Monday, 20 May 2024
TheStatesTimes

‘หลาน’ สานฝัน!! ‘ปู่วัย 102 ปี’ พาเที่ยวทะเลครั้งแรกในชีวิต พร้อมเผยสาเหตุที่ไม่เคยไป เพราะลูกหลานทำงานกันหมด

(7 พ.ค. 67) จากกรณีผู้ใช้ติ๊กต็อก @userreepij10o4 โพสต์ข้อความสุดน่าประทับใจของคุณปู่ ระบุข้อความว่า “ในเมื่อปู่ของฉันอายุ 102 ปี อยากไปทะเล ลูกหลานก็จัดให้”

ต่อมาล่าสุด นางกนกพิชญ์ (ขอสงวนนามสกุล) ซึ่งเป็นหลานสาว ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอม หลาน ๆ กลับมาจากกรุงเทพฯ มาที่บ้านใน อ.ดงเจริญ จ.พิจิตร จึงมาถามปู่ว่า “อยากไปเที่ยวระยองไหม ไปเที่ยวทะเล” ปู่ก็บอกว่า “กูจะไปเที่ยวไหวไหม ชีวิตนี้กูยังไม่เคยเห็นทะเลสักทีเลย” พวกตนเลยพาปู่ไปเที่ยวทะเลที่อ่าวไข่ จ.ระยอง

เมื่อไปถึงทะเลปู่ก็บอกว่า “คิดว่ามันจะเหมือนแม่น้ำเจ้าพระยาแถวพิจิตรบ้านเรา” แล้วก็ตกใจว่าทำไมทะเลถึงใหญ่ขนาดนี้ แล้วก็ค่อย ๆ เดินลงทะเล เพราะว่ากลัวไม่กล้าลงทะเลไป แต่เมื่อเดินลงไปแล้วคุณปู่ก็มีความสุขมาก ยิ้มตลอด

ตลอดเวลาที่ผ่านมา คุณปู่แข็งแรงมาก ไม่เคยป่วยหรือเข้าโรงพยาบาลเลย มาวันนี้ได้สานฝันให้คุณปู่ ลูกหลานก็รู็สึกปลื้มและประทับใจกันทุกคนที่ได้พาปู่ไปในบั้นปลายชีวิต เพราะปู่ยังไม่เคยไปทะเลสักครั้งในชีวิต

อีกทั้งปู่เคยบอกว่า “ชีวิตนี้ขอให้ได้ไปทะเลสักครั้งเถอะ” พอได้ไปแล้วก็บอกว่า “สมใจแล้ว เดี๋ยวก็แก่ตายแล้ว” แต่ตนเชื่อว่าปู่แข็งแรงยังอยู่กับลูกหลานได้อีกนาน

ทั้งนี้ หลังจากกลับมาจากทะเลคุณปู่ก็พูดแล้วพูดอีกว่า “ดีใจจริง ๆ เนาะได้ไปทะเล ทะเลมันก็สวย กว้างก็กว้าง ของกินก็อร่อย” หลาน ๆ ก็เลยถามปู่ว่าอยากไปอีกไหม ปู่ก็บอกว่า “อยากไป ถ้ามีโอกาสพาไปใหม่นะ” ตนคิดว่าเพราะปู่ไม่เคยไป พอได้ไปก็ติดใจ

ส่วนสาเหตุที่ปู่ไม่เคยไปทะเล เพราะลูกหลานไปทำงานกันหมด แต่พอได้ไปเห็นโลกกว้าง เลยอยากพาปู่ไปบ้าง อีกทั้งปู่เคยบ่นว่าอยากไป เลยอยากพาปู่ไปสักครั้ง

สุดท้ายนี้ อยากฝากบอกลูกหลานทุกคนว่าถ้ามีโอกาส ให้พาไปเถอะ บางทีเขาอยากไปแต่ไม่รู้จะเอ่ยขอลูกหลานยังไง เพราะคิดว่าลูกอาจจะไม่มีเงิน แต่พอได้พาไป ถือว่าคุ้มมากจริง ๆ

‘อ.เฉลิมชัย’ ตะโกนดังๆ จากจอร์เจียถึง ‘โน้ส อุดม’ อย่าดูหมิ่น ‘รุ่นพี่-ครูอาจารย์’ ที่ถากถางทางให้เดิน

(7 พ.ค. 67) เฟซบุ๊กของ ‘นรินทร ทามาส’ ซึ่งเป็นลูกศิษย์คนสนิทของอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติชาวเชียงราย ปัจจุบันได้ประกาศถอนตัวออกจากกิจกรรมทางสังคมทั้งหมดและหันไปขับขี่รถจักรยานยนต์ท่องเที่ยว ได้เผยแพร่คลิปที่มีความยาวประมาณ 1.56 วินาที พร้อมข้อความว่า…

"ท่านอาจารย์ฝากถึง พี่โน้สอุดม" 

โดยในคลิปอาจารย์เฉลิมชัยบอกว่าปัจจุบันตนไปท่องเที่ยวที่ประเทศจอร์เจีย ในทวีปยุโรป และอยากบอกถึงโน้ส อุดม ว่าตนได้หิวแสงตามที่โน้ส อุดม พูดแต่อย่างใด รวมทั้งโน้ส อุดม ยังพูดพาดพิงไปถึงอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติชาวเชียงรายที่ล่วงลับไปแล้ว ขณะที่ตนก็เป็นศิลปินแห่งชาติจึงขอบอกว่าจะพูดสิ่งใดก็ได้แต่อย่าเอื้ออ้างถึงพวกตน

"มึงอย่าบอกว่าเด็กเก่งกว่ากู กูยอมรับว่าเด็กมันเก่งกว่ากู มันหาเงินได้ 100 ล้านได้ภายในวันสองวัน มันก็เก่ง ก็ดีแล้วไง เหมือนกูมึงรู้ไหมสมัยกูเป็นเด็ก กูหาเงินง่ายกว่าทุกคน กูดัง พี่หวันก็เหมือนกัน มึงเข้าใจไหม ทางเดินทุกวันนี้กูได้ดิบได้ดีเพราะพี่หวัน เพราะรุ่นเก่ารุ่นแก่ ครูบาอาจารย์ รุ่นพี่กูทุกคนในวงการศิลปะ ในวงการถากถางหญ้ามาให้กู กูถึงได้มีทุกวันนี้" 

อาจารย์เฉลิมชัย กล่าวและฝากถึงโน้ส อุดม ว่า “ให้ไปถามคนรุ่นใหม่ที่เติบโตกันขึ้นมาแล้วประสบความสำเร็จว่าหากไม่มีพวกตนถากถางเส้นทางให้จะหาเงินได้วันละ 200 ล้านหรือไม่ เด็กเก่งมีมากเท่าไหร่บ้านเมืองเราก็เจริญเท่านั้น ตนจึงขอให้เข้าใจและอย่าบูลลี่คนเก่งที่เป็นศิลปินแห่งชาติ จะพูดเรื่องใดก็ได้แต่อย่าพูดถึงศิลปินแห่งชาติ”

"มึงดูถูกพวกกูไอ้ห่...กูถากถางหญ้าให้มึง กูไม่เคยดูถูกรุ่นพี่กูทั้งหมด ครูบาอาจารย์รุ่นเก่า กูเคารพเขาทั้งหมดเพราะเขาถากถางให้กู มึงเข้าใจไหม กูเดินตามเขา พูดเห..ปากหมาเรื่อยมึง ไอ่สั..ไอ้น้องส้นตี.." อาจาย์เฉลิมชัยพูดถึงโน้ส อุดม ส่งท้าย

‘แอฟริกาใต้’ ตึกก่อสร้างถล่ม ทำคนงานดับแล้ว 4 ศพ ซ้ำ!! ติดใต้ซากกว่า 50 ชีวิต จนท.เร่งดำเนินการช่วยเหลือ

(7 พ.ค. 67) เอเอฟพีรายงานว่า ทีมกู้ภัยยังค้นหาผู้รอดชีวิตในเหตุอาคาร 5 ชั้นที่อยู่ระหว่างก่อสร้างพังถล่มลงมาทำให้คนงานเสียชีวิต 4 ราย และอีก 51 คนยังติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังที่เมืองจอร์จ ห่างจากเมืองเคปทาวน์ไปทางตะวันออกราว 450 กิโลเมตรในประเทศแอฟริกาใต้

โดยเหตุเกิดเมื่อช่วงบ่ายวันจันทร์ที่ 6 พ.ค.ตามเวลาท้องถิ่น ขณะคนงานก่อสร้างอยู่ในพื้นที่ 75 คน ขณะนี้เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือขึ้นมาได้ 24 คน ในจำนวนนี้มีบาดเจ็บสาหัสด้วย ทีมกู้ภัย 3 ทีมกำลังเร่งช่วยคนติดใต้ซาก โดยกระจายงานกันใน 3 พื้นที่ภายในไซต์ก่อสร้างอาคาร 5 ชั้นรวมถึงโรงจอดรถชั้นใต้ดินถล่มลงมา แต่ยังไม่ทราบสาเหตุ

นายมาริโอ เฟอร์เรรา โฆษกมูลนิธิ Gift of the Givers ซึ่งเข้ามาช่วยเหลือในการกู้ภัยระบุว่า ทีมกู้ภัยสามารถติดต่อกับคนที่อยู่ใต้ซากจำนวนหนึ่งได้แล้ว

ภาพไซต์ก่อสร้างพังราบเป็นหน้ากลอง หลังคาที่พังลงมากองอยู่บนสุดของซากหักพัง ทีมกู้ภัยทำงานทั้งคืนโดยฉายแสงไฟสว่างจ้าสาดไปทั่วไซต์ก่อสร้างที่กันไม่ให้คนไม่เกี่ยวข้องเข้ามา อีกทั้งทีมงานใช้เครื่องขุดและสุนัขดมกลิ่นในการกู้ภัยด้วย

“ฉันเห็นชายคนหนึ่งกำลังทำงาน และจากนั้น ‘บูม’ เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ฉันเห็นทั้งตึกพังถล่มลงมา…จิตใจฉันชอกช้ำด้วย” น.ส.เทเรซา เจอี สมาชิกสภาท้องถิ่นกล่าว

เปิดเรื่องราว ‘Vlora’ เรือมนุษย์ที่บรรทุกผู้อพยพมากสุดในโลก หลังชาวแอลเบเนียทำการบุกจี้ยึดเรือ เพื่ออพยพหลบหนีออกประเทศ

เมื่อถึงวันที่ 30 เมษายน ผู้เขียนมักจะนึกย้อนไปถึงปี 1975 ด้วยวันนี้เป็นวันจบสิ้นลงของประเทศสาธารณรัฐเวียตนาม หรือ เวียตนามใต้ (The Republic of Vietnam) คำว่า “เวียตนาม” ในยุคสมัยที่ยังมีเวียตนามใต้ คนไทยใช้ ‘ต’ สะกด แต่ปัจจุบัน ใช้ ‘ด’ สะกด (พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน) การสิ้นสุดของสาธารณรัฐเวียตนามทำให้ชาวอดีตเวียตนามใต้พากันอพยพหลบหนีออกนอกประเทศ และวิธีการที่ใช้ในการหลบหนีมากที่สุดคือทางเรือ อันเป็นที่มาของ ‘เรือมนุษย์เวียดนาม’  (Vietnamese Boat People) ทั้งนี้ สามารถตามอ่านได้ที่ https://thestatestimes.com/post/2021050108

(การรื้อทำลายอนุสาวรีย์ Lenin ที่แอลเบเนียในปี 1991)

การสิ้นสุดลงของประเทศสหภาพโซเวียต ผู้นำค่ายคอมมิวนิสต์ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ส่งผลให้ลัทธิคอมมิวนิสต์ในแอลเบเนียล่มสลาย และลุกลามไปจนถึงเศรษฐกิจของประเทศกลายเป็นความถดถอยจนครั้งใหญ่ เกิดการขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง ท่ามกลางความไม่สงบทางการเมืองและสังคมที่กระจายไปทั่วประเทศกระตุ้นให้ชาวแอลเบเนียจำนวนมากพยายามออกจากประเทศ โดยก่อนหน้านี้ชาวแอลเบเนียจำนวนมากหนีไปทางตอนใต้เพื่อไปกรีซ ในขณะที่ชาวสลาฟชาติพันธุ์บางกลุ่มพยายามข้ามไปยังเพื่อนบ้านทางตอนเหนือของยูโกสลาเวีย ในกรุงติรานา สถานทูตต่างประเทศถูกชาวแอลเบเนียจำนวนมากพยายามบุกเข้าไป ภายหลังจากมีข่าวลือแพร่สะพัดเกี่ยวกับการให้วีซ่าชาวแอลเบเนียกว่า 3,000 คน สามารถเข้าไปในบริเวณสถานทูตเยอรมันได้ ในขณะที่บางคนเข้าไปในบริเวณสถานทูตเชโกสโลวาเกียได้สำเร็จ ในที่สุดชาวแอลเบเนียในสถานทูตเยอรมันก็ได้รับอนุญาตให้อพยพไปยังเยอรมนีผ่านทางอิตาลีได้

เส้นทางเรือที่ผู้อพยพชาวแอลเบเนียใช้ข้ามช่องแคบโอตรันโตไปยังอิตาลี

ในขณะที่ผู้อพยพชาวแอลเบเนียจำนวนมากตัดสินใจเลือกอิตาลีเป็นจุดหมายปลายทาง ด้วยความอิตาลีอยู่ห่างออกไปไม่ถึงร้อยไมล์ โดยข้ามช่องแคบโอตรันโต จากโฆษณาทางโทรทัศน์ที่การแสดงความมั่งคั่งเกินจริงในอิตาลีที่ชาวแอลเบเนียได้ชมเป็นแรงบันดาลใจอันหนึ่งให้กับตัวเลือกนี้ในช่วงต้นปี 1991 มีความพยายามในการข้ามช่องแคบโอตรันโตหลายครั้ง โดยผู้ลี้ภัยชาวแอลเบเนียหลายร้อยหรือหลายพันคนได้จี้บังคับเรือต่าง ๆ ตั้งแต่เรือบรรทุกสินค้าของโรมาเนียไปจนถึงเรือลากจูงของกองทัพเรือแอลเบเนีย หน่วยรักษาความปลอดภัยประจำท่าเรือเมือง Durrës ที่ถูกบุกรุกทำได้แค่ยืนดูเฉย ๆ ไม่สามารถช่วยอะไรได้ ครั้งหนึ่งมีการข้ามช่องแคบของผู้อพยพชาวแอลเบเนียประมาณ 20,000 คนเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 1991 โดยขึ้นฝั่งที่เมืองบรินดิซีด้วยเรือขนาดเล็กหลายลำ เมืองนี้มีประชากรเพียง 80,000 คน จึงประสบปัญหาในการรับมือกับการไหลบ่าเข้ามาของผู้อพยพดังกล่าว แต่ผู้อพยพก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีโดยชาวเมืองต่างก็เอื้อเฟื้อให้อาหารและที่พัก 

(ผู้อพยพชาวแอลเบเนีย 15,000-20,000 คนบนเรือสินค้า Vlora)

เหตุการณ์จี้ยึดเรือสินค้า Vlora เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 1991 โดย Vlora เป็นเรือบรรทุกสินค้าที่ต่อขึ้นในปี 1960 ที่เมือง Ancona อิตาลี ซึ่งได้แล่นในทะเลภายใต้ธงแอลเบเนียจนถึงปี 1996 โดยบริษัทร่วมขนส่งซิโน-แอลเบเนียของรัฐบาล เรือสินค้า Vlora เดินทางกลับมาจากคิวบาพร้อมกับน้ำตาลจำนวนมาก และได้จอดเทียบท่าที่เมือง Durrës เพื่อขนถ่ายสินค้าและเข้ารับการซ่อมแซมเพราะเครื่องยนต์หลักชำรุดใช้งานไม่ได้ ขณะเดียวกัน มีผู้อพยพชาวแอลเบเนียจากทั่วประเทศจำนวนมากมารวมตัวกันที่ท่าเรือด้วยความหวังว่าจะได้ขึ้นเรือลำใดก็ได้และแล่นไปยังอิตาลี โดยไม่มีใครหยุดยั้งพวกเขาได้ โดยมีผู้อพยพจำนวนระหว่าง 15,000 - 20,000 คนได้บุกขึ้นเรือสินค้า Vlora ในวันที่ 7 สิงหาคม 1991 พวกเขากระโดดลงทะเลแล้วปีนขึ้นไปตามเชือก และอยู่กันจนเต็มพื้นที่แทบทุกตารางนิ้วของเรือ (บางส่วนต้องห้อยตัวกับบันไดและราวกั้นตลอดการเดินทาง) Halim Milaqi กัปตันของเรือสินค้า Vlora ถูกจี้บังคับจากกลุ่มคนติดอาวุธจึงต้องตัดสินใจนำเรือที่มีผู้อพยพนับหมื่นคนข้ามช่องแคบโอตรันโตไปยังอิตาลี ด้วยเกรงว่าจะเหตุการณ์จะเลวร้ายไปกว่านี้หากปล่อยให้มือสมัครเล่นมาทำหน้าที่ควบคุมเรือ

ผู้อพยพชาวแอลเบเนีย 15,000-20,000 คนบนเรือสินค้า Vlora

เรือสินค้า Vlora แล่นโดยใช้เพียงเครื่องยนต์สำรองและไม่มีเรดาร์ เนื่องจากมีผู้อพยพอยู่เต็มไปหมดจนเรดาร์ไม่สามารถทำงานได้ และสูญเสียระบบทำความเย็นไปหลังจากที่ผู้อพยพตัดเปิดท่อทำความเย็นออกเพื่อเอาน้ำมาดื่ม จากนั้นกัปตันจึงต้องใช้น้ำทะเลเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เครื่องยนต์ร้อนจัด โชคดีที่พวกเขาได้ประโยชน์จากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยจนสามารถเดินทางมาถึงชายฝั่งอิตาลีในช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 8 สิงหาคม เมื่อเข้าใกล้ท่าเรือของเมืองบรินดิซีในเวลาประมาณ 04.00 น. กัปตันได้รับคำแนะนำไม่ให้เทียบท่าในเมืองโดยรองหัวหน้าตำรวจของเมือง เพราะเมืองนี้ยังคงมีผู้อพยพชาวแอลเบเนียหลายพันคนที่เดินทางมาถึงในเดือนมีนาคมหรือระหว่างนั้นติดค้างอยู่ และไม่มีความสามารถที่จะรองรับผู้อพยพได้มากกว่านี้แล้ว

กัปตัน Milaqi จึงเปลี่ยนเส้นทางไปที่เมืองบารีซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียง 55 ไมล์ แต่เรือสินค้า Vlora ที่แทบจะหมดสภาพแล้วต้องใช้เวลาเดินทางถึงเจ็ดชั่วโมง ในช่วงเวลานั้นทางการอิตาลีแทบไม่ได้ทำอะไรเลยเพื่อเตรียมพร้อมรองรับสำหรับการมาถึงของผู้อพยพจำนวนมหาศาลครั้งนี้ ทั้งนายกเทศมนตรีและหัวหน้าตำรวจต่างเดินทางไปเที่ยวพักผ่อน ส่วนสำนักงานนายกเทศมนตรีจะได้รับแจ้งข่าวเมื่อเรือเข้าเทียบท่าแล้วเท่านั้น มีความพยายามที่จะปิดล้อมทางเข้าท่าเรือโดยใช้เรือเล็กและเรือรบของกองทัพเรืออิตาลีเพื่อพยายามบังคับกัปตัน Milaqi ให้หันหัวเรือกลับไปยังแอลเบเนีย แต่ด้วยสภาพที่ย่ำแย่ลงบนเรือหลังจากที่ผู้อพยพใช้เวลา 36 ชั่วโมงโดยไม่มีอาหารหรือน้ำท่ามกลางความร้อนอบอ้าว กัปตัน Milaqi จึงปฏิเสธที่จะหันเรือกลับ เขานำเรือสินค้า Vlora เข้าไปในท่าเรือโดยแจ้งว่า เรือสินค้า Vlora เสียหายและไม่สามารถหันเรือกลับด้วยกลไกได้ ท่าเรือเมืองบารีเป็นท่าเรือที่อยู่ห่างจากใจกลางเมืองมากที่สุด ซึ่งโดยปกติแล้วจะสงวนไว้สำหรับการขนถ่ายถ่านหิน พอถึงท่าเรือมีผู้อพยพจำนวนมากกระโดดลงน้ำว่ายเข้าฝั่งหรือปีนเชือกขณะจอดเรือ โดยมีหลายคนหายตัวไปในตัวเมือง

นโยบายที่เข้มงวดของรัฐบาลอิตาลี โดย Vincenzo Scotti รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คือการหยุดยั้งเรือผู้ลี้ภัยไม่ให้ขึ้นฝั่งอิตาลี มิฉะนั้นก็ส่งผู้อพยพออกไปทันที ด้วยเหตุนี้ผู้อพยพจากเรือ Vlora จึงไม่ได้ลงจากเรือ ด้วยคำสั่งจากรัฐบาลอิตาลีคือกักผู้อพยพไว้ที่ท่าเรือ โดยไม่ต้องช่วยอะไรเลย และส่งกลับไปยังแอลเบเนียโดยเร็วที่สุด เมื่อแผนดังกล่าวไม่น่าจะเป็นไปได้ ก็มีมาตรการอื่น ๆ เกิดขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ ผู้อพยพที่เจ็บป่วยบางส่วนถูกนำตัวโดยรถพยาบาลไปโรงพยาบาล เช่นเดียวกับสตรีตั้งครรภ์หนักจำนวนหนึ่ง ผู้อพยพถูกส่งตัวไปยัง Stadio della Vittoria ซึ่งเป็นสนามกีฬาที่ไม่ใช้งาน ซึ่งพวกเขาจะกักตัวไว้จนกว่าจะถูกเนรเทศ เมื่อบรรดาผู้อพยพชาวแอลเบเนียเข้าใจว่าในที่สุดพวกเขาก็ถูกส่งกลับ ผู้อพยพบางกลุ่มจึงพยายามบังคับพวกเขาผ่านวงล้อมของตำรวจที่อยู่รอบสนามกีฬา เนื่องจากมีหลายคนพยายามหลบหนี เจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจหยุดนำผู้อพยพมาที่สนามกีฬาและปิดประตูและขังพวกเขาไว้ข้างใน สถานการณ์ลุกลามจนควบคุมไม่ได้ เจ้าหน้าที่สนามก็ถูกจับเป็นตัวประกัน บุคลากรที่ดูแลการจัดการการปันส่วนอาหารถูกทำร้าย จากนั้นตำรวจจึงอพยพออกจากสนาม กลายเป็นพื้นที่ไร้กฎหมายที่ถูกควบคุมโดยกลุ่มที่มีความรุนแรงที่สุด (บางคนมีอาวุธปืน) เจ้าหน้าที่โยนอาหารและน้ำข้ามกำแพงโดยใช้รถดับเพลิง ซึ่งหมายความว่ากลุ่มอันธพาลได้เก็บอาหารและน้ำส่วนใหญ่ไว้แล้ว

ความตึงเครียดยิ่งปะทุขึ้นเกิดการปะทะกันระหว่างตำรวจและชาวแอลเบเนียที่พยายามฝ่าวงล้อม ตำรวจได้เปิดฉากยิงทำให้ผู้อพยพชาวแอลเบเนียบางคนได้รับการรักษาจากบาดแผลกระสุนปืน ตามที่ตำรวจระบุ หลังจากการผ่อนปรนช่วงสั้น ๆ เกมแมวจับหนูระหว่าผู้อพยพชาวแอลเบเนียที่พยายามหลบหนีกับตำรวจก็เริ่มต้นอีกครั้งในวันต่อมา ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 200 ราย รวมถึงตำรวจประมาณ 20 นาย ขณะที่ผู้อพยพหลายร้อยคนสามารถหลบหนีออกมาได้ โดยบางส่วนซ่อนตัวอยู่ในศาลานิทรรศการฟิเอรา เดล เลบานเต มีผู้ลี้ภัยราว 2,000 คนถูกตำรวจล้อมอยู่ด้านนอกสนามกีฬา พวกเขาค่อย ๆ ขนย้ายผู้หลบหนีไปยังท่าเรือ แม้ว่าบางครั้งพวกเขาจะต่อต้านอย่างรุนแรงก็ตาม ในที่สุดทางการอิตาลีก็สามารถจัดการตอบสนองต่อวิกฤติผู้อพยพได้ในที่สุด พวกเขาใช้เรือเฟอร์รี่เอกชนส่งผู้อพยพกลับไปยังแอลเบเนีย ซึ่งเรือรบอิตาลีสองลำได้ช่วยสนับสนุนด้วย บรรดาผู้อพยพที่ใช้ความรุนแรงบางส่วนถูกนำตัวไปยังสนามบินและถูกส่งกลับไปยังแอลเบเนียด้วยเครื่องบินลำเลียง C-130 ของกองทัพอากาศอิตาลี (ประมาณ 60 คน โดยมีตำรวจจำนวนหนึ่งควบคุม) ในช่วงบ่ายของวันที่ 9 มีผู้ถูกส่งตัวกลับประเทศประมาณ 3,000 คน บางส่วนจากไปด้วยความสมัครใจเนื่องจากการต้อนรับที่ไม่เป็นมิตรและสภาพที่ย่ำแย่ทำให้พวกเขาเลิกสนใจกับการที่จะใช้ชีวิตในอิตาลี เพื่อไม่ให้มีการต่อต้านขัดขืนผู้อพยพส่วนใหญ่จึงถูกหลอกว่าเรือและเครื่องบินจะพาพวกเขาไปยังเมืองอื่นๆ ของอิตาลี 

(‘Sono persone’ ประติมากรรมอนุสรณ์ของเหตุการณ์ดังกล่าว)

จากนั้นผู้อพยพถูกส่งกลับแอลเบเนียอย่างรวดเร็วด้วยเรือเฟอร์รี่อีกสองลำ Espresso Grecia และ Malta สองวันต่อมาในวันที่ 11 ยังคงเหลือชาวแอลเบเนียประมาณ 3,000 คนอยู่ในสนามกีฬาของเมืองบารี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มหัวรุนแรงที่ปฏิเสธที่จะเชื่อเจ้าหน้าที่อิตาลี Vincenzo Parisi หัวหน้าตำรวจจึงโน้มน้าวให้กลับไปพร้อมกับเสนอเสื้อผ้าชุดใหม่และเงินคนละ 50,000 ลีร์ (ในขณะนั้นถือว่าเป็นเงินจำนวนมากในแอลเบเนีย) หลังจากผ่านไปสามวันผู้อพยพที่เหลือก็ได้รับแจ้งว่า พวกเขาได้รับสิทธิ์ให้อยู่ในอิตาลีได้ อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พวกเขาออกจากสนามกีฬาก็ถูกนำขึ้นรถบัสและพาไปยังสนามบิน จากนั้นจึงถูกส่งขึ้นเครื่องบินบินตรงไปยังกรุงติรานา เรื่องนี้ทำให้สื่อมวลชนพาดหัวข่าวว่า ‘การบุกรุกของผู้อพยพชาวแอลเบเนีย’ ได้ยุติลงแล้วในวันที่ 16 สิงหาคม ท่ามกลางความสนใจของสื่อที่เน้นย้ำถึงสถานการณ์เลวร้ายในแอลเบเนีย ทางการแอลเบเนียซึ่งได้รับแรงกดดันจากรัฐบาลอิตาลีให้จัดการควบคุมท่าเรือของตนให้อยู่ภายใต้กองทัพ และระงับการเดินทางของรถไฟโดยสารทั้งหมดเพื่อสกัดกั้นการหลั่งไหลของผู้อพยพ ในเวลาเดียวกัน รัฐบาลอิตาลีเสนอที่จะช่วยเหลือแอลเบเนียทางการเงินเป็นเงิน 9 ล้านเหรียญสหรัฐในด้านอาหาร หากแอลเบเนียช่วยควบคุมและรับผู้อพยพที่ออกจากอิตาลีกลับ แม้ว่าการอพยพโดยไม่มีเอกสารจากแอลเบเนียจะดำเนินต่อไปหลังจากนั้น แต่ก็ลดขนาดลงและส่วนใหญ่จัดตั้งโดยแก๊งอาชญากร พวกเขาใช้เรือยนต์เร็วเพื่อข้ามช่องแคบในเวลากลางคืนและปล่อยให้ผู้โดยสารที่จ่ายเงินแล้วว่ายน้ำเข้าฝั่ง

(เรือสินค้า Vlora)

ตามบันทึกของกัปตัน Milaqi เรือสินค้า Vlora จอดอยู่ในท่าเรือของเมืองบารีเป็นเวลา 45 วัน ก่อนที่ลูกเรือและตัวเขาเองจะสามารถนำเรือกลับไปยังแอลเบเนียได้ (เป็นไปได้ว่าอาจถูกลากจูงเนื่องจากเรือได้รับความเสียหายอย่างหนัก) เรือสินค้า Vlora ยังคงถูกใช้งานเป็นเรือบรรทุกสินค้าต่อจนถึงเดือนธันวาคม 1994 และเลิกใช้งานในปี 1995 ถูกยกเลิกการจดทะเบียนในปี 1996 และถูกทิ้งเพื่อแยกชิ้นส่วนในวันที่ 17 สิงหาคมของปีเดียวกันที่ท่าเรือ Aliağa ของตุรกี เรือสินค้า Vlora ถือเป็นเรือมนุษย์ที่บรรทุกผู้อพยพมากที่สุดในโลก (ซึ่งตัวเลขผู้อพยพอยู่ระหว่าง 15,000-20,000 คน) 

‘กัมพูชา’ ลั่น!! หวังจับมือ ‘หัวเว่ย’ บริษัทยักษ์ใหญ่ของจีน เพื่อกระตุ้นโครงการด้าน ‘การท่องเที่ยวดิจิทัล’ ในประเทศ

เมื่อวานนี้ (6 พ.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สก โสเกน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวกัมพูชา เผยความคาดหวังว่ากัมพูชาจะได้ดำเนินความร่วมมือกับหัวเว่ย เทคโนโลยี (Huawei Technologies) ยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมของจีน เพื่อส่งเสริมโครงการริเริ่มด้านการท่องเที่ยวดิจิทัลของกัมพูชา

โสเกนพบปะกับเถากวงเย่า ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของหัวเว่ย เทคโนโลยี (กัมพูชา) จำกัด และกล่าวถึงวิสัยทัศน์ของเขาในการเสริมสร้างการทำงานระหว่างกระทรวงฯ กับหัวเว่ย โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาโครงการริเริ่มการท่องเที่ยวดิจิทัล

การท่องเที่ยวเป็น 1 ใน 4 ภาคส่วนสำคัญที่สนับสนุนเศรษฐกิจของกัมพูชา โดยรายงานล่าสุดจากกระทรวงฯ เปิดเผยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.58 ล้านคนในไตรมาสแรก (มกราคม-มีนาคม) ของปี 2024 เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.5 จาก 1.29 ล้านคนในช่วงเดียวกันของปี 2023

ทั้งนี้ กัมพูชามีแหล่งมรดกโลก 4 แห่ง ได้แก่ อุทยานโบราณคดีอังกอร์ หรือนครวัดในจังหวัดเสียมราฐ กลุ่มปราสาทสมบูรณ์ไพรคุก ในจังหวัดกำปงธม รวมทั้งปราสาทพระวิหารและโบราณสถานเกาะแกร์ ในจังหวัดพระวิหาร และมีแนวชายหาดยาวราว 450 กิโลเมตร พาดผ่าน 4 จังหวัดทางตะวันตกเฉียงใต้ ได้แก่ สีหนุวิลล์ กัมปอต แกบ และเกาะกง

‘Tesla’ เตรียมเลิกจ้างพนักงานครั้งใหญ่ 6,700 คน เซ่นยอดขายสะดุดจากพิษสมรภูมิตลาด EV เดือด

‘Tesla’ บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของโลก ภายใต้การนำของ ‘อีลอน มัสก์’ ประกาศปลดพนักงานระลอกใหม่อีกครั้งตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2567 เป็นต้นไป ที่คราวนี้มีสัดส่วนพนักงานฝ่ายบริการด้านซอฟต์แวร์ และ ฝ่ายพัฒนาวิศวกรรม รวมอยู่ด้วย 

แถลงการณ์ปลดพนักงานจาก Tesla เกิดขึ้นหลังจากที่ผู้บริหารสูงสุดอย่าง ‘อีลอน มัสก์’ ประกาศว่าจะยุบแผนกเทคโนโลยีการชาร์จประจุไฟฟ้า และจะลดจำนวนพนักงานในโรงงานทั่วโลกลงมากกว่า 10% 

และเมื่อวานนี้ (6 พ.ค. 67) พนักงานที่ต้องโดน Layoff รอบล่าสุดนี้ก็ได้อีเมลยืนยันจากทางบริษัทเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมีการเปิดเผยผ่านสื่อว่า แค่เฉพาะโรงงานโซนอเมริกา ในรัฐเท็กซัส, แคลิฟอร์เนีย, เนวาดา, และนิวยอร์ก ก็มีพนักงานที่จะถูกเลิกจ้างมากถึง 6,700 คนแล้ว

นับเป็นการลดจำนวนพนักงานครั้งใหญ่อีกครั้งของ Tesla อันเป็นผลพวงมาจากความกดดันเรื่องยอดขายที่ลดลงอย่างมาก ในสมรภูมิตลาดรถยนต์ EV ที่นักการตลาดต่างให้คำจำกัดความว่าเป็นการต่อสู้ในระดับ ‘นองเลือด’ จากคู่แข่งมาแรงอย่างค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนที่ส่งรถยนต์รุ่นใหม่เข้าตลาดอย่างต่อเนื่อง ที่ทำให้ตลาดรถยนต์ EV กลายเป็นสงครามราคาที่ห้ำหั่นกันดุเดือด

อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาสูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อรถยนต์ลง รวมถึงแผนการใหม่ของอีลอน มัสก์ ที่จะเน้นเรื่องการพัฒนาซอฟต์แวร์การขับขี่อัตโนมัติ, โรโบแท็กซี่ และ หุ่นยนต์มนุษย์ Optimus ก็เป็นปัจจัยที่ Telsa จำเป็นต้องลดค่าใช้จ่ายในบางทีม เพื่อเก็บทุนไว้พัฒนาโปรเจกต์ใหม่ ๆเหล่านี้

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเลิกจ้างพนักงานครั้งใหญ่ของ Tesla สะท้อนถึงสถานการณ์ตลาดรถยนต์ EV ที่มีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งในตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุด Xiaomi บริษัทผู้ผลิตสมาร์ตโฟนรายใหญ่ของจีนก็กระโดดเข้ามาแข่งขันในตลาดนี้แล้วเช่นกัน 

ล่าสุด ในงานแสดงยานยนต์นานาชาติ ณ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ที่ถือเป็นหนึ่งในงานแสดงรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีผู้เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในส่วนงานจัดแสดงรถยนต์ EV แสดงให้เห็นถึงความต้องการในตลาดยังโตขึ้นได้เรื่อย ๆ

ค่ายรถยนต์ต่าง ๆ ก็ได้เปิดตัวรถยนต์ EV รุ่นใหม่ในงานมากถึง 278 คัน ที่ต่างแข่งขันกันอย่างเอาเป็น เอาตาย ทั้งในด้านเทคโนโลยีสุดล้ำ โปรโมชัน ลด แลก แจก แถม และกลยุทธการตัดขาคู่แข่งหน้าใหม่อย่าง Xiaomi จนผู้บริหารบริษัทสมาร์ตโฟนชื่อดังออกมายอมรับว่า ค่ายรถคู่แข่งพยายามทำทุกอย่างเพื่อสกัดยอดจองของ Xiaomi ในงานนี้

หากตลาดรถยนต์ EV มีการแข่งขันเรื่องราคาเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ย่อมส่งผลให้บริษัทผู้ผลิตไม่มีทางเลือกมากนัก นอกจากอัปเกรดเทคโนโลยีให้ล้ำหน้ากว่าใคร ซึ่งย่อมหมายถึงต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น และต้องยอมกลืนเลือด ลดราคา อัดโปรโมชัน ยอมขาดทุนเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาด ทำให้นักวิเคราะห์มองว่า ในบรรดาผู้ผลิตรถยนต์ 200 รายในจีนตอนนี้ น่าจะเหลือรอดเพียงแค่เศษเสี้ยวเดียว หลังจากที่อุตสาหกรรมนี้ถึงจุดอิ่มตัวแล้ว 

เหลย จุน ประธานบริษัท Xiaomi เคยให้สัมภาษณ์กับ CCTV ของจีน เมื่อ 28 เมษายนที่ผ่านมาว่า ในตลาดรถยนต์ EV ตอนนี้ นอกจาก Tesla แล้ว ทุกคนกำลังสูญเงินมหาศาลในตลาดนี้  

แต่ถึงแม้ผู้ผลิตรถยนต์ EV ของจีนยังยอมรับในความเป็นเจ้าตลาดโลกของ Tesla แต่เมื่อเข้าสู่ยุคสงคราม นักรบย่อมมีบาดแผล ไม่ไว้เว้นแม้แต่ Tesla ที่เริ่มออกอาการไม่ดีกับยอดขายรถยนต์ EV ของตัวเอง จนต้องลดจำนวนพนักงานเพื่อความอยู่รอด แถมสมรภูมินี้มีแนวโน้มว่ายังต้องรบกันอีกยาวไกล ซึ่งสุดท้ายจะเหลือผู้ผลิตกี่ค่าย ที่รอดตายจนถึงสนามรบสุดท้าย ก็ต้องมาดูกัน 

สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์จัดกิจกรรมน้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์จัดกิจกรรม น้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์  ที่ทรงมีพระกรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ต่อคนพิการ พระราชทานชื่อดอกไม้ประดิษฐ์  “ดอกแก้วกัลยา” เพื่อเป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของคนพิการทั่วประเทศ และทรงมีพระดำรัสให้ฝึกอบรม  การประดิษฐ์ "ดอกแก้วกัลยา" ให้คนพิการ เพื่อให้มีอาชีพมีรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัว

กิจกรรมที่จัดขึ้นภายในงานประกอบด้วย พิธีบำเพ็ญพระกุศลถวายสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ  เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์  การวางพานพุ่มดอกแก้วกัลยาถวายหน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาส ราชนครินทร์ พิธีมอบทุนการศึกษาให้คนพิการ / บุตรคนพิการ โดยมอบให้ประธานกรรมการประสานงานส่วนภูมิภาค ภาค 1 – 12 ของสภาสังคมสงเคราะห์ฯ นำไปมอบให้แก่คนพิการ / บุตรคนพิการ  ดังกล่าว และมอบทุนประกอบอาชีพให้คนพิการ จำนวน 10 ทุน  โดยมี ร้อยตำรวจโท ดร.มนัส   โนนุช  ประธานสภาสังคมสงเคราะห์ฯ เป็นประธานในพิธี  ในวันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม 2567 ณ ห้องประชุมชั้น 3 ตึกนวมหาราช สภาสังคมสงเคราะห์ฯ ถนนราชวิถี เขตราชเทวี กรุงเทพฯ

สืบนครบาลรวบคู่หูโจรขโมยรถจักยานยนต์ย่านสำเพ็ง เอาไปชำแหละอะไหล่ขายมือสองผ่านออนไลน์

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. , พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ให้ปราบปรามจับกุมอาชญากรรมที่กระทำความผิดทุกรูปแบบซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้สุจริต รถจักรยานที่จอดไว้ตลาดสำเพ็งสูญหายไป จากการสืบสวนพบว่าคนร้ายมี 2 คนใช้วิธีถีบคอรถ แล้วถอดเปลี่ยนแผ่นป้ายทะเบียนเพื่อหลบเลี่ยงจากถูกจับกุม  แต่สุดท้ายไม่รอด

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2567 พล.ต.ท. ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.อิสเรศ ปาลาพงศ์   รอง ผบก สส.ฯ, พ.ต.อ.อรรชวศิษฎ์ ศรีบุญยมานนท์ ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.วิโรฒ จนุบุษย์ และ พ.ต.ท.นิธิ ปิยะพันธุ์ รอง ผกก.สส.3ฯ ได้สั่งการให้  พ.ต.ต.วรุตม์ คำหล้า สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น. พร้อมด้วย ร.ต.อ.พิชชากร กองสวัสดิ์, ร.ต.อ.พงศธร อารีย์ รอง สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น.ชุดปฏิบัติการที่ 3 ดำเนินการได้ร่วมกันจับกุม
1. นายวุฒิชัย   เสนสม อายุ 22 ปีที่อยู่บ้านเลขที่ 62 ซ.รังสิต-นครนายก 56 ซอย 1 ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ จ.440/2567 ลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2567
2.นายอกนิษฐ์หรือกาย  แก่นจ้าย อายุ 21 ปี ที่อยู่   335/37 ช.สายไหม 33/1 แขวงสายไหม เขตสายไหม กทม. ตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ที่ จ.439/2567 ลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2567

ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน "ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโตยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือ การพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม"
จับกุมผู้ต้องหาที่ 1 ที่ บริเวณข้างโรงแรม ซอยรังสิต - นครนายก 14  อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี
จับกุมผู้ต้องหาที่ 2 ที่ บริเวณหน้าบ้าน ซ.รังสิต-นครนายก 47 ม.ศรีประจักษ์ ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี

พฤติการณ์ในคดี เมื่อวันที่ 27 มี.ค.2567 นายกาย (นาย อกนิษฐ์) ได้มาหานายวุฒิชัยฯ เพื่อชักชวนขับขี่รถจักรยานยนต์ ไปสำเพ็ง ถนนเยาวราช พื้นที่ สน.จักรวรรดิ ต่อมา ช่วงเวลาประมาณ 5ทุ่ม - เที่ยงคืน ได้เจอรถจักรยานยนต์ Pcx สีเทา-ดำ ของผู้เสียหายจอดอยู่บริเวณตลาดสำเพ็งโดย"ไม่ได้ล็อคคอรถ" จึงได้ทำการลักทรัพย์รถจักรยานยนต์ดังกล่าว ให้เพื่อนขึ้นคล่อมรถจักรยานยนต์ แล้วนายกายใช้เท้ายันรถเพื่อนำกลับไปบ้านพัก และถอดแผ่นป้ายทะเบียนออก โยนแผ่นป้ายทะเบียนทิ้ง เพื่อป้องกันเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตาม จากนั้นชำแหละ ขายเป็นอะไหล่ขายมือสอง ในเพจ เมื่อขายได้ จึงแบ่งเงินกันประมาณคนละประมาณ 4,000 ถึง 5,000 บาท

จากการตรวจสอบประวัตินายกาย เมื่อปี 2566 เคยก่อเหตุ 2 ครั้ง คือ ลักรถจักรยานยนต์ ในเมืองทองธานี พื้นที่ สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี และลักทรัพย์สินภายในบ้านผู้เสียหาย มูลค่าประมาณ 70,000 บาท พื้นที่ สภ.ประตูน้ำจุฬา จ.ปทุมธานี

ในชั้นจับกุม นายวุฒิชัยได้ให้การว่า วันที่ 27 มี.ค.2567 ว่านายอกนิษฐ์ฯได้เดินทางมาหาตนที่โรงแรมดังกล่าวฯซึ่งเป็นเวลาเลิกงานของตนพอดีจากนั้นจึงได้ชักชวนไปเอารถจักรยานยนต์ เพื่อที่นายอกนิษฐ์จะได้จ่ายหนี้ที่ค้างกับตนไว้จำนวนเงิน 4,000 บาท ที่ตลาดสำเพ็ง ถ.เยาวราช โดยใช้รถจักรยานยนต์ Honda wave ของตนและได้เจอรถจักรยานยนต์ Pcx สีเทา-ดำ จอดไว้บริเวณตลาดสำเพ็ง นายอกนิษฐ์จึงได้บอกตนว่าขึ้นคล่อมรถจักรยานยนต์ดังกล่าวมาที่หมู่บ้านฯของนายอกนิษฐ์โดยใช้เท้ายันรถ ตนจึงทราบว่าเป็นรถที่ถูกลักทรัพย์มาจากนั้นนายอกนิษฐ์ได้ให้ตนถอดแผ่นป้ายทะเบียนออกเพื่อกันตำรวจเห็น แล้วจึงโยนแผ่นป้ายทะเบียนทิ้งหลังจากนั้นจึงได้แยกย้ายกัน และนายวุฒิชัยให้การรับสารภาพตลอดทุกข้อกล่าวหาตามหมายจับ

ส่วนนายอกนิษฐ์ได้ให้การสอดคล้องรับว่าไปขโมยรถจริง และนำรถมาชำแหละอะไหล่ขายมือ2 ในเพจ Facebook กลุ่ม Pcx ซื้อขายของ จากนั้นจึงได้ทำการแบ่งเงินกันกับนายวุฒิชัยเป็นจำนวนคนละประมาณ 5,000 บาท และนายอกนิษฐ์ฯให้การรับสารภาพตลอดทุกข้อกล่าวหาตามหมายจับ

จากนั้นจึงได้นำตัวผู้ต้องหาส่ง พนักงานสอบสวน สน.จักรวรรดิ ดำเนินคดีต่อไป

พล.ต.ต.ธีรเดช ขอฝากเตือนประชาชนให้คอยระมัดระวังในการจอดรถ จยย. ต้องล็อคคอรถ รวมถึง ใช้โซ่คล้องล้อ หรือ ดิสเบรค ไม่จอดในที่เปลี่ยวลับตาคน จอดในที่ปลอดภัย มีกล้องวงจรปิด เพื่อให้ยากต่อการโจรกรรมของคนร้าย ส่วนผู้ที่ซื้อนิยมซื้ออะไหล่รถมือสองผ่านออนไลน์ ก็ควรตรวจสอบให้ดี ควรระวัง อาจไปรับซื้อของที่ขโมยมา โดนข้อหารับของโจรได้อีกด้วย ดังนั้นควรตรวจสอบประวัติการซื้อขายของบุคคล หรือร้านค้าให้ดีก่อน

ป.ป.ส. จับมือ 7 หน่วยงานภาคี ลง MOU ร่วมมือปลุกพลังนิคมอุตสาหกรรม ร่วมต้านภัยยาเสพติด พร้อมเปิดโอกาสผู้ผ่านการบำบัดเข้าทำงาน

วันที่ 7 พฤษภาคม 2567 สำนักงาน ป.ป.ส. โดย พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. ร่วมกับ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กรมการปกครอง สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ลงนามข้อตกลงความร่วมมือภายใต้โครงการ ปลุกพลังนิคมอุตสาหกรรม ร่วมต้านภัยยาเสพติด โดยมี นางบุปผา กวินวศิน รองผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สายงานพัฒนาที่ยั่งยืน) นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการปกครอง นางโสภา เกียรตินิรชา อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน นายแพทย์กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์ พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร่วมลงนามข้อตกลง ณ ห้องประชุมชิดชัย วรรณสถิตย์ สำนักงาน ป.ป.ส.

โครงการปลุกพลังนิคมอุตสาหกรรม ร่วมต้านภัยยาเสพติด เป็นการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างนายจ้างและลูกจ้างในการเฝ้าระวังปัญหายาเสพติดไม่ให้แพร่ระบาดเข้าสู่สถานประกอบการ พร้อมทั้งสนับสนุนให้สถานประกอบการมีระบบดูแล ช่วยเหลือ ลูกจ้าง นำลูกจ้างเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษายาเสพติด และรับกลับเข้าทำงาน พร้อมทั้งให้โอกาสผู้ผ่านการบำบัดรักษายาเสพติดมีโอกาสเข้าทำงาน ซึ่งการป้องกันยาเสพติดในกลุ่มผู้ใช้แรงงานในสถานประกอบการที่นับเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีความสำคัญยิ่งในการพัฒนาประเทศชาติ จึงกำหนดให้มีการขับเคลื่อนและบูรณาการทำงานร่วมกันในระดับนโยบาย ระหว่าง 7 หน่วยงานขึ้น

พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า กลุ่มผู้ใช้แรงงานนับเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ และเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงที่จะ เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ขณะเดียวกันก็เป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีความสำคัญยิ่ง ในการพัฒนาประเทศชาติปัจจุบันมีแรงงานในระบบจำนวน 19.4 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นแรงงานที่อยู่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม จำนวนกว่า 1 ล้านคน ซึ่งเพื่อให้เกิดมีมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในนิคมอุตสาหกรรม ทั้ง 7 หน่วยงานจึงได้มีข้อตกลงที่จะให้เกิด โครงการปลุกพลังนิคมอุตสาหกรรม ร่วมต้านภัยยาเสพติด ขึ้น ซึ่งเพื่อบรรลุเป้าหมายโครงการ คือ สถานประกอบการในทุกนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศ เข้ามามีส่วนร่วมดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด และเกิดความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและหน่วยงานรัฐในการแก้ไขปัญหายาเสพติดตามนโยบายของรัฐบาล แต่ละหน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการจะขับเคลื่อนงานในบทบาทของหน่วย คือ

การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ถือเป็นหน่วยที่รับผิดชอบดูแลแรงงาน และ ยังเป็นที่ตั้งของสถานประกอบการทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก จะมีบทบาทสำคัญในการประสาน ความร่วมมือกับผู้ประกอบการ และปลุกพลังให้กลุ่มผู้ใช้แรงงานร่วมกัน ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด และหน่วยงานสนับสนุน ได้แก่ กรมการปกครอง และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งมีบทบาทในการร่วมดำเนินการค้นหา เฝ้าระวัง และสร้างการมีส่วนร่วมของ ผู้นำหมู่บ้าน/ชุมชนในการร่วมเฝ้าระวังปัญหา ยาเสพติดในพื้นที่นิคม อุตสาหกรรมและชุมชนโดยรอบ โดยมีหน่วยงานสาธารณสุข ได้แก่ สำนักงาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และกรมการแพทย์ ให้การสนับสนุน ให้ค้นหา คัดกรอง และให้คำปรึกษาแนะนำในการประสาน ส่งต่อผู้เสพ/ผู้ติดให้ได้เข้ารับ การบำบัดอย่างเหมาะสม - สำนักงาน ป.ป.ส. ในฐานะหน่วยงานกลางในการประสานความร่วมมือ พร้อม ให้การสนับสนุนทุกหน่วยงานในการดำเนินงาน ทั้งในระดับนโยบาย และมี สำนักงาน ปปส.ภาค 1 – 9 / กทม. สนับสนุนการดำเนินงานในระดับพื้นที่

พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ กล่าวว่า การบูรณาการความร่วมมือในครั้งนี้เน้นให้เจ้าของสถานประกอบการดำเนินการค้นหาผู้เสพผู้ติดยาเสพติดในสถานประกอบการเพื่อส่งเสริมให้เข้ารับการบำบัดรักษาอย่างเหมาะสม ที่สำคัญอีกอย่างคือการสนับสนุนให้สถานประกอบการให้โอกาสแก่ผู้ผ่านการบำบัดยาเสพติดกลับเข้าทำงาน โดยในอดีต ผู้เสพยาเสพติดมักถูกตีตราและไม่ได้รับโอกาสให้เข้าทำงานในสถานประกอบการ ส่งผลให้เกิดปัญหาอื่นตามมา คือ การกลับไปเสพยาเสพติดซ้ำ ปัญหาครอบครัวขาดรายได้ การผันตัวจากผู้เสพไปเป็นผู้ค้าเสียเอง ซึ่งตามนโยบายเปลี่ยนผู้เสพเป็นผู้ป่วยของรัฐบาล ภายใต้การนำของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ต้องแบ่งประเภทระหว่างผู้เสพกับผู้ค้าซึ่งผู้เสพคือผู้ป่วยเน้นการรักษา และให้โอกาสเพื่อคืนคนดีสู่สังคม ในขณะที่ผู้ค้ายาเสพติด ที่เป็นต้นตอของปัญหา ต้องลงโทษอย่างเด็ดขาด

เจนกิจ นัดไธสง รายงาน

นราธิวาส-แม่ทัพภาคที่ 4 ลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุคนร้ายรอบวางระเบิด กลางเมือง จ.นราธิวาส บริเวณรินเขื่อนท่าพระยาสาย

พร้อมเน้นย้ำเจ้าหน้าที่เร่งตรวจสอบครอบคลุมพื้นที่  และกำชับให้ส่วนที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการดูแลเรื่องสิทธิต่างๆแก่ผู้เสียหาย โดยด่วน จากเหตุการณ์คนร้ายได้วางระเบิดแสวงเครื่อง ซึ่งติดตั้งในรถจักรยานยนต์ และจอดไว้บริเวณหน้าเขื่อนท่าพระยาสาย ถนนภูผาภักดี ตำบลบางนาค อำเภอเมืองนราธิวาส เมื่อคืนของวันที่ 6 พฤษภาคม 2567 เวลา 21.30 น. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเวลาที่พี่น้องประชาชนใช้พื้นที่ดังกล่าวพาบุตรหลานมาพักผ่อน และออกกำลังกาย ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บรวม 10 ราย เจ้าหน้าที่ อส. 2 ราย ประชาชนเพศหญิง 3 ราย, ประชาชนเพศชาย 3 ราย และประชาชนเพศหญิง สัญชาติมาเลเซีย 2 ราย

ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบและควบคุมพื้นที่ รวมทั้งได้ทำการปิดกั้นการจราจรโดยประสานชุดหน่วยเก็บกู้และตรวจสอบวัตถุระเบิด เคลียร์พื้นที่ พร้อมกับชุดพิสูจน์หลักฐาน ตรวจสอบที่เกิดเหตุ เพื่อขยายผลติดตามต่อคนร้านมาดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเร็ว ล่าสุดเจ้าหน้าที่ยังคงปิดกั้นการจราจรไม่ให้พี่น้องประชาชนใช้เส้นทางในการสัญจร เพื่อความปลอดภัย ซึ่งพื้นที่โดยรอบยังคงมีร้านค้าของพี่น้องประชาชนที่เปิดให้บริการ ยังคงเปิดทิ้งไว้ไม่มีการเก็บร้านเพราะตกใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้

ขณะที่ในวันนี้ 7 พฤษภาคม 2567 เวลา 10.30 น. ว่าที่ร้อยตรี ตระกูล โทธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส พร้อมด้วย พล.ต.ต.กฤษฎา แก้วจันดี รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9  พล.ต.ต.ไมตรี สันตยากุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส  นาวาเอกสันติ  เกตุศรีพงศ์ษา ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน กองทัพเรือ ได้ให้การต้อนรับ พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4  ได้ลงตรวจสอบพื้นที่จุดเกิดเหตุ ณ  บริเวณริมเขื่อนท่าพระยาสาย ถนนภูผาภักดี ตำบลบางนาค อำเภอเมืองนราธิวาส

พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4/ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4  ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยกล่าวว่า “จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ แม่ทัพภาคที่ 4, ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส, ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส และส่วนที่เกี่ยวข้องได้พูดคุยและประเมินต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว โดยได้เน้นย้ำส่วนที่เกี่ยวข้องทุกส่วนให้เพิ่มการดูแล และคุมเข้มในพื้นที่ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาเราได้เน้นย้ำเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยช่วงนี้จังหวัดนราธิวาสได้มีการจัดงานประจำปี ทางเจ้าหน้าที่เลยเน้นหนักและมีการคุมเข้มในส่วนของสถานที่จัดงาน ซึ่งมีพี่น้องประชาชนเดินทางมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก อาจทำให้เกิดช่องว่างของการก่อเหตุและเกิดเหตุขึ้นครั้งนี้ หลังจากนี้คงต้องกลับไปวิเคราะห์สถานการณ์ และคุมเข้มให้มากกว่าเดิม จุดไหนที่มีช่องว่างให้ปิดช่องว่างในทุกจุด

อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ไปต้องขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน คงต้องมีการตรวจตราเรื่องยานพาหนะอย่างเข้มงวดมากกว่าเดิม อาจมีผลกระทบเรื่องความล่าช้าในการเดินทางบ้าง แต่อยากขอความร่วมมือให้พี่น้องประชาชนเข้าใจต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ด้วย” นอกจากนี้ แม่ทัพภาคที่ 4 ยังได้กำชับให้ส่วนที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการดูแลเรื่องสิทธิต่างๆ และการรักษาเป็นการด่วน ตลอดจนสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพื้นที่ และตั้งจุดตรวจ ด่านตรวจทั้งเส้นทางหลักและเส้นทางรอง ที่คาดว่าคนร้ายจะใช้ในการหลบหนี พร้อมตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดในทุกจุด โดยประสานการทำงานร่วมกับผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น เพื่อติดตามคนร้ายให้ได้โดยเร็ว สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน

ทั้งนี้ ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน หากพบเห็นเบาะแสของกลุ่มคนร้ายสามารถแจ้งได้ที่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงประจำพื้นที่ หรือหมายเลขสายด่วนกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า หมายเลข 1341 หรือ หมายเลขโทรศัพท์สายตรง แม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 หมายเลข 061-1732999 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยทุกเบาะแสที่แจ้งเข้ามาจะถูกปิดเป็นความลับ

ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร / อัสมา บินมะนุ จ.นราธิวาส 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top