Wednesday, 3 July 2024
TheStatesTimes

‘เคอรี่ เอ็กซ์เพรส’ เตรียมรีแบรนด์ ‘KEX’ เริ่ม 22 ก.พ. 68 หลังเปลี่ยนผู้ถือหุ้นรายใหญ่ - หมดสัญญาใช้แบรนด์ ‘Kerry’

(28 พ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง การแจ้งแผนการปรับเปลี่ยนเครื่องหมายการค้า (Rebranding) สู่แบรนด์ ‘KEX’ และการได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิจาก Kuok Registrations Limited

โดยระบุว่า อ้างถึงการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นของบริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ตามที่บริษัทได้ประกาศ ณ วันที่ 26 มีนาคม 2567 (‘การเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น’) ซึ่งส่งผลให้ ณ ปัจจุบัน S.F.Holdings Co., Ltd. (‘SF’) เข้าเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ผ่านบริษัท เอสเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (‘SFTH’)

นอกจากนี้ยังส่งผลให้ บริษัท เคแอลเอ็น โลจิสติคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (‘KLNTH’) (ผู้ถือหุ้นรายใหญ่เดิมของบริษัท) สิ้นสุดการเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท และ Kerry Logistics Network Limited (‘KLN Group’) สิ้นสุดการควบคุมไม่ว่าในทางใดก็ตาม หรือการถือซึ่งสิทธิในการออกเสียงไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมร้อยละ 50 หรือมากกว่าในบริษัท

เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างราบรื่นและเพื่อสนับสนุนการพัฒนาในอนาคตภายหลังการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น บริษัท และ SF ได้ดำเนินการร่วมกันอย่างแข็งขันในการกำหนดกลยุทธ์ของบริษัท หลายประการซึ่งรวมถึงการปรับเปลี่ยนเครื่องหมายการค้าของบริษัท

เนื่องจากความเป็นไปได้ในการสิ้นสุดการใช้ชื่อและเครื่องหมายการค้าที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ ‘Kerry’ อันเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นตามที่ได้เปิดเผยข้างต้น โดยการพิจารณาได้เป็นไปอย่างรอบคอบเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

บริษัท และ SF ได้ใช้ความพยายามอย่างที่สุดในการพูดคุยและเจรจากับ Kuok Registrations Limited (‘KRL’) เกี่ยวกับรายละเอียดของข้อกำหนดและเงื่อนไขในการขยายสิทธิในการใช้ชื่อและเครื่องหมายการค้า แบรนด์ ‘Kerry’ ภายใต้สัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ ลงวันที่ 1 สิงหาคม 2565 (รวมถึงสัญญาที่แก้ไขเพิ่มเติมทั้งหมด) ระหว่างบริษัท และ KRL รวมถึงระยะเวลาขยายการใช้สิทธิที่เป็นไปได้ แผนการในการปรับเปลี่ยน เครื่องหมายการค้าที่คาดไว้ และเงื่อนไขอื่น ๆ ในการใช้แบรนด์ต่อไป

ในขณะเดียวกันบริษัท และ SF ได้ดำเนินการประเมินอย่างละเอียดถึงผลกระทบต่อการดำเนินการและสถานะทางการเงินของบริษัท ที่อาจจะเกิดขึ้นจากการปรับเปลี่ยนเครื่องหมายการค้า

ทั้งนี้ เมื่อคำนึงถึงการเจรจาข้อตกลงในการขยายระยะเวลาของสัญญา ที่อาจเป็นไปได้ และการพัฒนาของบริษัท ในระยะยาว บริษัทเชื่อว่าหนึ่งในทางออกที่ดีที่สุดของบริษัท คือ การปรับเปลี่ยนเครื่องหมายการค้า (Rebranding) เพื่อยุติการใช้ชื่อและเครื่องหมายการค้าที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ ‘Kerry’

โดยเปลี่ยนมาใช้แบรนด์ ‘KEX’ แทน ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ได้จดทะเบียนไว้อยู่กับบริษัทลูกภายใต้เครือ SF และ SF ได้เตรียมการที่จะให้บริษัท ได้ใช้แบรนด์ดังกล่าวเพื่อการดำเนินธุรกิจ โดยขึ้นอยู่กับการเข้าทำสัญญา การขออนุมัติภายในองค์กรและภายใต้กฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องของบริษัท และ SF รวมถึงบริษัทย่อย

โดยผลจากเหตุการณ์ดังกล่าว บริษัทได้ทราบถึงหนังสือบอกเลิกสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ ลงวันที่ 23 พฤษภาคม 2567 ซึ่ง KRL ได้ใช้สิทธิในการบอกเลิกสัญญา ล่วงหน้าเป็นระยะเวลา 9 เดือน จากหนังสือบอกเลิกสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิดังกล่าว การเลิกสัญญา จะมีผลในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2568 และสิทธิของบริษัท ในการใช้ชื่อและเครื่องหมายการค้าแบรนด์ ‘Kerry’ จะสิ้นสุดลงในวันเดียวกัน คือ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2568

ณ ปัจจุบัน บริษัท และ SF กำลังดำเนินการร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องหมายการค้าของบริษัท สู่แบรนด์ ‘KEX’ ในขณะที่บริษัทยังคงมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เสนอขายและปรับระดับแบรนด์ของบริษัท เพื่อการเจริญเติบโตที่ดีขึ้นและยกระดับความพึงพอใจของลูกค้า

นอกจากนี้บริษัทยังพิจารณาแผนการและกลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากหนังสือบอกเลิกสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ และเพื่อให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างราบรื่น

รายละเอียดของสัญญา ได้เปิดเผยอยู่ในแบบ 56-1 One Report (หัวข้อ ความเสี่ยงการใช้แบรนด์ Kerry Express หน้า 73-74) ซึ่งปรากฏอยู่บนเว็บไซต์ของบริษัท และแผนการดำเนินการของ SF ในการให้ความช่วยเหลือในการเจรจาเพื่อขยายระยะเวลาของสัญญา ตามที่ปรากฏในเอกสารคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของ SF (แบบ 247-4) (ส่วนที่ 3 รายละเอียดของกิจการ หัวข้อที่ 2 แผนการดำเนินการภายหลังการทำคำเสนอซื้อ 2.2.2 แผนการบริหารจัดการกิจการ หน้า 9-10) ซึ่งปรากฏอยู่บนเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ และหากมีความคืบหน้าที่สำคัญในเรื่องดังกล่าว บริษัทจะแจ้งให้ทราบต่อไป

ทั้งนี้ เมื่อ 26 มีนาคม 2567 เคอรี่ เอ็กซ์เพรส รายงานผลการยื่นคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมด (Mandatory Tender Offer) ว่า SF Express ผู้ให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในจีนและเอเชีย ได้กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของเคอรี่ เอ็กซ์เพรส โดยมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 1,091,818,327 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 62.66% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด

‘ชัชชาติ’ โชว์ผลงาน 2 ปี หลังดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ ชี้!! นโยบายสำเร็จไปแล้ว 90% สร้างความเปลี่ยนแปลงใน 6 มิติ

(28 พ.ค.67) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นำทีมรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รายงานประชาชน ครบรอบ 2 ปีการทำงาน ภายใต้ชื่องาน ‘2 ปี ทำงาน ‘เปลี่ยน ปรับ’ ยกระดับเมืองน่าอยู่’ พร้อมแสดงวิสัยทัศน์การทำงานในอีก 2 ปีข้างหน้า ณ ห้องอเนกประสงค์ ชั้น 1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เขตปทุมวัน

ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวว่า เดิมกรุงเทพฯ เป็นเมืองเที่ยวสนุก แต่ประสิทธิภาพต่ำ ซึ่งทำให้คนเหนื่อยกับการใช้ชีวิตและการเผชิญกับปัญหาอุปสรรคมากมาย ดังนั้นสิ่งที่ได้ทำตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จึงมีการเปลี่ยนแปลงและปรับหลายด้าน เพื่อให้การทำงานและการแก้ไขปัญหามีความคล่องตัว มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้คนเหนื่อยน้อยลง และมีความสุขกับการใช้ชีวิตมากขึ้น โดยได้ปรับเปลี่ยนด้านต่าง ๆ ดังนี้ เรื่องแรกปรับ Traffy Fondue ลดขั้นตอน เพิ่มโปร่งใส ตอบโจทย์ เพิ่มประสิทธิภาพการแก้ไขปัญหาของประชาชน เชื่อว่าสิ่งที่สะท้อนผ่านการร้องเรียน คือความเชื่อมั่นระหว่าง กทม.กับประชาชน ดังนั้น กทม.จึงมุ่งมั่นในการแก้ไขทุก ๆ ปัญหาที่ประชาชนแจ้งเข้ามาอย่างเต็มที่

เรื่องที่ 2 ปรับทางเท้ามาตรฐานใหม่ คงทน คุ้มค่า คิดถึงทุกคน กทม.มุ่งมั่นทำทางเท้าให้เอื้อต่อการใช้งานของคนทุกเพศทุกวัย โดยยึดมาตรฐานทางเท้าที่แข็งแรง คงทน และสวยงาม 2 ปีได้ปรับปรุงไป 785 กม.

เรื่องที่ 3 จัดระเบียบหาบเร่ - แผงลอย ให้ประชาชนเข้าถึงอาหารราคาถูกได้โดยไม่เบียดเบียนทางเดินเท้า ทำไปแล้ว 257 จุด พร้อมจัดระเบียบสายสื่อสารรกรุงรัง รวมระยะทาง 627 กม.รวมทั้งเปลี่ยนหลอดไฟฟ้าแสงสว่างเป็นหลอด LED เชื่อมระบบ IOT ตรวจสอบหลอดไฟดวงเสียได้อัตโนมัติและแก้ไขได้รวดเร็ว ให้คนกรุงเทพฯ เดินเท้ากลับบ้านอย่างสบายใจ

เรื่องที่ 4 น้ำลดไว สัญจรทันใจ เศรษฐกิจไม่ติดขัด ตั้งแต่ถอดบทเรียนและรวบรวมข้อมูลจุดน้ำท่วมทั่วกรุงเทพฯ ในปี 2565 พบจุดที่ต้องแก้ไข 737 จุด ขณะนี้แก้ไขแล้ว 370 จุด และจะแก้ไขได้ทันในปี 67 อีก 190 จุด และเตรียมพร้อมรับมือน้ำท่วมก่อนที่จะเกิดฝน

เรื่องที่ 5 เพิ่มพื้นที่สาธารณะ ให้เมืองมีชีวิตเมืองที่ดี คือ เมืองที่มีพื้นที่สาธารณะ จะช่วยลดต้นทุนในการใช้ชีวิตให้กับประชาชน ไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงเพื่อจะเข้าถึงบริการต่างๆ และเพิ่มพื้นที่แห่งความสร้างสรรค์ มีการปรับปรุงอาคารลุมพินีสถานสู่ Performance Art Hub ของคนกรุงเทพฯ เสร็จในปี 68 และการเพิ่มสวนขนาดใหญ่ให้เป็นปอดฟอกอากาศ และสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของคนกรุงเทพฯ เช่น โครงการเชื่อมบึงหนองบอน-สวนหลวง ร.9 สวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ และ สวนกีฬาทางน้ำแห่งใหม่ที่บ่อฝรั่ง (ริมบึงบางซื่อ) และสวนป่าชุ่มน้ำบางกอก (เสรีไทย) ส่วนสวน 15 นาที สวนขนาดเล็กใกล้ชิดชุมชนระยะเดินไม่เกิน 15 นาที ล่าสุดเกิดขึ้นแล้วกว่า 100 แห่ง คาดว่าจะครบ 500 แห่ง ภายใน 4 ปี

เรื่องที่ 6 ปรับบริการสุขภาพ ปูพรมตรวจรักษาโรค สร้างพื้นฐานคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อลดข้อจำกัดการเข้าถึงบริการสาธารณสุขของคนกรุงเทพฯ ปัญหาหมออยู่ไกล เข้าถึงยาก ไม่สะดวก เสียเวลา มีโครงการตรวจสุขภาพฟรี 1,000,000 คน ขยายการบริการของศูนย์บริการสาธารณะ รับตรวจรักษานอกเวลาจนถึง 2 ทุ่ม หรือเสาร์ - อาทิตย์

เรื่องที่ 7 โปร่งใสด้วยเทคโนโลยี คุ้มค่าเงินภาษี ตลอด 2 ปี ดำเนินการป้องกันและต่อต้านการทุจริตอย่างเข้มข้น มีการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนทั้งสิ้น 781 เรื่อง มีมูลทุจริต 56 เรื่อง ถึงขั้นสอบสวนทางวินัย 44 เรื่อง ให้ออกจากราชการ 29 ราย อยู่ระหว่างการพิจารณา 12 เรื่อง ส่งต่อให้ ป.ป.ช.หรือ ป.ป.ท. 5 เรื่อง และรวมศูนย์การขอใบอนุญาตไว้บนออนไลน์ ประชาชนสามารถติดตามทุกคำขออนุญาตทั้งออนไลน์และออฟไลน์ได้จาก Line OA กรุงเทพมหานคร (@bangkokofficial) รวมถึงมีการเปิดฐานข้อมูล (Open Data) ด้านนโยบาย งบประมาณ สัญญาจ้าง ภาษี ไปแล้วมากกว่า 1,000 ชุดข้อมูล มีผู้ใช้งานมากกว่า 3 ล้านครั้ง/ปี ด้านการเปิดระบบจัดซื้อจัดจ้าง ได้มุ่งให้เกิดความโปร่งใสตั้งแต่การประกวดราคาจนถึงการบริหารสัญญา และการบริหารเงินให้มีประสิทธิภาพ ยึดผลประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง ได้พยายามแก้ไขปัญหาโครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า BTS ที่มีมาต่อเนื่อง ได้ลุล่วงไปในก้าวแรก โดยสามารถชำระหนี้งานระบบของส่วนต่อขยาย 23,000 ล้านบาท และโอนกรรมสิทธิ์มาเป็นของ กทม. เรียบร้อยแล้ว ที่จะทำต่อไปคือการลดการผูกขาด โดยเสนอรัฐบาลให้ยกเลิกคำสั่ง ม.44 นำระบบรถไฟฟ้ากลับสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและร่วมทุนตามกฎหมาย เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนต่อไป

"2 ปี ที่ผ่านมาเป็นช่วงของการทำงานที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของกทม.ผ่านนโยบายและโครงการต่าง ๆ มากมาย ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพของเมือง ใน 6 มิติ 1.ประชาชนเป็นศูนย์กลาง คือ Traffy Fondue 2.กระจายอำนาจสู่ประชาชน งบประมาณชุมชน 2 แสน 3.ทำงานอย่างโปร่งใส Open Bangkok, Open Data 4.ใช้เทคโนโลยีและข้อมูล บริการ BMA OSS, GPS รถขยะ 5.สร้างการมีส่วนร่วมจากประชาชน รับฟังเสียงจากคนรุ่นใหม่ 6.เดินหน้าแก้ไขปัญหาที่ท้าทาย ยกระดับการศึกษา สาธารณสุข แก้หนี้ BTS ปัญหาหาบเร่-แผงลอย และเตรียมเสนอร่าง พ.ร.บ.กทม.ใหม่ เพื่อนำไปสู่การยกระดับการบริหารราชการ กทม.รูปแบบใหม่ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นความเปลี่ยนแปลงที่อยู่ต่อไปแม้เราจะไม่อยู่บริหารแล้ว จะเกิดประโยชน์กับประชาชน" ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าว

นายชัชชาติ กล่าวถึงการทำงานอีก 2 ปี ว่า 2 ปีต่อไป มุ่งบูรณาการข้ามหน่วยงาน สร้างกรุงเทพฯ เมืองน่าอยู่แห่งอนาคต โดยมุ่งมั่นจะขับเคลื่อนกรุงเทพมหานครเป็นเมืองน่าอยู่ โดยทำงานประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วน "ตั้งแต่ประกาศนโยบายและทำงานมา 2 ปี ทำได้ 90% ยังมีเรื่องที่ทำไม่ดี ยังมีปัญหาที่ต้องทำต่ออีกมาก ถ้าให้คะแนนการทำงาน ให้ 5 เต็ม 10 ส่วนคนกรุงเทพฯ จะพอใจ หรือวัดว่ามีความสุขเพิ่มขึ้นเท่าไร ต้องให้ประชาชนบอก"

นอกจากนี้ รองผู้ว่าฯ กทม.ทั้ง 4 ได้รายงานเมกะโปรเจกต์ที่จะทำในอีก 2 ปี

นายจักกพันธุ์ ผิวงาม รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ที่จะทำ 2 ปีข้างหน้า เพื่อให้กรุงเทพฯ มีอากาศสะอาด จะมีการเปลี่ยนรถบริการของ กทม.ไม่ว่าจะเป็น รถเก็บขยะ รถบรรทุกน้ำ รถสุขาเคลื่อนที่ รถบรรทุก 6 ล้อ จากรถที่ใช้พลังงานดีเซลมาเป็นรถพลังงานไฟฟ้าแทน จากการคำนวณรถขยะขนาด 5 ตัน สามารถลดค่าเช่าลงเหลือ 2,240 บาท/คัน/วัน จาก 2,800 บาท/คัน/วัน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเหลือ 200 ตัน/ปี จาก 2,256 ตัน/ปี ลดการปล่อย PM2.5 เหลือเป็นศูนย์ จาก 22 กก./ปี และลดต้นทุนพลังงานเหลือ 455 บาท/เที่ยว จาก 1,300 บาท/เที่ยว โดยมีแผนรับมอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ในปี 67 จำนวน 615 คัน ปี 68 จำนวน 392 คัน และปี 69 อีก 657 คัน และยังเร่งรัดการก่อสร้างโรงเผาเพื่อผลิตไฟฟ้าอ่อนนุช-หนองแขม เพื่อลดการฝังกลบ และลดต้นทุนการจัดการขยะ โดยคาดว่าจะเปิดในปี 69 ซึ่งจะประหยัดเงินค่าจัดการขยะได้ 172,462,500 บาท/ปี

ทั้งนี้ รองผู้ว่าฯ จักกพันธุ์ ได้ประกาศบนเวทีว่า จะลาออกจากตำแหน่งทันที หากมีใครมายืนชี้หน้าว่า ‘ตนทุจริต’ โครงการเช่ารถขยะไฟฟ้า ซึ่งมีข้อซักถามถึงประเด็นการเปลี่ยนรถขยะ กทม.จากดีเซล เป็นรถ EV ว่าให้ตรวจสอบไม่ให้มีการทุจริต

นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า 2 ปี จากนี้ คนกรุงเทพฯ จะเดินทางสะดวกขึ้น ด้วยบริการป้ายรถเมล์ดิจิทัล 500 ป้าย การปรับปรุงศาลารถเมล์ 300 หลัง และการติดตั้งจอดิจิทัลในศาลาที่พักผู้โดยสารอีก 200 หลัง เพิ่มตัวเลือกการเดินทาง โดยเฉพาะการเชื่อมต่อ (Last Mile) ด้วยการเดินทางที่หลากหลาย เช่น รถตุ๊ก ๆ ไฟฟ้า จักรยาน Shuttle Bus และสกายวอล์ค ด้านการจราจรจะคล่องตัวขึ้น โดยการอัปเกรดสัญญาณไฟจราจรทั่วกรุงเทพฯ ให้เป็น Adaptive Signaling ปรับสัญญาณไฟให้สอดคล้องกับปริมาณจราจร 541 ทางแยก พร้อมทั้งมอนิเตอร์เมือง สังเกต และสั่งการผ่าน Command Center

รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า 2 ปีหลังนี้ จะผลักดันโรงพยาบาลเดิม 3 แห่ง โดยเพิ่มเตียงโรงพยาบาลกลาง อีก 150 เตียง โรงพยาบาลบางนาเพิ่ม 324 เตียง โรงพยาบาลคลองสามวา เพิ่ม 268 เตียง และเพิ่มโรงพยาบาลใหม่ในสังกัด กทม.อีก 4 แห่ง โรงพยาบาลพระมงคลเทพมุนี ขนาด 150 เตียง เปิดแล้ว จะเปิดโรงพยาบาลดอนเมือง ขนาด 200 เตียง โรงพยาบาลสายไหม ขนาด 120 เตียง และโรงพยาบาลทุ่งครุ ขนาด 60 เตียง เพื่อขยายเตียงดูแลคนกรุงเทพฯ ให้ได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น อีก 1,272 เตียง และพัฒนาศูนย์บริการสาธารณสุขให้เข้าถึงง่าย กระจายทั่วกรุงเทพฯ โดยก่อสร้างอาคารใหม่ 21 แห่ง และปรับปรุงใหม่อีก 31 แห่ง นอกจากนี้ ยังเตรียมปรับปรุงสถานีดับเพลิง 13 แห่ง และสร้างใหม่อีก 3 แห่ง พร้อมทั้งยกระดับ Command Center

นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า การพัฒนาคน คือการพัฒนาเมือง จะยกระดับจากการศึกษา สู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong learning) โดยการศึกษาปฐมวัย ปรับปรุงศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและเริ่มรับเด็กเร็วขึ้น เพิ่มชั้นอนุบาลสำหรับเด็ก 3 ขวบ แผนขยายให้ครอบคลุมทุกโรงเรียนในปี 69 ส่วนการศึกษาภาคบังคับ พัฒนาห้องเรียนดิจิทัล สร้าง Active Learning ห้องเรียนคอมพิวเตอร์ ส่วนการพัฒนาเมืองเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น ทั้งช่วยสอดส่อง แจ้งปัญหา ร่วมทำ ร่วมนำเสนอ ผ่านสภาเด็กและเยาวชน สภาเมืองคนรุ่นใหม่ ประชาคมคนพิการ ย่านสร้างสรรค์ เทศกาล อีเวนต์ กิจกรรมดนตรีในสวน และอาสาสมัครเทคโนโลยีประจำชุมชน มี e-participation แพลตฟอร์มออนไลน์ที่สามารถร่วมสร้างกรุงเทพฯ

คณะนักศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรสำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต (วปอ.บอ..)เดินทางดูกิจการและศึกษาภูมิประเทศที่จังหวัดสุโขทัย

นักศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต (วปอ.บอ.) รุ่นที่ 1 นำโดย พลโท ศักดิ์สิทธิ์ แสงชนินทร์ ผู้อำนวยการหลักสูตร การป้องกันราชอาณาจักรสำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต นางสาวแพทองธาร ชินวัตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์เพาเวอร์แห่งชาติ รองประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพจิตเวชแห่งชาติ และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เดินทางดูกิจการและศึกษาภูมิประเทศ ณ จังหวัดสุโขทัย เมื่อเดินทางถึงหอประชุมองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย นายสุชาติ ทีคะสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย นางสาวสรินรัตน์ เกิดสกุลรุ่งโรจน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย  ดร.มนู พุกประเสริฐ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ

โอกาสนี้ ดร.มนู พุกประเสริฐ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย กล่าวต้อนรับคณะนักศึกษา วปอ.บอ. รุ่นที่ 1 จากนั้นนายสุชาติ ทีคะสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัยแนะนำภาพรวมของจังหวัดสุโขทัย ต่อด้วยการบรรยายสรุปจากหน่วยงานในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย เรื่อง "การพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ปัญหา อุปสรรค และโอกาส"
หลังจากนั้น คณะได้เยี่ยมชมนิทรรศการ ชมการสาธิตการทำผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น พบปะพูดคุยกับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมกิจกรรม "Connect to the Futre" (Moving Forward Together) กิจกรรมพิมพ์พระ , เครื่องสังคโลกลายปลา , เครื่องเงิน/ทอง ผ้าทอ ณ อาคารอเนกประสงค์องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย และเดินทางไปสักการะพระพุทธรัตนสิริสุโขทัย ร่วมถ่ายภาพเป็นที่ระลึก

และในช่วงเวลา 18.50 น. ของวันที่ (27 พค.) คณะนักศึกษาฯเดินทางไปอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย เพื่อสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ดำเนินกิจกรรม CSR ทำ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการให้คำปรึกษาเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้าและบริการของจังหวัดสุโขทัย ไปสู่เวทีโลกภายใต้แนวคิด Connect to the future:Moving forward togetherโดยผู้ร่วมลงนามประกอบด้วย นายสุชาติ ทีคะสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย ดร.มนู พุกประเสริฐ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย นายศักดิ์เกษม ตันติยวรงค์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสุโขทัยและประธานบริษัทสุโขทัยพัฒนาเมือง นายชัชชัย ชุ่มชื่น นายกสมาคมท่องเที่ยวโดยชุมชนสุโขทัย นางสาวธนนนท์ นิรามิษ ประธานคณะกรรมการฝ่ายพัฒนาสังคม CSR นักศึกษาหลักสูตรป้องกันราชอาณาจักรสำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต รุ่นที่ 1 โดยมี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษานักศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรสำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต รุ่นที่ 1 และพันเอก เอกรักษ์ สิงหพงษ์ ประธานคณะกรรมการนักศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรสำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต รุ่นที่ 1  ร่วมเป็นพยาน ในการนี้ มีหน่วยงานความร่วมมืออื่นๆร่วมเป็นพยานสำหรับการทำ MOU ในครั้งนี้ด้วย

7 มิถุนายน พ.ศ. 2197 วันขึ้นครองราชย์ ‘พระเจ้าหลุยส์ที่ 14’ กษัตริย์ผู้ทรงวางรากฐานแฟชั่นในฝรั่งเศส

พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 หรือ หลุยส์มหาราช ทรงมีพระสมัญญานามว่า สุริยกษัตริย์ อีกทั้ง ทรงมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2197 อีกทั้งยังเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก 

อย่างไรก็ตาม เดิมทีในอดีต…ศูนย์กลางความมั่งคั่งและแฟชั่นไม่ได้อยู่ที่ฝรั่งเศส แต่กลับอยู่ที่สเปนและอิตาลี สินค้าแฟชั่นหลายอย่างต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้ฝรั่งเศสสูญเสียรายได้เป็นอย่างมาก

พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มีพระราชประสงค์ที่จะให้ฝรั่งเศสเป็นที่เชิดหน้าชูตาและได้รับการมองว่ายอดเยี่ยมที่สุด จึงมีพระบรมราชโองการให้สร้างพระราชวังแวร์ซายที่มีความสวยงามอลังการ แต่ก็มาพร้อมกฎระเบียบต่าง ๆ มากมาย ทั้งเรื่องมารยาท พิธีการ รวมถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘สังคมราชสำนัก’ ที่กำหนดสถานภาพและเกียรติภูมิของบุคคลนั้น ๆ

สิ่งนี้นำมาซึ่งแฟชั่นการแต่งกายที่แตกต่างกันไปในแต่ละพิธีการ โดยในทุก ๆ วัน เหล่าขุนนางและข้าราชบริพารจะเข้าเฝ้าเพื่อชื่นชมการแต่งกายของพระองค์ อีกทั้งขุนนางแต่ละคนยังต้องแต่งตัวเพื่อให้เป็นที่โดดเด่นจนต้องพระเนตรและได้รับการชื่นชมหรือจดจำจากพระองค์

การแข่งขันในการแต่งกายของเหล่าขุนนางต่าง ๆ ส่งผลให้ความต้องการสินค้าแฟชั่นเพิ่มสูงขึ้น พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และรัฐมนตรีคลังจึงได้ปฏิรูปและส่งเสริมอุตสาหกรรมสิ่งทอ เครื่องประดับ น้ำหอม ให้ยกระดับคุณภาพ จนกลายเป็นรากฐานทางเศรษฐกิจของฝรั่งเศสมาจนถึงปัจจุบัน

‘AOT’ เร่งเดินหน้าศึกษา ‘พัฒนาสนามบินดอนเมือง ระยะที่ 3’ ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการบิน-รองรับ นทท. สูงสุด 50 ล้านคน/ปี

(28 พ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) จัดประชุมการรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 2 งานสำรวจและออกแบบโครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ระยะที่ 3 เพื่อระดมความเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปประกอบการออกแบบโครงการให้มีความเหมาะสม

โดยมีนายกีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT เป็นประธานการประชุม และผู้แทนหน่วยงานจากภาครัฐ บริษัทสายการบิน ผู้ประกอบการให้บริการภาคพื้น ผู้ประกอบกิจการเชิงพาณิชย์ และผู้ให้บริการด้านขนส่ง ทั้งภายในและภายนอก ทดม.จำนวนกว่า 200 คนร่วมการประชุม ณ ห้องอัศวิน แกรนด์ เอ โรงแรมอัศวิน แกรนด์คอนเวนชั่น

นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT กล่าวว่า โครงการพัฒนา ทดม. ระยะที่ 3 เป็นหนึ่งโครงการสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่ง เพื่อเชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจในประเทศและระหว่างประเทศ ตามนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่มุ่งผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการบินของโลก (Aviation Hub) เชื่อมโยงการขนส่งทางอากาศ และเชื่อมต่อการเดินทางแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก 

รวมถึงนโยบาย ‘คมนาคมเพื่อความอุดมสุขของประชาชน’ ของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่มุ่งเน้นการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งอย่างไร้รอยต่อ ทั้งทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งอำนวยความสะดวก และความปลอดภัย เพื่อรองรับการเติบโตด้านการคมนาคมทางอากาศ และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในอนาคต

สำหรับโครงการพัฒนา ทดม. ระยะที่ 3 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติวงเงินลงทุนรวม 36,829 ล้านบาท เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของท่าอากาศยานให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 40 ล้านคนต่อปี และสามารถบริหารจัดการได้ถึง 50 ล้านคนต่อปี โดยจะมีการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศหลังใหม่ (International Terminal) บริเวณด้านทิศใต้ของสนามบิน มีพื้นที่ใช้สอยประมาณกว่า 166,000 ตารางเมตร สามารถรองรับผู้โดยสารระหว่างประเทศได้สูงสุด 23 ล้านคนต่อปี คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ประมาณปี 2572

จากนั้นจะปรับปรุงอาคารผู้โดยสารหลังที่ 1 เพื่อขยายพื้นที่ให้บริการผู้โดยสารภายในประเทศ ร่วมกับอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 สามารถรองรับผู้โดยสารภายในประเทศได้สูงสุด 27 ล้านคนต่อปี รวมพื้นที่ใช้สอยมากถึง 240,000 ตารางเมตร คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ประมาณปี 2574 ซึ่งจะทำให้ ทดม. มีพื้นที่รองรับผู้โดยสารรวมกว่า 400,000 ตารางเมตร และมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการบินเพื่อรองรับการเดินทางภายในประเทศได้อย่างเต็มรูปแบบ

ทั้งนี้ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการออกแบบรายละเอียดโครงการ โดยคาดว่าจะออกแบบแล้วเสร็จในเดือนตุลาคม 2567 และจะเริ่มดำเนินงานก่อสร้างระหว่างปี 2568-2574

รู้จัก NEDA บทบาท 'ไทย' ช่วยเหลือการเงิน-วิชาการ 'เพื่อนบ้าน' ภายใต้สายเชื่อมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย แบบ 'ช่วยเขา-ช่วยเรา'

จากรายการ THE TOMORROW มหาชน ต้องรู้ ได้พูดคุยกับนายพีรเมศร์ วุฒิธรเนติรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (Neighbouring Countries Economic Development Cooperation Agency) หรือ NEDA ถึงความเป็นมา พันธกิจ วิสัยทัศน์ขององค์กร โดยนายพีรเมศร์ กล่าวว่า...

NEDA ก่อตั้งมาเกือบ 20 ปีแล้ว แต่ก่อนมีลักษณะเป็นกองทุนอยู่ภายใต้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง หลังจากนั้นหน่วยงานรัฐเริ่มเห็นความสำคัญว่าประเทศไทยควรมีบทบาทในการเป็นผู้นำพัฒนาอนุภูมิภาค เนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์ของประเทศไทยอยู่ตรงกลางของอาเซียน จึงมีความจำเป็นในการช่วยเหลือสมาชิกใหม่ของอาเซียนให้มีส่วนร่วมมากขึ้น โดยให้ความช่วยเหลือทางการเงิน ในรูปแบบให้เงินกู้รัฐบาลต่อรัฐบาล เพื่อนำเงินกู้นั้นไปสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเชื่อมโยงต่อกันในภูมิภาค ปัจจุบันช่วยเหลือไป 7 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา, สปป.ลาว, เมียนมา, เวียดนาม, ภูฏาน, ศรีลังกา และติมอร์-เลสเต ซึ่งคำว่าเพื่อนบ้านไม่ได้หมายถึงต้องมีพรมแดนติดกันเท่านั้น อาจมีวัฒนธรรมความเป็นอยู่คล้ายกัน หลัก ๆ อยู่ในภูมิภาคเอเชีย 

แล้วประเทศไทยได้ประโยชน์อะไร? นายพีรเมศร์ กล่าวว่า ประเทศไทยได้รับประโยชน์มากมาย ได้แก่ สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยและภูมิภาค ส่งเสริมผู้ประกอบการไทย เนื่องจากมีเงื่อนไขว่า ประเทศที่กู้เงินลงทุนต้องคัดเลือกผู้ประกอบการที่มาจากประเทศไทย อย่างน้อย 51% โดยผู้ให้บริการหลักต้องมาจากประเทศไทย จึงเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในภูมิภาค 

ส่วนการดำเนินงานที่ผ่านมา 19 ปี NEDA ได้ปล่อยเงินกู้ประเทศเพื่อนบ้านไปแล้ว กว่า 20,000 ล้านบาท ส่วนการพิจารณาลงทุนหรือการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน จะต้องเป็นโครงการที่เกิดประโยชน์ทั้ง 2 ประเทศ โดยมีการศึกษารวมถึงหารือร่วมกันระหว่างรัฐบาล ก่อนอนุมัติโครงการเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดของทั้งสองประเทศ 

โครงการที่สนับสนุนส่วนใหญ่จะเป็นด้านโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคม การประปา และการพัฒนาเมือง กำจัดขยะ เป็นต้น และในอนาคตอาจสนับสนุนการลงทุนในเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น 

ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีหลายโครงการที่โดดเด่น เช่น โครงการก่อสร้างถนนจากเมืองหงสา-บ้านเชียงแมน (เมืองจอมเพชร แขวงหลวงพระบาง) สปป.ลาว ซึ่งรัฐบาลไทยผ่าน NEDA ได้ให้เงินกู้ สปป. ลาว จำนวน 1,977 ล้านบาท เพื่อเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมระหว่างประเทศไทย และ สปป.ลาว โดยมีจุดเริ่มต้นที่บริเวณบ้านนาปุง เมืองหงสา แขวงไชยะบุรี สิ้นสุดที่บ้านเชียงแมน เมืองจอมเพชร แขวงหลวงพระบาง ระยะทาง 114 กิโลเมตร ซึ่งเมื่อก่อนเป็นถนนทางลูกรังทางเป็นหลุมเป็นบ่อ ใช้เวลาก่อสร้างเกือบ 3 ปี จึงแล้วเสร็จ ปัจจุบันใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงเท่านั้นก็ถึงที่หมาย จากการพัฒนาเส้นทางนี้ทำให้การท่องเที่ยวขยายตัวมากขึ้นเป็นประโยชน์ต่อการท่องเที่ยว 

ส่วนโครงการสถานีรถไฟเวียงจันทน์บ้านคำสะหวาด เป็นส่วนหนึ่งของโครงการก่อสร้างทางรถไฟไทย-ลาว ระยะที่ 2 (สายท่านาแล้งเวียงจันทน์) ส่วนที่ 2 สถานีรถไฟนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลไทย ผ่านสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) หรือ NEDA พึ่งสร้างเสร็จไปเมื่อปีที่แล้ว ทำให้การเชื่อมโยงทางรางสะดวกมากยิ่งขึ้น ซึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้ทดลองเดินรถและคาดว่าจะเปิดอย่างเป็นทางการประมาณเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมนี้ นอกจากนี้ยังมีโครงการก่อสร้างและพัฒนาระบบประปา 5 เมืองในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ซึ่งได้สร้างโรงบำบัดน้ำประปาและดำเนินการต่อท่อประปาเข้าสู่บ้านเรือนประชาชน ทำในเมืองชนบทของ สปป.ลาว ซึ่งบางบ้านยังไม่มีน้ำบริโภค ได้มีโอกาสเข้าถึงน้ำสะอาด เป็นต้น

ท้ายสุด นายพีรเมศร์ กล่าวว่า เนื่องจากประเทศไทยเป็นผู้นำในภูมิภาคนี้ อยากให้เข้าใจว่าที่ NEDA ช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านด้วยการให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ หรือรูปแบบอื่น ๆ ถือว่าได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย (Win-Win) ช่วยเขาเพื่อช่วยเรา ประโยชน์ที่ได้รับ เช่น โอกาสของผู้ประกอบการไทยได้ไปประกอบกิจการขยายธุรกิจ เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาค ทำให้ไทยส่งออกสินค้าและบริการได้มากขึ้น การค้าระหว่างประเทศเติบโตมากขึ้น ทำให้รัฐบาลไทยจัดเก็บภาษีได้เพิ่มมากขึ้น

'พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ' เปิดการแข่งขัน พร้อมร่วมชมร่วมเชียร์กีฬาตำรวจ Cops Combat ที่จัดขึ้นปีนี้เป็นปีแรก ได้รับความสนใจจากตำรวจและประชาชนจำนวนมาก

วันนี้ (28 พฤษภาคม 2567) เวลา 14.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) เดินทางไปเป็นประธานเปิดการแข่งขันกีฬา Cops Combat พร้อมร่วมชมการแข่งขันและร่วมมอบรางวัล ณ สนามมวยราชดำเนิน โดยมี พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) , พล.ต.ต.ณัฐพงษ์ สัตยานุรักษ์ รอง ผบช.ก. , พล.ต.ต.จิรเดช พระสว่าง ผบก.อก.บช.ก. และ พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ปคบ. ร่วมต้อนรับ

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ กล่าวว่า การทดสอบและเสริมสร้างสมรรถภาพร่างกายของข้าราชการตำรวจ เป็นโครงการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการเป็นประจำทุกปี และในปีนี้เป็นปีแรกที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติบรรจุกีฬา Cops Combat เข้าเป็นกีฬาชนิดใหม่ของการแข่งขันกีฬาตำรวจ ปี 2567 โดยการเสนอของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ซึ่งถือว่าเป็นมากกว่ากีฬา เพราะได้นำเอาทั้งกีฬามวย ยิวยิตสู และเทคนิคการต่อสู้ป้องกันตัวของตำรวจ มาประยุกต์ร่วมกันด้วย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้าราชการตำรวจได้มีการทบทวนการต่อสู้ป้องกันตัว การต่อสู้ระยะประชิด รวมทั้งเป็นการทดสอบสมรรถภาพร่างกายข้าราชการตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นชุดปฏิบัติการพิเศษ ภาคสนาม สายตรวจ ซึ่งต้องมีความแข็งแกร่ง มีทักษะ เป็นศิลปะป้องกันตัวที่ใช้สำหรับป้องกันตัวในการเผชิญเหตุเฉพาะหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ นำไปปรับใช้ในการทำงานเพื่อดูแลความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชน

กีฬา Cops Combat มีการแข่งขันขึ้นเป็นครั้งแรกในวันนี้ ภายใต้สโลแกน “วางยศ ลดอัตตา เกมกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย” มีข้าราชการตำรวจจากสังกัดกองบัญชาการต่างๆ เข้าร่วมการแข่งขัน เช่น กองบัญชาการตำรวจนครบาล ,ตำรวจภูธรภาค 1 - 9 , กองบัญชาการตำรวจสันติบาล , กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน, กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็นต้น แบ่งการแข่งขันเป็นรุ่นน้ำหนัก ไม่จำกัดอายุ และชั้นยศ โดยมีทั้งประเภทชาย และหญิง รวม 14 รุ่น ซึ่งคู่แข่งขันที่ชนะจะได้รับเหรียญรางวัลแบ่งตามรุ่น พร้อมเปิดให้ข้าราชการตำรวจและพี่น้องประชาชนได้เข้าร่วมชมร่วมเชียร์ ณ สนามมวยราชดำเนิน ฟรี พร้อมมีการถ่ายทอดสดทางเพจ Cops Combat ซึ่งพบว่ามีประชาชนให้ความสนใจร่วมชมเป็นจำนวนมาก

ในวันนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ ได้ร่วมชมร่วมเชียร์นักกีฬาที่เข้าแข่งขัน และมอบเหรียญรางวัลให้กับผู้ชนะใน 2 รุ่น ได้แก่ รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 62 กิโลกรัมชาย ผู้ชนะได้แก่ จ.ส.ต.ณัฐกร รัตนโชติ ตัวแทนจาก บช.ปส. และ สตม. และรุ่นน้ำหนักไม่เกิน 48 กิโลกรัมหญิง ผู้ชนะได้แก่ ร.ต.อ.หญิง ธิดารัตน์ คงสมของ ตัวแทนจาก บช.ก. และ บช.ทท. จากนั้นได้มอบโล่ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนการแข่งขันกีฬา Cops Combat ในครั้งนี้ด้วย

ตำรวจอายัดตัว ‘ตะวัน’ คุมตัวพาไป สน.พระราชวัง หลังพบมีหมายจับเป็นผู้สนับสนุนคดีพ่นสีกำแพง

(28 พ.ค.67) หลังจากเมื่อวานนี้ ศาลอาญาให้ประกัน ตะวัน ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ ในคดี ม.116 แล้ว หลังถูกคุมขังมาตั้งแต่ชั้นฝากขังจนคดีถูกสั่งฟ้องเป็นระยะเวลานาน 104 วัน พร้อมกับอดอาหารประท้วงก่อนหน้านี้เป็นระยะเวลาหนึ่ง

โดยปัจจุบันตะวันถูกควบคุมตัวอยู่ที่ รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ พร้อมกับ แฟรงค์ ณัฐนนท์ เพื่อนร่วมคดีเดียวกัน โดยศาลให้ประกันตัวตะวัน ด้วยเงื่อนไขให้ใส่กำไล EM

สำหรับการปล่อยตัวตะวัน ทนายความกำลังตรวจสอบว่านอกจากนี้คดีนี้ ตะวันยังมีหมายขังในคดีอื่นอยู่อีกหรือไม่ หากมีจะยื่นคำร้องขอประกันตัวต่อไป หรือหากไม่มีคดีใดเหลืออยู่แล้วตะวันก็จะได้รับการปล่อยตัววันนี้ทันที

ล่าสุด ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์ว่า ด่วน! 12.24 น. มีรายงานว่า จนท.ราชทัณฑ์ได้นำตัว ‘ตะวัน’ ออกจากรพ.ธรรมศาสตร์ ไปติดกำไล EM ที่ศาลอาญา หลังได้ประกันตัวในคดี #ม116 วานนี้

นอกจากนั้น ตำรวจ สน.พระราชวัง เตรียมจะอายัดตัวตะวันต่อ หลังพบว่ามีหมายจับของศาลอาญาในอีกคดีหนึ่งอยู่ ชวนจับตาสถานการณ์

ต่อมาเวลา 15.00 น. ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน อัปเดตว่า หลังการพูดคุย ทางตำรวจ สน.พระราชวัง จะไม่อายัดตัวตะวันจากศาลอาญาในวันนี้ แต่จะให้เดินทางเข้าไปรับทราบข้อกล่าวหาที่ สน.พระราชวัง ในวันศุกร์ที่ 31 พ.ค. 67 แทน

ทั้งนี้ คดีใหม่นี้ ทราบว่าเป็นกรณีถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สนับสนุน ‘บังเอิญ’ พ่นสีกำแพงวัง ซึ่งตำรวจมีการจับกุมผู้สื่อข่าว-ช่างภาพ รวมทั้งสายน้ำไปเมื่อเดือนก.พ.ที่ผ่านมา

ต่อมาเวลา 15.22 น. ตะวันถูกนำตัวออกจากศาลอาญา หลังจากการติดกำไล EM โดยเจ้าหน้าที่จะนำตัวไปปล่อยออกจากทัณฑสถานหญิงกลาง

ต่อมาเวลา 16.40 น. ทางตำรวจ สน.พระราชวัง เปลี่ยนแนวทาง เตรียมจะเข้าอายัดตัวตะวัน หลังได้รับการปล่อยตัวจากทัณฑสถานหญิงกลาง โดยมีการนำรถตำรวจเข้าเตรียมควบคุมตัว และนำตัวไปยัง สน.พระราชวัง

ต่อมาเวลา 16.56 น. ตำรวจ สน.พระราชวัง เข้าอายัดตัวตะวันแล้ว ขณะนี้กำลังพาตัวไปยัง สน. โดยมีทนายความกำลังติดตามไป

‘ช่อง 3’ ทุ่มเงินซื้อ ‘เครื่องดีเลย์เซ็นเซอร์’ หลัง 'โหนกระแส' โดนแบน หวังช่วยคัดกรองเนื้อหา-คำพูดไม่เหมาะสม ไม่ให้หลุดออกอากาศ

(28 พ.ค.67) กสทช. สั่งระงับออกอากาศ 'โหนกระแส' 1 วัน 7 มิ.ย.นี้ ผุดรายการใหม่ 'โหนกระแส' ชี้ช่อง 3 ทุ่มเงินซื้อเครื่องดีเลย์เซ็นเซอร์ ป้องกันคำที่ไม่เหมาะสมหลุดออกอากาศ

สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า ในช่วงเดือน เม.ย.2567 ที่ผ่านมา สำนักงาน กสทช. ได้มีหนังสือแจ้ง บริษัท บีอีซี-มัลติมีเดีย จำกัด ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ ช่อง 3 เอชดี แจ้งให้ระงับการออกอากาศรายการโหนกระแส เป็นระยะเวลา 1 วัน เพื่อให้ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงกระบวนการกำกับดูแล ตรวจสอบ กลั่นกรองเนื้อหารายการ ให้เป็นไปตามมาตรฐานทางวิชาชีพและจริยธรรม

ทางบริษัทยังสามารถใช้สิทธิโต้แย้ง โดยยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองได้ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งดังกล่าว โดยรายการโหนกระแสมีกำหนด หยุดออกอากาศเป็นเวลา 1 วัน ตามคำสั่ง กสทช. ในวันที่ 7 มิ.ย.2567 นี้

หนุ่ม กรรชัย พิธีกรของรายการโหนกระแส เปิดใจผ่านรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ว่า กสทช.มีมติให้หยุดออกอากาศ 1 วัน แล้วให้ทางรายการเป็นคนเลือกวันเอง เลยเลือกวันที่ 7 มิ.ย. สืบเนื่องมาจากปี 2566 รายการโหนกระแสได้ออกอากาศตอนคุณศรีสุวรรณและคนต่อยคุณศรีสุวรรณ จนปะทะฝีปากในรายการ มีคำไม่เหมาะสมหลุดออกไป วันนั้นมีรายการมาแทน ชื่อว่ารายการ โหนกระป๋อง จะมี หนุ่ม กรรชัย กับ ป๋อง กพล เป็นพิธีกรดำเนินรายการ รอดูว่าใครเป็นแขกรับเชิญ

ส่วนวิธีการแก้ไขรายการสดแบบนี้ ช่อง 3 ได้เตรียมการเพื่อป้องกันเกิดเหตุซ้ำซ้อน ทุ่มเงินหลายล้านสั่งซื้อเครื่องดีเลย์เซ็นเซอร์ เพื่อใช้กับรายการโหนกระแสโดยเฉพาะ ป้องกันคำที่ไม่เหมาะสมหลุดออกอากาศ เป็นรายการเดียวในประเทศไทย

วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย คืนฟอร์มเก่ง เอาชนะ โดมินิกัน 3-1 ศึกเนชันส์ ลีก 2024

(28 พ.ค. 67) การแข่งขันวอลเลย์บอลเนชันส์ ลีก 2024 หรือ VNL 2024 สนามที่ 2 นัดแรก ณ เขตบริหารพิเศษมาเก๊า สาธารณรัฐประชาชนจีน ทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ลงสนามพบกับ โดมินิกัน

ซึ่งเกมการเล่นวันนี้ นุกนิค ณัฏฐณิชา ใจแสน เป็นเซตเตอร์เบอร์ 1 แทน ชมพู่ พรพรรณ ที่ได้รับบาดเจ็บจากสนามแรก

เริ่มเซตแรก โดมินิกัน และ ไทย เล่นกันอย่างสูสี ผลัดกันทำคะแนนได้อย่างสนุกในช่วงต้นถึงกลางเซต สุดท้ายเป็นไทยที่เบียดเอาชนะไป คะแนน 25-22 จบเซตแรก ไทยนำ 1-0 เซต

เซตที่ 2 ไทยพยายามทำแต้มโดยเน้นเล่นบอลเร็ว แต่โดมินิกันก็เล่นได้ดีเร่งเครื่องขึ้นมาสูสีกับไทยและเอาชนะไทยได้ 20-25 คะแนน จบเซต ไทย เสมอ โดมินิกัน 1-1 เซต คะแนน 25-22, 20-25 

เซตที่ 3 หลังเสียเซตที่ 2 ไทยพยายามเร่งเครื่องหวังเอาชนะ โดมินิกันให้ได้ โดยเน้นการรับบอลแรกที่เหนียวแน่น ช่วงต้นเซตไทยยังนำโดมินิกันไม่ห่างนัก แต่ช่วงท้ายเซตไทยใช้เกมรุกที่ดุดันและเกมรับที่เหนียวแน่นเอาชนะไปได้ ไทยขึ้นนำ 2-1 เซต

เซตที่ 4 ไทย และ โดมินิกัน เล่นกันได้อย่างสูสี คะแนนเบียดกันมาชนิดแต้มต่อแต้มต่อมาในช่วงท้ายเกมไทยเหนียวแน่นกว่า จบเกมไทยชนะโดมินิกันไป 3-1 เซต คะแนน 25-22, 20-25, 25-17, 26-24

สำหรับโปรแกรมการแข่งขันสัปดาห์ที่ 2 ที่มาเก๊า นัดต่อไปไทยจะลงแข่งขันในวันศุกร์ที่ 31 พ.ค. 67 เวลา 11.30 น. ฝรั่งเศส พบ ไทย วันเสาร์ที่ 1 มิ.ย. 67 เวลา 18.00 น. ไทย พบ จีน และวันอาทิตย์ที่ 2 มิ.ย. 67 เวลา 15.30 น. บราซิล พบ ไทย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top