Tuesday, 7 May 2024
TheStatesTimes

‘ม็อบหนุนปาเลสไตน์’ ผุดขึ้นตามมหาวิทยาลัยทั่วสหรัฐฯ ‘เจ้าหน้าที่’ ปราบดุ!! ใช้สารเคมี-ช็อตไฟฟ้า สลายการชุมนุม

เมื่อวานนี้ (25 เม.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เริ่มใช้มาตรการแข็งกร้าวกับผู้ชุมนุมประท้วงสนับสนุนปาเลสไตน์ที่ปักหลักชุมนุมกันตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ หลังการชุมนุมลักษณะนี้แผ่ลามไปตามสถาบันอุดมศึกษาอื่น ๆ ทั่วอเมริกามากขึ้น

รายงานข่าวระบุว่า เจ้าหน้าที่ปราบจลาจลใช้สารระคายเคืองและอุปกรณ์ช็อตไฟฟ้าเข้าควบคุมการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในขณะที่บรรดาผู้บริหารของสถาบันการศึกษาที่ทรงเกียรติที่สุดของประเทศบางแห่งกำลังดิ้นรนขัดขวางการปักหลักชุมนุมยึดสถานที่ของผู้ประท้วง

การปักหลักชุมนุมและประท้วงอันครึกโครม ผุดขึ้นมาตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั่วสหรัฐฯ ด้วยที่พวกนักเคลื่อนไหวเรียกร้องข้อตกลงหยุดยิงในสงครามระหว่างอิสราเอลกับนักรบฮามาส เช่นเดียวกับเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยทั้งหลายตัดความสัมพันธ์กับอิสราเอลและบริษัทต่าง ๆ ที่พวกเขาบอกว่าโกยกำไรจากความขัดแย้งดังกล่าว

"สำหรับ 201 วัน ที่โลกเฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ ปล่อยให้อิสราเอลฆาตกรรมชาวปาเลสไตน์ไปกว่า 30,000 คน" ข้อความหนึ่งที่โพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์โดยแกนนำการประท้วงจุดใหม่ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ในลอสแอนเจลิส 

"วันนี้ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเข้าร่วมกับนักศึกษาทั่วประเทศ เรียกร้องมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของเราตัดขาดกับบริษัทต่าง ๆ ที่แสวงหาผลกำไรจากการรุกราน การแบ่งแยก และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์"

มีผู้ประท้วงมากกว่า 200 คน ถูกจับกุมในวันพุธ (24 เม.ย.) และวันพฤหัสบดี (25 เม.ย.) ตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในลอสแอนเจลิส บอสตัน และในเมืองออสติน รัฐเทกซัส บริเวณที่มีผู้คนกว่า 2,000 ราย มารวมตัวกันอีกครั้งในวันพฤหัสบดี (25 เม.ย.)

ที่มหาวิทยาลัยเอโมรี ในแอตแลนตา ปรากฏภาพถ่ายกำลังใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าระหว่างเข้าจัดการกับพวกผู้ประท้วงที่อยู่บริเวณลานหญ้า ขณะที่เว็บไซต์ข่าวของทางมหาวิทยาลัย เผยว่า พวกเจ้าหน้าที่สวมหน้ากากป้องกันแก๊สและใช้สายรัดข้อมือควบคุมตัวผู้ชุมนุม

กรมตำรวจแอตแลนตา อ้างว่าทางมหาวิทยาลัยร้องขอให้ช่วยคุ้มกันมหาวิทยาลัย "พวกเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเจอกับการใช้ความรุนแรง เราทราบมาว่าเจ้าหน้าที่กรมตำรวจแอตแลนตาใช้สารระคายเคืองระหว่างเหตุการณ์นี้ แต่กรมตำรวจแอตแลนตาไม่ได้ใช้กระสุนยาง"

สถานการณ์ที่ลุกลามบานปลายของการประท้วง เริ่มต้นขึ้นที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในนิวยอร์ก หลังจากผ่านพ้นเส้นตายที่พวกนักศึกษาได้รับคำสั่งให้รื้อถอนค่ายชั่วคราวที่พวกเขาใช้ปักหลักชุมนุมและกลายมาเป็นศูนย์กลางของความเคลื่อนไหว

การประท้วงที่ลุกลามกลายมาเป็นความท้าทายใหญ่หลวงสำหรับบรรดาผู้บริหารมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่พยายามรักษาสมดุลในพันธสัญญาของมหาวิทยาลัย ในเรื่องของสิทธิเสรีภาพการแสดงออกกับเสียงโวยวายต่าง ๆ เกี่ยวกับการล้ำเส้นของพวกผู้ประท้วง

พวกผู้ประท้วงสนับสนุนอิสราเอลและอื่น ๆ แสดงความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในมหาวิทยาลัย โดยชี้ถึงเหตุการณ์ต่อต้านยิวต่าง ๆ และกล่าวหาว่ามหาวิทยาลัยทั้งหลายกำลังสนับสนุนการข่มขู่คุกคามและประทุษวาจา (hate speech)

อย่างไรก็ตาม นักศึกษาผู้ประท้วงบอกว่าพวกเขาต้องการแสดงออกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันกับชาวปาเลสไตน์ในกาซา ดินแดนที่มีผู้ถูกสังหารไปแล้วแตะระดับ 34,305 คน โดยผู้ชุมนุมบางส่วน ในนั้นรวมถึงนักศึกษายิวเองจำนวนหนึ่ง ปฏิเสธคำกล่าวหาต่อต้านยิว และวิพากษ์วิจารณ์พวกเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติกับพวกเขาสวนทางกับฝ่ายสนับสนุนอิสราเอล

อิสราเอล พันธมิตรของสหรัฐฯ เปิดสงครามในกาซา แก้แค้นกรณีที่พวกนักรบฮามาสบุกจู่โจมเล่นงานอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม สังหารผู้คนไปราว 1,170 ราย และจับตัวประกันไปประมาณ 250 คน คาดหมายว่าเวลานี้ยังเหลือตัวประกันอยู่ในกาซาอีก 129 คน แต่ในนั้น 34 คน สันนิษฐานว่าเสียชีวิตแล้ว

ที่มหาวิทยาลัยเซาเทิร์น แคลิฟอร์เนีย ในลอสแอนเจลิส ซึ่งมีผู้ประท้วงถูกจับกุมฐานบุกรุก 93 รายในวันพุธ (24 เม.ย.) พวกเจ้าหน้าที่เปิดเผยว่าได้ยกเลิกกิจกรรมพิธีสำเร็จการศึกษาในวันที่ 10 พฤษภาคม

ส่วนที่มหาวิทยาลัยเอเมอร์สัน ในบอสตัน สื่อมวลชนท้องถิ่นรายงานว่าได้มีการยกเลิกการเรียนการสอนในวันพฤหัสบดี (25 เม.ย.) หลังจากตำรวจปะทะกับผู้ประท้วงเมื่อคืนที่ผ่านมา รวมถึงเข้ารื้อถอนค่ายของผู้ชุมนุมฝักใฝ่ปาเลสไตน์และจับกุมผู้ประท้วงไปราว 108 คน

ในวอชิงตัน พวกนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ และมหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตัน จัดตั้งแคมป์ปักหลักชุมนุมเพื่อแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกัน ที่มหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตันในวันพฤหัสบดี (25 เม.ย.) โดยที่บรรดานักศึกษาของมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ยังมีแผนประท้วงไม่เข้าเรียนอีกด้วย

การประท้วงและการปักหลักชุมนุมยังผุดขึ้นที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก และมหาวิทยาลัยเยล แม้พบเห็นนักศึกษาหลายสิบคนถูกจับกุมไปเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ เช่นเดียวกับที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยบราวน์ สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ มหาวิทยาลัยมิชิแกน และที่อื่น ๆ

เมื่อวันอาทิตย์ (21 เม.ย.) ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ประณามความเคลื่อนไหวต่อต้านยิวอย่างโจ่งแจ้ง โดยบอกสิ่งแบบนี้ไม่ควรมีที่ว่างตามมหาวิทยาลัยทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม ทำเนียบขาวบอกเช่นกันว่าท่านประธานาธิบดีสนับสนุนเสรีภาพการแสดงออก ณ มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของสหรัฐฯ

ชื่นชม!! ‘น้องกิจ’ พ่อค้าวัย 14 ทำงานหนักเพื่อครอบครัว เริ่มขายของตั้งแต่เช้ายันค่ำ หวังอยากเห็นพ่อแม่สบาย

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘The Amazing Life’ ได้โพสต์เรื่องราวของ ‘น้องกิจ’ เด็กชายวัย 14 ปี ที่สู้ชีวิต มุ่งหน้าหาเงินเลี้ยงพ่อแม่ตั้งแต่ ป.1 ทำงานขายของตั้งแต่ตี 5 จนถึง 3 ทุ่ม โดยมีเนื้อหาดังนี้…

กิจคือเด็กอายุ 14 ที่ช่วยพ่อแม่ ขายของมาตั้งแต่ ป.1 และไม่เคยมีวันหยุด นาฬิกาชีวิตของเขาเริ่มต่อสู้ตั้งแต่ตี 5 จนถึง 3 ทุ่ม ทุกเช้ากิจต้องตื่นตี 5 มาชงไมโล กาแฟ และเอาปาท่องโก๋ที่แม่กิจทอด ขึ้นรถจักรยาน ปั่นขายทั่วหมู่บ้าน จากนั้นก็รีบไป รร. ละหลังเลิกเรียนก็รีบมาขายโตเกียวที่ตลาด จนถึง 3-4 ทุ่ม ‎

แม่ของน้องกิจมีปัญหาเรื่องข้อเท้าทำให้เดินไม่ค่อยได้ พ่อน้องกิจประกอบอาชีพกรรมกร เงินไม่พอใช้ น้องกิจเลยบอกพ่อว่าเรามาทำโตเกียวดีไหม เด็ก ๆ ที่โรงเรียนชอบกิน นั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของ ‘กิจโตเกียว’

กิจเป็นเด็กที่มีความจริงใจมาก น้องพูดซื่อ ๆ ในทุกคำตอบ แต่เป็นคำตอบ ที่ทำให้คนวัย 20 กว่าอย่างเรา ได้แต่ถามตัวเองว่า บนโลกนี้จะมีเด็กอายุ 14 ที่อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอแบบนี้ สักกี่คน

ถ้าย้อนกลับไปตอนเรา ป.1 เราจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเราทำอะไรเป็นบ้าง แต่สำหรับ ‘กิจ’ นั้น คือจุดเริ่มต้นของ ‘กิจโตเกียว’ การทำงานหาเงินช่วยแม่ที่ป่วย และพ่อที่ทำอาชีพก่อสร้าง เพื่อหาเงินส่งตัวเองเรียน และเมื่อเขาเติบโตมาจนถึงอายุ 14 ปี ช่วงเวลาแห่งความสุขหลังเลิกเรียนของเขาก็หายไป เพราะเขาต้องเข็นรถเข็นไปขายโตเกียวตั้งแต่เลิกเรียนจนถึง 3 ทุ่มทุกวัน…ไม่มีวันหยุด

แต่ละคำถามที่เราถามน้อง เป็นคำถามง่าย ๆ เช่น เราถามว่าน้องมีเป้าหมายสูงสุดอะไรในชีวิตตอนนี้ น้องบอกว่า น้องอยากทำทุกอย่างให้เป็น น้องอยากเห็นพ่อกับแม่นอนสบาย ๆ สักวัน หรือได้ไปเที่ยวแบบที่คนอื่นบ้าง

คุยไปสักพักเริ่มสนิทกัน เราถามกิจว่า กิจ ทำไมแกไม่ค่อยพูดเลยอะ หรือแกเหนื่อย กิจบอกว่า ผมไม่ค่อยชอบพูด แต่ผมชอบทำงานมาก ๆ เลยครับ พี่ปอนอยากกินไส้ไหนเป็นพิเศษไหมครับ ผมจะตั้งใจทำให้ เห็นพี่มาไกล (เชี่ยยย เด็กอายุ 14 คิดแบบนี้ได้จริงดิ)

อีกหนึ่งความน่ารักคือ ระหว่างขายจนดึก น้องนั่งยิ้มให้ลูกค้าตลอดเวลา น้องไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีวิทยุ หรืออะไรใด ๆ เราถามน้องว่า ไม่เหงาหรอ อยู่เงียบ ๆ แบบนี้ ตั้งหลายชั่วโมง น้องบอกว่า ผมกลัวลูกค้าหาย เดี๋ยวผมไม่มีเงินไป รร.น้องพูดจบพร้อมหัวเราะแบบเขิน ๆ

การเจอกับน้อง เราไม่สามารถบรรยายเป็นตัวอักษรได้ว่ามันงดงามแค่ไหน มันเติมกำลังใจให้เราทำงานแค่ไหน เราอยากให้ทุกคนลองเจอกับน้องเอง รอยยิ้มของน้องสดใส และมีพลังมากจริง ๆ สุดท้ายเราถามกิจว่า สำหรับกิจ พ่อแม่มีความหมายอย่างไร กิจตอบสั้น ๆ ว่า ‘เท่าชีวิตครับ’

ท้ายที่สุดแล้วชีวิตคงเป็นแบบนี้แหละมั่ง เราอาจสร้างมาให้สู้กับชีวิตตั้งแต่เช้า เรามี 24 ชั่วโมงเท่ากัน โดยกิจเริ่มเร็วกว่าหลาย ๆ คน และเลิกช้ากว่าหลาย ๆ งาน อาหารทุกอย่างที่กิจทำ เราไม่ได้ซื้อซ้ำเพราะความสงสารแต่อย่างใด แต่มันมีรสชาติที่กลมกล่อมอยู่ในนั้นจริง ๆ กิจตั้งใจทำทุกชิ้น จนเราได้แต่สงสัยว่า ทำไมเด็กอายุ 14 ถึงมีสมาธิและรักในสิ่งที่ตนเองทำได้ขนาดนี้

บางครั้งคนที่เป็นแรงบันดาลใจ ก็ไม่ใช่คนที่ยิ่งใหญ่อะไร แต่อาจเป็นคนที่ยิ้มให้ กับชีวิตเสมอมาอย่างกิจก็ได้ แกต้องสู้ต่อไปนะกิจ แกต้องทำแบบที่เราคุยกันให้ได้นะ ถ้าไปปากเกร็ดอีก เราจะไปกินให้แหลกอีกครั้ง แกมันโคตรน่ารักเลย เจ้าเด็กสู้ชีวิตของจริง

‘สส.เกรียงยศ’ ตามติด ‘กทม.’ พัฒนาพื้นที่ริมคลองโอ่งอ่าง คืนชีพ ‘แลนด์มาร์ก กทม.’ ผ่าน 4 กิจกรรมตลอดปี

(26 เม.ย. 67) นายเกรียงยศ สุดลาภา สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ให้สัมภาษณ์ว่า ล่าสุดทางกรุงเทพมหานครออกมาให้ข่าว โดยจะมีโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณริมคลองโอ่งและจัดกิจกรรมตลอดปีนี้ จนถึงต้นปีหน้า ประกอบด้วยกำหนดจัดงานพื้นที่คลองโอ่งอ่าง 4 เทศกาล ดังนี้ 

1. จัดกิจกรรมเทศกาลวันสงกรานต์ ‘Bangkok Water Festival 2024 เทศกาลวิถีน้ำ…วิถีไทย’ ครั้งที่ 9 เมื่อวันที่ 13-15 เม.ย. 2567 ซึ่งจัดไปแล้ว

2.เทศกาลลอยกระทง 2024 ระหว่างวันที่ 15-17 พ.ย. 2567

3.Book & Gift Fest (Dec) 2024 ระหว่างวันที่ 20-22 ธ.ค. 2567 

และ 4.Food & Faith Street อร่อยเด็ด ร้านดังมูปังที่โอ่งอ่าง 2025 ช่วงเทศกาลตรุษจีน และมีการจำหน่ายอาหารร้านเด็ดทั่วกรุง ทุกศุกร์เสาร์อาทิตย์สิ้นเดือน

นายเกรียงยศ กล่าวว่า โดยทางกรุงเทพมหานครระบุว่า เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว และส่งเสริมเศรษฐกิจให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากตนได้นำปัญหาคลองโอ่งอ่างที่เงียบเหงา ถูกกรุงเทพมหานครปล่อยทิ้งกว้างไปตั้งกระทู้ถามในสภาผู้แทนราษฎร

นายเกรียงยศ กล่าวว่า ต้องขอแสดงความยินดีกับผู้ประกอบการ และชาวชุมชนคลองโอ่งอ่าง ที่กรุงเทพมหานครยอมฟังเสียงสะท้อนที่สื่อออกมา จนข้อเรียกร้องประสบความสำเร็จไปอีกขั้นหนึ่ง แต่ข้อเรียกร้องยังไปไม่สุดไม่รู้ว่าจะทำจริงตามที่พูดหรือไม่ หรือเป็นเพราะเป็นเพียงแค่ลมปากที่กรุงเทพมหานครสื่อออกมา แต่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่กรุงเทพมหานครที่เล็งเห็นถึงความสำคัญเสียงสะท้อนที่ตนนำมาอภิปรายในสภาฯ

“ผมก็ต้องติดตามต่อไปว่า กรุงเทพมหานคร จะจริงจังกับการจัดกิจกรรมเหล่านี้มากน้อยแค่ไหน เพื่อให้คลองโอ่งอ่างกลับมาเป็นแลนด์มาร์กเหมือนในอดีต หรือเป็นเพียงแค่คำพูดเพื่อลดกระแสเท่านั้น” นายเกรียงยศ กล่าว

สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวต่อว่า เท่าที่ฟังกรุงเทพมหานครชี้แจงรูปแบบการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ก็ต้องรอพิสูจน์ฝีมือว่าจะทำได้หรือไม่ แต่เรื่องนี้ไม่มีอะไรยากถ้าสานต่อโครงการที่ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง อดีตผู้ว่าฯ กทม.ได้ทำไว้จะเดินหน้าต่อไปได้ เพราะได้เริ่มนับหนึ่งไว้ให้แล้ว

อย่างไรก็ตาม ขอส่งเสียงไปถึงกรุงเทพมหานครว่า ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนถือเป็นเรื่องที่สำคัญ ไม่จำเป็นจะต้องให้ใครออกมากระตุ้นถึงจะดำเนินการ เพราะความเดือดร้อนของประชาชนเป็นสิ่งที่รอไม่ได้

“ผมยังติดตามโครงการอื่น ๆ ของกรุงเทพมหานครที่เคยทำมาแล้วเงียบหายไปอีกหลายพื้นที่ต่อไป ขณะเดียวกันก็เริ่มมีหลายชุมชนเข้ามาให้ข้อมูลอยากให้ผมช่วยเป็นกระบอกเสียง หลังจากเห็นว่าโครงการคลองโอ่งอ่างที่ผมนำไปเรียกร้อง กรุงเทพมหานครเห็นความสำคัญ ผมก็จะนำมาพิจารณาว่า สิ่งไหนที่ควรจะทำเป็นอันดับแรก เพื่อติดตามการทำงานของกรุงเทพมหานครต่อไป ถือว่าเป็นการช่วยกันพัฒนา กทม.ในทุกมิติ อย่าคิดว่าเป็นการจับผิด” นายเกรียงยศกล่าว

‘บังกลาเทศ’ ร้อนจัด!! อุณหภูมิสูงกว่า 42 องศาเซลเซียส ตัดสินใจปิดโรงเรียนทั่วประเทศ เด็ก 33 ล้านคนต้องหยุดเรียน

(26 เม.ย. 67) บีบีซี รายงานว่า นักเรียนในบังกลาเทศ กว่า 33 ล้านคน ต้องหยุดอยู่บ้าน หลังทางการสั่งปิดโรงเรียนทั่วประเทศเป็นการชั่วคราวอย่างน้อยจนถึงวันที่ 27 เม.ย. ภายหลังสภาพอากาศร้อนจัด หลายพื้นที่มีอุณหภูมิพุ่งสูงกว่า 42 องศาเซลเซียส

ทั้งนี้ ถือเป็นการปิดโรงเรียนระดับประเทศต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยก่อนหน้านี้อินเดียและฟิลิปปินส์สั่งปิดโรงเรียนทั่วประเทศเช่นกันหลังจากคลื่นความร้อนแผ่กระจายไปทั่วภูมิภาคเอเชีย และตั้งแต่ต้นเดือน เม.ย. หน่วยงานด้านสภาพอากาศของบังกลาเทศออกแถลงการณ์เตือนภัยร้อนเป็นครั้งที่ 4

ท่ามกลางความวิตกกังวลว่าจะเผชิญกับอากาศแปรปรวนสาหัส เนื่องจากบังกลาเทศมีลักษณะเป็นพื้นที่ราบต่ำและเป็นหนึ่งในประเทศที่เสี่ยงต่อผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศมากที่สุด

ขณะที่ข้อมูลจากคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ไอซีพีพี) ระบุว่า ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น 30-45 เซนติเมตร อาจส่งผลให้ประชาชนมากกว่า 35 ล้านคน หรือประมาณ 1 ใน 4 ของประชากรทั้งประเทศ ที่อาศัยอยู่ในแถบชายฝั่งทะเลต้องพลัดถิ่น

ผบ.ทร. ประดับเครื่องหมายยศ และมอบประกาศนียบัตรให้แก่ นักเรียนจ่า และนักเรียนดุริยางค์ ประจำปี 2567

เมื่อวันที่ 25 เม.ย.67 เวลา 13.00 น. พลเรือเอก อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธีประดับเครื่องหมายยศ และมอบประกาศนียบัตรให้แก่ นักเรียนจ่า (นรจ.) และนักเรียนดุริยางค์ (นดย.) ที่สำเร็จการศึกษาประจำปี 2566 จากโรงเรียนชุมพลทหารเรือ โรงเรียนสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศ 

โรงเรียนทหารนาวิกโยธิน โรงเรียนอิเล็กทรอนิกส์ โรงเรียนพลาธิการ โรงเรียนนาวิกเวชกิจ โรงเรียนการขนส่งทหารเรือ และโรงเรียนดุริยางค์ กองดุริยางค์ทหารเรือ ณ ห้องเจ้าพระยา หอประชุมกองทัพเรือ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้มีผู้เข้ารับการประดับเครื่องหมายยศ และมอบประกาศนียบัตร จำนวน 1,031 นาย ซึ่งประกอบด้วยนักเรียนจ่าทหารเรือจำนวน 1,017 นาย และนักเรียนดุริยางค์ฯ จำนวน 14 นาย

ในการนี้ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้มอบโอวาทแก่ นักเรียนจ่าและนักเรียนดุริยางค์ทุกนาย โดยมีใจความสำคัญว่า การสำเร็จการศึกษาของนักเรียนจ่า และนักเรียนดุริยางค์ ซึ่งได้รับการประดับเครื่องหมายยศเป็น “จ่าตรี” ถือเป็นความสำเร็จก้าวแรกที่น่าชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง อันเป็นผลจากความมุ่งมั่น ความวิริยะอุตสาหะ และความรับผิดชอบต่อหน้าที่ โดยนับจากนี้ไปจะต้องใช้ความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับจากการศึกษาไปปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความสำนึกในความเป็นทหารเรือ ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต เสียสละประโยชน์ส่วนตน เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในระเบียบวินัย มีคุณธรรม และจริยธรรมตามที่ได้กล่าวคำปฏิญาณตนไว้ ตลอดจนต้องหมั่นศึกษาพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพื่อความเจริญก้าวหน้าของตนเอง และกองทัพเรือสืบไป

สำหรับการศึกษาของนักเรียนจ่า และนักเรียนดุริยางค์ มีการศึกษาในรูปแบบภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ โดยนักเรียนจ่าจะใช้ระยะในการศึกษาเป็นเวลา 2 ปี และนักเรียนดุริยางค์จะใช้เวลา 3 ปี ซึ่งเมื่อสำเร็จการศึกษาเป็นที่เรียบร้อย จะได้รับการประดับยศเป็น “จ่าตรี” และจะได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการตามสาขาวิชาการที่ได้ศึกษาในหน่วยงานต่าง ๆ ของกองทัพเรือ ทั้งนี้ประชาชนสามารถติดตามรายละเอียดการสมัครของนักเรียนจ่าได้ที่เพจเฟซบุ๊ก “นักเรียนจ่าทหารเรือ” หรือสามารถติดต่อได้ที่ สำนักงานนักเรียนจ่าทหารเรือ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ หมายเลขโทรศัพท์ 0 2475 3663 สำหรับรายละเอียดการสมัครของนักเรียนดุริยางค์สามารถติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่เพจเฟซบุ๊ก “โรงเรียนดุริยางค์ทหารเรือ” หรือสามารถติดต่อได้ที่ ธุรการโรงเรียนดุริยางค์ กองดุริยางค์ทหารเรือ หมายเลขโทรศัพท์ 0 2475 3054 

เกือบรอด! หนีหมายจับ 19 ปี สืบนครบาล ตามรวบ ผู้ต้องหาคดีครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย หนีกบดาน 19 ปี อีก 5 เดือนหมดอายุ

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. , พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมที่กระทำความผิดทุกรูปแบบซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้สุจริตจำนวนมาก โดยเฉพาะปราบปราบผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดที่บ่อนทำลายประชาชนในสังคมและประเทศชาติ

เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2567 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์  รอง ผบช.ปส. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย รอง ผบก สส.ฯ , พ.ต.อ.วิชิต  ถิรขจรวงศ์ ผกก.สส.1ฯ, พ.ต.ท.พีรบูรณ์ แก้วดู รอง ผกก.สส.1ฯ , พ.ต.ท.เอกศิษฐ์ วรกิตติ์ฐากรณ์  รอง ผกก.สส.1ฯ ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.พัฒน์พงษ์ กื้อมะโน สว.กก.สส.1ฯ พร้อมชุดปฎิบัติการที่ 2 ได้ร่วมกันจับกุมตัว น.ส.สุนิสา จงจิตร สหาวุธ อายุ 43 ปี ที่อยู่ 6 ม.9 ต.ตระค้อ อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์ตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ 814/2547 ลง 15 พ.ย.2547

ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ พรบ.ยาเสพติดให้โทษ (เมทแอมเฟตามีน-ครอบครอง เพื่อจำหน่าย) ”

โดยจับกุมได้ที่บริเวณหน้าบ้าน ต.แก่งเสี้ยน อ.เมืองกาญจนบุรี จ.กาญจนบุรี

ก่อนการจับกุม เจ้าหน้าที่สืบนครบาล สืบทราบว่าผู้ต้องหารายนี้ได้กำลังหลบหนีหมายจับคดียาเสพติด ผู้ต้องหากับกลุ่มเพื่อนได้ถูกตำรวจ สน.วัดพระยาไกร ทำการล่อซื้อยาเสพติด และได้ถูกจับกุม เมื่อปี พ.ศ. 2546 ซึ่งในชั้นศาลผู้ต้องหากับพวก ได้ทำการประกันตัวในชั้นศาล และได้หลบหนีจากการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยใช้ชีวิตเป็นแม่บ้านหรือลูกจ้างตามที่ต่างๆ ที่ไม่มีการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมเป็นเวลายาวนานกว่า 19 ปี ก่อนที่จะจนมุมถูกสืบนครบาลรวบก่อนหมายจับหมดอายุความเพียง 5 เดือน จากนั้นได้นำส่งไปยังที่ทำการศาลอาญากรุงเทพใต้ ในเวลาเปิดทำการ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ผู้ต้องหารับสารภาพว่า ได้ทำการหลบหนีจริง เพราะไม่ต้องการติดคุก โดยระหว่างหลบหนีทำอาชีพรับจ้างเป็นแม่บ้าย หรือลูกจ้างที่ต่างๆ ที่ไม่ตรวจสอบประวัติ ก่อนที่สุดท้ายจะหลบหนีไปอยู่ที่กาญจนบุรี

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. กล่าวว่าคดีนี้ผู้ต้องหามีประวัติคดีจำหน่ายยาเสพติดโดยอาศัยโอกาส หลบหนีคดีจากเจ้าหน้าที่ถึง 19 ปี การแจ้งข้อมูลข่าวสารของประชาชนต่างๆของเพื่อนสืบนครบาลเราจะทำให้เกิดประโยชน์ในการปฏิบัติงาน สูงสุด ซึ่งหากผู้ใดมีเบาะแสการกระทำความผิด โปรดแจ้งข้อมูลมาที่เพจ “สืบนครบาล IDMB” เรามีเจ้าหน้าที่พร้อมตลอด 24 ชั่วโมง เพราะแม้ไม่ใช่คดีอุกฉกรรจ์ แต่หากเป็นเรื่องความเดือดร้อนของประชาชน เราทำทันที ตามนโยบายของพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาการ ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.”

‘หมอดื้อ’ ประกาศลาออก จาก ‘หน.ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่’ ชี้ ลดความกังวลขององค์กร ปมวิจารณ์เรื่อง ‘วัคซีน-ไวรัสตัดต่อพันธุกรรม’

(26 เม.ย.67) ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha โดยระบุว่า…

เรียนทุกท่านครับ

เนื่องจากมีความกังวลจากองค์กร ว่าหมอเอง ทางสังคมมีการใช้ชื่อขององค์กรในการให้ความเห็นเรื่องของวัคซีน / เรื่องของไวรัสตัดต่อพันธุกรรม และเรื่องอื่น ๆ

ดังนั้น หมอได้ ลาออกจากหัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ แล้วครับ ในวันที่ 25/4
และเป็นผู้เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและผู้เชี่ยวชาญทางระบบประสาท ในฐานะกลุ่มแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ ที่เห็นชีวิตของประชาชนเป็นที่ตั้ง

(ยังคงเป็นอาจารย์พิเศษสาขาประสาทวิทยา โดยไม่รับค่าตอบแทน)

ซึ่งทางด้านนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ก็ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

หมอธีระวัฒน์ลาออกจาก ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพ โรคอุบัติใหม่ ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ แต่เพื่อชัยชนะทาง ‘อิสรภาพ’ ในการ ‘พูดความจริง’ เดินหน้าต่อร่วมจัดเสวนา ‘อันตรายจากวัคซีนโควิด-19 ร้ายแรงกว่าที่คิด’ หอศิลป์กรุงเทพ 3 พ.ค.นี้

ตามที่ ศาสตราจารย์นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ได้ตัดสินใจลาออกจากการเป็นศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ด้วยเหตุผลว่า

‘เนื่องจากมีความกังวลจากองค์กร ว่าหมอเอง ทางสังคมมีการใช้ชื่อขององค์กรในการให้ความเห็นเรื่องของวัคซีน /เรื่องของไวรัสตัดต่อพันธุกรรม และเรื่องอื่น ๆ’

ขอให้กำลังใจแด่ศาสตราจารย์นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ได้มีความกล้าหาญและเสียสละในการตัดสินใจครั้งนี้

การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ใช่เป็นความพ่ายแพ้ หากแต่เป็นชัยชนะในการประกาศอิสรภาพเพื่อพูดความจริงให้ได้ตรงประเด็นได้มากยิ่งขึ้น ในฐานะ ‘ศาสตราจารย์นายแพทย์’ ผู้เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและผู้เชี่ยวชาญทางระบบประสาท

และในฐานะ ‘กลุ่มแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ ที่เห็นชีวิตของประชาชนเป็นที่ตั้ง’ และการลาออกครั้งนี้ไม่ได้ทำให้การทำหน้าที่ของศาสตราจารย์นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑาหายไป เพราะวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต จะยังคงเดินหน้าและเคียงข้างในการนำเสนอความจริงและทางออกให้กับประเทศ ร่วมกับศาสตราจารย์นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ต่อไป

ดังนั้น การจัดกิจกรรมระหว่างศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา กับวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิตจะยังคงเดินหน้าต่อไปในทางวิชาการเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ด้วยความจริงที่เข้มข้นกว่าเดิม

ดังนั้น จึงจะขอแจ้งตัดชื่อหรือโลโก้ในภาพการประชาสัมพันธ์ ที่เกี่ยวข้องกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือ ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ โดยได้นำแถบดำมาปิดโลโก้ทั้งหมดด้านล่างเอาไว้แล้ว สำหรับการจัดเสวนาที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 3 พฤษภาคม 2567 นี้ คงเหลือแต่ ‘วิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต’ เท่านั้น ที่จะเป็นเจ้าภาพในการจัดงานนี้เอง

ดังนั้น ช่วยกันแชร์ และขอเชิญทุกท่านเข้าร่วมเสวนาครั้งที่ 2 ณ หอศิลป์กรุงเทพฯ วันที่ 3 พ.ค. เปิดข้อมูลและความจริงชัดเจนยิ่งขึ้น ในหัวข้อ ‘อันตรายจากวัคซีนร้ายแรงกว่าที่คิด’

โดย วิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออกมหาวิทยาลัยรังสิต จัดคลินิกแพทย์เคลื่อนที่ และการเสวนา ครั้งที่ 2 ในหัวข้อ ‘อันตรายจากวัคซีนโควิด-19 ร้ายแรงกว่าที่คิด’ ในวันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม 2567 ณ ห้องอเนกประสงค์ ชั้น 1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร สี่แยกปทุมวัน และในงานพบกับ…

10.00 น.-13.00 น. หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออกมหาวิทยาลัยรังสิต เปิดให้คำปรึกษาและรักษาเบื้องต้น ภาวะลองโควิด และผลกระทบจากวัคซีน โควิด-19 ด้วยการบูรณาการ ศาสตร์การแพทย์แผนไทย การแพทย์แผนจีน และธรรมชาติบำบัดฟรี

13.00 น.-17.00 น. งานเสวนาทางวิชาการในหัวข้อ ‘อันตรายจากวัคซีนโควิด-19 ร้ายแรงกว่าที่คิด’ โดย ศาสตราจารย์นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและผู้เชี่ยวชาญทางระบบประสาท, นายแพทย์ อรรถพล สุคนธาภิรมย์ กลุ่มแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์, อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต และผู้เข้าร่วมเสวนาอีกหลายท่าน

จึงขอเรียนเชิญท่านสื่อมวลชน ผู้ป่วย และพี่น้องประชาชนที่สนใจหรือต้องการให้กำลังใจ หรือแบ่งปันข้อมูล เข้าร่วมงานในวันและเวลาดังกล่าว

‘เสก โลโซ’ แนะพี่น้องร่วมวงการ อย่าหลงระเริง หาเงินทองมาได้ อย่าลืมเก็บออมไว้ใช้ตอนแก่

เมื่อวานนี้ (25 เม.ย. 67) ‘เสก โลโซ’ ร็อกเกอร์ชื่อดัง ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงเพื่อนร่วมอาชีพ ระบุว่า…

“เป็นนักร้อง นักดนตรี นักแสดง เมื่อตอนมีชื่อเสียงหาเงินได้ต้องเก็บออมไว้ใช้ตอนแก่ เก็บไว้รักษาตัวตอนเจ็บป่วย อย่าหลงระเริงกับชื่อเสียงเงินทองนะทุกคน ด้วยรักและห่วงใยครับ…”

โดยมีคนเข้าไปกดไลก์ชื่นชมจำนวนมาก พร้อมแสดงความคิดเห็นอย่างต่อเนื่อง เช่นว่า

- ไอดอลมาตลอดค่ะ
- เฮียผ่านมาแล้วจึงบอกต่อ
- จริงที่สุดค่ะ
- เอาประสบการณ์ตัวเองมาสอนน้องๆ ดีมากเลยเฮียเสก

- จริงครับยิ่งทุกวันนี้หาเงินยากมากครับ
- จริง เห็นมามากมายแล้ว
- ทุกอาชีพค่ะยามมีต้องเก็บออมตนเป็นที่พึ่งแห่งตนค่ะ

- เฮียพูดถูก…คำพูดเฮียใช้ได้กับทุกอาชีพและทุกคน…ตอนมีแรงทำงาน เก็บเงินไปเถอะ…อย่าไปคิดว่าเงินตราบใดที่ยังไม่ตายก็หาใหม่ได้…เพราะเราไม่รู้ว่าความเจ็บป่วยจะมาหาเราเมื่อไหร่และรุนแรงแค่ไหน…ใช้ชีวิตแบบไม่ประมาทดีที่สุด มีมากเก็บมาก มีน้อยเก็บน้อย…ขอให้ได้เก็บ

- เงินทองได้มารักษาอย่างดี ชื่อเสียงที่มีหอมกรุ่นกาย หากแต่เราตาย..หาได้ไปเพื่อนเอ๋ย

‘หวังอี้’ วอน ‘บลิงเคน’ ช่วยแก้ปัญหาขัดแย้ง ‘จีน-สหรัฐฯ’ หวั่น!! ความสัมพันธ์ทั้งสองชาติ จะย่ำแย่เกินการควบคุม

(26 เม.ย. 67) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า นายหวัง อี้ สมาชิกกรมการเมือง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านการต่างประเทศพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรัฐมนตรีต่างประเทศของจีน ได้หารือกับนายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ที่เดินทางเยือนกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 26 เมษายน โดยรัฐมนตรีต่างประเทศจีนได้เรียกร้องให้บลิงเคนแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้นระหว่างจีนและสหรัฐ มิเช่นนั้นก็อาจมีความเสี่ยงที่ความสัมพันธ์จะย่ำแย่อย่างไร้การควบคุม

นี่ถือเป็นการเดินทางเยือนจีนครั้งที่สองในรอบไม่ถึง 1 ปีของบลิงเคน ขณะที่จีนกำลังไม่พอใจกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐ รวมถึงการแบนการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์และพยายามที่จะบีบให้บริษัท Bytedance ของจีนขายกิจการ Tiktok แอปพลิเคชันแชร์วิดีโอสั้นยอดนิยมในสหรัฐ

ทั้งนี้ นายหวัง อี้ ให้การต้อนรับนายบลิงเคน ที่เรือนรับรองเตียวหยูไถ่ ในกรุงปักกิ่ง โดยกล่าวกับบลิงเคนว่า ความสัมพันธ์ของ 2 ชาติมหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐเริ่มที่จะมีเสถียรภาพ โดยเฉพาะหลังจากที่ประธานาธิบดีไบเดนและประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนได้พบกันที่นครซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว

นายหวังกล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน ปัจจัยลบต่าง ๆ ในความสัมพันธ์ของสองประเทศยังคงเพิ่มมากขึ้น และจีนสนับสนุนการเคารพในผลประโยชน์หลักของแต่ละฝ่าย พร้อมกับเรียกร้องให้สหรัฐไม่เหยียบย่ำขีดจำกัดของจีนในด้านอธิปไตย ความมั่นคง และการพัฒนา

ด้านผู้ช่วยของบลิงเคนระบุก่อนหน้านี้ว่า บลิงเคนจะยกประเด็นต่าง ๆ ที่เป็นข้อกังวล อาทิ การที่จีนสนับสนุนรัสเซีย นายบลิงเคนได้กล่าวกับนายหวังในช่วงต้นของการหารือว่า ทั้งสหรัฐและจีนควรที่จะแสดงให้เห็นว่าสามารถบริหารความสัมพันธ์อย่างมีความรับผิดชอบ และทั้งสองประเทศควรที่จะมีความชัดเจนที่สุดในประเด็นที่มีความต่างอย่างน้อยที่สุดก็เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดและการคำนวนผิดพลาด ซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกันไม่ใช่เพื่อประชาชนของสองประเทศ แต่เพื่อผู้คนทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ทางการจีนยังไม่มีการยืนยันว่าบลิงเคนจะได้พบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนหรือไม่

พิษณุโลก-กองทัพภาคที่ 3 นำเยาวชนทัศนศึกษานอกสถานที่ในพื้นทรากรุงเทพมหานคร และกองทัพภาคที่ 4 เพื่อเรียนรู้และสร้างเสริมประสบการณ์ ในช่วงปิดภาคการศึกษาฤดูร้อน

พลตรี สมบัติ บุญกอแก้ว เสนาธิการกองทัพภาคที่ 3/เสนาธิการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 3 พร้อมด้วย คุณพธู บุญกอแก้ว รองประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขากองทัพภาคที่ 3 ให้การต้อนรับเยาวชนในพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 พบปะพร้อมให้โอวาทแก่เยาวชนที่ร่วมโครงการทัศนศึกษานอกพื้นที่ ในความรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 3 ก่อนจะเดินทางไปยังแหล่งเรียนรู้และสถานที่สำคัญต่างๆ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และพื้นที่กองทัพภาคที่ 4 ห้วงวันที่ 26 -29 เมษายน 2567

โครงการทัศนศึกษานอกพื้นที่เป็นไปตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารบกที่ให้กองทัพภาคที่ 1-4 จัดกิจกรรมนำเยาวชนในความรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 1-4 เดินทางไปทัศนศึกษาห้วงเดือน เมษายน-พฤษภาคม 2567 ซึ่งเป็นช่วงปิดภาคการศึกษา โดยเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการเป็นเยาวชนที่ศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า (อายุระหว่าง 11-18 ปี) ประกอบด้วย เยาวชนที่เป็นบุตรหลานกำลังพลและได้รับคัดเลือกเป็นมัคคุเทศก์น้อย มีความสามารถในการเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์ เยาวชนในโครงการ ทหารพันธุ์ดี “ชุมชนเบิกบาน อาหารปลอดภัย” และเยาวชนที่สนใจเข้าศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาในส่วนของกองทัพบก รวมทั้งสิ้น 36 คน 

ทั้งนี้เพื่อให้เยาวชนเหล่านี้ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้สภาพแวดล้อมทางสังคม ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ รวมถึงการดำเนินงานตามศาสตร์พระราชา และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง รวมทั้งให้เยาวชนมีความรักและภูมิใจในความเป็นไทย ตลอดจนได้รับทราบภารกิจของทหารในการปกป้องรักษาผลประโยชน์ของชาติ สำหรับสถานที่ที่จะนำเยาวชนไปทัศนศึกษา โดยมีสถานที่สำคัญดังนี้ พิพิธภัณฑ์ครุฑ จังหวัดสมุทรปราการ,กำแพงอนุสรณ์สถาน ,พิพิธภัณฑ์กองทัพบกเฉลิมพระเกียรติ กองบัญชาการกองทัพบก , อนุสาวรีย์วีรไทย 2484 (พ่อจ่าดำ) ,ห้องประวัติศาสตร์และหอเกียรติยศกองทัพภาคที่ 4, หมู่บ้านคีรีวง ,วัดถ้ำเขาขุนพนม และวัดเจดีย์(ไอ้ไข่) จังหวัดนครศรีธรรมราช 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top