Saturday, 31 May 2025
TheStatesTimes

ภูมิรัฐศาสตร์แห่งความกลัวในอดีต คือเหตุผล ทำไมรัสเซียต้องการเขตกันชน

“Russia is never as strong as she looks; Russia is never as weak as she looks.” เป็นประโยคคลาสสิกของเซอร์วินสตัน เชอร์ชิลรัฐบุรุษและอดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษที่สะท้อนความซับซ้อนของรัสเซียในเวทีระหว่างประเทศอย่างลึกซึ้ง โดยเซอร์วินสตัน เชอร์ชิลพยายามบอกว่าภาพลักษณ์ของรัสเซียในสายตาชาวโลกนั้นมักจะ “หลอกตา” เสมอ ภายนอกรัสเซียอาจดูเข้มแข็ง แข็งกร้าวและทรงอิทธิพล แต่เมื่อเข้าไปดูภายในอาจพบกับความเปราะบางทางเศรษฐกิจ สังคมและโครงสร้างการเมือง ในทางกลับกันรัสเซียอาจดูอ่อนแอหรือไร้อำนาจในบางช่วงเวลาแต่กลับฟื้นคืนมาได้อย่างรวดเร็วและใช้อำนาจในแบบที่คาดไม่ถึง ประโยคนี้จึงบ่งบอกว่าการทำความเข้าใจรัสเซียในฐานะรัฐและคู่แข่งในเวทีโลกจำเป็นต้องมองลึกไปกว่าภาพลักษณ์ภายนอก เพราะความแข็งแกร่งและความอ่อนแอของรัสเซียอยู่ในสภาวะที่เปลี่ยนแปลงและซับซ้อน สะท้อนถึงความเป็นรัฐที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ความหวาดระแวงเชิงโครงสร้างและยุทธศาสตร์ที่สร้างสมดุลระหว่างความกลัวและความทะเยอทะยาน

ในสายตาของรัสเซีย “พรมแดน” ไม่ได้เป็นเพียงเส้นแบ่งทางกายภาพระหว่างรัฐหากแต่เป็นแนวปะทะระหว่างอำนาจ ประวัติศาสตร์และความทรงจำเชิงอารยธรรม การที่พรมแดนรัสเซีย–ยูเครนเคยเป็น “พรมแดนภายใน” ของจักรวรรดิโซเวียตยิ่งทำให้การเปลี่ยนสถานะจาก “พรมแดนระหว่างรัฐ” กลายเป็นบาดแผลเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่รัสเซียไม่อาจยอมรับโดยง่าย ความขัดแย้งในยูเครนจึงไม่ได้เกิดจากความขัดแย้งทางชาติพันธุ์หรือผลประโยชน์เฉพาะหน้าเท่านั้นแต่เป็นผลสะสมของความตึงเครียดระหว่างแนวคิด “ยูเรเซีย” ของรัสเซียกับการขยายตัวของโลกตะวันตกผ่านนาโต้และอียู การที่ยูเครนเริ่มโน้มเอียงไปทางตะวันตกหลังปี ค.ศ. 2014 ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อ “สนามอิทธิพลเชิงประวัติศาสตร์” ของรัสเซียและอาจนำไปสู่การปรากฏตัวของกองกำลังนาโต้ใกล้พรมแดนตะวันตกของตน พรมแดนยูเครนจึงกลายเป็นพื้นที่ “ไม่เคยนิ่ง” ทั้งทางกายภาพ (ด้วยการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ยึดครอง เช่น ไครเมีย ดอนบาส ฯลฯ) และทางความหมาย (จากพรมแดนแห่งมิตรภาพในอดีตสู่พรมแดนของภัยคุกคามในปัจจุบัน) สิ่งนี้สะท้อนแนวโน้มในประวัติศาสตร์ของรัสเซียที่มักมอง “พรมแดนมั่นคง” ว่าหมายถึง “พรมแดนที่ไกลออกไปจากศัตรู” ไม่ใช่เพียงการป้องกันแต่คือการขยายอิทธิพลไปให้พ้นจากเขตเสี่ยงภัย ในความหมายนี้ เขตกันชน (buffer zone) ที่รัสเซียต้องการจึงไม่ใช่เพียงยุทธวิธีเชิงทหารแต่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การนิยามตนเองในโลกหลังสงครามเย็น

ในภูมิรัฐศาสตร์ของรัสเซียความกลัวไม่ได้เป็นเพียงอารมณ์เชิงปัจเจกหากแต่เป็น “โครงสร้างทางความคิด” (structural fear) ที่ฝังลึกอยู่ในจิตสำนึกของรัฐ มันคือมรดกของประวัติศาสตร์ การล่มสลายของจักรวรรดิและการถูกรุมล้อมจากภายนอกอย่างต่อเนื่อง ความกลัวในลักษณะนี้ไม่ได้เกิดจากเหตุการณ์เฉพาะหน้าแต่มาจากประสบการณ์ที่สะสมและกลายเป็นแนวคิดหลักในการกำหนดนโยบายความมั่นคงของประเทศ นับตั้งแต่ยุคจักรวรรดิรัสเซียรัฐแห่งนี้เผชิญกับภัยจากรอบทิศ ทั้งจากโปแลนด์ ลิทัวเนียในยุคต้น จากฝรั่งเศสในยุคนโปเลียน จากเยอรมนีในสองสงครามโลกและจากสหรัฐและนาโต้ในโลกยุคหลังสงครามเย็น ผลลัพธ์ก็คือแนวโน้มที่จะมองภัยคุกคามเป็นเรื่องเชิงโครงสร้างและเชื่อว่าการรักษาความมั่นคงต้องไม่พึ่งเพียงการป้องกันแต่ต้อง “สร้างระยะห่าง” ระหว่างศัตรูกับใจกลางอำนาจของตน ความกลัวเชิงโครงสร้างนี้ยังสะท้อนอยู่ในโลกทัศน์ของชนชั้นนำรัสเซียทั้งในคำพูดของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินที่วิจารณ์นาโต้ว่า “หลอกลวง” รัสเซียหลังการล่มสลายของโซเวียตไปจนถึงแนวคิดของนักคิดสายยูเรเซียน เช่น อเล็กซานเดอร์ ดูกิน และเซอร์เกย์ คารากานอฟที่เชื่อว่าโลกตะวันตกมุ่งทำลายรัสเซียจากภายใน ทั้งในเชิงวัฒนธรรม อัตลักษณ์ และภูมิรัฐศาสตร์ “ความกลัวเชิงโครงสร้าง” นี้จึงไม่ใช่เพียงความวิตกจริตหากคือกลไกแห่งรัฐที่ขับเคลื่อนนโยบาย ตั้งแต่การสร้างเขตกันชน การยึดไครเมีย การควบคุมพื้นที่ดอนบาส ไปจนถึงการพยายามทำลายอิทธิพลตะวันตกในยูเครน รัสเซียมองโลกผ่านแว่นแห่งความระแวดระวัง และเชื่อว่าหากไม่รุกก่อนก็จะตกเป็นฝ่ายถูกรุกรานในที่สุด

เขตกันชน (buffer zone) ไม่ได้เป็นเพียงแค่เส้นขีดกันระหว่างกองกำลังแต่คือหมากตัวสำคัญในกระดานภูมิรัฐศาสตร์ที่รัสเซียกำลังจัดวางอย่างแยบยล มันคือ “พื้นที่หมอก” ที่ผสานอำนาจการทหารกับอิทธิพลทางการเมืองให้กลายเป็นอาวุธเชิงพื้นที่ที่ทรงพลัง ในมิติทางยุทธศาสตร์เขตกันชนทำหน้าที่เป็น “แนวสกัดภัยคุกคาม” จากอาวุธปืนใหญ่และโดรนของยูเครนที่โจมตีลึกเข้ามาในดินแดนรัสเซีย การสร้างแนวกันชนลึกเข้าไปในภูมิภาคซูมีหรือคาร์คิฟไม่ใช่เพียงเพื่อ “หยุดกระสุน” แต่เพื่อ “ขยับแนวสมรภูมิ” ให้ห่างจากหัวใจของรัสเซียทั้งในเชิงภูมิศาสตร์และจิตวิทยา แต่ในมิติการเมืองเขตกันชนคือเครื่องมือท้าทายอธิปไตยของยูเครนอย่างแยบคาย มันไม่ได้ถูกเรียกว่า “เขตยึดครอง” แต่กลับถูกบรรจุไว้ในกรอบของ “ความมั่นคง” และ “การป้องกันตัวเอง” หากรัสเซียสามารถครอบครองพื้นที่เหล่านี้โดยไม่จำเป็นต้องยึดอย่างเป็นทางการ แต่สามารถควบคุมอิทธิพลและสกัดไม่ให้รัฐบาลยูเครนเข้าไปบริหารได้ มันคือชัยชนะทางการเมืองที่ไม่ต้องใช้คำว่า “ชัยชนะทางทหาร” นี่คือยุทธวิธีของ “ภูมิรัฐศาสตร์เชิงรุก” (offensive geopolitics) ที่รัสเซียใช้เขตกันชนเป็นอาวุธแบบอสมมาตร ไม่ต่างจากการใช้ “พื้นที่เทา” (grey zone) ที่ไม่ชัดเจนว่าเป็นสงครามหรือสันติภาพ เป็นอาณาเขตหรือพื้นที่เป้าหมายของจิตวิทยาการครอบงำ และในเมื่อพื้นที่กันชนสามารถลดแรงกดดันจาก NATO และเปลี่ยนทิศทางของสมรภูมิ มันจึงไม่ใช่แค่ “ระยะห่าง” ทางภูมิศาสตร์แต่คือ “สนามต่อรอง” ทางการเมืองระหว่างมหาอำนาจ

เขตกันชนไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพียงเพื่อกันกระสุนแต่มันถูกสร้างขึ้นเพื่อกันอำนาจฝ่ายตรงข้ามไม่ให้ข้ามเส้น "การควบคุม"ภายใต้สายตาของเครมลินเส้นพรมแดนคือภาพลวงตาหากมันไม่อาจควบคุมได้ด้วยกำลังทหารหรือจิตวิทยา เขตกันชนจึงกลายเป็น “อาณาบริเวณของความเหนือกว่า” มากกว่าแค่ “อาณาบริเวณของความปลอดภัย” ที่นี่คือ “สนามทดสอบความกล้าของยูเครน” และ “เขตปิดล้อมที่บอกกับ NATO ว่า “ถ้ากล้าก็เข้ามา” รัสเซียไม่ได้เพียงแค่ต้องการ “ยืดแนวกันชนออกไป 100 กิโลเมตร” อย่างที่พันเอกอนาโตลี มัตวีชุก (Anatoliy Matviychuk) พันเอกเกษียณอายุและอดีตทหารผ่านศึกของยูเครนเสนอ แต่ต้องการแผ่บารมีลึกเข้าไปในดินแดนศัตรูโดยไม่จำเป็นต้องปักธงยึดครองเพราะอำนาจที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องประกาศตัวมันเพียงแค่การ “แผ่เงา” ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่า “เรากำลังมองอยู่ และเราพร้อมจะบดขยี้ หากคุณเดินพลาด” เขตกันชนในสายตารัสเซียคือการปลูกฝัง “ความกลัวเชิงโครงสร้าง” (structural fear) ลงบนพื้นที่ทางภูมิรัฐศาสตร์ มันคือการขีดเส้นให้ยูเครนรู้ว่าพื้นที่ของคุณอาจยังเป็นของคุณในทางกฎหมายแต่ในทางยุทธศาสตร์ มันเป็น “ของเรา” นี่คือภูมิรัฐศาสตร์เชิงบีบคั้น (coercive geopolitics) ที่เล่นกับ “ระยะห่าง” แต่สร้างผลกระทบเชิง “การครอบงำ” คือการประกาศอย่างเงียบๆ ว่า “รัฐชาติที่ล้อมรัสเซียไว้จะไม่มีวันปลอดภัยหากไม่เลือกอยู่ใต้เงารัสเซีย” ในเชิงทฤษฎีเขตกันชนในบริบทนี้จึงไม่ใช่แค่ ‘defensive depth’ แบบคลาสสิกของ Mackinder หรือแนวคิด Heartland แบบดั้งเดิมเท่านั้น แต่คือการนำหลักการของ “ภูมิรัฐศาสตร์จิตวิทยา” มาผสานกับทฤษฎีอำนาจเชิงพื้นที่แบบใหม่ที่อเล็กซานเดอร์ ดูกินเรียกว่า “จุดกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์” (geopolitical pressure points) และเยฟเกนี พรีมาคอฟเรียกว่า “บัฟเฟอร์เชิงกลยุทธ์เพื่อเสถียรภาพหลายขั้ว” (strategic buffers for multipolar stability) กล่าวคือเขตกันชนไม่ใช่ “พื้นที่กันภัย” หากแต่เป็น “พื้นที่ขู่เข็ญ” ที่บอกว่ารัสเซียยังมีเขี้ยวเล็บ ไม่ใช่แค่ในสมรภูมิหากแต่ในทุกลมหายใจของภูมิรัฐศาสตร์

พันเอกอนาโตลี มัตวีชุกพันเอกเกษียณอายุและอดีตทหารผ่านศึกของยูเครนได้วิเคราะห์เหตุผลที่รัสเซียต้องการเขตกันชนเอาไว้อย่างน่าสนใจดังนี้
1) ป้องกันภัยคุกคามจากอาวุธระยะไกลของ NATO
นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามเย็น การขยายตัวของ NATO เข้ามาใกล้พรมแดนรัสเซียไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่อง “ภูมิรัฐศาสตร์ทั่วไป” หากแต่เป็นการกดทับความมั่นคงแห่งชาติอย่างรุนแรง รัสเซียมองเห็นภัยคุกคามที่แฝงตัวอยู่ในรูปแบบของ “อาวุธระยะไกล” เช่น ขีปนาวุธนำวิถี ระบบป้องกันภัยทางอากาศขั้นสูงและโดรนรบที่สามารถยิงเข้าโจมตีลึกถึงใจกลางรัสเซียได้โดยไม่ต้องส่งทหารเข้ามา พื้นที่ชายแดนกับยูเครนจึงกลายเป็น “แนวหน้าแห่งภัยคุกคาม” ที่รัสเซียต้องปกป้องด้วย “แนวกันชนเชิงยุทธศาสตร์” การมีเขตกันชนที่กว้างขวางกว่าเดิม ไม่ใช่แค่การเพิ่มระยะห่างทางกายภาพจากเป้าหมายที่สำคัญ แต่เป็นการสร้าง “เขตปลอดภัยเชิงยุทธวิธี” ที่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการโจมตีแบบสายฟ้าแลบ (blitzkrieg) จากอาวุธของ NATO รัสเซียเข้าใจดีว่า อาวุธระยะไกลของ NATO ไม่ใช่แค่ปืนใหญ่ธรรมดาแต่คือ “เครื่องมือทางการเมืองที่มีพลังทำลายสูง” ที่สามารถเปลี่ยนแปลงสมดุลภูมิรัฐศาสตร์ในพริบตา ดังนั้นการสร้างและรักษาเขตกันชนจึงเป็นการลงทุนเพื่อรักษาความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์อย่างถึงที่สุดการขยายแนวกันชนลึกเข้าไปในดินแดนยูเครนจึงไม่ได้เป็นเรื่องแค่ “สงครามพื้นที่” แต่เป็น “สงครามระยะยาวเพื่อการอยู่รอดของรัฐ” รัสเซียไม่อาจยอมรับได้ว่าศัตรูจะนำขีปนาวุธหรือโดรนขั้นสูงมายิงใส่เมืองใหญ่ของตนโดยตรง มันคือ “เส้นตาย” ของความมั่นคงที่ไม่อาจยอมถอย ด้วยเหตุนี้เขตกันชนจึงไม่ใช่แค่พรมแดนที่ขีดเส้นไว้บนแผนที่แต่คือ “เกราะกำบัง” ที่รัสเซียต้องใช้เพื่อป้องกัน “มิติใหม่ของสงคราม” ที่ NATO พยายามสร้างขึ้นในยุคเทคโนโลยีดิจิทัลและยุทธศาสตร์อาวุธไฮเทค พันเอกนาโตลี มัตวีชุก อธิบายว่าการสร้างเขตกันชนลึก 100 กิโลเมตรนั้นมีเป้าหมายเพื่อป้องกันการโจมตีจากอาวุธปืนใหญ่ระยะไกลที่ NATO จัดหาให้ยูเครน ซึ่งสามารถยิงได้ไกลถึง 70 กิโลเมตร การเพิ่มระยะอีก 30 กิโลเมตรเป็นเขตปลอดภัยจะช่วยปกป้องเมืองสำคัญของรัสเซีย เช่น เบลโกรอด คูร์สค์ เบรียนสค์ ไครเมีย ซาโปริชเซีย เคอร์ซอน และดอนบาส

2) ประสบการณ์จากสงครามในอัฟกานิสถาน

สงครามอัฟกานิสถานไม่ได้เป็นเพียง “บาดแผลทางทหาร” แต่เป็นบทเรียนเลือดและเหล็กที่ฝังลึกในจิตวิญญาณของรัสเซีย (ก่อนหน้านั้นคือสหภาพโซเวียต) มันคือการเผชิญหน้ากับความเป็นจริงของสงครามที่ไม่อาจชนะด้วยกำลังทหารล้วน ๆ และเป็นการตอกย้ำว่า “การปกป้องพื้นที่ทางภูมิรัฐศาสตร์” ต้องมากกว่าการบุกเข้าไปครอบครอง ในสนามรบอัฟกานิสถานรัสเซียได้เรียนรู้ว่าการบุกทะลวงเข้าลึกในดินแดนที่เป็นเขตกันชนของศัตรู โดยไม่มีการสนับสนุนทางภูมิรัฐศาสตร์และประชากรในพื้นที่จะนำมาซึ่งการขัดแย้งที่ยาวนานและเจ็บปวดไม่มีที่สิ้นสุดเหมือน “สงครามในเขาวงกต” ที่จะกัดกร่อนความเข้มแข็งทางทหารและจิตใจของชาติ บทเรียนนี้ทำให้รัสเซียมีความระแวดระวังมากขึ้นกับการขยายเขตกันชนในยูเครน ไม่ได้หมายความว่ารัสเซียจะหลีกเลี่ยงการปะทะแต่หมายถึงการพยายามสร้างเขตกันชนที่มี “ความลึกทางยุทธศาสตร์” และ “ความได้เปรียบทางภูมิรัฐศาสตร์” ที่มากกว่าแค่การใช้กำลังทางทหารอย่างเดียว สงครามในอัฟกานิสถานสอนให้รัสเซียรู้ว่า“การครอบครองดินแดนโดยไม่มีการสนับสนุนเชิงโครงสร้างและการยอมรับจากประชากรในพื้นที่เป็นเหมือนการแบกรับหายนะที่ยิ่งใหญ่กว่า” ดังนั้นเขตกันชนที่รัสเซียพยายามสร้างขึ้นจึงเป็นมากกว่าพรมแดน มันคือ “แนวป้องกันที่ผสานทั้งกำลังทหาร การเมือง และภูมิปัญญาทางภูมิรัฐศาสตร์” เพื่อหลีกเลี่ยงกับดักสงครามลัทธิในดินแดนที่ไม่เป็นมิตรและสร้างภูมิคุ้มกันที่ทำให้ศัตรูไม่สามารถล้ำเส้นเข้ามาง่ายๆประสบการณ์จากอัฟกานิสถานจึงไม่ใช่แค่บทเรียนทางประวัติศาสตร์ แต่คือ “เครื่องเตือนใจ” ที่ทำให้รัสเซียมองเขตกันชนในยูเครนด้วยสายตาที่ลึกซึ้งและซับซ้อนกว่าเดิมนั่นคือเหตุผลว่าทำไม “เขตกันชน” จึงต้องมีทั้งความยืดหยุ่นทางยุทธศาสตร์ และความเข้มแข็งทางการเมืองควบคู่กันไปอย่างไม่อาจแยกจากกัน โดยเขาเปรียบเทียบแนวคิดนี้กับยุทธศาสตร์ที่สหภาพโซเวียตเคยใช้ในอัฟกานิสถานโดยการสร้างเขตกันชนเพื่อป้องกันการโจมตีจากกลุ่มมูจาฮีดีนซึ่งเป็นแนวคิดเดียวกันในการสร้างระยะห่างจากภัยคุกคาม

3) ควบคุมพื้นที่ชายแดนที่สำคัญ
ในเกมภูมิรัฐศาสตร์ของรัสเซีย เขตกันชนไม่ได้เป็นแค่แนวรบธรรมดา แต่คือ “เส้นแบ่งชี้ชะตา” ระหว่างความมั่นคงและการถูกล้อมกรอบพื้นที่ชายแดนอย่าง ซูมี เชอร์นีฮิฟ ดนีโปรเปตรอฟสค์ และคาร์คิฟ กลายเป็น “ป้อมปราการยุทธศาสตร์” ที่รัสเซียยอมลงทุนทุกอย่างเพื่อควบคุมและยึดครอง เหตุผลหนึ่งที่รัสเซียมุ่งเน้นพื้นที่เหล่านี้คือการป้องกัน “การโจมตีจากยูเครน” ที่อาจมุ่งเป้าไปยังเมืองและฐานทัพสำคัญในดินแดนรัสเซียเอง การควบคุมพื้นที่ชายแดนที่กว้างขวางและลึกช่วยให้รัสเซียสามารถตั้ง “แนวป้องกันเชิงลึก” (defense in depth) ซึ่งไม่เพียงแต่ลดความเสี่ยงจากการโจมตีสายฟ้าแลบแต่ยังเปิดโอกาสให้รัสเซียสามารถตอบโต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้เขตกันชนยังทำหน้าที่เป็น “ด่านตรวจสอบ” ในการสอดแนมและเก็บข้อมูลการครอบครองพื้นที่ชายแดนสำคัญช่วยให้รัสเซียสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของกองกำลังยูเครนและพันธมิตร NATO ได้อย่างใกล้ชิด นี่คือ “ตาข่ายทางข่าวกรอง” ที่ทำให้รัสเซียไม่ถูกจับได้โดยฝ่ายตรงข้าม ในมุมมองภูมิรัฐศาสตร์การควบคุมพื้นที่ชายแดนสำคัญยังเป็นการยึด “ทางหลวงยุทธศาสตร์” ที่เชื่อมต่อระหว่างภูมิภาคต่าง ๆ เมืองดนีโปรเปตรอฟสค์และคาร์คิฟเป็นศูนย์กลางการขนส่งและอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและกำลังทหาร ดังนั้นการยึดครองพื้นที่เหล่านี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของ “ป้อมปราการทางทหาร” แต่เป็นการ “ตัดวงจรชีวิต” ของศัตรูในมิติเศรษฐกิจและการสนับสนุนทางการทหารด้วย สรุปง่าย ๆ “การควบคุมพื้นที่ชายแดนสำคัญเหล่านี้คือการสร้าง ‘เกราะป้องกัน’ ที่ลึกและแน่นหนาเป็นทั้งด่านหน้าและฐานทัพที่รัสเซียใช้ค้ำยันความมั่นคงและอำนาจในภูมิภาค”

4) จำกัดอำนาจของรัฐบาลเคียฟในพื้นที่
เขตกันชนที่รัสเซียต้องการสร้างขึ้นไม่ได้เป็นเพียงเส้นแบ่งทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างเดียวแต่ยังเป็น “เครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์” เพื่อสกัดกั้นและจำกัดอำนาจของรัฐบาลเคียฟโดยตรง ตามบทวิเคราะห์ของพันเอกอนาโตลี มัตวีชุกพื้นที่เหล่านี้จะถูกแยกออกจากการควบคุมโดยรัฐบาลยูเครนอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าในทางปฏิบัติประชาชนยูเครนจะยังคงอาศัยและดำรงชีวิต เช่น การทำเกษตรกรรมหรือกิจกรรมประจำวันอื่น ๆ ความสำคัญอยู่ที่ “อำนาจรัฐ” โดยรัสเซียมุ่งมั่นที่จะตัดขาดความชอบธรรมและการบริหารของเคียฟในเขตนี้ นั่นหมายความว่ารัฐบาลยูเครนจะไม่สามารถส่งเจ้าหน้าที่รัฐ ตำรวจ หรือหน่วยงานความมั่นคงเข้าไปบริหารจัดการหรือควบคุมกิจกรรมต่าง ๆ ได้ ผลที่ตามมาคือการล้างบทบาทของเคียฟในพื้นที่ชายแดนที่รัสเซียตั้งใจจะทำให้กลายเป็น “เขตที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของยูเครน” นี่ไม่ใช่แค่เกมการเมืองธรรมดาแต่เป็น “การตัดวงจรการบริหารและอำนาจ” ของรัฐศัตรู การจำกัดอำนาจเคียฟทำให้ยูเครนสูญเสียการเข้าถึงทรัพยากรและการบริหารจัดการพื้นฐานในพื้นที่สำคัญซึ่งสะท้อนถึงการ “ทำลายความเป็นรัฐ” ในภูมิภาคที่เป็นขอบเขตของความขัดแย้ง แนวทางนี้ยังทำให้รัสเซียสามารถ “ควบคุมทางอ้อม” ผ่านกลุ่มหรือหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนโดยรัสเซียในพื้นที่นั้นซึ่งจะช่วยเสริมสร้างอิทธิพลทางการเมืองและความมั่นคงในระยะยาว พร้อมกับบั่นทอนความเป็นเอกภาพของรัฐยูเครน โดยสรุปการจำกัดอำนาจรัฐบาลเคียฟในเขตกันชนคือ “ดาบสองคม” ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ช่วยรัสเซียสร้างการครอบครองอย่างยั่งยืนและเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การเมืองของยูเครนอย่างลึกซึ้ง โดยที่ยูเครนเองแทบจะไม่สามารถตอบโต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5) ลดความสามารถในการโจมตีของยูเครน
การผลักดันกองทัพยูเครนให้ออกห่างจากชายแดนรัสเซียอย่างน้อย 100 กิโลเมตร ไม่ใช่แค่การ “ถอยร่นเชิงพื้นที่” แต่เป็นการ “ตัดขาดขีดความสามารถทางยุทธศาสตร์” ที่สำคัญของยูเครนอย่างเด็ดขาดโดยเฉพาะในแง่ของการใช้ปืนใหญ่และอาวุธยิงระยะกลางที่ต้องอาศัยระยะยิงใกล้เพื่อทำลายเป้าหมายอย่างแม่นยำและต่อเนื่อง เมื่อกองกำลังยูเครนถูกบีบให้ถอยห่างออกไป การใช้ปืนใหญ่ยิงถล่มพื้นที่ชายแดนรัสเซียจะลดลงอย่างมาก การสูญเสีย “ระยะยิงที่ได้เปรียบ” ทำให้รัสเซียมีเวลามากขึ้นในการเตรียมป้องกันและตอบโต้ อีกทั้งยังลดโอกาสที่ยูเครนจะทำลายโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น ฐานทัพ เส้นทางขนส่ง หรือหมู่บ้านชายแดน แม้ยูเครนจะยังพึ่งพาโดรนสอดแนมและขีปนาวุธระยะไกลเพื่อโจมตีได้ แต่ขีดจำกัดเหล่านี้ยังห่างไกลจากการแทนที่ “การโจมตีระยะใกล้ที่ต่อเนื่องและแม่นยำ” ได้อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะในสถานการณ์สงครามที่ต้องอาศัยการยิงปืนใหญ่มหาศาลเพื่อเบิกทางหรือกดดันแนวรบฝ่ายตรงข้าม การขยายเขตกันชนจึงเหมือน “การสร้างเขตปลอดภัยเชิงยุทธศาสตร์” ที่ทำให้รัสเซียได้เปรียบอย่างชัดเจนทั้งในแง่การเสริมความมั่นคงและการลดโอกาสการโจมตีที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต สรุปได้ว่าการผลักดันยูเครนออกไป 100 กิโลเมตร คือการ “ตัดขาทางยุทธศาสตร์” ของยูเครน ลดความสามารถในการทำลายและบั่นทอนความมั่นคงชายแดนรัสเซียอย่างมีประสิทธิผล

6) ปฏิกิริยาต่อการวิพากษ์วิจารณ์จากยูเครน
ในวงการการเมืองและสงคราม การประกาศเขตกันชนตามแนวชายแดนรัสเซีย-ยูเครนย่อมก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ร้อนแรง โดยเฉพาะจากฝ่ายยูเครน ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกีและรัฐบาลเคียฟคงไม่รั้งรอที่จะตำหนิการดำเนินการนี้ว่าเป็นการละเมิดอธิปไตยและเป็นรูปแบบใหม่ของการ “ยึดครอง” ซึ่งแน่นอนว่าเสียงเหล่านี้สะท้อนถึงความสิ้นหวังและความขัดแย้งที่ขยายตัวลุกลาม อย่างไรก็ดีพันเอกอนาโตลี มัตวีชุกชี้ชัดว่ารัสเซียจะไม่หวั่นไหวหรือเปลี่ยนแปลงจุดยืนแม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วง เพราะในสายตาของผู้นำมอสโก “ความปลอดภัยของประชาชนรัสเซีย” อยู่เหนือทุกสิ่ง การสร้างเขตกันชนจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่การกระทำทางยุทธศาสตร์แต่เป็นพันธกิจที่ไม่อาจถอยหลังได้ เพื่อปกป้อง “ประชากรชาติ” จากภัยคุกคามที่พวกเขาเห็นว่ามีอยู่จริงและใกล้ตัว นี่คือความขัดแย้งของมุมมองที่ลึกซึ้ง ยูเครนมองเป็นการรุกราน ในขณะที่รัสเซียมองเป็น “มาตรการป้องกันสูงสุด” ซึ่งจุดยืนนี้สะท้อนถึงความดื้อรั้นและการไม่ยอมถอยของรัสเซียในสงครามทางภูมิรัฐศาสตร์ครั้งนี้ เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากยูเครนแม้จะสร้างแรงกดดันทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแต่ก็ไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนทิศทางหรือยุทธศาสตร์ของรัสเซียเพราะสำหรับรัสเซียแล้ว เขตกันชนคือ “เส้นชีวิต” ของความมั่นคงรัฐชาติที่ไม่อาจประนีประนอม

บทสรุป การที่รัสเซียเรียกร้อง “เขตกันชน” ตลอดแนวชายแดนกับยูเครนไม่ใช่เพียงการวางกำลังเพื่อป้องกันการโจมตี แต่เป็นการส่งสัญญาณเชิงยุทธศาสตร์ว่า รัสเซียกำลังวาด "เส้นแดง" ใหม่ในภูมิรัฐศาสตร์ยูเรเชียภายใต้กรอบคิดแบบ “ความกลัวเชิงโครงสร้าง” (structural fear) รัสเซียมองว่าโลกภายนอกโดยเฉพาะ NATO และรัฐบาลเคียฟคือภัยคุกคามที่พร้อมบั่นทอนอธิปไตยและความมั่นคงของรัฐรัสเซียทุกเมื่อ เขตกันชนจึงกลายเป็น “พื้นที่กันกระสุนเชิงอารมณ์” และ “สนามสู้รบทางความคิด” ที่สะท้อนทั้งปมประวัติศาสตร์ ความระแวดระวังและความพยายามควบคุมปริมณฑลความมั่นคงด้วยเงื่อนไขของตนเอง ในมิติเชิงยุทธศาสตร์การผลักดันยูเครนให้ถอยออกจากแนวชายแดนอย่างน้อย 100 กิโลเมตรเท่ากับเป็นการตัดขาดอาวุธหลักของยูเครนอย่างปืนใหญ่และการสอดแนม

ในขณะเดียวกัน เขตกันชนยังทำหน้าที่เป็น “เกราะ” ที่ลดทอนอำนาจการปกครองของรัฐบาลเคียฟในดินแดนของตนเอง กลายเป็น “พื้นที่สีเทา” ที่อยู่ภายใต้แรงโน้มถ่วงทางอำนาจของรัสเซีย และแม้ยูเครนจะกล่าวหาว่านี่คือการ “ยึดครองในคราบความมั่นคง”แต่นักวิเคราะห์สายทหารอย่างพันเอกอนาโตลีย มัตวีชุกยืนยันว่า รัสเซียจะไม่ถอยจากจุดยืนนี้ เพราะนี่คือเรื่องของ “การอยู่รอดของชาติ” ในภาพรวม เขตกันชนไม่ใช่เพียง "แถบพื้นที่ว่าง" ระหว่างสองรัฐแต่เป็น “เส้นแบ่งแห่งความกลัว” ที่ถูกขีดด้วยเลือด ความเชื่อ และการคำนวณทางอำนาจ มันคือตัวแทนของรัสเซียในฐานะรัฐที่ยังไม่ไว้วางใจโลกและยังไม่เลิกล้มภารกิจในการออกแบบระเบียบระหว่างประเทศใหม่ตามแนวคิดของตน

‘โอ๋ ฐิติภัส’ เผยหญิงไทยถูกจับแทนทุนจีน เตรียมรับโทษหนักกรณีโรงงานรีไซเคิลเถื่อน

(30 พ.ค.68) นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โพสต์เฟซบุ๊กว่า …จากคนรักกลายเป็นนอมินี ที่เตรียมรับโทษหนัก

รับแจ้งมีการลักลอบนำเข้าเศษยางจากกัมพูชา แอดรู้ทันจีน และ พี่บอส แห่งไทยพีบีเอส ช่วยกันหาเบาะแสตามรถบรรทุกขนเศษยางจากกัมพูชาผ่านข้ามชายแดนแถว จ.สระแก้ว ปลายทางคือโรงงานร้าง และโรงงานเถื่อนแถวชลบุรี + ระยอง…เพราะเถื่อนตั้งแต่ต้นทาง ทั้งกระบวนการเลยต้องเถื่อนทั้งหมด

แกะรอยตาม GPS จนมาพบ 1 ในโรงงานปลายทางส่งยางที่เพจ บิ๊กเกรียน เคยแจ้งไว้ โรงงานยางไฟไหม้ อ.เกาะจันทร์ จ.ชลบุรี 

พบผู้จัดการโรงงานชาวพม่าสัญชาติจีน เป็นผู้คุมงาน พร้อมแรงงานต่างด้าวเกือบ 20 คน มีหญิงชาวไทยรับเป็นเจ้าของและเป็นกรรมการนิติบุคคลเพียง 1 คน ทำหน้าที่การเงิน คือ จ่ายเงินอย่างเดียว ส่วนรายรับคือรับเงินโอนจากแฟนหนุ่มคนจีนเป็นหลัก จะจ่ายให้ใครแฟนคนจีนจะโอนเงินมาให้แล้วจ่ายต่อ ส่วนการซื้อขายแฟนคนจีนเป็นคนจัดหาและประสานทั้งหมด

ตรวจทั่วโรงงานปรากฏเถื่อนทุกตรง จนท. จับกุมหญิงชาวไทยที่รับเป็นนอมินีดำเนินคดีที่ สภ.เกาะจันทร์ ข้อหาตั้งประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต ฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงาน เพราะเคยถูกสั่งห้ามประกอบกิจการในช่วงไฟไหม้แต่พบฝ่าฝืนแอบประกอบกิจการ ข้อหาจ้างแรงงานต่างด้าวลักลอบหนีเข้ามาในประเทศทำงาน

พยายามเจรจาให้เชิญแฟนคนจีนเข้ามาร่วมรับผิดชอบ ปรากฏแฟนคนจีนปิดโทรศัพท์หนี แต่น้องคนไทยยินดีและเต็มใจรับผิดแทน และให้เพื่อนมาช่วยประกันตัวออกไปเพื่อรอต่อสู้คดีในชั้นศาล เรื่องความผิดตาม พ.ร.บ.โรงงาน และ พ.ร.บ.แรงงานเป็นเรื่องหนึ่ง…แต่ยังไม่นับรวมต่อจากนี้จะมีคดีเกี่ยวกับการลักลอบนำเข้าเศษยางที่กรมศุลกากรและกระทรวงพาณิชย์ต้องตามมาดำเนินคดีเพิ่มอีกต่อไป

เวียดนามสั่งแบน The Economist ฉบับ ‘โต เลิม’ หวั่นปกนิตยสารกระทบ!..ภาพลักษณ์ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์

(30 พ.ค. 68) รัฐบาลเวียดนามมีคำสั่งห้ามวางจำหน่ายนิตยสาร The Economist ฉบับล่าสุด หลังขึ้นปกภาพ โต เลิม เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์วัย 67 ปี โดยภาพดังกล่าวแสดงให้เห็นดวงตาของเขาถูกปิดด้วยดาวสีเหลืองบนพื้นหลังสีแดง พร้อมพาดหัวว่า 'บุรุษผู้มีแผนสำหรับเวียดนาม' ซึ่งถูกมองว่าเป็นภาพเชิงสัญลักษณ์ที่อ่อนไหว

แหล่งข่าวในประเทศให้ข้อมูลกับสำนักข่าว Reuters ว่า ได้รับคำสั่งให้ฉีกหน้าปกและบทความที่เกี่ยวข้องกับ โต เลิม ออกจากนิตยสาร ก่อนที่จะมีคำสั่งให้ระงับการจำหน่ายทั้งหมด แม้จนถึงขณะนี้ ทางการยังไม่มีแถลงการณ์ชี้แจงอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับเหตุผลของการแบน

การดำเนินการดังกล่าวสอดคล้องกับแนวทางควบคุมสื่อที่เข้มงวดของรัฐบาลเวียดนาม ซึ่งมีประวัติการจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น โดยเวียดนามอยู่ในอันดับที่ 173 จาก 180 ประเทศ ตามดัชนีเสรีภาพสื่อของ Reporters Without Borders (RSF) ปี 2025 สะท้อนถึงเสรีภาพของสื่อมวลชนที่อยู่ในระดับต่ำมาก

สำหรับเนื้อหาในบทความของ The Economist ระบุว่า โต เลิม เป็นผู้นำที่แข็งกร้าวซึ่งจำเป็นต้องปรับบทบาทเป็นนักปฏิรูปเพื่อรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ การใช้ภาพสื่อถึงสัญลักษณ์ชาติบนใบหน้าของเขาอาจถูกตีความว่าเป็นการวิจารณ์เชิงล้อเลียน

การแบนครั้งนี้สะท้อนถึงความอ่อนไหวของรัฐบาลเวียดนามต่อการวิจารณ์ผู้นำระดับสูงจากสื่อต่างชาติ แม้ฉบับพิมพ์จะถูกระงับ แต่บทความฉบับออนไลน์ของ The Economist ยังสามารถเข้าถึงได้

อดีตอธิการบดี มธ. อวยยศ 'อานนท์ นำภา' ควรเป็นคนไทยคนแรกถูกเสนอชื่อรับรางวัลโนเบล

เมื่อวานนี้ (29 พ.ค.68) ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า อานนท์ นำภา ติดคุก มาแล้วกว่า 600 วัน เขาถูกจารีตนครบาล ตีตรวน เดินตีนเปล่า

เขาได้รางวัลความกล้าหาญด้านสิทธิมนุษยชนหลายรางวัล

เขาควรจะเป็นคนไทยคนแรกที่ถูกเสนอให้ได้รับรางวัลโนเบลไหม ครับ

ผัก 5 ชนิดที่ควรกินแบบ 'ปรุงสุก' ประโยชน์เพิ่มขึ้นเท่าตัว

1. แคร์รอต เมื่อนำไปต้มสุก ร่างกายดูดซึม เบต้าแคโรทีน ได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยบำรุงสายตาและลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง

2. มะเขือเทศ การปรุงมะเขือเทศด้วยความร้อน เช่น การต้ม หรือนำไปทำซอส จะช่วยให้ร่างกายดูดซึม ไลโคปีน (Lycopene) มากขึ้นถึง 7 เท่า เมื่อเทียบกับน้ำมะเขือเทศสด

3. ผักโขม การปรุงให้สุกสามารถช่วยลดปริมาณ กรดออกซาลิก ที่ขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมและธาตุเหล็ก 

4. เห็ด เมื่อผ่านความร้อน ผนังเซลล์ของเห็ดจะถูกทำลาย ทำให้ โพลีแซคคาไรด์ (polysaccharides) ซึ่งเป็นสารกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ถูกปลดปล่อยออกมาในปริมาณมากขึ้น

5. กะหล่ำปลี หลังการปรุงสุก วิตามิน K และสารไฟโตนิวเทรียนต์ต่าง ๆ จะดูดซึมได้ดีขึ้น ช่วยดูแลระบบลำไส้ ลดการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร

รู้จัก 'Surströmming' ปลาร้าสวีเดน หนึ่งในอาหารที่มีกลิ่นแรงที่สุดในโลก!!

ทุก ๆ ประเทศบนโลกใบนี้ ต่างก็มีการถนอมอาหารด้วยการหมักดองตามวัฒนธรรมของตัวเองทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นจากพืชผัก อาทิ ผักกาดดองของจีน กิมจิของเกาหลี ผลไม้ดองของหลาย ๆ ประเทศ ซึ่งรวมทั้งเนื้อสัตว์ชนิดต่าง ๆ แม้กระทั่งปลา เช่น ปลาเค็ม ปลาแห้ง ปลาร้า ฯลฯ ของบ้านเรา ในประเทศยุโรปเหนืออย่างสวีเดนก็มีการหมักดองปลาเพื่อเป็นการถนอมอาหารเช่นกัน

Surströmming (ซูร์สตรอมมิง) ซึ่งภาษาสวีเดนแปลว่า 'ปลาเฮอริงรสเปรี้ยว' ทำจากปลาเฮอริงทะเลบอลติกหมักเกลือเล็กน้อย Surströmming เป็นอาหารสวีเดนดั้งเดิมตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 โดยปลาเฮอริงชนิดนี้แตกต่างไปจากปลาเฮอริงที่ผ่านการทอดหรือดอง ปลาเฮอริงทะเลบอลติกซึ่งในภาษาสวีเดนเรียกว่า Strömming จะมีขนาดเล็กกว่าปลาเฮอริงแอตแลนติกที่พบในทะเลเหนือ ตามธรรมเนียมแล้ว Strömming จะหมายถึงปลาเฮอริงที่จับได้ในน้ำกร่อยของทะเลบอลติกทางตอนเหนือของช่องแคบคาลมาร์ ปลาเฮอริงที่ใช้ในการทำ Surströmming จะถูกจับก่อนฤดูวางไข่ในเดือนเมษายนและพฤษภาคม

ในระหว่างการผลิต Surströmming จะใช้เกลือในปริมาณที่พอเหมาะเพื่อป้องกันไม่ให้ปลาเฮอริงดิบเน่าเสียในขณะที่ยังหมักไม่ได้ที่ โดยกระบวนการหมักใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือนซึ่งจะทำให้ปลามีกลิ่นแรงเฉพาะตัวและรสเปรี้ยวเล็กน้อย กระป๋อง Surströmming ที่เปิดใหม่เป็นหนึ่งในสิ่งที่ถูกจัดว่ามีกลิ่นเหม็นที่สุดชนิดหนึ่งของโลก กลิ่นจะเหม็นแรงยิ่งว่าอาหารหมักประเภทปลา เช่น ฮองเงอโฮเอของเกาหลี คูซายะของญี่ปุ่น หรือฮาคาร์ลของไอซ์แลนด์ ด้วยกลิ่นที่เหม็นอย่างรุนแรงทำให้ Surströmming กลายเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่บรรดานักชิมต้องได้ลิ้มลอง

ในช่วงปลายทศวรรษปี 1940 ผู้ผลิต Surströmming ในสวีเดนได้ล็อบบี้ให้มีพระราชกฤษฎีกา Förordning เพื่อป้องกันไม่ให้ขายปลาหมักไม่สมบูรณ์ พระราชกฤษฎีกาที่ออกนั้นห้ามขายผลผลิตของปีปัจจุบันในสวีเดนก่อนวันพฤหัสบดีที่สามของเดือนสิงหาคม แม้ว่าปัจจุบันพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวจะไม่มีผลบังคับใช้แล้วก็ตาม แต่ผู้ค้าปลีก Surströmming ยังคงกำหนดวัน "เปิดตัว" ของปลาที่จับได้ในปีนั้นตามที่เคยมีการกำหนดไว้ Surströmming ต่างจาก Anchovy (แอนโชวี่) ซึ่งทำปลาทะเลขนาดเล็กจำพวกปลากะตัก มักจะถูกนำมาหมักเค็มแล้วแช่ในน้ำมันมะกอกเพื่อนำไปใช้เป็นส่วนผสมในอาหารต่าง ๆ Anchovy มีรสชาติเค็มจัดและกลิ่นหอมเฉพาะตัว

ปลาหมักเป็นอาหารหลักดั้งเดิมของยุโรป การค้นพบทางโบราณคดีที่เก่าแก่ที่สุดเกี่ยวกับการหมักปลามีอายุ 9,200 ปี และมีต้นกำเนิดมาจากทางใต้ของสวีเดนในปัจจุบัน ตัวอย่างล่าสุดได้แก่ การุม ซึ่งเป็นน้ำปลาหมักที่ทำโดยชาวกรีกและโรมันโบราณ และซอสวูสเตอร์เชอร์ ซึ่งมีปลาหมักผสมอยู่ด้วย การถนอมปลาโดยการหมักในน้ำเกลือเจือจางอาจพัฒนาขึ้นเมื่อการหมักยังมีราคาแพงจากต้นทุนของเกลือ แต่ในยุคปัจจุบัน ปลาจะถูกหมักในน้ำเกลือเข้มข้นก่อนเพื่อดึงเลือดออกมา จากนั้นหมักในน้ำเกลือเจือจางในถังก่อนจะบรรจุลงกระป๋อง

ขั้นตอนการบรรจุกระป๋องซึ่งนำมาใช้ในศตวรรษที่ 19 ทำให้สามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในร้านค้าและเก็บไว้ในบ้านได้ ในขณะที่ก่อนหน้านี้ ขั้นตอนสุดท้ายจะเป็นการจัดเก็บในถังไม้ขนาดใหญ่และถังขนาดเล็กขนาด 1 ลิตร การบรรจุกระป๋องยังทำให้สามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางตอนใต้ของสวีเดนได้อีกด้วย โดยการหมักเกิดขึ้นผ่านการสลายตัวเองและเริ่มต้นจากเอนไซม์กรดแลกติกในกระดูกสันหลังของปลา ร่วมกับแบคทีเรีย กรดที่มีกลิ่นฉุนจะก่อตัวขึ้น เช่น กรดโพรพิโอนิก กรดบิวทิริก และกรดอะซิติก นอกจากนี้ยังมีการเกิดไฮโดรเจนซัลไฟด์ โดยเกลือจะเพิ่มแรงดันออสโมซิสของน้ำเกลือเหนือโซนที่แบคทีเรียที่ทำให้เกิดการเน่าสามารถเจริญเติบโตได้ และป้องกันการสลายตัวของโปรตีนเป็นโอลิโกเปปไทด์และกรดอะมิโนในทางกลับกัน สภาวะออสโมซิสทำให้แบคทีเรียฮาลาเนอโรเบียม เช่น H. praevalens เจริญเติบโตและย่อยสลายไกลโคเจนของปลาเป็นกรดอินทรีย์ ทำให้มีรสเปรี้ยว (เป็นกรด) ซึ่งจะถูกกระตุ้นหากสภาพแวดล้อม อุณหภูมิ และความเข้มข้นของน้ำเกลือเหมาะสม อุณหภูมิต่ำในสวีเดนตอนเหนือเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ส่งผลต่อลักษณะของผลิตภัณฑ์ในขั้นตอนสุดท้าย

Surströmming แต่ละกระป๋องด้านบนจะโป่งออกอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากก๊าซที่หมักหมมอยู่ภายในปลาเฮอริ่งจะถูกจับในเดือนเมษายนและพฤษภาคม เมื่อพวกมันอยู่ในสภาพที่ดีที่สุดและกำลังจะวางไข่ โดยที่ตัวยังไม่อ้วนโต ปลาจะถูกนำไปแช่ในน้ำเกลือเข้มข้นประมาณ 20 ชั่วโมงเพื่อดึงเลือดออกมา หลังจากนั้นจึงนำหัวและไส้ออก แล้วจึงนำปลาไปแช่ในน้ำเกลือที่เจือจางลง ถังจะถูกวางไว้ในห้องควบคุมอุณหภูมิที่อุณหภูมิ 15–20 °C (59–68 °F) การบรรจุกระป๋องจะเกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมและต่อเนื่องไปอีก 5 สัปดาห์ ผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายจะถูกจัดส่งไปยังผู้ค้าส่งก่อนกำหนดเวลาเปิดฤดูกาลจำหน่ายราว 10 วัน

ก่อนที่จะมีการพัฒนาวิธีการบรรจุกระป๋องสมัยใหม่ Surströmming จะถูกขายในถังไม้เพื่อบริโภคทันที เนื่องจากแม้แต่ถังขนาดเล็กก็อาจรั่วได้ การหมักดำเนินต่อไปในกระป๋อง ทำให้กระป๋องพองออกอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นสัญญาณของเชื้อโบทูลิซึมหรืออาหารเป็นพิษอื่น ๆ ในอาหารกระป๋องที่ไม่ได้ผ่านการหมัก แบคทีเรียฮาลาเนอโรเบียมเป็นแบคทีเรียที่ทำให้เกิดการสุกในกระป๋อง แบคทีเรียเหล่านี้ผลิตคาร์บอนไดออกไซด์และสารประกอบหลายชนิดที่ทำให้เกิดกลิ่นเฉพาะตัว ได้แก่ กลิ่นฉุน (กรดโพรพิโอนิก) ไข่เน่า (ไฮโดรเจนซัลไฟด์) เนยหืน (กรดบิวทิริก) และกลิ่นน้ำส้มสายชู (กรดอะซิติก) เนื่องมาจากก๊าซเหล่านี้ ในปี 2014 ระหว่างที่เกิดไฟไหม้ที่โกดังสินค้าในสวีเดน Surströmming หนึ่งพันกระป๋อเกิดระเบิดขึ้นภายในระยะเวลาหกชั่วโมง

Surströmming มีขายในร้านขายของชำทั่วประเทศสวีเดน ตามรายงานจากสถิติ Surströmming Academy ในปี 2009 ระบุว่า มีผู้คนราว 2 ล้านคนที่ทาน Surströmming ทุกปี การส่งออก Surströmming ของสวีเดนคิดเป็นเพียง 0.2% ของ Surströmming ที่ผลิตได้ทั้งหมด แม้ผู้คนมากมายไม่ชอบ Surströmming แต่ก็เป็นอาหารที่ได้รับความนิยมอย่างมากในสวีเดนตอนเหนือมากกว่าในส่วนอื่นๆ ของประเทศ ในปี 2023 ซึ่งเป็นช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปริมาณปลาเฮอร์ริ่งบอลติกและปลาเฮอร์ริ่งอื่นๆ ที่ชาวประมงสวีเดนจับได้ลดลงอย่างมาก การประมงปลาเฮอร์ริ่งบอลติกถูกใช้ไม่ยั่งยืนมาตั้งแต่ยุคกลาง และการทำประมงมากเกินไปทำให้ประชากรปลาใกล้จะล่มสลาย ด้วยจำนวนการจับที่ต่ำเช่นนี้ ผู้ค้าปลีกจึงสามารถขายหมดสต็อกทั้งหมดภายในไม่กี่นาทีหลังจากการเปิดตัว Surströmming ประจำปี

Surströmming กับมันฝรั่งและหัวหอมบนขนมปังแบนสไตล์สวีเดนที่ทาเนย เสิร์ฟพร้อมนมหนึ่งแก้ว ชาวสวีเดนมักจะรับประทาน Surströmming หลังจากวันพฤหัสบดีที่สามของเดือนสิงหาคม ซึ่งเรียกว่า "วัน Surströmming" จนถึงต้นเดือนกันยายน เนื่องจากมีกลิ่นแรง จึงมักรับประทานกลางแจ้ง กระป๋องที่มีแรงดันมักจะถูกเปิดกลางแจ้งและห่างจากโต๊ะอาหาร โดยมักจะเจาะกระป๋องในขณะที่แช่อยู่ในถังน้ำ หรือหลังจากเคาะและเอียงกระป๋องขึ้น 45 องศา เพื่อป้องกันไม่ให้ก๊าซที่พุ่งออกมาจากน้ำเกลือรั่วออกมา Surströmming มีทั้งแบบไม่ได้ควักไส้และเอาเฉพาะหัวออก โดยปลาจะถูกควักไส้ก่อนรับประทาน และบางครั้งกระดูกสันหลังและบางครั้งก็ลอกหนังออก ไข่ปลาจะถูกรับประทานพร้อมกับปลา

เนื่องจาก Surströmming ทำมาจากปลาเฮอริ่งที่มาจากทะเลบอลติก ปัจจุบันจึงมีไดออกซินและ PCB ในปริมาณที่สูงกว่าที่สหภาพยุโรปอนุญาต สวีเดนได้รับข้อยกเว้นสำหรับกฎเหล่านี้ตั้งแต่ปี 2002 ถึงปี 2011 จากนั้นจึงยื่นขอต่ออายุข้อยกเว้น ผู้ผลิตกล่าวว่าหากใบสมัครถูกปฏิเสธ พวกเขาจะได้รับอนุญาตให้ใช้ปลาเฮอริงที่มีความยาวไม่เกิน 17 เซนติเมตร (6.7 นิ้ว) เท่านั้น เนื่องจากปลาเฮอริงมีปริมาณน้อยกว่า ซึ่งจะส่งผลต่อความพร้อมจำหน่ายของปลาเฮอริง หลังจากที่ Surströmming ได้รับการยอมรับว่าเป็นอาหารที่มีกลิ่นแรงที่สุดชนิดหนึ่งของโลก ในปี 1981 เจ้าของบ้านชาวเยอรมันได้ขับไล่ผู้เช่าออกไปโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้าหลังจากที่ผู้เช่าได้ราดน้ำเกลือ Surströmming ลงในช่องบันไดของอาคารอพาร์ตเมนต์ เมื่อเจ้าของบ้านถูกนำตัวขึ้นศาล ศาลได้ตัดสินว่าการยุติสัญญาเป็นเหตุเป็นผลหลังจากที่ฝ่ายเจ้าของบ้านได้แสดงหลักฐานโดยเปิดกระป๋องในห้องพิจารณาคดี ศาลได้สรุปว่าศาลได้ "โน้มน้าวตัวเองว่ากลิ่นปลาที่น่ารังเกียจนั้นเหม็นเกินกว่าที่ผู้เช่าร่วมในอาคารจะสามารถทนได้"

ในเดือนเมษายน 2006 สายการบินหลักหลายแห่ง (เช่น แอร์ฟรานซ์ บริติชแอร์เวย์ ฟินน์แอร์ และเคแอลเอ็ม) ห้ามนำ Surströmming ขึ้นเครื่องบิน โดยอ้างว่าปลากระป๋องอัดแรงดันอาจระเบิดได้ ต่อมาการขายปลาชนิดนี้ก็ถูกยกเลิกที่สนามบินสตอกโฮล์มอาร์ลันดา ผู้ที่เป็นผู้ผลิตปลาชนิดนี้กล่าวว่าการตัดสินใจของสายการบินนี้ "ขาดความรู้ด้านวัฒนธรรม" โดยอ้างว่าเป็น "ปลากระป๋องระเบิดได้เป็นเพียงตำนาน" เท่านั้น วันที่ 4 มิถุนายน 2005 พิพิธภัณฑ์ Surströmming แห่งแรกของโลกได้เปิดทำการในเมืองสเคปส์มาเลน ห่างจากเมืองเอิร์นเคิลด์สวิกซึ่งเป็นเมืองที่ปลายสุดทางเหนือของไฮโคสต์ ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ 20 กม. (12 ไมล์) ชื่อของพิพิธภัณฑ์คือ "ฟิสเควิสเทต" (แปลว่า 'ค่ายปลา')

‘ยูเครน’ กุมขมับวิกฤต ‘หนีทหาร’ ปีนี้พุ่งไม่หยุด คาดยอดจะทะลุ 61,000 ราย สูงสุดเป็นประวัติการณ์

(30 พ.ค. 68) กองทัพยูเครนกำลังเผชิญปัญหาทหารหลบหนีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจำนวนผู้ละทิ้งหน้าที่โดยไม่ได้รับอนุญาตในปี 2025 จะทะลุ 61,000 ราย เกือบเพิ่มขึ้นเท่าตัวจากปีก่อน ตามการวิเคราะห์ของผู้สื่อข่าว Sputnik โดยอ้างอิงจากบันทึกคดีในศาลยูเครน

กรณีการหลบหนีส่วนใหญ่เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 407 วรรค 5 ของประมวลกฎหมายอาญายูเครน ซึ่งระบุถึงการ “ละทิ้งหน่วยหรือสถานที่ปฏิบัติหน้าที่เกิน 3 วัน ภายใต้กฎหมายกฎอัยการศึกหรือสถานการณ์การรบ”

ข้อมูลจากทะเบียนคดีของศาลยูเครนระบุว่า เดือนเมษายน 2025 มีคดีหนีทหารสูงสุดที่ 6,245 คดี ส่งผลให้ยอดสะสม 5 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 25,508 คดี หากแนวโน้มยังดำเนินต่อไป จำนวนรวมทั้งปีอาจสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์

เมื่อเทียบกับปีก่อน แนวโน้มดังกล่าวน่ากังวลอย่างยิ่ง โดยในปี 2024 มีรายงานการหลบหนีถึง 35,750 คดี เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าจากปี 2023 ที่มีเพียง 12,563 คดี สะท้อนภาวะขาดเสถียรภาพในกำลังพลอย่างต่อเนื่อง

'อดีตรัฐมนตรีอลงกรณ์' เกรงกระทบความน่าเชื่อถือของประเทศ แนะนายกฯ.แก้ไขคำแถลงงบฯ.69 ผิดพลาด ประเด็นตั้งเป้าดัชนีรับรู้ทุจริตเกินจริง

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.และอดีตกรรมาธิการงบประมาณแสดงความเห็นวันนี้เกี่ยวกับคำแถลงประกอบงบประมาณของนายกรัฐมนตรีที่แถลงต่อสภาผู้แทนราษฎรว่า มีประเด็นที่น่าจะเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่เกี่ยวกับการกำหนดเป้าหมายดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index หรือ CPI)เกินจริงโดยปรากฏทั้งในคำแถลงและเอกสารประกอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่แถลงต่อสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ซึ่งจะกระทบต่อความน่าเชื่อถือของนายกรัฐมนตรี รัฐบาลและประเทศไทย กล่าวคือนายกรัฐมนตรีแถลงในช่วงยุทธศาสตร์ที่ 6 ว่า

“…แนวทางในการป้องกันการทุจริตของหน่วยงานภาครัฐ โดยมีเป้าหมายค่าดัชนีการรับรู้การทุจริตอยู่ในอันดับ 1 ใน 45 และ/หรือ ได้คะแนนไม่ต่ำกว่า 56
คะแนน…”

นายอลงกรณ์ กล่าวว่า การแถลงตั้งเป้าหมายดังกล่าวภายใน1ปีงบประมาณ2569 เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เหมือนกับการแถลงว่าจะทำให้ประเทศไทยและคนไทยหมดหนี้สินภายใน 1 ปี

“รายงานดัชนีการรับรู้การ ทุจริต (CPI)ขององค์กรเพื่อความ โปร่งใสนานาชาติ (Transparency International หรือ TI) ประจำปี 2567 ล่าสุด ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 107 ของโลกจาก 180 ประเทศโดยได้คะแนน34คะแนนถือเป็นคะแนนต่ำสุดในรอบ 13ปี (ปี2555-2567) 

ซึ่งดัชนีรับรู้การทุจริตตั้งแต่ปี 2555 ถึงปี2567พบว่าคะแนนและอันดับลดลงต่อเนื่อง กล่าวคือในปี2555ได้คะแนน37อันดับ88ของโลก ปี2567 ได้คะแนน 34 อันดับ 107 โดยมีคะแนนต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของโลกมาโดยตลอด

“สถาบันเอฟเคไอไอ.และเครือข่ายต่อต้านคอรัปชั่นเพิ่งเปิดตัว”คอรัปชั่น ฟ้องดู“ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเทคโนโลยีปราบโกงภายใต้โครงการใยแมงมุมเมื่อวานนี้ควรจะดีใจกับเป้าหมายในคำแถลงของนายกรัฐมนตรีแต่ในทางกลับกันกลับรู้สึกว่า การประกาศเป้าหมายเกินจริงสะท้อนความไม่ใส่ใจและไม่เข้าใจในสถานการณ์คอรัปชั่นของประเทศ

ทั้งนี้ดัชนีนี้เป็นที่รับรู้ทั่วโลกและทราบกันดีว่าประเทศไทยมีดัชนีชี้วัดอยู่ในลำดับใดได้คะแนนเท่าไหร่ เมื่อกำหนดเป้าหมายจะขยับจากอันดับ 107 มาเป็น อันดับไม่ต่ำกว่า 45 และหรือต้องได้คะแนนจาก 34 คะแนนเป็น 56 คะแนนภายในปีงบประมาณ2569 จึงเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ แม้เครือข่ายต่อต้านคอรัปชั่นอยากให้เกิดขึ้นจริงก็ตาม 

ซึ่งการแถลงในสภาผู้แทนฯ.จะเป็นบันทึกเป็นทางการ จึงควรที่นายกรัฐมนตรีจะขอแก้ไขคำแถลงที่ผิดพลาดดังกล่าวโดยเร็ว“อดีตรัฐมนตรีอลงกรณ์กล่าวในที่สุด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top