Tuesday, 29 April 2025
TheStatesTimes

โฆษกฯ ก.อุต ย้ำตัวเลข 'อ้อยเผา' น้อยสุดในประวัติศาสตร์ ติงฝ่ายค้านนำเสนอคลาดเคลื่อน ห่วงสังคมรับข้อมูลบิดเบือน

นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากกรณีที่ฝ่ายค้านมีการอภิปรายเกี่ยวกับข้อมูลอ้อยเผาของกระทรวงอุตสาหกรรม ทำให้เกิดข้อมูลคลาดเคลื่อนในหลายประเด็น ขอชี้แจงดังนี้ เรื่องตัวเลขการลักลอบเผาอ้อยที่ระบุว่า มีการลักลอบเผาตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 – เดือนพฤศจิกายน 2568 คำนวณจากในแผนที่จุดความร้อน (hotspot) ผ่านดาวเทียม อาจจะมีการเผามากถึง 28 ล้านตัน ซึ่งข้อเท็จจริงกระบวนการเก็บเกี่ยวอ้อย ปกติจะทำในช่วงเปิดหีบ ซึ่งในปีที่ผ่านมาคือระหว่างเดือนธันวาคม 2567 ถึงเมษายน 2568 รวมเป็นเวลาแค่ 4 เดือน การใช้หลักคำนวณตามที่มีการอภิปรายจำนวน 1 ปี 6 เดือน เป็นการนับรวมการเผาอย่างอื่นด้วย เช่น เผาฟืนทำอาหาร เผาข้าวโพดซังข้าว ฉะนั้นหากใช้หลักการนี้คำนวณจะทำให้เกิดการเข้าใจผิดได้ 

และในส่วนตัวเลขอ้อยเผาส่งเข้าโรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรมมีการตรวจสอบอย่างเข้มข้น ทำให้อ้อยเผาขณะนี้อยู่ที่ 13.6 ล้านตัน หรือไม่ถึง 15% ของอ้อยทั้งหมด โดยมีการส่งอ้อยสดเข้าโรงงาน 85 % มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และยังเอาจริงเอาจังและเข้มงวดในการเอาผิดปิดโรงงานน้ำตาล 2 แห่งเพื่อเอาผิดและเป็นตัวอย่างป้องปรามให้กับผู้ประกอบการรายอื่นๆ เกรงกลัว และปฏิบัติตามมาตรการที่กระทรวงอุตสาหกรรมขอความร่วมมือ และในส่วนข้อมูลเรื่องมีอ้อยเผาที่หลุดรอดจากระบบกว่า 10 ล้านตันนั้น มีข้อเท็จจริงคือ มีอ้อยเผาจำนวน 9 แสนตันที่เข้าสู่การแปรรูปส่งไปยังโรงงานผลิตเอทานอล เพราะเป็นอ้อยปนเปื้อนไม่สามารถผลิตเป็นอาหารได้ 

“ขอยืนยันว่ากระทรวงอุตสาหกรรม โดยการนำของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นั้น เอาจริงเอาจังกับเรื่องการปราบปรามอ้อยเผามาก ทั้งในส่วนเกษตรกรชาวไร่อ้อย ที่รณรงค์ลดการเผา ลด PM2.5 และการจัดการผู้ประกอบการที่ไม่ทำตามกฎกติกา ที่ทำการรับซื้ออ้อยเผา เพื่อยกระดับมาตรฐานการจัดการที่ดีในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายโดยคำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งข้อมูลตัวเลขต่าง ๆ ที่กระทรวงฯ เสนอไปนั้น เป็นตัวเลขจริงที่เกิดจากทุกฝ่ายปฏิบัติตามมาตรการ  และการทำงานอย่างหนักและเอาจริงเอาจัง จากทั้งผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ จึงขอให้การให้ข้อมูลและตัวเลขต่าง ๆ นั้น มาจากข้อเท็จจริงที่กระทรวงฯ ได้นำเสนอไปก่อนหน้า และขอให้หยุดการนำเสนอข้อมูลจากการคาดคะเนเพื่อลดการสร้างความเข้าใจผิดต่อหน่วยงาน เพื่อให้ทุกฝ่ายเห็นประโยชน์และความสำคัญของการไม่เผาอ้อย และเป็นตัวอย่างในการเอาจริงเอาจังกับกรณีอื่น ๆ ต่อไปในอนาคต” นายพงศ์พลกล่าว

เดนมาร์กปรับนโยบาย บังคับเกณฑ์ทหารหญิง เพื่อความเท่าเทียมชาย เริ่มกรกฎาคม 2025

(27 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2025 เป็นต้นไป ผู้หญิงชาวเดนมาร์กที่มีอายุ 18 ปี จะต้องเข้ารับการคัดเลือกเพื่อเข้ารับราชการทหาร เช่นเดียวกับผู้ชาย ซึ่งนับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในนโยบายการเกณฑ์ทหารของประเทศ 

เดนมาร์กกลายเป็นประเทศที่ 2 ในสหภาพยุโรปที่ใช้ระบบเกณฑ์ทหารสำหรับทั้งชายและหญิง โดยก่อนหน้านี้มีเพียงนอร์เวย์เท่านั้นที่ใช้แนวทางนี้ โดยรัฐบาลเดนมาร์กให้เหตุผลว่า การตัดสินใจครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความเท่าเทียมทางเพศในกองทัพ และช่วยให้ประเทศมีทรัพยากรบุคคลเพียงพอสำหรับป้องกันประเทศในอนาคต

“การให้ผู้หญิงเข้ารับการเกณฑ์ทหารเท่าเทียมกับผู้ชายเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงค่านิยมประชาธิปไตยและความเสมอภาคของเดนมาร์ก” เมตเต เฟรเดอริกเซน (Mette Frederiksen) นายกรัฐมนตรีหญิงของเดนมาร์กกล่าว

การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ความมั่นคงในยุโรปที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลายประเทศกำลังปรับนโยบายด้านการป้องกันประเทศให้สอดคล้องกับภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้น โดยผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงระบุว่า การขยายฐานกำลังพลจะช่วยให้เดนมาร์กมีความพร้อมในการป้องกันประเทศ และสนับสนุนภารกิจของ NATO มากขึ้น

ทั้งนี้ตามกฎหมายใหม่ ผู้หญิงอายุ 18 ปีขึ้นไปจะต้องเข้าร่วมการคัดเลือกทางทหารเช่นเดียวกับผู้ชาย แต่ผู้ที่ไม่ผ่านการคัดเลือกหรือมีเหตุผลทางสุขภาพอาจได้รับการยกเว้น

ปัจจุบัน เดนมาร์กมีระบบเกณฑ์ทหารสำหรับผู้ชาย แต่มีสัดส่วนของทหารหญิงที่สมัครใจเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก รัฐบาลเชื่อว่าการบังคับใช้ระบบใหม่จะช่วยสร้างกองทัพที่แข็งแกร่งและครอบคลุมมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การประกาศนโยบายใหม่นี้ได้รับทั้งเสียงสนับสนุนและเสียงคัดค้าน บางฝ่ายมองว่าเป็นก้าวสำคัญสู่ความเท่าเทียม ในขณะที่บางฝ่ายตั้งคำถามเกี่ยวกับความสมัครใจของผู้หญิงในการเข้ารับราชการทหาร แต่ทั้งนี้เดนมาร์กยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินนโยบายนี้เพื่อเสริมสร้างกองทัพและความมั่นคงของประเทศในอนาคต

บริษัทสั่งอาหารออนไลน์ชื่อดังของสหรัฐ เปิดแคมเปญใหม่ ‘ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง’ ผ่อนได้ 4 งวด แต่นักวิเคราะห์เตือนระวังหนี้พุ่ง

(27 มี.ค. 68) สำนักข่าวเอบีซี นิวส์ รายงานว่า DoorDash บริษัทสั่งอาหารและบริการจัดส่งอาหารออนไลน์ชั้นนำของสหรัฐ ประกาศความร่วมมือกับ Klarna บริษัทฟินเทคจากสวีเดน เพื่อให้บริการ 'ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง' (Buy Now, Pay Later - BNPL) สำหรับลูกค้าที่ใช้แพลตฟอร์มของตน โดยเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถสั่งอาหารและชำระเงินในภายหลังได้

สำหรับบริการซื้อก่อน จ่ายทีหลัง (BNPL) ที่ DoorDash นำเสนอร่วมกับ Klarna จะช่วยให้ลูกค้าสามารถแบ่งจ่ายค่าอาหารออกเป็น 4 งวดโดยไม่มีดอกเบี้ย หรือเลือกชำระในภายหลังตามรอบเงินเดือนของตนเอง ซึ่งเป็นแนวทางที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซและบริการทางการเงิน

แม้ว่าบริการนี้จะช่วยเพิ่มทางเลือกและความสะดวกสบายให้กับลูกค้า แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเตือนว่า การใช้ BNPL สำหรับการสั่งอาหารอาจนำไปสู่ปัญหาหนี้สินที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีความเปราะบางทางการเงิน

“โดยปกติแล้ว BNPL มักใช้สำหรับการซื้อสินค้าที่มีมูลค่าสูง เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าหรือสินค้าแฟชั่น แต่การนำมาใช้กับอาหารซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายประจำวัน อาจทำให้ผู้ใช้เกิดภาระหนี้สะสมโดยไม่รู้ตัว” ไคลา สแกนลอน นักวิเคราะห์การเงินกล่าว

ขณะที่ ผู้ใช้ X รายหนึ่งโพสต์เมื่อวันพฤหัสบดีเมื่อมีการประกาศความร่วมมือว่า “กินก่อน จ่ายทีหลัง? โลกาวินาศแห่งสินเชื่อกำลังจะมาถึง” 

อย่างไรก็ตามการที่ DoorDash เปิดให้ใช้ BNPL สะท้อนถึงสภาวะเศรษฐกิจที่ทำให้ผู้บริโภคต้องการความยืดหยุ่นทางการเงินมากขึ้น ขณะเดียวกัน ธุรกิจส่งอาหารเองก็ต้องหาแนวทางกระตุ้นยอดขายในช่วงที่ค่าครองชีพสูงขึ้น

ทั้งนี้ โฆษกของ Klarna กล่าวว่า ผู้คนจำนวนมากต้อง “ตัดสินใจอย่างมีเหตุผล” ที่จะใช้บริการ BNPL เพื่อช่วยจัดการเงินของพวกเขา และเสริมว่าฟีเจอร์ใหม่นี้จะใช้ได้เฉพาะกับการซื้อ DoorDash ที่มีมูลค่าอย่างน้อย 35 ดอลลาร์ (ราว 1,187 บาท) 

โครงการบริจาคหนังสือการ์ตูน ‘๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ ร่วมเรียนรู้ประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงการปกครองอย่างถูกต้อง

(27 มี.ค. 68) โครงการบริจาคหนังสือการ์ตูน ๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ ที่ทางทีมงานและผู้ร่วมสนับสนุนได้สมทบทุนบริจาค เพื่อให้น้อง ๆได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงการปกครองปี ๒๔๗๕ ตั้งแต่เริ่มมีการสั่งจองหนังสือ จนถึงปัจจุบัน มีการบริจาคหนังสือไปแล้วมากกว่า 1,500 เล่มทั่วประเทศ 

โดยในหนังสือการ์ตูนของเรา ได้แนบ QR Code สำหรับรับชมแอนิเมชัน เพื่อให้น้อง ๆ สามารถรับชมการ์ตูนได้ทั้งในรูปแบบหนังสือการ์ตูน และ แอนิเมชัน 

หากสถานศึกษาใด สนใจรับบริจาคหนังสือ 
สามารถแจ้งความจำนงได้ที่ 
https://forms.gle/EoKwNCPKnuo7mrN16 

----------------------
รายชื่อสถานศึกษา พิพิธภัณฑ์ และสถานที่ต่างๆ 
ที่เราได้ทำการส่งมอบหนังสือไปแล้ว 

โรงเรียน
----------------------
โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ อ.เมืองกาฬสินธุ์
โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย จ.นครปฐม
โรงเรียนแก้งคร้อวิทยา
โรงเรียนกัลยาณวัตร
โรงเรียนขอนแก่นพัฒนศึกษา
โรงเรียนควนเนียงวิทยา
โรงเรียนโคราชพิทยาคม
โรงเรียนคำชะอีวิทยาคาร
โรงเรียนจิตรลดา
โรงเรียนจิตรลดาวิชาชีพ
โรงเรียนจุนวิทยาคม
โรงเรียนจังหารฐิตวิริยาประชาสรรค์
โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติฯ จ.สกลนคร
โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ หนองบัวลำภู
โรงเรียนช่องพรานวิทยา
โรงเรียนชัยภูมิภักดีชุมพล
โรงเรียนชุมแสงชนูทิศ (ช.ท.)
โรงเรียนซับม่วงวิทยา
โรงเรียนดรุณาราชบุรี
โรงเรียนด่านขุนทด
โรงเรียนตะพานหิน 
โรงเรียนตาพระยา
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ภาคเหนือ จ.พิษณุโลก
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า จ.อุตรดิตถ์
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการปราณบุรี
โรงเรียนเถินวิทยา
โรงเรียนท่าเกษมพิทยา
โรงเรียนท่าเรือ "นิตยานุกูล"
โรงเรียนท่าบ่อ จ.หนองคาย
โรงเรียนเทพาลัย
โรงเรียนไทรโยคมณีกาญจน์วิทยา
โรงเรียนเทิงวิทยาคม
โรงเรียนทัพพระยาพิทยา
โรงเรียนทัพราชวิทยา
โรงเรียนนครนายกวิทยาคม
โรงเรียนนครพนมวิทยาคม
โรงเรียนนวมราชานุสรณ์
โรงเรียนนาน้อย จังหวัดน่าน 
โรงเรียนน่านนคร
โรงเรียนนานาชาติแคลิฟอร์เนียเพรพ
โรงเรียนนานาชาติแอ็ดเวนติส จ.สระบุรี
โรงเรียนนาหมื่นพิทยาคม
โรงเรียนน้ำยืนวิทยา
โรงเรียนบ้านกลาง อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
โรงเรียนบ้านกุดเวียน สพป.สระแก้ว 2
โรงเรียนบ้านเขาตาง้อก อำเภอคลองหาด จ.สระแก้ว 
โรงเรียนบ้านคลองไก่เถื่อน
โรงเรียนบ้านคาวิทยา 
โรงเรียนบ้านโคกเพร๊ก จ.สระแก้ว
โรงเรียนบ้านโคกสูง จ.สระแก้ว 
โรงเรียนบ้านดวน
โรงเรียนบ้านดุงวิทยา อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี
โรงเรียนบ้านบางสะพานน้อย
โรงเรียนบ้านผึ้งวิทยาคม
โรงเรียนบ้านพรหมนิมิต
โรงเรียนบ้านแม่เต๋อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
โรงเรียนบ้านหนองผักแว่น 
โรงเรียนบ้านแฮดศึกษา
โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.จันทบุรี
โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช
โรงเรียนบุรีรัมย์พิทยาคม
โรงเรียนประภัสสรรังสิต อ.เมือง จ.พัทลุง
โรงเรียนป่าเด็งวิทยา
โรงเรียนปากพลีวิทยาคาร
โรงเรียนปิยชาติพัฒนา
โรงเรียนปัญญาวุธ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง
โรงเรียนผดุงปัญญา
โรงเรียนพัทลุง
โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ
โรงเรียนพระมารดานิจจานุเคราะห์ กรุงเทพฯ
โรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์
โรงเรียนพานทองสภาชนูปถัมภ์ 
โรงเรียนพิมายวิทยา
โรงเรียน ภ.ป.ร. ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์
โรงเรียนมหาธิคุณวิทยา
โรงเรียนมหิธรวิทยา
โรงเรียนแม่พริกวิทยา จ.ลำปาง
โรงเรียนยุพราช เชียงใหม่
โรงเรียนโยธินบำรุง
โรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย
โรงเรียนราชประชานุเคราะห์
โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย
โรงเรียนราชวินิต
โรงเรียนราชวินิตมัธยม
โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว
โรงเรียนวังไกลกังวล ประถม
โรงเรียนวังไกลกังวล มัธยม
โรงเรียนวังเจ้าวิทยาคม
โรงเรียนวัดป่าคาเจริญวิทยา 
โรงเรียนวัดพเนินพลู
โรงเรียนศรีราชา จ.ชลบุรี
โรงเรียนศรีสวัสดิ์วิทยาคาร จ.น่าน
โรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย
โรงเรียนศรีวิไลวิทยา
โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล
โรงเรียนสตรีชัยภูมิ
โรงเรียนสตรีวิทยา
โรงเรียนสตรีวัดระฆัง 
โรงเรียนสันติสุข จ.เชียงใหม่
โรงเรียนสันติสุขพิทยาคม
โรงเรียนสว่างเเดนดิน 
โรงเรียนสากเหล็กวิทยา จ.พิจิตร
โรงเรียนสามง่ามชนูปถัมภ์
โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม
โรงเรียนสาธิตเทศบาลเมืองราชบุรี
โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
โรงเรียนสัมมาสิกขาปฐมอโศก
โรงเรียนสระแก้ว
โรงเรียนสระหลวงพิทยาคม
โรงเรียนแสนสุข จ.ชลบุรี
โรงเรียนหนองบัวละครวิทยา
โรงเรียนหนองบัวแดงวิทยา
โรงเรียนหนองบัวระเหววิทยาคาร
โรงเรียนหนองหานวิทยา
โรงเรียนห้วยคตพิทยาคม
โรงเรียนห้างฉัตรวิทยา จ.ลำปาง
โรงเรียนอนุราชประสิทธิ
โรงเรียนอินทร์บุรี
โรงเรียนอุดมสิทธิศึกษา
โรงเรียนอุตรดิตถ์
โรงเรียนอุทัย
โรงเรียนอำมาตย์พานิชนุกูล จ.กระบี่ 
โรงเรียนอำนาจเจริญ
โรงเรียนอัสสัมชัญอุบลราชธานี

วิทยาลัย / สถาบัน
----------------------
โรงเรียนนายร้อยตำรวจ 
วชิราวุธวิทยาลัย
สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา
วิทยาลัยการอาชีพนครนายก
วิทยาลัยเทคโนโลยีชลบุรี
วิทยาลัยเทคโนโลยีไทยอโยธยาบริหารธุรกิจ
วิทยาลัยเทคโนโลยีพณิชยการอยุธยา
วิทยาลัยเทคนิคตราด
วิทยาลัยเทคนิคบางแสน
วิทยาลัยการอาชีพนครนายก

มหาวิทยาลัย
----------------------
มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ 
มหาวิทยาลัยบูรพา
มหาวิทยาลัยรามคำแหง (สำนักหอสมุดกลาง)
มหาวิทยาลัยรามคำแหง วิทยาเขตบางนา
มหาวิทยาลัยรังสิต

ห้องสมุด / พิพิธภัณฑ์ / องค์กร
----------------------
หอสมุดแห่งชาติ
ห้องสมุดประวัติศาสตร์ทหาร อนุสรณ์สถานแห่งชาติ
พิพิธภัณฑ์พระปกเกล้า
พิพิธภัณฑ์รัฐสภา
เครือข่ายนวัตกรเพื่อเยาวชนไทย (CITY)

วัด
----------------------
วัดสวนสันติธรรม ศรีราชา

เรือนจำ
----------------------
เรือนจำกลางกรุงเทพ 

และยังมีสถานศึกษาอื่นๆที่กำลังอยู่ระหว่างรวบรวบรายชื่อครับ  
=====================
ท่านสามารถชำระค่าหนังสือ 
หรือร่วมสมทบทุนบริจาคหนังสือให้สถานศึกษาได้ที่ 
----------------------------
ธนาคารกสิกรไทย
ชื่อบัญชี บจก.นาคราพิวัฒน์
เลขที่บัญชี 1518061840

ราคาจำหน่าย
=====================
หนังสือการ์ตูน ๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ 
ราคาจำหน่ายเล่มละ 555 บาท ค่าส่ง 45 บาท 
รวมเป็นจำนวน 600 บาท 
สั่งซื้อ 2 เล่มขึ้นไป จัดส่งให้ฟรี
(เฉพาะสั่งจองผ่าน https://forms.gle/JVnvKHXWpUgXXoXaA หรือ Inbox เพจ เท่านั้น) 
=====================
ช่องทางจำหน่าย หนังสือการ์ตูน ๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ
1. กรอกแบบฟอร์มสั่งซื้อได้ที่  
https://forms.gle/JVnvKHXWpUgXXoXaA

2. สั่งซื้อผ่าน inbox เพจ 2475 Dawn of Revolution   

3. จำหน่ายผ่าน แพลตฟอร์ม Shopee 
https://shopee.co.th/product/93749556/28466020586/

4. จำหน่ายผ่าน แพลตฟอร์ม TikTok 
https://vt.tiktok.com/ZSjGB13XG/ 

สั่งจองได้ที่ https://forms.gle/JVnvKHXWpUgXXoXaA 
หรือ ทางกล่องข้อความเพจ มีแอดมินดูแลตลอดครับ 

หน่วยงานหรือองค์กรที่สั่งจำนวนมาก โปรดติดต่อ 
Inbox Facebook https://www.facebook.com/2475animation 
หรือ Email - [email protected] 

IO ไม่ใช่เครื่องมือไล่ล่าใครแต่ใช้เพื่อความมั่นคง ป้องกันกลุ่มแบ่งแยกชาติแฝงตัวในคราบนักการเมือง

ทำไมกองทัพจึงต้องมี IO: เมื่อพฤติกรรมของนักการเมืองบางคนเปิดช่องให้แนวคิดแบ่งแยกชาติฝังราก

เสียงวิจารณ์ว่ากองทัพไทยใช้งบประมาณในปฏิบัติการข่าวสาร (IO) เพื่อโจมตีนักการเมืองฝ่ายค้านนั้นมีมานาน และยิ่งดังขึ้นเมื่อคุณอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ออกมาแสดงตนว่าเป็น 'เหยื่อ IO' ด้วยวาทกรรมแรงกล้าในทุกเวทีทั้งในและนอกสภา

แต่แทนที่จะหยุดเพียงคำถามว่า “ทำไมทหารต้องทำ IO” เราควรถามกลับว่า “อะไร” คือเหตุผลที่ทำให้บางพรรคการเมืองกลายเป็นเป้าหมายของการเฝ้าระวังทางความมั่นคง

หนึ่งในคำตอบนั้นคือพฤติกรรมของบุคคลในพรรคเดียวกับคุณอมรัตน์ — นั่นคือ รอมฎอน ปันจอ สส.ผู้มีบทบาทชัดเจนในการสนับสนุนงานวิจัยเรื่อง 'สานฝันปาตานีโดยไม่ใช้ความรุนแรง' ซึ่งเผยแพร่แนวคิดเอกราชปาตานีอย่างเป็นระบบ

รอมฎอน ปันจอ เคยเป็นบรรณาธิการเว็บไซต์ Deep South Watch และมีบทบาทอย่างชัดเจนในการสนับสนุนงานวิจัยเรื่อง “สานฝันปาตานีโดยไม่ใช้ความรุนแรง” ที่เนื้อหาภายในมีลักษณะส่งเสริมแนวคิดเอกราชปาตานีอย่างเป็นระบบ

เขานำผลสำรวจความคิดเห็นของคนในพื้นที่ 1,000 คนที่ 'ยอมรับว่าต้องการเอกราช' มานำเสนอผ่านสื่อ และเรียกงานวิจัยชิ้นนี้ว่า 'สุดพีค' พร้อมเสนอว่า รัฐไทยควรยุติความพยายามในการทำให้คนปาตานีละทิ้งความฝันเรื่องเอกราช และควร 'เปิดพื้นที่' ให้แนวทางแบ่งแยกดินแดนได้อภิปรายอย่างเปิดเผยในทางการเมือง

สิ่งที่น่าตกใจกว่านั้นคือ ผู้ช่วยวิจัยของงานชิ้นนี้ล้วนเป็นสมาชิกของเครือข่าย The Patani และ PerMas ซึ่งเป็นกลุ่มที่รณรงค์เรื่อง สิทธิในการกำหนดใจตนเอง และมีความเกี่ยวข้องกับองค์กรต่างชาติที่เคยผลักดันการแบ่งแยกดินแดนในอดีต

เมื่อบุคคลที่มีสถานะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สนับสนุนงานลักษณะนี้ และพรรคการเมืองต้นสังกัดของเขากลับไม่มีท่าทีชี้แจง หรือควบคุมอย่างเป็นรูปธรรม สิ่งที่เกิดขึ้นจึงไม่อาจมองว่าเป็นการกระทำส่วนตัว หากแต่เป็น 'การยินยอมโดยพฤตินัย' ของพรรคทั้งพรรค

นี่คือเหตุผลว่าเหตุใดกองทัพ และหน่วยงานความมั่นคงจึงต้องจับตาพรรคการเมืองนี้อย่างใกล้ชิด

IO จึงไม่ใช่เครื่องมือไล่ล่าใคร แต่เป็นเครื่องมือสร้างการรับรู้ข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้เห็นอีกด้านหนึ่ง — ด้านที่ซ่อนอยู่หลังงานวิจัย วาทกรรมสิทธิ และการเคลื่อนไหวใต้ดินของขบวนการที่ไม่เคารพอธิปไตย

การมี IO จึงไม่ใช่เรื่องผิด เพราะทุกประเทศในโลกต่างมีกลไกเช่นนี้เพื่อป้องกันภัยเงียบ เพียงแต่เขารู้ว่า 'ข้อมูลด้านความมั่นคง' ไม่ใช่สิ่งที่จะเปิดเผยต่อสาธารณชนหรือปล่อยให้ต่างชาติเข้าถึงอย่างเสรี

การอภิปรายเรื่องความมั่นคงในรัฐสภาเปิด เป็นเรื่องที่อาจกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติ ในประเทศที่พัฒนาแล้ว รัฐบาลและฝ่ายการเมืองมีวุฒิภาวะพอที่จะจำกัดการพูดเรื่องความมั่นคงไว้เฉพาะในการประชุมลับของกรรมาธิการหรือหน่วยงานความมั่นคงเท่านั้น

ประเทศไทยเองก็ไม่ต่างกัน หากยังปล่อยให้แนวคิดแบ่งแยกแฝงตัวผ่านช่องทางประชาธิปไตยแบบเสรีไร้ขอบเขต โดยไม่มี IO คอยสกัดกั้นและให้ข้อมูลแก่ประชาชน สังคมไทยก็อาจตื่นรู้ไม่ทัน ก่อนที่โครงสร้างของชาติจะถูกกัดกร่อนไปทีละชั้น

‘ทรัมป์’ ประกาศเก็บภาษี 25% สำหรับรถยนต์นำเข้า ยกเว้นเพื่อนบ้านแคนาดาและเม็กซิโก

(27 มี.ค. 68) สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามคำสั่งเรียกเก็บภาษีศุลกากร 25% สำหรับรถยนต์ทุกคันที่ไม่ได้ผลิตในสหรัฐฯ โดยมาตรการนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2025 และเริ่มเก็บภาษีในวันที่ 3 เมษายนนี้ 

ย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว สหรัฐอเมริกาได้นำเข้ารถยนต์ประมาณแปดล้านคัน คิดเป็นมูลค่าการค้าประมาณ 240,000 ล้านดอลลาร์ (186,000 ล้านปอนด์) และเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของยอดขายทั้งหมด

โดยมีเม็กซิโกเป็นซัพพลายเออร์รถยนต์ต่างชาติรายใหญ่ที่สุดให้กับสหรัฐอเมริกา รองลงมาคือเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น แคนาดา และเยอรมนี ซึ่งการเคลื่อนไหวล่าสุดของทรัมป์อาจส่งผลกระทบต่อการค้ารถยนต์และห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก

ทรัมป์ระบุว่ามาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมยานยนต์ของอเมริกาและกระตุ้นการผลิตภายในประเทศ พร้อมยืนยันว่า “รถยนต์ที่ผลิตในสหรัฐฯ จะไม่มีการเก็บภาษีศุลกากรเลย”

“เราต้องการให้บริษัทผลิตรถยนต์ในอเมริกา และสร้างงานให้กับชาวอเมริกัน” ทรัมป์กล่าวขณะลงนามคำสั่ง

อย่างไรก็ตาม ทำเนียบขาวกล่าวว่าคำสั่งดังกล่าวจะใช้ไม่เฉพาะกับรถยนต์สำเร็จรูปเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชิ้นส่วนรถยนต์ด้วย ซึ่งมักจะถูกส่งจากประเทศอื่นก่อนที่จะมาประกอบในสหรัฐฯ แต่ภาษีศุลกากรใหม่นี้สำหรับชิ้นส่วนจากแคนาดาและเม็กซิโกจะได้รับการยกเว้น

ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า นโยบายดังกล่าวอาจทำให้ราคารถยนต์นำเข้าสูงขึ้น กระทบต่อผู้บริโภคในสหรัฐฯ และอาจนำไปสู่สงครามการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเมื่อวันพุธที่ป่านมา หุ้นของ เจเนรัลมอเตอร์ ร่วงลงราว 3% การเทขายหุ้นดังกล่าวได้ลามไปยังบริษัทอื่นๆ รวมถึง ฟอร์ด หลังจากที่ประธานาธิบดีได้กล่าวยืนยันถึงมาตรการภาษีดังกล่าว

ขณะที่ หลายบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ เช่น โตโยต้า, บีเอ็มดับเบิลยู และเมอร์เซเดส-เบนซ์ กำลังจับตาดูผลกระทบของมาตรการนี้ โดยบางบริษัทอาจต้องพิจารณาย้ายฐานการผลิตมายังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี

ส่วนประชาชนสหรัฐฯ บางส่วนกังวลว่ามาตรการนี้จะทำให้ราคารถยนต์สูงขึ้น แต่บางกลุ่มสนับสนุน โดยมองว่าเป็นแนวทางที่ช่วยส่งเสริมการผลิตในประเทศ

นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะของญี่ปุ่น กล่าวว่ารัฐบาลของเขาจะ “นำทุกทางเลือกมาพิจารณา” เพื่อตอบสนองต่อภาษีนำเข้าดังกล่าว

สำหรับญี่ปุ่นซึ่งมีโรงงานและบริษัทใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์หลายแห่ง ถือเป็นผู้ส่งออกรถยนต์เป็นอันดับสองของโลก โดยหุ้นของผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น ที่ประกอบด้วย โตโยต้า, นิสสัน, ฮอนด้า ร่วงลงในการซื้อขายช่วงเช้านี้ที่โตเกียว

เซ็นทรัลพัฒนา เดินหน้าลงทุนตามแผน 5 ปีกว่า 120,000 ล้านบาท พัฒนาเมกะโปรเจกต์

(27 มี.ค. 68) เซ็นทรัลพัฒนา ประกาศวิสัยทัศน์ ‘Pioneering Growth & Beyond’ และแผนพัฒนาเมกะโปรเจกต์ ปั้น New CBD ในกรุงเทพฯ และมิกซ์ยูสยิ่งใหญ่พัฒนาความเจริญทั่วประเทศ เดินหน้าลงทุนตามแผน 5 ปีกว่า 120,000 ล้านบาท

ภายในปี 68 พัฒนามิกซ์ยูสครบ 30 แห่งทั่วประเทศ พร้อมเผยโครงการใหม่ ได้แก่ ‘Central Northville’ พลิกโฉมย่านรัตนาธิเบศร์ด้วยมิกซ์ยูสที่ใหญ่ที่สุดใจกลางนนทบุรี, บุกอีสาน ‘Central Khonkaen Campus’ โครงการแห่งที่ 2 รองรับการเติบโตขอนแก่น และยกระดับ Master Planning ใหม่ของ ‘Central Chiangmai Airport’ ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ และขยายพื้นที่ลักชูรี่ ‘Central Phuket’ รับดีมานด์ Quality Tourists และเตรียมเปิด ‘Central Krabi’ ต.ค. นี้

โดย ‘Central Chiangmai Airport’ (เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต) พลิกโฉม Retail Landscape ยกระดับ Master Planning ใหม่ บนที่ดิน 130 ไร่ พื้นที่ศูนย์การค้า (GBA) 173,000 ตร.ม. โดยมี Muji’s First Flagship Store ในภาคเหนือ พร้อมแบรนด์ดังใหม่ๆ รวมถึงขยายโซนกาดหลวง Indoor Local Market มากขึ้นถึง 3 เท่ารวมเป็น 10,000 ตร.ม. และยังมีโซน Hug Craft & Northern Village เป็น Tourist Magnet  โดยเตรียมเปิดช่วง Q2 ปี 2569 โครงการยังประกอบด้วย Convention Hall, Tourist Hub และ Multi-Generation Space รวมถึง Go Wholesale แห่งแรกในภาคเหนือ และมีแผนพัฒนาโรงแรม และคอนโดมิเนียมในอนาคต

นอกจากนี้ ทีมผู้บริหารระดับสูงของเซ็นทรัลพัฒนาโดย ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา Chief Marketing Officer และ คุณอิศเรศ จิราธิวัฒน์ Head of Leasing – Fashion & Luxury ร่วมเผยข้อมูล Insights และกลยุทธ์ผลักดันยอดขายและสร้างความสำเร็จเป็น Trusted Partner ที่พร้อมผลักดันให้พันธมิตรเติบโตไปพร้อมกัน โดยศูนย์การค้าเซ็นทรัลประสบความสำเร็จเป็น Thailand’s Largest Retail Destination for Global Brands ซึ่งปัจจุบันกว่า 80% ของแบรนด์ระดับโลกเลือกมาเปิด First Time in Thailand ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล และมี Flagship Stores มากถึง 50 ร้าน 

หลายแบรนด์มีสาขาที่ประสบความสำเร็จในด้านยอดขายในระดับ Top Rank สำหรับอีกหนึ่งความสำเร็จในการดูแลพาร์ทเนอร์คู่ค้า คือการสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจด้วย The 1 Biz เครื่องมือ CRM ที่ช่วยขับเคลื่อนยอดขาย ล่าสุดแบรนด์ที่เข้าร่วมมีอัตราการเติบโตสูงสุดถึง 3 เท่า ปีที่ผ่านมาสมาชิก The 1 แลกพอยท์ในโซนร้านค้ากว่า 300 ล้านพอยท์ และบิลที่สะสมพอยท์สูงสุดแตะ 3.4 ล้านบาท นอกจากนี้ เรายังได้สร้าง Experience Application ‘Central X’ เพื่อเชื่อมโยงประสบการณ์แบบ O2O 

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ขับเคลื่อนสู่อนาคตภายใต้เจตจำนงค์ของแบรนด์ Imagining better futures for all โดยตลอด 45 ปี ได้สนับสนุนสังคมและชุมชนกว่า 5,000 ล้านบาท ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน, พื้นที่สาธารณประโยชน์ และโอกาสทางการศึกษา ด้านสิ่งแวดล้อม เราเดินหน้าสู่ Net Zero 2050 ได้รับการจัดอันดับ DJSI Best-in-Class 7 ปีซ้อน และเป็นอสังหาฯ รายแรกที่ออก ‘Green Bond’ อีกทั้งทุกศูนย์การค้าติดตั้ง Solar Rooftop, EV Charging Station พร้อมขับเคลื่อนโครงการ Green Partnership เพื่อลดก๊าซเรือนกระจกร่วมกับพันธมิตรร้านค้า

ศาลเชียงใหม่ สั่งจำคุก 'อานนท์ นำภา' 2 ปี คดีปราศรัยผิด ม.112 รวมโทษจำคุกถึงตอนนี้ 20 ปี 19 เดือน

(27 มี.ค. 68) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์ข้อความผ่านแอปพลิเคชัน X ว่า วันนี้ ศาลจังหวัดเชียงใหม่พิพากษาคดี #ม112 ของอานนท์ นำภา กรณีปราศรัยหอศิลป์ มช. วันที่ 23 พ.ย. 63 เห็นว่ามีความผิดตามฟ้อง คำปราศรัยของจำเลยทำให้สถาบันเบื้องสูงเสื่อมเสีย

ส่วนข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต ฟังไม่ขึ้น เพราะการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนจะใช้ได้ตามที่กฎหมายบัญญัติ จะใช้จนกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของรัฐมิได้

พิพากษาลงโทษจำคุก 3 ปี จำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษหนึ่งในสาม เหลือจำคุก 2 ปี

รวมโทษจำคุกของอานนท์ตอนนี้ 20 ปี 19 เดือน 20 วัน ทุกคดียังไม่สิ้นสุด

เชียงใหม่-คณะแพทยศาสตร์ มช. เปิด Innovation for a new life ห้องคลอดสวนดอกโฉมใหม่ มาตรฐานสากล พร้อมศูนย์วินิจฉัยทารกในครรภ์ระดับสูง ครบวงจร

(27 มี.ค. 68) คณะแพทยศาสตร์ มช. เปิดตัวห้องคลอดแห่งใหม่ ยกระดับมาตรฐานการดูแลแม่และทารกที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ความสะดวกสบายให้กับคุณแม่และทารกแรกเกิด โดยเน้นเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมาตรฐานการดูแลระดับสูง เพื่อให้ประสบการณ์การคลอดเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยที่สุด ณ ชั้น 3 อาคารผ่าตัด สูติกรรม คณะแพทยศาสตร์ มช. ในวันอังคารที่ 25 มีนาคม 2568 ระหว่างเวลา 09.30-11.00 น. ณ ชั้น 15 อาคารเฉลิมพระบารมีคณะแพทยศาสตร์ มช.

รศ.นพ.นเรนทร์ โชติรสนิรมิต คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มช. เปิดเผยว่า “ เนื่องมาจากห้องคลอดของหน่วยคลอดและหน่วยผ่าตัดสูตินรีเวชโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ได้เปิดให้บริการแก่สตรีตั้งครรภ์และผู้ป่วยทางนรีเวชมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 60 ปี จึงถึงเวลาต้องปรับปรุงทางกายภาย เพื่อให้รับบริการได้ประโยชน์สูงสุด 

โดยห้องคลอดปรับปรุงใหม่นี้ ถูกออกแบบตามแนวคิด “ระบบทางเดียว” โดยแยกของสะอาดและของสกปรกออกจากกัน ลดความเสี่ยงต่อการปนเปื้อน พร้อมทั้งใช้วัสดุตกแต่ง เช่น ผนังและฝ้าเพดานที่มีพื้นผิวเรียบ รอยต่อน้อย เพื่อลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และแรงดันอากาศ รวมถึงระบบไหลเวียนและกรองอากาศ เพื่อให้บริเวณเตียงคลอดมีอากาศสะอาดปราศจากเชื้อโรค
 
นอกจากนี้ ห้องคลอดใหม่ยังมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ทันสมัย รองรับการคลอดทุกรูปแบบ รวมถึงภาวะฉุกเฉิน ห้องพักสำหรับคลอดที่เป็นส่วนตัว ออกแบบให้เหมาะกับการผ่อนคลายของคุณแม่ โดยมีทีมแพทย์ และพยาบาลผู้เชี่ยวชาญ ดูแลตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมระบบดูแลทารกแรกเกิดแบบครบวงจร ป้องกันภาวะแทรกซ้อนและส่งเสริมพัฒนาการตั้งแต่แรกเกิด ภายในห้องคลอดยังติดตั้งอุปกรณ์ที่ทันสมัย ทั้งระบบไฟฟ้า หัวจ่ายแก๊ส และเครื่องมือทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐานระดับสากล ซึ่งไม่เพียงช่วยเสริมความปลอดภัยในการรักษาของผู้เข้ารับบริการเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนการสอนทางการแพทย์ ให้ผู้เรียนและผู้ปฏิบัติงานสามารถฝึกปฏิบัติในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและทันสมัย การเปิดตัวห้องคลอดนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของคณะแพทยศาสตร์ มช. ในการยกระดับมาตรฐานการให้บริการทางการแพทย์และการศึกษาด้านสูติศาสตร์ เพื่อความปลอดภัยและคุณภาพสูงสุดแก่ทั้งบุคลากรและผู้รับบริการ”

 รศ.นพ.กิตติภัต เจริญขวัญ หัวหน้าภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มช. เปิดเผยว่า “หน่วยคลอดของโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ มีความพร้อมในการให้บริการสตรีตั้งครรภ์ทุกรายที่มาคลอด ทั้งรายที่มีความเสี่ยงต่ำและความเสี่ยงสูง ทั้งการคลอดแบบธรรมชาติ การคลอดโดยใช้อุปกรณ์พิเศษช่วย และการผ่าตัดคลอด ทั้งนี้ภาวะตั้งครรภ์เสี่ยงสูงหรือภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย 10 อันดับแรกในสตรีตั้งครรภ์ที่มาคลอดในปี พ.ศ. 2567 ได้แก่โรคเบาหวาน ภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ความดันโลหิตสูง (ครรภ์เป็นพิษ) ทารกโตช้าในครรภ์ ทารกท่าก้น น้ำเดินก่อนกำหนด ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เนื้องอกมดลูก คอพอกเป็นพิษ และรกเกาะต่ำ  

บ่อยครั้งที่ภาวะเหล่านี้ ส่งผลให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 18  ของการคลอดทั้งหมดในปี พ.ศ.2567 รวมถึงเพิ่มความจำเป็นในการผ่าตัดคลอดอีกด้วย  ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมส่งมอบการดูแลที่ปลอดภัยให้กับมารดาและทารก รวมถึงผู้ป่วยทางนรีเวช ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า โดยทีมแพทย์และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญสูง”

ด้านรศ.พญ.เฟื่องลดา ทองประเสริฐ อาจารย์ประจำหน่วยเวชศาสตร์มารดาและทารก ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยาณะแพทยศาสตร์ มช. เปิดเผยว่า “ศูนย์วินิจฉัยทารกในครรภ์ (Fetal Diagnostic Center หรือ Fetal Center) เป็นศูนย์ที่ให้บริการตรวจคัดกรอง วินิจฉัย และดูแลรักษาทารกตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนถึงช่วงแรกหลังคลอดครอบคลุมทั้งขั้นพื้นฐานและขั้นสูง พร้อมทั้งเป็นศูนย์กลางด้านวิชาการและการฝึกอบรม เพื่อพัฒนาผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ทารกในครรภ์ และส่งเสริมการวิจัยอย่างต่อเนื่อง 

จุดเด่นของศูนย์ คือสามารถตรวจคัดกรองความผิดปกติของทารกตั้งแต่ไตรมาสแรก ตรวจโรคทางพันธุกรรม เช่น ธาลัสซีเมีย กลุ่มอาการดาวน์ และโรคหายากอื่น ๆ โดยการเจาะชิ้นเนื้อรก ทั้งนี้ศูนย์วินิจฉัยทารกในครรภ์ คณะแพทยศาสตร์ มช. เป็นศูนย์ที่ให้บริการตรวจชิ้นเนื้อรกมากที่สุดในประเทศ 

ศูนย์ฯ ยังมีความเชี่ยวชาญด้านหัตถการเฉพาะทาง  เช่นการเจาะเลือดสายสะดือของทารกในครรภ์ เพื่อตรวจวินิจฉัยโรคที่ซับซ้อน โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยระดับนานาชาติ นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์เดียวในภาคเหนือที่สามารถรักษาทารกในครรภ์โดยการเติมเลือด หรือ การส่องกล้องรักษาครรภ์แฝดที่มีภาวะแทรกซ้อน ทั้งนี้เพื่อให้มารดาที่ตั้งครรภ์ ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด และดำเนินการคลอดอย่างปลอดภัยที่สุด

‘จ่าคลั่ง’ สงกรานต์ พวงน้อย กลับมาปฏิบัติหน้าที่ตำรวจอีกครั้ง พร้อมขอโอกาสใหม่ หลังก่อเหตุต่อยกรรมการและย่ำคู่แข่งในศึกฟุตบอล T3

(27 มี.ค. 68) หลังจากเหตุการณ์ที่ สงกรานต์ พวงน้อย หรือ “จ่าคลั่ง” นักเตะหัวหิน ซิตี้ ก่อเหตุทำร้ายกรรมการและย่ำคู่แข่งจนโดนใบแดงในสนาม ส่งผลให้ทีม หัวหิน ซิตี้ ยกเลิกสัญญา ล่าสุดเจ้าตัวได้ออกมาโพสต์ขอโทษผ่านสื่อสังคมออนไลน์ พร้อมขอให้สังคมให้อภัยและยอมรับโอกาสที่เขาจะกลับมาทำความดีตอบแทนสังคม

โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในเกมระหว่าง หัวหิน ซิตี้ ที่เปิดบ้านพ่ายให้กับ ราชประชา 2-5 เมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งนายสงกรานต์ผู้เล่นของหัวหิน ซิตี้ ไม่พอใจผู้เล่นทีมราชประชา ที่ไม่ยอมออกไปปฐมพยาบาลนอกสนาม จนเกิดการมีปากเสียงกัน ก่อนที่จ่าคลั่งจะเข้าไปย่ำเท้าใส่คู่แข่ง ต่อยกรรมการ จนผู้ตัดสินไม่รอช้าแจกใบแดงไล่ออกจากสนามทันที

ต่อมา สงกรานต์ พวงน้อย โพสต์ข้อความหลังจบเกม ความว่า กระผมต้องกราบขอโทษสโมสรราชประชาและน้องเบอร์ 10 และผมต้องกราบกราบขอโทษผู้ตัดสินจากใจจริง กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสิ่งที่ผมกระทำไปเป็นอารมณ์ชั่ววูบและเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับเยาวชน และผมก็ขอโทษน้องส่วนตัวแล้วก็เข้าไปขอโทษโค้ช ขอโทษเพื่อนร่วมทีมที่ร่วมเล่นทุกๆคน 

พร้อมทั้งขอโทษแฟนบอลทุกๆท่านสิ่งที่ผมทำไป ผมได้ทำผิดพลาดไปแล้วผมหวังว่าจะไม่เกิดขึ้นกับตัวผมอีกเป็นบทเรียนให้ผมได้เรียนรู้ ต้องกราบขอโทษจากใจจริงครับผม และผมหวังว่าทุกคนจะให้อภัยในสิ่งที่ผมทำต้องกราบขอโทษจากใจจริงมาณที่นี้ครับ

ปัจจุบัน สงกรานต์ พวงน้อย ได้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ตำรวจในตำแหน่ง ตำรวจจราจร ซึ่งเขาได้ทำหน้าที่นี้มาตลอดตั้งแต่ยังค้าแข้งกับทีม หัวหิน ซิตี้ โดยเจ้าตัวได้โพสต์ขอโทษอีกครั้งว่า “ผมขอใช้พื้นที่ตรงนี้อีกทีนึง ผมจะทำความดีทดแทนสังคม ขอให้สังคมและแฟนบอลให้อภัยผมสิ่งที่ผมทำไป เป็นสิ่งที่ไม่ดีแล้วเป็นตัวอย่างไม่ดีให้กับเยาวชนรุ่นหลัง และเยาวชนรุ่นหลังห้ามเอาเป็นตัวอย่าง”

ทั้งนี้ บทลงโทษของ สงกรานต์ พวงน้อย คือห้ามเข้าร่วมการแข่งขันที่สมาคมจัดขึ้นเป็นเวลา 5 ปี นับตั้งแต่มีคำสั่งนี้เป็นต้นไป และถูกพักการแข่งขันและห้ามเข้าสนาม 20 นัด ถูกปรับเงิน 310,000 บาท แต่เป็นการแข่งขันกีฬาฟุตบอลรายการไทยลีก 3 จึงลงโทษปรับหนึ่งในสี่ ปรับเงิน 77,500 บาท


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top