระองค์เจ้าสุนันทาฯ ทรงมีพระสติปัญญาเลิศล้ำ และทรงมีพระอัธยาศัยจริงจังเด็ดขาด ปฏิบัติข้อราชการและรับสั่งด้วยความเฉียบคมชัดเจน จึงทำให้ได้ติดตามเสด็จฯ และถวายงานรับใช้ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 อยู่เสมอ นอกจากนี้ ยังเป็นที่เล่าขานกันว่า ด้วยพระอุปนิสัยรับสั่งเฉียบคม ทำให้พระองค์เป็นที่นับถือในพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชบริพารยิ่งนัก

กระทั่งเมื่อวันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ.2423 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการให้แต่งเรือพระที่นั่ง เพื่อเสด็จประพาสพระราชวังบางปะอิน พร้อมด้วยมเหสีทุกพระองค์ แต่แล้วกลับเกิดเหตุไม่คาดฝัน เมื่อเรือพระที่นั่งของพระองค์เจ้าสุนันทาฯ เกิดอุบัติเหตุและล่มลง ณ ตำบลบางพูด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี

เป็นเหตุให้พระองค์เจ้าสุนันทาฯ และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพ็ชรรัตน์ โสภางคทัศนิยลักษณ์ อรรควรราชกุมารี ซึ่งเป็นพระราชธิดา พร้อมทั้งพระราชบุตรในพระครรภ์ สิ้นพระชนม์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าทรงทราบเรื่อง จึงรู้สึกเสียพระทัยเป็นอย่างยิ่ง

ต่อมาได้มีพิธีถวายพระเพลิงศพ เมื่อวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ.2423 ภายในงานนี้มีการแจกหนังสือสวดมนต์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริให้พิมพ์แจกเพื่อเป็นพระราชกุศล จำนวน 10,000 เล่ม นับเป็นหนังสืองานศพเล่มแรกของไทย 

นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระนามาภิไธยเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี พร้อมทั้งยังโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ฯ  ขึ้นอีกหลายแห่ง อาทิ ที่พระราชวังบางปะอิน หรือที่สวนสราญรมย์ 

ต่อมายังมีการสร้างศาลสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ฯ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณวัดกู้ ตำบลบางพูด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยสร้างขึ้นในบริเวณใกล้เคียงกับจุดที่นำเรือพระที่นั่งขึ้นมาจากน้ำ ภายหลังเรียกกันว่า ‘ศาลพระนางเรือล่ม’ 

ทั้งนี้เป็นสถานที่สักการะของประชาชน โดยภายในมีข้อมูลอื่น ๆ อาทิ พระราชประวัติของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ฯ รวมถึงบทกลอนที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ได้บรรยายถึงความรักที่มีต่อพระองค์ บรรจุเอาไว้อีกด้วย

1 มิถุนายน พ.ศ. 2493 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จฯ พิธีเปิดประชุมรัฐสภาครั้งแรกในรัชสมัย

พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จฯ ไปประกอบรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาด้วยพระองค์เองเป็นครั้งแรก ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม และพระราชทานพระราชดำรัสเพื่อเป็นข้อเตือนใจให้แก่บุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้แทนของประชาชน โดยมีความตอนหนึ่งว่า..

“...ข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านทั้งหลายจะได้มีความตั้งใจในการสร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่บ้านเมืองและประชาราษฎร โดยตั้งมั่นในสามัคคีธรรมและพร้อมใจกันร่วมมือในการดำเนินการของรัฐสภาให้เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติอันเป็นที่รักของเราให้มีวัฒนาถาวรสืบไป”

ต่อมา ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ตลอดระยะเวลาที่ทรงครองราชย์ ทรงประกอบรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาด้วยพระองค์เอง 33 ครั้ง คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เป็นผู้กระทำพิธีเปิดประชุม 6 ครั้ง และมีจำนวน 4 ครั้ง ที่ผู้แทนพระองค์เป็นผู้ประกอบรัฐพิธีเนื่องจากคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ไม่สามารถมาได้

2 มิถุนายน พ.ศ. 2544 ร.9 เสด็จฯ ทรงวางศิลาฤกษ์เขื่อนคลองท่าด่าน ทรงพระราชทานชื่อ 'เขื่อนขุนด่านปราการชล'

พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 มีพระราชดำริ ให้พิจารณาสร้างอ่างเก็บน้ำคลองท่าด่าน ที่บ้านท่าด่าน จ.นครนายก โดยเร่งด่วน เนื่องจากอ่างเก็บน้ำแห่งนี้อยู่ในบริเวณพื้นที่ราบเชิงเขา สามารถเป็นแหล่งกักเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์แก่ราษฎรทางตอนล่างได้เป็นจำนวนมาก

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อเขื่อนคลองท่าด่านว่า 'เขื่อนขุนด่านปราการชล (KHUN DAN PRAKARNCHON DAM)'

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2536 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำริให้กรมชลประทานพิจารณาวาง โครงการและก่อสร้างเขื่อนขุนด่านปราการชล

จากนั้นคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้ดำเนินโครงการเขื่อนขุนด่านปราการชล เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 โดยอนุมัติการก่อสร้างระหว่าง พ.ศ. 2540 ถึง พ.ศ. 2546 ในวงเงิน 10,193 ล้านบาท และอนุมัติแผนปฏิบัติการป้องกันแก้ไขและติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ พร้อมอนุมัติงบประมาณปี 2540 ถึง 2551 ในวงเงิน 990 ล้านบาท เริ่มดำเนินงานก่อสร้างในวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 เสร็จในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2547 และเริ่มเก็บกักน้ำในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2548

เขื่อนขุนด่านปราการชล จะเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่สามารถเก็บกักและจัดสรรน้ำอย่างเป็นระบบให้แก่พื้นที่เกษตรกรรวม 185,000 ไร่ ทำให้เกษตรกรได้รับผลประโยชน์กว่า 9,000 ครัวเรือน และเมื่อสามารถไขปัญหาน้ำท่วมสลับกับความแห้งแล้งลงได้แล้วก็จะช่วยลดปัญหาดินเปรี้ยวไปได้ในที่สุด

‘ทักษิณ’ เลิกกั๊กจ้องฮุบ 'มหาดไทย' ยังทำงานไม่เต็มที่ ควรให้ 'เพื่อไทย' เข้าไปทำบ้าง เชื่อ 'ภูมิใจไทย' ไม่ถอนตัวรัฐบาล

(30 พ.ค.68) นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์พิเศษกับทาง 3 บก.เครือเนชั่น โดยนายทักษิณ สวมบทบาทเป็น บก.คนที่ 4 เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์การเมือง โดยเฉพาะความเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลที่มักต้องคุมกระทรวงสำคัญๆ ไว้ในมือ ทางพรรคเพื่อไทยควรมีคนของตัวเองไปเป็น รมว.มหาดไทย หรือไม่

นายทักษิณ ระบุว่า การนำนโยบายไปถึงประชาชน กระทรวงหลักคือกระทรวงมหาดไทย วันนี้มันไม่ค่อยถึง เพราะว่ากระทรวงมหาดไทยยังไม่ค่อยทำเต็มที่ เวลามันเหลือ 2 ปีแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่มหาดไทยต้องทำงานให้เต็มที่

เมื่อถามว่านายทักษิณ ผ่านการเมืองมาเยอะ และรู้จักพรรคเพื่อไทยดี วิเคราะห์ในฐานะ บก.คนที่4 รอบนี้ พรรคเพื่อไทยจะกล้ายึดหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ผมยังไม่ได้ถามหัวหน้าพรรค ถ้าให้วิเคราะห์ก็เป็นเรื่องที่คงต้องพูดกันว่าให้พรรคเพื่อไทยเข้าไปทำบ้าง จะได้ทำนโยบายถึงเพื่อประชาชนได้สักที เพราะเวลาเหลือน้อยแล้ว อีก 2 ปีจะเลือกตั้งแล้ว

เมื่อถามว่า แล้วพรรคร่วมรัฐบาลที่มี 69 เสียง เขาจะยอมหรือไม่ ในเมื่อกระทรวงนั้นคือหัวใจหลักคุมอำนาจบริหารและเอาชนะทางการเมือง นายทักษิณ กล่าวว่า คือมันเป็นเรื่องการทำงานเพื่อประชาชน ถ้าอยากทำงานให้ได้ผล พรรคเพื่อไทยต้องตัดสินใจเพื่อให้นโยบายถึงประชาชนจริงๆ ก็ต้องให้กระทรวงมหาดไทยอยู่ในความดูแลของพรรคเพื่อไทย นี่คือหลักการ

เมื่อถามว่านอกจากกระทรวงมหาดไทยแล้ว ยังต้องมีกระทรวงไหนอีกที่สามารถทำให้รัฐบาลทำงานกระฉับกระเฉง และสามารถชนะเลือกตั้งครั้งต่อไป นายทักษิณ กล่าวว่า ก็กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ , กระทรวงพาณิชย์ , กระทรวงการคลัง และกระทรวงคมนาคม ก็เป็นหัวใจ คมนาคมก็เรื่องของรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย พูดไปแล้วต้องทำให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องมีเหตุผลบอกกับประชาชน มันเสียนิสัย เพราะมันเคยเป็นพรรคใหญ่มาก่อน

เมื่อถามว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยเอากระทรวงมหาดไทยมาได้ คิดในฐานะนักวิเคราะห์ซึ่งมีประสบการณ์ทางการเมือง พรรคภูมิใจไทยเขาจะกล้าถอนตัวจากรัฐบาลหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า “คิดว่าน่าจะคุยกันรู้เรื่อง คงไม่ถอนมั้ง เราไม่อยากให้เขาถอนอ่ะ ก็อยู่ด้วยกันมา”

เมื่อถามว่า แต่ถ้าเขาอยู่ไม่ได้ นายทักษิณ กล่าวว่า อันนั้นก็เป็นเรื่องที่เราไม่สามารถควบคุมการตัดสินใจของแต่ละพรรคได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top