Sunday, 19 May 2024
TheStatesTimes

‘ดร.เสรี’ ชี้ ‘ไทย’ สิ้นสุดความร้อนแรงแล้ว  เตรียมรับฝน ตั้งแต่วันนี้!! อุณหภูมิลดลงทุกพื้นที่

(6 พ.ค.67) รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ประธานกรรมการบริหาร Futuretales LAB, MQDC และผู้เชี่ยวชาญ คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ออกมาไขคำตอบ ผ่านโพสต์บนเพจ รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ เรื่อง ‘Climate promise 2025 สัญญาสภาพภูมิอากาศ 2568’ อาจจะทำให้คนไทยเจ็บตัวบ้างไม่มากก็น้อย ทางออกของโลก และหนึ่งเดียวของไทยคืออะไร ?

ตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 67 เราจะสิ้นสุดความร้อนแรงทั่วประเทศแล้ว โดยสัปดาห์นี้ พื้นที่ที่มีโอกาส 50-80% ยังคงมีอุณหภูมิสูง > 40°C จะเป็นพื้นที่ในภาคกลาง ได้แก่ จ.สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี นครปฐมชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง นครสววรรค์ พิจิตร กำแพงเพชร และสุโขทัย ส่วนพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มี จ. นครราชสีมา บุรีรัมย์ ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ และสระแก้ว แต่ตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม อุณหภูมิจะลดลงตามลำดับ (ยังคงร้อนอยู่นะครับ) ในบางพื้นที่เริ่มมีฝนตกประมาณ 10-20 mm ต่อวันให้ได้รับความชุ่มชื้นบ้างโดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ พอผ่อนคลายความร้อนได้มากน่ะครับ

สัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้รับเชิญไปพูด แลกเปลี่ยนเรียนรู้หลายเวทีเช่น สถานทูตเนเธอร์แลนด์ (Amphibious transformation by design) การไฟฟ้านครหลวง (โลกเดือด) สำนักข่าวกรอง (การจัดการภัยพิบัติจาก Climate change) เพื่อชี้ให้ทุกหน่วยได้ตระหนักว่า เรากำลังเผชิญกับวิกฤติสภาพอากาศรุนแรงทั่วโลก คนไทยทั่วทุกภูมิภาคเผชิญกับอุณหภูมิที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นอกเหนือจากผลกระทบต่อสุขภาพ ผลผลิตภาคเกษตรเสียหายรุนแรง โดย GDP ภาคการเกษตรสาขาพืช -6.4% (ทุเรียนสุกเร็วไม่หวานเสียหาย 30-40% มะพร้าวไม่ติดลูกเสียหาย 90% องุ่นให้ผล และน้ำน้อยเสียหาย 70% เป็นต้น) โลกจะไปอย่างไรต่อ ? คนไทยจะอยู่กันอย่างไร ? ภาคธุรกิจจะปรับตัวอย่างไร ? ภาครัฐจะมียุทธศาสตร์อะไร ?

ล่าสุด UNDP ได้ออกแคมเปญ ‘Climate promise 2025 สัญญาสภาพภูมิอากาศ 2568’ Dr. Cassie Flynn ผู้อำนวยการด้าน Climate change, UNDP ได้กล่าวเมื่อวันที่ 23 เมษายน ที่ผ่านมาว่า โลกยังมีความหวัง โดยทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง (Ambition, Acceleration และ Inclusivity) ผมฟังดูแล้วรู้สึกเหนื่อย และเป็นกังวลในฐานะคณะทำงาน IPCC ว่าเราจะเดินไปสู่เป้าหมายได้อย่างไร ? ในขณะที่ประเทศร่ำรวย 10 % มีส่วนสำคัญในการปล่อย GHG 60 % แต่ประเทศกำลังพัฒนากว่า 60% มีสัดส่วนการปลดปล่อยไม่ถึง 10%

ภายใต้แรงกดดันของสังคมโลก สงครามการค้า (Below 1.5°C by 2025) ภาครัฐ ภาคเอกชน และคนไทยต้องเจ็บตัวกันไม่มากก็น้อยน่ะครับ กลุ่มเปราะบางจะเปราะบางมากขึ้น ค่าครองชีพจะเพิ่มขึ้น จากค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้น จากราคาอาหาร และวัตถุดิบต่างๆ ในขณะที่รายได้ไม่ได้เพิ่มขึ้น รัฐบาลจำเป็นต้องปรับแผนยุทธศาสตร์ สร้างความได้เปรียบบนฐานทรัพยากรที่มีอยู่ เปลี่ยนวิกฤติทั่วโลกให้เป็นโอกาส “ครัวของโลก” เปลี่ยนผ่านประเทศด้วยนวัตกรรมการปรับตัวภาคเกษตรกรรม 

"ทริปยุโรปครั้งแรกในรอบ 5 ปี 'สี จิ้นผิง' เลือกไปเยือน 'ฮังการี' จอมหัวแข็งใน NATO + 'เซอร์เบีย' สุดซี้จีนพร้อมชนในย่านนั้นด้วย"

(6 พ.ค.67) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจจีน จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ทริปยุโรปครั้งแรกในรอบ 5 ปี 🇨🇳 #สีจิ้นผิง เลือกไปเยือน 🇭🇺 #ฮังการี จอมหัวแข็งใน NATO + 🇷🇸 #เซอร์เบีย สุดซี้จีนพร้อมชนในย่านนั้นด้วยค่า

ไปเยือนยุโรปครั้งแรกในรอบ 5 ปี  แม้จะแวะปารีส 🇫🇷เป็นจุดแรก ผู้นำจีนไม่ได้ไปช้อปปิ้งหรือไปโชว์แฟชั่นอะไรนะคะ 🤭 หากแต่ทริปนี้  เพื่อ Strategic Opportunities !! 

นอกจากฝรั่งเศส #สีจิ้นผิง เลือกที่จะไปคุย/เตรียมการอะไรกับผู้นำ #ฮังการี และผู้นำ #เซอร์เบีย  ตัวพ่อจอมหัวแข็งพร้อมชนทั้งสองชาติในยุโรปเลยค่า 😅 #ปีมังกรดุ 

คงเดาได้นะคะ งานนี้ใครจะหนาววววว 🤭 

https://www.atlanticcouncil.org/blogs/new-atlanticist/what-to-look-for-as-xi-jinping-visits-france-serbia-and-hungary/

คงจำได้นะคะ #ฮังการี เคยหัวแข็งยืนกรานไม่ยอมให้ #สวีเดน เข้า NATO  ในที่สุด  กว่าจะเคลียร์จบ สวีเดนลุ้นด้วยใจระทึกกว่าจะเข้าเป็นสมาชิก #NATO ได้ค่าาา

จอมซ่าส์พร้อมชนแบบฮังการี 🤭 จีนชอบจ้า 
https://www.reuters.com/world/europe/hungary-set-ratify-swedens-nato-accession-clearing-last-hurdle-2024-02-26/

‘อ.สมชัย’ ชี้ ‘แบงค์ชาติ’ วิจารณ์ได้ แต่คนพูดก็ต้องถูกวิจารณ์ ย้ำ!! ต้อง ‘มีพื้นฐานความรู้-ปราศจากอคติ-มีตรรกะของเหตุผล’ 

(6 พ.ค.67) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘สมชัย ศรีสุทธิยากร’ เกี่ยวกับการวิจารณ์การทำงานของ ‘ธนาคารแห่งประเทศไทย’ โดยได้ระบุว่า ...

แบงค์ชาติ วิจารณ์ได้

แบงค์ชาติ เป็นสถาบันที่มีหน้าที่กำกับนโยบายด้านการเงินของประเทศ ดูแลอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ปริมาณเงินในตลาด และอัตราแลกเปลี่ยน ทำงานดีก็ต้องชม ทำงานไม่เข้าท่าก็วิจารณ์ได้

แต่การวิจารณ์ แบงค์ชาติ ต้องอยู่บนพื้นฐานความรู้ ปราศจากอคติ และมีตรรกะของเหตุผล เช่น จะบอกว่าประเทศไทยมีหนี้สาธารณะเยอะ เพราะการไม่ลดดอกเบี้ยธนาคาร ดูจะเป็นการเชื่อมโยงของสิ่งห่างไกลเกินไป

หนี้สาธารณะ (Public Debt) นั้น มาจากกู้ยืมเงินของรัฐจากการทำงบประมาณขาดดุล ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีหนี้สาธารณะ 11.4 ล้านล้านบาท จะลดลงต่อเมื่อเราตั้งงบประมาณใช้คืนมากขึ้น กู้ใหม่ให้น้อยลง หรือกู้มาลงทุนเพื่อให้มีรายได้มาใช้คืนไม่ใช่กู้มาแจก

หนี้ครัวเรือน (Household debt) ของไทย คือ หนี้ของชาวบ้านที่ไปกู้ยืมสถาบันทางการเงิน เช่น ผ่อนบ้าน ซื้อรถ กู้ยืมมาเพื่อใช้จ่ายในครัวเรือน ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 16.8 ล้านล้านบาท หากมีอัตราดอกเบี้ยสูง ย่อมผ่อนคืนยาก ส่งต้นได้น้อย ส่งเท่าไรก็ส่งได้แต่ดอก 

เพราะดอกเบี้ยเงินกู้แบงค์ ประมาณร้อยละ 7 ส่วนดอกเบี้ยนโยบายตอนนี้ ร้อยละ 2.5 

แบงค์ชาติ วิจารณ์ได้ครับ แต่คนวิจารณ์แบงค์ชาติด้วยตรรกะที่ตื้นเขิน ก็ย่อมถูกวิจารณ์ได้เช่นกัน

‘เอ็ดดี้ อัษฎางค์’ ถาม ‘ธนาธร’ ฮั้วเลือกตั้ง คือการสร้างประชาธิปไตย ? ด้าน ‘สว.สมชาย’ ตั้งข้อสังเกต อาจผิดเจตนารมณ์ ของรัฐธรรมนูญ

(6 พ.ค.67) อัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊ก ‘เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค’ เรื่อง ฮั้วกระบวนการเลือกตั้ง คือการสร้างประชาธิปไตย จริงหรือ? ระบุว่า แกนนำคณะก้าวหน้าวิจารณ์ว่า ระบบเลือก สว. นี้ออกแบบมาเพื่อ ‘กีดกันประชาชนไม่ให้มีส่วนร่วม’ ซึ่งต่อมาธนาธรได้กล่าวว่าการทำให้ประเทศไทยกลับสู่ประชาธิปไตย การเมืองไทยกลับสู่ภาวะปกติ ต้องเริ่มต้นที่การเลือก สว. หากมี สว. ประชาชนที่ยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตยเข้าไปดำรงตำแหน่งมากพอ ก็จะช่วยถอดสลักและแก้ปมที่พันกันได้

สำหรับคำจำกัดความของ ‘สว. ประชาชน’ ของคณะก้าวหน้าคือ คนธรรมดาที่ ‘ฝักใฝ่ประชาธิปไตย’ และลงสมัคร สว. โดยไม่รับเงินทองและอามิสสินจ้าง คนที่ลงสมัคร สว. มี 3 ประเภทคือ 

1.คนที่สมัครเพราะต้องการเป็น สว. จริง ๆ 

2.คนที่สมัครแบบเป็นก็ได้-ไม่เป็นก็ได้ 

3.คนที่สมัครเพราะต้องการเข้าไปโหวต 

ซึ่งคน 2 กลุ่มหลังอาจไม่จำเป็นต้องเข้าไปแสดงตัวในเว็บไซต์ หมายความว่า ธนาธร รณรงค์ให้ประชาชนที่สนับสนุนแนวคิดของเขาสมัครเพื่อเป็นโหวตเตอร์ ใช่หรือไม่

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เปิดแคมเปญ “สว. ประชาชน” รณรงค์ให้ประชาชนผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนตามกฎหมาย ไปลงสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา (สว.)

สำหรับ สว. ชุดใหม่จะมาจากการ ‘เลือกกันเอง’ ในกลุ่มอาชีพ 20 กลุ่ม และ ‘เลือกไขว้กลุ่ม’ โดยผู้สมัครต้องผ่านการเลือก 3 ระดับ จากอำเภอ ขึ้นสู่จังหวัด และประเทศ  โดยเขาเคยให้สัมภาษณ์ในรายการ ‘คุยนอกจอ’ กับ สรยุทธ สุทัศนะจินดา ว่า ต้องการยอดผู้สมัครอย่างน้อย 1 แสนคนเป็นตัวเลขเป้าหมาย หากทำได้ก็จะได้เสียงส่วนใหญ่ของ สว.

ซึ่งนายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา เรียกร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบคณะบุคคล/ตัวแทนพรรคการเมือง ที่มีกระบวนการรณรงค์ให้ประชาชนสมัคร สว. โดยระบุว่า “เข้าข่ายฮั้วในกระบวนการเลือกกันเองของ สว.” เนื่องจากเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 2560 และพระราชบัญญัติ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. พ.ศ. 2561 ต้องสมัครเพื่อเป็น สว. ไม่ใช่สมัครเพื่อเป็นโหวตเตอร์

สรุป ธนาธร คนที่ประกาศว่า “ถ้าประเทศไทยยังเดินไม่ถูกทาง ยังไม่เป็นประชาธิปไตย ยังหาผู้นำทางการเมืองที่เหมาะสมกว่าผมไม่ได้ ถ้าต้องทำ (เป็นแคนดิเดตนายกฯ) ก็ต้องทำ” อันหมายความว่า ธนาธรเท่านั้นที่จะมาเป็นผู้นำเพื่อสร้างประชาธิปไตยที่ถูกต้อง หรือไม่

แต่การรณรงค์ให้ประชาชนที่สนับสนุนแนวคิดของตน ลงสมัคร สว.โดยไม่ต้องหวังจะสมัครเพื่อเป็น สว. แต่สมัครไปเพื่อจะได้มีสิทธิ์โหวตคนที่ตนเองหรือพรรคพวกของตนเองให้ได้เป็น สว.  ซึ่งนายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา ตั้งข้อสังเกตว่า จะถือว่าเป็นการเข้าข่ายฮั้วในกระบวนการเลือกกันเองของ สว.ซึ่งผิดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ หรือไม่

คนที่มีแนวคิดแบบนี้นะหรือที่ประกาศว่าจะมาสร้างประชาธิปไตยให้กับประเทศไทย และประกาศว่าประเทศไทยต้องมีผู้นำที่ชื่อ ธนาธร เท่านั้นถึงจะเป็นประชาธิปไตย

'เดนมาร์ก' จ่อให้หญิงสาวอายุ 15 ปีทําแท้งได้ โดยไม่ต้องมีความยินยอมจากผู้ปกครอง

รัฐบาลเดนมาร์กประกาศเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (3 พ.ค.67) ว่าจะอนุญาตให้หญิงสาวสามารถทําแท้งได้จนถึง 18 สัปดาห์หลังการปฏิสนธิ แทนที่จะเป็น 12 สัปดาห์ เป็นการเปลี่ยนแปลงกฎหมายด้านการทําแท้งครั้งแรกของประเทศในแถบนอร์ดิกเป็นเวลา 50 ปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ หญิงสาวอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปจะมีสิทธิที่จะทําแท้งได้โดยไม่ต้องมีความยินยอมจากผู้ปกครอง รัฐบาลลดอายุขีดจํากัดให้เป็นไปตามอายุที่ยอมรับในการมีเพศสัมพันธ์ของประเทศ

“การเลือกว่าจะทําแท้งหรือไม่เป็นสถานการณ์ที่ยากลําบาก และฉันหวังว่าเด็กหญิงจะได้รับการสนับสนุนจากผู้ปกครองของพวกเธอ แต่ถ้ามีความไม่ลงรอยกัน สุดท้ายแล้วต้องเป็นการตัดสินใจของเด็กหญิงเองว่าเธอต้องการเป็นแม่หรือไม่” มารี เบเยอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลและความเสมอภาคเพศ กล่าว

ในปัจจุบัน หญิงสาวอายุต่ำกว่า 18 ปีสามารถทําแท้งได้ แต่ต้องมีความยินยอมจากผู้ปกครอง

กฎหมายสุขภาพฉบับแก้ไขจะเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 1 มิถุนายนของปีหน้า (2568)

เดนมาร์กเป็นหนึ่งในประเทศแรกๆ ในยุโรปตะวันตกที่เสนอการทําแท้งโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในปี 1973 แต่ก็อนุญาตให้ทําแท้งได้จนถึง 12 สัปดาห์หลังการปฏิสนธิเท่านั้น ปัจจุบันหญิงสาวในเดนมาร์กจะสามารถทําแท้งได้เป็นเวลานานกว่าประเทศใดๆ ในยุโรปส่วนใหญ่

ตามหน่วยงานข้อมูลสุขภาพแห่งชาติเดนมาร์ก จํานวนการทําแท้งที่เกิดขึ้นในประเทศไม่ได้เพิ่มขึ้นในช่วงหลัง ในปี 2565 มีการทําแท้งทางการแพทย์ 14,700 ราย เทียบกับ 14,500 รายในปี 2557 จํานวนสูงสุดเกิดขึ้นในปี 2518 เมื่อการทําแท้งได้รับการยอมรับว่าถูกต้องตามกฎหมาย มีจํานวน 27,900 ราย

เมตต์ เธียเซน สมาชิกรัฐสภาจากพรรคประชาชนเดนมาร์กซึ่งเป็นพรรคป็อปปูลิสต์ ได้แสดงความเสียใจต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวว่า “เป็นวันที่แย่มาก กฎหมายใหม่ที่แย่มาก” เธียเซนกล่าวกับสถานีวิทยุโทรทัศน์ดีอาร์ว่า “มีความสมดุลที่ละเอียดอ่อนระหว่างสิทธิของหญิงในร่างกายของตน แต่ก็มีสิทธิในชีวิตของวิญญาณที่อยู่ในครรภ์ของแม่ด้วย”

ในเดือนมีนาคม ประเทศฝรั่งเศสได้กลายเป็นประเทศแรกของโลกที่รับรองสิทธิในการทําแท้งไว้ในรัฐธรรมนูญ ทําให้ 'สิทธิในการทําแท้ง' ในฝรั่งเศสกลายเป็น 'ไม่สามารถถอนกลับได้'

ตำรวจลับราชวงศ์หมิง หน่วยปราบขุนนางชั่ว  กลายเป็นหน่วยปราบขั้วตรงข้าม จนหมิงต้องล่มสลาย

ถ้าคุณชื่นชอบภาพยนตร์ประวัติศาสตร์จีน โดยเฉพาะเรื่องราวในสมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ. ๑๓๖๘ - ๑๖๔๔) นอกจากเรื่องการขึ้นครองบัลลังก์ของ 'จูหยวนจาง' หรือ 'จักรพรรดิหมิงไท่จู่' (หงอู่) (ครองราชย์ ค.ศ. ๑๓๖๘ - ๑๓๙๘) จากลูกชาวนา เด็กกำพร้า นักบวช กบฏชาวนา ผู้นำกองทัพ ขึ้นสู่จักรพรรดิ เรื่องราวของพระองค์นั้นนับว่ามีสีสันเป็นอย่างยิ่ง 

เศษเสี้ยวหนึ่งของสีสันในชีวิตของพระองค์ก็คือเรื่องราวของการตั้งหน่วยตำรวจลับ องครักษ์แห่งราชวงศ์หมิง ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญเพื่อใช้จัดการขุนนางฉ้อฉลและคอยปกป้องพระองค์ดังที่ในสมัยฮั่นมีหน่วย 'องครักษ์อวี่หลิน' องครักษ์ที่เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์จีน เริ่มก่อตั้งในรัชสมัยจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้หรือ ๑๐๔ ปีก่อนคริสตกาล เช่นเดียวกัน 

ยุคราชวงศ์หมิง ถือว่าเป็นยุคแห่งการตั้งหน่วยตำรวจลับโดยแท้ นัยว่าเพื่อถ่วงดุลกัน แต่ตั้งไป ตั้งมา หน่วยตำรวจลับทั้งหลายกลับกลายเป็นเครื่องมือประหัตประหารกันจนเป็นชนวนเหตุแห่งการล่มสลายของราชวงศ์หมิงในกาลต่อมา 

ซึ่งเรื่องราวของหน่วยตำรวจลับ องครักษ์แห่งราชวงศ์หมิงเหล่านี้ ถูกนำมาสร้างภาพยนตร์จีนอิงประวัติศาสตร์หลาย ๆ เรื่อง ซึ่งจะมีหน่วยอะไรบ้าง ผมนำมาเรียบเรียงให้อ่านกันเพลิน ๆ ดังนี้ครับ 

หน่วยงานตำรวจลับ องครักษ์กลุ่มแรกที่ถูกตั้งขึ้นในราชวงศ์หมิงก็คือ 'องครักษ์เสื้อแพร' (จิ่นอีเว่ย์) เป็นหน่วยองครักษ์พิเศษขึ้นตรงกับองค์จักรพรรดิ ทำหน้าที่อารักขาขบวนเสด็จ ตรวจสอบและจัดการขุนนางรวมถึงกลุ่มอำนาจซึ่งอาจเป็นภัยต่อราชบัลลังก์ ก่อตั้งขึ้นโดย 'จักรพรรดิหมิงไท่จู่' รัชศกหงอู่ปีที่สิบห้า (ราว ค.ศ. ๑๓๘๒) 

จุดเด่นขององครักษ์เสื้อแพรก็คืออาวุธประจำตัว ได้แก่ 'ดาบซิ่วชุน' (ปักวสันต์) ซึ่งเป็นดาบสัณฐานเหลี่ยมหนึ่งด้านหนา หนึ่งด้านคม ปลายไม่แหลม เน้นการฟาดฟันเพื่อให้ขาด และใช้เพื่อทรมาณ 

จากอาวุธก็มาที่เครื่องแบบเรียกว่าชุด 'เฟยอหวี' (มัจฉาเหิน) ซึ่งเป็นเครื่องแบบเฉพาะของครักษ์เสื้อแพร มีลักษณะเป็นชุดคลุมยาว ปักลายมังกรมัจฉาบิน (นึกถึงปลามังกรเข้าไว้ครับ) ซึ่งมีสีเหลือง - ทอง (ออกทางเข้มกว่า) เพื่อให้รู้ว่าเป็นหน่วยขึ้นตรงต่อองค์จักรพรรดิ ส่วนองครักษ์เสื้อแพรระดับสูงนั้นจะมีชุดประจำตำแหน่งอีกสองแบบ นั่นคือชุด 'หมั่งฝู' (ปักลายงูเหลือม) และชุด 'โต่วหนิว' (ปักลายวัวมังกร) ซึ่งเป็นเครื่องแบบพระราชทานจากองค์จักรพรรดิ 

องครักษ์เสื้อแพรนั้นเริ่มต้นมีอยู่ราว ๕๐๐ คน ต้องผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มงวด มีผู้รับรองว่าประวัติบริสุทธิ์ ไม่เคยต้องโทษ และต้องผ่านการทดสอบมากมาย โดยรู้จักกันในฐานะ 'นักสืบ' หรือ 'นักจับ' และ 'นักทรมาน' ด้วยภารกิจลับส่วนใหญ่จะเป็นภารกิจสืบสวนสอบสวน ติดตามและจับกุมบรรดาขุนนางที่ต้องสงสัยว่ากระทำความผิดร้ายแรงหรือมีแผนการชั่วร้าย เช่น ทุจริต หรือก่อกบฏ เป็นต้น สามารถกระทำทุกวิถีทางเพื่อให้ผู้ต้องหายอมรับสารภาพ 

วิธีการทรมานผู้ต้องหาขององครักษ์เสื้อแพรนั้นขึ้นชื่อว่า โหดเหี้ยมอำมหิต กล่าวกันว่าเมื่อใดที่องครักษ์เสื้อแพรเคาะประตูบ้าน ก็เตรียมบอกลาคนในบ้านได้เลย แต่มีขึ้นก็ต้องมีลง โดยในปี ค.ศ. ๑๓๙๓ จักรพรรดิหมิงไท่จู่ได้ลดบทบาทขององครักษ์เสื้อแพรลง เนื่องจากเหตุการณ์สอบสวนที่ลุแก่อำนาจ ทำให้เกิดการฆ่าคนไปมากมาย ราว ๔๐,๐๐๐ คน จากการสอบสวนเรื่องแผนการกบฏของ 'หลันหยู' เพียงคดีเดียว นับว่าน่าหวาดผวามาก ๆ 

สืบเนื่องต่อมา ก็มาถึงยุคที่จักรพรรดิตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของขุนนางและขันที ขุนนางกับขันทีผลัดกันขึ้นมาครองอำนาจในราชสำนัก องครักษ์เสื้อแพรก็กลายเป็นมือเป็นเท้าให้โดยผ่านการ 'ซื้อตัว' ขุนนางระดับผู้บัญชาการในสำนักองครักษ์เสื้อแพร เพื่อใช้งานในการกำจัดศัตรูทางการเมืองของตน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ชื่อเสียงขององครักษ์เสื้อแพรยิ่งเป็นไปในเชิงลบมากขึ้น แต่กระนั้นในยุคราชวงศ์หมิงยังมีหน่วยงานที่เหมือนกับองครักษ์เสื้อแพรเกิดตามขึ้นมาอีก 

ในรัชสมัยจักรพรรดิหมิงเฉิงจู่ (หยงเล่อ) (ครองราชย์ ค.ศ. ๑๔๐๒ - ๑๔๒๔) พระองค์ได้ยึดครองราชย์บัลลังก์จากจักรพรรดิหมิงฮุ่ยจง (เจี้ยนเหวิน) (ครองราชย์ ค.ศ. ๑๓๙๘ - ๑๔๐๒) ซึ่งเป็นหลานชายของพระองค์แล้วปราบดาภิเษกตนเองขึ้นปกครองราชวงศ์หมิง หน่วยงานเดิมอย่างองครักษ์เสื้อแพรก็เลยไม่เป็นที่ไว้วางพระทัย อีกทั้งก่อนที่พระองค์จะครองราชย์พระองค์ได้สู้รับกับมองโกลจนได้รับชัยชนะ โดยมีเชลยศึกเด็กได้ถูกตอนเป็น 'ขันที' และในกลุ่มขันทีเหล่านี้ก็ถือว่าเป็นข้ารับใช้ใกล้ชิดพระองค์มาตั้งแต่ยังไม่ครองราชย์ ไม่แปลกถ้าหลายหน่วยงานของพระองค์จะมี 'ขันที' เป็นผู้บัญชาการ หนึ่งในนั้นคือหน่วยตำรวจลับของพระองค์ที่มีชื่อว่า 'ตงฉ่าง'

ตงฉ่าง หรือ สำนักบูรพา ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. ๑๔๒๐ ตงฉ่าง เป็นหน่วยลับสำหรับตรวจสอบคดีพิเศษ ทำหน้าที่เหมือนตำรวจลับปฏิบัติภารกิจพิเศษที่ขึ้นตรงต่อองค์จักรพรรดิเช่นกัน ที่สำคัญหน่วยงานอื่นใดก็ไม่สามารถแทรกแซงได้ โดยมีขันทีที่ได้รับความไว้วางพระทัยเป็นหัวหน้าหน่วย ทั้งในหน่วยยังประกอบด้วยขันทีผู้มีวิทยายุทธสูง ด้วยความเป็นขันทีจึงสามารถเข้าวังฝ่ายใน เพื่อทูลข่าวสารแก่จักรพรรดิได้โดยตรง จึงเป็นหน่วยสำคัญที่แม้กระทั่ง 'องครักษ์เสื้อแพร' ก็ต้องกลายมาเป็นมือเท้าทำงานภายใต้การบัญชาการของ 'ตงฉ่าง'

ในช่วงแรกสำนักตงฉ่างก็ทำหน้าที่ได้ดี สามารถสืบหาผู้กระทำความผิดต่อบ้านเมืองมาลงโทษได้ แต่ต่อมา 'ตงฉ่าง' ก็เปลี่ยนไป เมื่อขันทีผู้ใกล้ชิดองค์จักรพรรดิ โดยเฉพาะในสมัยจักรพรรดิหมิงอิงจง (เจิ้งถง / เทียนชุ่น) (ครองราชย์ ๒ ครั้งครั้งแรก ค.ศ. ๑๔๓๕ - ๑๔๔๙ ครั้งที่ ๒ ค.ศ. ๑๔๕๗ - ๑๔๖๔) มีหัวหน้าขันทีชื่อ 'หวังเจิ้น' เริ่มใช้หน้าที่ผู้บัญชาการหน่วยตงฉ่างนี้เป็นช่องทางสั่งสมอำนาจ บารมี และสร้างอิทธิพลให้กับกลุ่มของตน ถึงขั้นสามารถชี้เป็นชี้ตายคนในแผ่นดินได้ มีการทุจริตกันอย่างออกนอกหน้า บรรดาขุนนางที่ต้องการมาขอพบหวังเจิ้น ต้องจ่ายเงินร้อยตำลึงเป็นของขวัญ จะพบองค์จักรพรรดิได้ก็ต้องผ่านทางหวังเจิ้น ทำให้ภายในช่วงระยะเวลา ๗ ปีที่หวังเจิ้นคุมตงฉ่าง เขามีอำนาจ มีเงินและทองรวมกันถึงกว่า ๖๐ โกดัง ขุนนางส่วนใหญ่ต้องคล้อยตามเขา ถ้าขุนนางคนไหนกล้าขัดกับเขา ขุนนางคนนั้นก็จะโดนยัดข้อหาและถูกกำจัด ว่ากันว่า 'ตงฉ่าง' และ 'ขันที' นี่แหละคือชนวนเหตุสำคัญที่ทำให้ราชวงศ์หมิงเสื่อมลง ทั้งยังเป็นหน่วยงานที่คนในราชสำนักหมิงเคียดแค้นและชิงชังมาก ๆ 

ยังไม่จบแค่นี้ เพราะการตั้งหน่วยงานลับแบบนี้ยังไม่จบ ในรัชสมัยของจักรพรรดิหมิงเสียนจง (เฉิงฮว่า) (ครองราชย์ ค.ศ. ๑๔๖๔ - ๑๔๘๗) ในรัชสมัยนี้ขันทีมีอำนาจและอิทธิพลล้นฟ้า ทั้งองค์จักรพรรดิก็ไม่ค่อยออกว่าราชการและไม่วางพระทัยขุนนาง ราชการต่าง ๆ จึงตกอยู่ในมือขันทีโดยเฉพาะ 'มหาขันทีวังจื๋อ” ขันทีคนสนิทของพระสนม “ว่านกุ้ยเฟย' ผู้ซึ่งดูแลองค์จักรพรรดิมาตั้งแต่ก่อนขึ้นครองราชย์ โดย 'วังจื๋อ' เพ็ดทูลพระองค์ว่า 'ตงฉ่าง' นั้น ตั้งขึ้นมาตั้งแต่สมัยรัชกาลก่อน ๆ ซึ่งพระองค์อาจจะบังคับบัญชาไม่ได้อย่างราบรื่นนัก อย่ากระนั้นเลยพระองค์ควรจะจัดตั้งหน่วยตำรวจลับของพระองค์ขึ้นมาเอง โดยมีเหตุผลหลักก็คือ สอดส่อง ควบคุมตงฉ่างกับองครักษ์เสื้อแพร ทำให้ในปี ค.ศ. ๑๔๗๗ หน่วย 'ซีฉ่าง' หรือ สำนักประจิม จึงเกิดขึ้นมา โดยมี 'มหาขันทีวังจื๋อ' เป็นผู้บัญชาการโดยสามารถออกคำสั่งกับ 'ตงฉ่าง' และ 'องครักษ์เสื้อแพร' ได้ 

เมื่อมี 'ซีฉ่าง' ที่สามารถบัญชาการ 'ตงฉ่าง' และ 'องครักษ์เสื้อแพร' ได้ ความบรรลัยก็บังเกิด เพราะผู้บัญชาการซีฉ่างมีอำนาจมหาศาล ถึงขั้นจับตัวและเข่นฆ่าขุนนาง ชาวบ้านตามอำเภอใจ จนขุนนางและชาวบ้านบริสุทธิ์ต้องตายไปนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะบรรดาขุนนางผู้ซื่อสัตย์ภักดี หากไปขัดขวางการหาผลประโยชน์ ก็จะถูกเล่นงานถึงตาย แถมไม่ปล่อยให้ตายง่าย ๆ ต้องทรมานจนทนไม่ไหว ซ้ำยังต้องบังคับให้ซัดทอดคนอีกนับสิบ นับร้อย มารับการทรมานด้วย ซึ่งถือว่าเป็นความเลวร้ายระดับสุดยอดจริง ๆ 

แต่ 'ซีฉ่าง' มีอายุหน่วยงานที่สั้นเพียง ๕ ปี เพราะในปี ค.ศ. ๑๔๘๒ ขุนนางใหญ่น้อยรวมทั้ง 'ตงฉ่าง' และ 'องครักษ์เสื้อแพร' ได้ถวายรายงานเรื่องการที่วังจื๋อใช้อำนาจมิชอบ ทำให้จักรพรรดิหมิงเสียนจงตัดสินพระทัยยุบ 'ซีฉ่าง' ส่วนวังจื๋อให้ออกจากราชการแล้วยกโทษตายให้กลับไปใช้ชีวิตอยู่บ้านเกิด (รอดได้ไงวะเนี่ย?)

ตกมาถึงรัชสมัยจักรพรรดิหมิงเซี่ยวจง (หงจื้อ) (ครองราชย์ ค.ศ. ๑๔๘๗ - ๑๕๐๕) พระองค์ทรงเอาใจใส่ต่อราชการบ้านเมือง จนการปกครองในยุคนั้นเริ่มที่จะกลับมาเข้าที่เข้าทางบทบาทของหน่วยตำรวจลับเริ่มถูกลดลง ขันทีเริ่มอยู่กับร่องกับรอยมากขึ้น แต่ทว่าพระองค์ครองราชย์ได้เพียง ๑๘ ปี ก็ทรงสวรรคต 

จากที่กำลังจะดีอยู่แล้วพอมาถึงรัชสมัยของจักรพรรดิหมิงอู่จง (เจิ้งเต๋อ) (ครองราชย์ ค.ศ. ๒๐๔๘ - ๒๐๖๔) พระองค์ขึ้นครองราชย์ด้วยพระชันษา ๑๕ ปี พระองค์ไม่เหมือนพระราชบิดาของพระองค์เลยแม้แต่น้อย ไม่เอางานบ้านเมือง ชอบท่องเที่ยว ใช้ชีวิตสำราญและปล่อยให้งานราชการดำเนินการโดยแก๊งขันที โดยมีผู้นำคือ 'หลิ่วจิน' ซึ่งได้จัดตั้ง 'เน่ยฉ่าง' (สำนักฝ่ายใน) โดยมีกองกำลังของตัวเองที่เรียกว่า 'กองแปดพยัคฆ์' ที่ใช้จัดการขั้วตรงข้ามโดยเฉพาะ เป็นหน่วยงานที่โหดเหี้ยมทารุณและใช้อำนาจบาตรใหญ่ยิ่งกว่า 'ตงฉ่าง' กับ 'ซีฉ่าง' เสียอีก 

ช่วงที่ขันที 'หลิวจิ่น' ครองอำนาจ การทุจริตฉ้อฉล การรับสินบนกลายเป็นประเพณีปฏิบัติ ขุนนางที่เอาใจออกห่างหรือขัดขวางเขาในทางใดทางหนึ่งจะถูกกำจัดอย่างไม่ปรานี ว่ากันว่าในช่วง ๑ ปี เขาสังหารขุนนางตงฉินไปกว่า ๓๐๐ คน ซึ่งเขาเหิมเกริมขนาดที่จะวางแผนชิงบัลลังก์เลยทีเดียว แต่สุดท้ายไม่รอด เขาถูกจับได้และด้วยความกเฬวรากเกินรับ เขาถูกประหารด้วยการแล่เนื้อออกทีละชิ้น ๆ รวมกว่า ๓,๓๕๗ ชิ้น ขณะที่ยังมีลมหายใจท่ามกลางเสียงสาบแช่งของผู้คนเรือนหมื่น ที่อยู่ ณ ลานประหารนั้น 

ต่อมาได้มีการตรวจสอบทรัพย์สินทั้งหมดของ 'หลิวจิ่น' แล้วพบว่าเขามีทองคำมากกว่า ๑๒ ล้านตำลึง มีเงินกว่า ๒๕๐ ล้านตำลึง ซึ่งยังไม่รวมถึงเพชรนิลจินดาและสิ่งมีค่าอื่น ๆ อีกมากมาย ว่ากันว่าทรัพย์สินของเขามีมากกว่าทรัพย์สินของแผ่นดินถึง ๖ เท่า และ 'เน่ยฉ่าง' ก็ถูกยุบไปโดยปริยาย

แต่กระนั้น 'องครักษ์เสื้อแพร' และ 'ตงฉ่าง' ก็ยังไม่ได้ถูกยุบลงแต่อย่างไร ยังคงอยู่ภายใต้การบัญชาการของขันทีซึ่งใกล้ชิดพระจักรพรรดิอยู่นั่นเอง จนมาถึงรัชสมัยของ 'จักรพรรดิหมิงซื่อจง' (ฉงเจิน) (ครองราชย์ ค.ศ. ๑๖๒๗ - ๑๖๔๔) พระองค์ทรงเห็นว่าตงฉ่างควรจะถูกยุบ แต่ความคิดนี้ถูกขัดขวางโดย 'มหาขันที เว่ย์ จงเสียน' ซึ่งเป็นขันทีผู้กุมอำนาจอยู่ แต่ด้วยความอยากทำตัวเป็นจักรพรรดิ ขันที เว่ย์ จงเสียน จึงถูกปลดและเนรเทศไปอยู่ชายแดน ก่อนที่จะผูกคอตายเพราะกลัวถูกขุนนางที่เคยรังแกตามมาเช็กบิล 

การยุบ 'ตงฉ่าง' จึงเดินหน้าไปได้ จากตงฉ่างก็ตามมาด้วยการยุบหน่วยองครักษ์เสื้อแพร พร้อมกับไล่จัดการพวกขุนนางที่อยู่ข้างเดียวกับ เว่ย์ จงเสียน ไปจนหมด แต่ความเสียหายจากตำรวจลับ องครักษ์เสื้อแพร ตงฉ่าง ซีฉ่าง เน่ยฉ่าง ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมากว่า ๒๗๖ ปี ทั้งยังการกุมอำนาจของขันที ไล่เข่นฆ่าขุนนางตงฉิน และการไม่แก้ไขปัญหาบ้านเมือง จนเกิดเป็นกบฏขึ้นอย่างมากมาย ทำให้ในปี ค.ศ. ๑๖๔๔ ราชวงศ์หมิงก็ถึงกาลอวสาน

‘จีน’ ขึ้นแท่นเบอร์หนึ่ง ‘มหาวิทยาลัยดีที่สุดในเอเชีย 2024’ ‘สิงคโปร์-มาเลเซีย’ เด็ด!! เป็นประเทศในอาเซียน ที่ติดท็อป 100

(6 พ.ค.67) เว็บไซต์ Times Higher Education แหล่งบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาระดับอุดมศึกษาทั่วโลก จากสถาบันการศึกษามากกว่า 7,000 แห่ง ใน 171 ประเทศ ได้จัด 100 อันดับ มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเอเชีย ประจำปี 2024 เผยแพร่เมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ พบว่า ประเทศที่มีจำนวนมหาวิทยาลัยติดอันดับดังกล่าว มากที่สุด คือ “ประเทศญี่ปุ่น” 119 สถาบัน ตามมาด้วย ประเทศอินเดีย 91 สถาบัน และประเทศจีน 89 สถาบัน ทว่ามหาวิทยาลัยจากเมืองจีนแผ่นดินใหญ่ติดอันดับท็อป 10 ถึง 5 แห่ง

สำหรับ 10 อันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเอเชีย ประจำปี 2024 มีดังนี้

อันดับ 1 มหาวิทยาลัยชิงหฺวา ประเทศจีน (อันดับโลก : 12)

อันดับ 2 มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ประเทศจีน (อันดับโลก : 14)

อันดับ 3 มหาวิทยาลัยเเห่งชาติสิงคโปร์ ประเทศสิงคโปร์ (อันดับโลก : 19)

อันดับ 4 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง ประเทศสิงคโปร์ (อันดับโลก : 32)

อันดับ 5 มหาวิทยาลัยโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น (อันดับโลก : 29)

อันดับ 6 มหาวิทยาลัยฮ่องกง ฮ่องกง (อันดับโลก : 35)

อันดับ 7 มหาวิทยาลัยเซียงไฮ้เจียงตง ประเทศจีน (อันดับโลก : 43)

อันดับ 8 มหาวิทยาลัยฟูตัน ประเทศจีน (อันดับโลก : 44)

อันดับ 9 มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง ประเทศจีน (อันดับโลก : =55)

อันดับ 10 มหาวิทยาลัยจีนแห่งฮ่องกง : CUHK ฮ่องกง (อันดับโลก : 53)

ในการจัด 100 อันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเอเชีย ประจำปี 2024 ครั้งนี้ปรากฏว่า ไม่มีมหาวิทยาลัยจากประเทศไทย ติดอันดับ 

อาทิเช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 117, มหาวิทยาลัยมหิดล อันดับที่ 139, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี อันดับที่ 192, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อยู่ในอันดับที่ 201-250, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อันดับที่ 401-500, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, มหาวิทยาลัยนเรศวร, มหาวิทยาลัยศิลปากร และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ติดอันดับ 601+

ขณะเดียวกัน ยังมีข้อมูลที่น่าสนใจ เมื่อพบว่ามีเพียงมหาวิทยาลัยจาก ประเทศสิงคโปร์ และมาเลเซีย ที่เป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน (ASEAN) ติดอันดับท็อป 100 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเอเชีย ประจำปี 2024

‘นรุตม์ชัย’ ฟาดใส่ ‘อุ๊งอิ๊ง’ ที่ภาคภูมิใจกับ ‘รัฐบาลตระบัดสัตย์’ ชี้!! ‘ต้องฟังเสียงปชช.-รับผิดชอบต่อคำพูด-ทำประโยชน์สูงสุดให้ประเทศ’ 

(6 พ.ค.67) นายนรุตม์ชัย บุนนาค รองเลขาธิการ พรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึง กรณีที่ นางสาวแพรทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายเศรษฐา ทวีสินนายกรัฐมนตรี ประกาศ ว่า เมื่อ 10 เดือนที่แล้วตัดสินใจถูกต้องแล้ว ที่จัดตั้ง ‘รัฐบาลข้ามขั้ว’ ว่าตนขอแสดงความจริง ว่าคนไทยจะได้อะไร ถ้าไม่มีรัฐบาลตระบัดสัตย์ 10 เดือนคนไทยจะได้อะไรบ้าง

1) เด็กจะไม่ถูกปลูกฝังค่านิยม ว่าการโกหก บหรือการตระบัดสัตย์ เป็นสิ่งที่ถูกต้องในสังคมไทย
2) คนไทยได้ธรรมนูญใหม่ ได้ประชาธิปไตยเต็มใบ
3) คนที่ครอบครองยาบ้า 5 เม็ด ยังผิดกฏหมายต้องถูกลงโทษ ไม่ถือเป็นผู้เสพ
4) ประเทศไทยจะไม่มีกัญชาเสรี จะได้กัญชาเพื่อการแพทย์
5) เศรษฐกิจจะดีขึ้นกว่านี้เพราะ ได้ใช้งบประมาณปี 67 ตั้งแต่เดือนตุลาปีที่แล้ว ไม่ถูกกั๊กไว้ทำDigital Wallet
6) คนไทยทั้งประเทศ ไม่ต้องเป็นหนี้ เงินกู้ 500,000 ล้าน เพื่อมาแจกดิจิทัล วอลแล็ท ที่ต้องใช้หนี้ชั่วลูกชั่วหลาน โดยผลได้ทางเศรษฐกิจไม่คุ้ม และ ใครกันแน่ได้ประโยชน์จากโครงการนี้
7) สถาบันหลักของชาติ ที่ทุกคนเคารพเทิดทูน จะไม่ถูกแอบอ้าง ทำให้เสียหายเช่นทุกวันนี้
8) คนไทยจะได้นายก และรัฐบาลที่ประชาชนเลือกมากับมือ ไม่ใช่นายกที่มาจากส.ว.
9) ขบวนการยุติธรรมไทย จะไม่ถูกทำลายจนย่อยยับ เพียงเพื่อต้องการ ช่วยให้ใครกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้สิทธิพิเศษแบบเทวดา
10) ประชาชน จะได้รับการดูแลเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง การลดค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน จะไม่ได้รัฐบาลที่อุ้มแต่พรรคพวกตนเอง ให้มาสูบเลือดจากคนจน

นายนรุตม์ชัย ระบุด้วยว่า หลายเรื่องรัฐบาล ที่รัฐบาลตระบัดสัตย์ แล้ว กล่าวอ้างว่าจะเข้ามาทำเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนนั้น กลับไม่ตรงกับที่ประกาศไว้และให้คำมั่นสัญญากับพี่น้องประชาชน ขณะที่หลายนโยบาย ที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา กลับไม่ปฏิบัติตาม 10 เดือนที่ผ่านมา จึงขอให้พี่น้องประชาชนได้ร่วมเตือนสติรัฐบาล เพื่อสื่อสารไปถึงผู้มีอำนาจ เพราะการบริหารราชการแผ่นดินต้องรับฟังเสียงพี่น้องประชาชน รับฟังความต้องการ และรับผิดชอบ ต่อคำพูดคำสัญญาที่ให้ไว้ โดยเฉพาะ ความคิดเห็นที่แตกต่าง แม้จะไม่ถูกใจรัฐบาล แต่เป็นสิ่งที่ถูกต้องเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน ผู้มีอำนาจจำเป็นต้องรับฟัง

‘บก.ลายจุด’ เชียร์ ‘โน้ส อุดม’ ปมร้อนกรณี ‘เดี่ยว’ ชี้!! วิจารณ์ได้ตรงประเด็น ‘เรื่องการดัดจริต’

(6 พ.ค.67) ‘บก.ลายจุด’ นายสมบัติ บุญงามอนงค์ นักกิจกรรม ทวีตข้อความผ่าน X (ทวิตเตอร์) @nuling เห็นด้วยกับ โน้ส อุดม แต้พานิช กรณี ขึ้นพูด ‘เดี่ยวสเปเชียล’ เกี่ยวกับเรื่องพอเพียง โดยได้ระบุว่า...

สิ่งที่โน๊ตพูดถึงคนรวยไปปลูกผักแล้วถ่ายรูปลง IG แต่คนปลูกจริงๆ จ้างเกษตรกรปลูกนั้น

ต้องพิจารณาว่าคนที่ปลูกผักเขาอ้างอิงเรื่องแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงหรือเปล่า คือใน IG เขาพยายามสื่อถึงความเรียบง่ายในแบบที่เป็นภาพลักษณ์ของความพอเพียงหรือไม่ ถ้ามีการสื่อทำนองนี้ สิ่งที่โน๊ตวิจารณ์ถึงว่าตรงประเด็น คือ ดัดจริต

แต่ถ้าคนปลูกไม่ได้อ้างหรือพยายามสื่อความเรียบง่ายแบบพอเพียง แต่เป็นเรื่องความรักความสนใจส่วนตัว แล้วเขามีเงินที่จะทำเช่นนั้นแล้วมีความสุข แบบนั้นคนวิจารณ์ดัดจริต

ในระบบวิธีคิดของโน๊ต เขาไม่ได้ปฏิเสธเรื่องทฤษฏีเศรษฐกิจพอเพียง แต่เพียงแต่เขารู้สึกว่าการเป็นเศรษฐีแต่มาทำตัวพอเพียงแบบที่ไม่ได้ทำด้วยตนเองมันดัดจริต แค่นั่นล่ะครับ

ส่วนคนที่ไปด่าโน๊ตกันโครมๆตอนนี้ แมร่งไม่มีอะไรมากไปกว่าโดนคำว่า "พอเพียง" เข้าไปคำเดียว พวกไม่พิจารณาเรืองราวทั้งหมด แล้วมีอาการดีดขึ้นมาอย่างที่เห็น พอเหอะเพลียแล้ว

ร้านสเต็กชื่อดัง ‘อีซี่ กริล' ประกาศฟ้าผ่า!! แจ้งปิดกิจการถาวร ขอบคุณ ‘ลูกค้า’ จากใจ จำเป็นต้องจากไป เพราะปัญหาเศรษฐกิจ 

(6 พ.ค.67) กลายเป็นเรื่องเศร้าไปเลยสำหรับสายเนื้อ เมื่อร้านสเต็กและอาหารไทยฟิวชั่นชื่อดังอย่าง'อีซี่ กริล' (Easy Grill) ได้ประกาศผ่านทางเฟซบุ๊กเพจ แจ้งปิดให้บริการถาวร โดยระบุข้อความว่า "ขอบพระคุณลูกค้าที่น่ารักทุกท่าน ที่ได้ให้การสนับสนุนอย่างดีตลอดมาค่ะ ร้านปิดตั้งแต่ 5 พ.ค. 67 นี้นะคะ"

"เรียนลูกค้าผู้มีอุปการะคุณทุกท่านร้านอีซี่กริล มีความจำเป็นต้องปิดกิจการอย่างถาวร เนื่องด้วยสภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ร้านประสบปัญหาในการดำเนินกิจการทางร้านขอขอบพระคุณลูกค้าที่น่ารักทุกท่านจากใจที่ให้การสนับสนุนอย่างดีตลอดมาขอบพระคุณค่ะ Thank You " ท่ามกลางชาวเน็ตที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top