Monday, 6 May 2024
TheStatesTimes

'ไต้หวัน' เตรียมรื้อถอน อนุสาวรีย์ 'เจียง ไคเชก' ทั่วประเทศ หวังล้างภาพลักษณ์เผด็จการ ยุคแห่งความน่าสะพรึงสีขาว

รัฐบาลไต้หวันประกาศที่จะรื้อถอนอนุสาวรีย์ เจียง ไคเชก ประธานาธิบดีคนแรกของไต้หวัน ที่มีอยู่ถึง 760 แห่งทั่วประเทศ รวมถึงอนุสรณ์สถานใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงไทเปด้วย ท่ามกลางการถกเถียงกันมาอย่างยาวนานถึงภาพลักษณ์ 2 ขั้วอันย้อนแย้งว่า เจียง ไคเชก เคยเป็นสัญลักษณ์ของผู้นำที่ต่อต้านกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น และ ลัทธิคอมมิวนิสต์จีน-โซเวียต จนนำไปสู่การก่อตั้งสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ในเวลาต่อมา 

แต่ในอีกแง่หนึ่งเขาก็เป็นผู้นำเผด็จการทหาร ที่ปกครองไต้หวันด้วยกฏอัยการศึกยาวนานถึง 38 ปี โดยที่ใช้ความรุนแรงปราบปรามกลุ่มต่อต้านอย่างโหดเหี้ยมตลอดระยะเวลาที่ครองอำนาจในไต้หวัน

แม้จะถูกยกย่องให้เป็นบิดาแห่งไต้หวัน แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ชาวไต้หวันรุ่นใหม่รู้สึกไม่สบายใจกับการมีอยู่ของอนุสาวรีย์ เจียง ไคเชก จนทำให้ไต้หวันถูกมองว่าเป็นเกาะแห่งอนุสรณ์สถานของ เจียง ไคเชก และเรียกร้องให้รื้อถอนอนุสาวรีย์ของอดีตผู้นำคนสำคัญออกไป 

จนเมื่อปี พ.ศ. 2561 รัฐบาลไต้หวันได้จัดตั้งคณะกรรมการยุติธรรมเพื่อสอบสวนเรื่องราว และหลักฐาน การปกครองในช่วงสมัยของ เจียง ไคเชก ตั้งแต่เพิ่งเข้ามามีบทบาททางการเมือง จนถึงปีที่เขาถึงแก่อสัญกรรมในปี 2518 

และหนึ่งในข้อเสนอคือ การรื้อถอนรูปปั้นนับพันของเจียง ไคเชก จากทุกพื้นที่สาธารณะของไต้หวัน และในวันที่ 22 เม.ย.67 สภาไต้หวันก็ได้ออกมายืนยันอีกครั้งว่าจะเร่งรื้อถอนอนุสาวรีย์ที่ยังเหลืออยู่อีก 760 แห่ง ออกไปให้เร็วที่สุด เพื่อตอบสนองต่อเสียงวิพากษ์ วิจารณ์ของประชาชนว่าดำเนินการช้าเกินไป 

ส่วนรูปปั้นที่ใหญ่ที่สุดของ เจียง ไคเชก ตั้งอยู่ที่ อนุสรณ์สถานใจกลางกรุงไทเป ที่เป็นเหมือนจุดไฮไลต์ของนักท่องเที่ยว มีแผนที่จะย้ายไปตั้งไปรวมกันในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของกรุงไทเป ที่จะเก็บรวบรวมรูปปั้น เจียง ไคเชก ที่ถูกรื้อถอนไปแล้วนับพันมาไว้รวมกัน

ทั้งนี้ การถอดถอนอนุสาวรีย์ของ เจียง ไคเชก เคยเป็นประเด็นถกเดือดในสภาไต้หวันอยู่ช่วงหนึ่ง เมื่อพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ซึ่งปัจจุบันเป็นฝ่ายรัฐบาลมีความเห็นว่า ไต้หวันควรถอยห่างจากประเพณีการไว้อาลัยอดีตผู้นำผู้ก่อตั้งไต้หวันได้แล้ว เพราะ เจียง ไคเชก มีภาพลักษณ์ผู้นำเผด็จการทหาร ที่ใช้อำนาจปกครองไต้หวันมานานถึง 46 ปี

แต่ฝ่ายพรรคก๊กมินตั๋งของอดีตผู้นำ เจียง ไคเชก ที่เป็นฝ่ายค้าน ตอบโต้ว่า ชาวไต้หวันก็ไม่ควรลืมเกียรติยศต่าง ๆ ที่ เจียง ไคเชก เคยทำไว้ในการต่อสู้กับกองทัพญี่ปุ่น เพื่อรวมชาติจีนให้กลับมาเป็นปึกแผ่น และการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ต้องการแผ่อิทธิพลเหนือเกาะไต้หวัน การรื้อถอนอนุสาวรีย์ เจียง ไคเชก จึงไม่ต่างจากความพยายามลบประวัติศาสตร์อันเป็นรากเหง้าของชาวไต้หวัน

สำหรับ เจียง ไคเชก เป็นทั้งนักการเมืองฝ่ายชาตินิยม และผู้นำทหารที่เคยร่วมคณะปฏิวัติของ ด็อกเตอร์ ซุน ยัตเซ็น ผู้มีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติซินไฮ่ เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองของจีนแผ่นดินใหญ่สู่ระบอบประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ และยังเป็นผู้นำทัพต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 

แต่เมื่อสงครามสิ้นสุดลงหลังความพ่ายแพ้ของจักรวรรดิญี่ปุ่น เจียง ไคเชก กลับต้องเผชิญหน้ากับสงครามกลางเมือง กับกองกำลังฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่นำโดย เหมา เจ๋อตง และสุดท้ายเขาพ่ายแพ้ เจียง ไคเชก ตัดสินใจพาคณะรัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋ง มาสถาปนาสาธารณรัฐจีนพลัดถิ่นบนเกาะไต้หวันในปี พ.ศ. 2492 

หลังจากนั้น เจียง ไคเช็ก ใช้กฏอัยการศึกปกครองไต้หวัน ที่มีการปราบปรามศัตรูทางการเมือง และผู้ที่เห็นต่างอย่างโหดเหี้ยม จนถูกยกให้เป็นยุคแห่งความน่าสะพรึงสีขาวของไต้หวัน (白色恐怖) ซึ่งช่วงเวลาของการใช้กฎอัยการศึกในไต้หวันกินเวลานานถึง 38 ปี ที่มีผู้คนมากถึง 140,000 คนถูกจำคุก และเกือบ 4,000 คนถูกประหารชีวิตจากข้อหาต่อต้านรัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋ง ของ เจียง ไคเชก

แต่ในขณะเดียวกัน ชาวไต้หวันบางส่วนก็มองว่า เจียง ไคเชก ก็มีส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ และความเจริญรุ่งเรืองของไต้หวัน อีกทั้งยังเป็นผู้วางรากฐานระบบการเมืองที่เปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยได้อย่างสมบูรณ์ในปัจจุบัน 

ดังนั้น เกียรติยศของ เจียง ไคเชก จึงเหมือนเหรียญ 2 ด้าน ในมุมมองของกลุ่มอนุรักษ์นิยม มองว่าเรื่องราวที่ผ่านมาเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของชาติ ที่ชาวไต้หวันไม่สามารถเลือกที่จะลบทิ้งด้านใด ด้านหนึ่งได้ แต่ในส่วนของฝ่ายเสรีนิยมก็มองว่า ไต้หวันก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์นั้นมานานแล้ว และสัญลักษณ์ของการบูชาเผด็จการอำนาจนิยม ก็ไม่ควรเป็นมรดกที่สืบทอดให้กับคนรุ่นลูก 

แต่เมื่อวันนี้ฝ่ายรัฐบาลไม่ใช่พรรคก๊กมินตั๋ง การรื้อถอนอนุสาวรีย์ เจียง ไคเชก จึงต้องดำเนินต่อไป เพราะเชื่อว่าไต้หวันยุคใหม่ควรก้าวไปข้างหน้าบนพื้นฐานอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตย จึงจำเป็นต้องทิ้ง เจียง ไคเชก อดีตผู้นำเผด็จการทหารผู้ที่เคยสร้างชาติไว้ข้างหลัง 

ย้อนคำแนะนำ 'พล.อ.ประยุทธ์' ชวนคนไทยเปิดแอร์ 27 องศา+พัดลม เพิ่มการเคลื่อนที่ของอากาศ ลดอุณหภูมิ ประหยัดค่าไฟได้มากโข

หากย้อนไปเมื่อต้นปี 2565 ซึ่งระหว่างนั้น เป็นช่วงที่เกิดสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน จนส่งผลต่อวิกฤตราคาพลังงานโลกเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ รวมถึงส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อเศรษฐกิจโลก

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตราคาพลังงาน จึงสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งออกมาตรการบรรเทาผลกระทบประชาชนให้มากที่สุด

โดยระหว่างนั้น ทางกระทรวงพลังงาน ได้มีข้อแนะนำการประหยัดพลังงานในส่วนของ Work From Home ให้ประหยัดพลังงาน โดยปิดสวิทช์หรือถอดปลั๊กอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกครั้งหลังใช้งานเสร็จ ตั้งค่าคอมพิวเตอร์ในโหมด Sleep ปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์เมื่อไม่มีการใช้งานนานกว่า 15 นาที ไม่เปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้ เปิดใช้ตู้เย็นเท่าที่จำเป็น ปิดตู้เย็นให้สนิททุกครั้ง ละลายน้ำแข็งอย่างสม่ำเสมอ

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้แนะนำการใช้เครื่องปรับอากาศ หรือแอร์แก่คนไทยว่า ควรเปิดแอร์ที่อุณหภูมิ 27 องศาเซลเซียส พร้อมเปิดพัดลมตั้งพื้นควบคู่กัน เพื่อช่วยเพิ่มการเคลื่อนที่ของอากาศในห้อง และช่วยลดอุณหภูมิลงได้ 2 องศาเซลเซียส โดยจะช่วยให้ประหยัดไฟมากกว่าการเปิดแอร์ที่ 23-24 องศาอย่างเดียว รวมทั้งควรทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศทุกเดือนและล้างแอร์ทุก 6 เดือน จะช่วยทำให้อากาศบริสุทธิ์และประหยัดไฟ ซึ่งวิธีใช้แอร์ดังกล่าวจะช่วยประหยัดค่าไฟลงได้ 10-30%

อย่างไรก็ตาม แนวทางที่ลุงตู่แนะ ได้กลับมาเป็นกระแสอีกครั้ง เมื่อผู้ใช้งาน Youtube บัญชี CLEAR ENERGY ได้ทำคลิปวิดีโอทดสอบค่าไฟ หากเปิดแอร์แบบ 25 องศาเซลเซียส กับ 27 องศาเซลเซียส พร้อมพัดลม โดยเทียบให้รู้ว่าแบบไหนกินไฟเท่าไหร่ แล้วค่าไฟแตกต่างกันเยอะหรือไม่

โดยในคลิปจะเห็นได้ว่าเขาวัดกระแสไฟฟ้าระหว่างเปิดแอร์ 25 องศาเซลเซียส ได้ที่ 8.58 แอมป์ และวัดกระแสไฟฟ้าระหว่างเปิดแอร์ 27 องศาเซลเซียส พร้อมพัดลม ได้ที่ 4.36 แอมป์

จากนั้น เริ่มเปิดแอร์ 25 องศาเซลเซียส โดยเปิดวันละ 9 ชั่วโมง 8 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็น แบบนี้ทุกวันเป็นเวลา 1 เดือน และลองคิดคำนวณจากค่าไฟ 4.4 บาทต่อหน่วย ก็ได้ผลลัพธ์ของค่าไฟที่จะต้องเสียอยู่ที่ 2,244 บาท

ขณะเดียวกัน ถ้าเปิดแอร์ 27 องศาเซลเซียส พร้อมพัดลม ในเวลาและตัวแปรการคำนวณแบบเดียวกัน จะเสียค่าไฟอยู่ที่ 1,140 บาท

สรุปแล้วค่าไฟ จากการเปิด แอร์ 27 องศาเซลเซียส บวกพัดลม จะประหยัดลดลงถึง 1,104 บาทต่อเดือน หรือคิดเป็น 49.22% หรือเกือบครึ่งเลยทีเดียวเมื่อเทียบกับเปิดแอร์ที่ 25 องศาเซลเซียส

ลุงตู่ผู้มาก่อนกาลเสมอ...

'กฟผ.' ผนึกกำลัง 'รัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว - Chiyoda - Mitsubishi' พัฒนาโครงการผลิต 'ไฮโดรเจนสีเขียว-แอมโมเนีย' ในไทย

กฟผ. รัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว บริษัท Chiyoda และ บริษัท Mitsubishi ร่วมลงนามในบันทึกความร่วมมือการศึกษาและพัฒนาการใช้ใบรับรองพลังงานหมุนเวียน เพื่อผลิตไฮโดรเจนสีเขียวและแอมโมเนีย ในพื้นที่ที่มีศักยภาพของไทย เดินหน้าพลังงานสีเขียว มุ่งสู่ Carbon Neutrality และ Net Zero Emission

(24 เม.ย. 67) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว (EDL) Chiyoda Corporation (CYD) และ Mitsubishi Company (Thailand) Ltd. (MCT) ร่วมลงนามในบันทึกความร่วมมือ (MOC) การศึกษาและพัฒนาวิธีการใช้ประโยชน์ใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificates: RECs) แบบข้ามเขตแดน เพื่อนำเข้าไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน จากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) มาใช้ผลิตไฮโดรเจนสีเขียวและแอมโมเนีย ในพื้นที่ที่มีศักยภาพของประเทศไทย รวมถึงศึกษาโอกาสทางธุรกิจของไฮโดรเจน และแอมโมเนียสีเขียวทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ 

โดยมี นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการ กฟผ. นายวงสกุล ยิ่งยง กรรมการผู้จัดการบริษัท EDL เป็นผู้ลงนาม พร้อมด้วย Mr. Yasuhiro Inoue General Manager - Hydrogen Business Department, CYD และ Mr. Kazuhiro Watanabe Senior Vice President, MCT ร่วมลงนามในฐานะพยาน ณ ห้องออดิทอเรียม อาคาร 50 ปี กฟผ. สำนักงานใหญ่ กฟผ. จ.นนทบุรี

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายเทพรัตน์ ผู้ว่าฯ กฟผ. กล่าวว่า การลงนามในครั้งนี้ สืบเนื่องจากการลงนามข้อตกลงความร่วมมือกับบริษัทชั้นนำของประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2566 ในการศึกษาและพัฒนาโครงการการผลิตไฮโดรเจนและแอมโมเนียสะอาดบนพื้นที่ศักยภาพ กฟผ. พบว่า ต้นทุนค่าไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาไฮโดรเจนอย่างมีนัยสำคัญ กฟผ. จึงมีแนวคิดในการศึกษาการใช้ประโยชน์จากการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว และหากต้นทุนของพลังงานสะอาดสำหรับโครงการผลิตไฮโดรเจนสีเขียวในประเทศไทยลดลง จะทำให้ราคาของไฮโดรเจนที่ผลิตอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ทั้งตลาดภายในและต่างประเทศ ผลักดันให้เกิดการพัฒนาโครงการที่เกี่ยวข้องกับไฮโดรเจนอย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจก เพื่อบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero Greenhouse Gas Emissions ของประเทศได้อย่างยั่งยืน

ด้าน นายวงสกุล กรรมการผู้จัดการ EDL เปิดเผยว่า สปป.ลาว มีศักยภาพในการเป็นแหล่งผลิตพลังงานทดแทน และยังมีโครงข่ายไฟฟ้าที่เชื่อมโยงกับ กฟผ. โดย EDL เป็นรัฐวิสาหกิจของ สปป.ลาว ที่มีบทบาท ด้านการวางแผนระบบไฟฟ้าและดูแลความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้าของประเทศ ความร่วมมือในครั้งนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนาด้านพลังงานหมุนเวียนผ่านการศึกษาและการประยุกต์ใช้ RECs ในโครงการไฮโดรเจนสีเขียวและแอมโมเนีย และยังเป็นการส่งเสริมการทำงานและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพื่อมุ่งสู่พลังงานสีเขียวในอนาคตร่วมกัน

ฟาก Mr. Yasuhiro Inoue General Manager - Hydrogen Business Department (นายยาสุฮิโระ อิโนอุเอะ ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายธุรกิจไฮโดรเจน) ผู้แทน CYD กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า มีความคาดหวังที่จะพัฒนาศักยภาพด้านการผลิตไฮโดรเจนสีเขียวและแอมโมเนีย ซึ่ง CYD ในฐานะบริษัทด้านวิศวกรรมระดับโลกยินดีสนับสนุนความร่วมมือทางด้านเทคนิค เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาและขยายตัวของพลังงานสะอาดในประเทศไทย ลาว และญี่ปุ่นในอนาคต

Mr. Kazuhiro Watanabe Senior Vice President (นายคาซูฮิโระ วาตานาเบะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่) ผู้แทน MCT กล่าวว่า การศึกษาในครั้งนี้นับเป็นอีกก้าวในการขยายและเติมเต็มการพัฒนาการผลิตไฮโดรเจนสีเขียวและแอมโมเนีย ในพื้นที่ที่มีศักยภาพของประเทศไทย ผ่านการนำเข้าไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจาก สปป.ลาว ด้วยกลไก RECs ซึ่งจะช่วยให้การแข่งขันดียิ่งขึ้น ความร่วมมือระหว่างกันในครั้งนี้จะทำให้เกิดแหล่งผลิตไฮโดรเจนสีเขียวภายในประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาด้านพลังงานสะอาดของภูมิภาค ที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการเดินหน้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนที่ทั่วโลกมีเป้าหมายร่วมกันในอนาคต

‘เสก โลโซ’ เปิดภาพบทเรียนราคาแพง หมดเงินไปร้อยล้าน เพื่อทำเครื่องดื่มชูกำลัง

(24 เม.ย.67) เสก โลโซ หรือ นายเสกสรรค์ ศุขพิมาย ร็อกเกอร์ดัง ได้โพสต์ภาพ เครื่องดื่มชูกำลัง แบรนด์โลโซดี ซึ่งเสกเคยลงทุน ผลิตขายอยู่ในขณะหนึ่งก่อนจะหยุดจำหน่ายไป พร้อมระบุว่า “ถ้าโลโซดีสำเร็จ ตอนนี้เฮียเป็นเจ้าสัวไปแล้ว 555 **หมดเงินไปประมาณร้อยล้าน เป็นบทเรียนราคาแพงมาก…”

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไป เหล่าแฟนคลับก็ได้เข้าไปให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง รวมถึง คิง ก่อนบ่าย ที่ระบุว่า “แต่โลโซไม่เคยตายไปจากใจครับ”

- คือเรื่องรสชาติ/คุณภาพสู้เจ้าอื่นได้สบาย แต่สิ่งสำคัญสุดคือการตลาดครับ
- ยี่ห้อ Loso ยังมีมูลค่ามหาศาลครับเฮีย
- เฮียทำเพลงดีกว่าครับ ‘ไม่ต้องปวดหัวดี’
- เสียดายครับ ผมว่าการตลาดกับแพ็กเกจจิ้งไม่ดี ไม่งั้นบูม บวกกับช่วงนั้นข่าวด้านลบเยอะคนเลยไม่สนับสนุน
- โลโก้ไม่โดนครับ
- ผมนี้เคยไปซื้อที่ร้าน 22 เลยครับหลายปีที่แล้ว

‘กรีซ’ อ่วม!! เมฆฝุ่นจากทะเลทรายซาฮาราพัดถล่ม ‘เอเธนส์’ ทำทั้งเมืองกลายเป็น ‘สีส้ม’ แถมทิวทัศน์มองเห็นไม่ชัดเจน

(24 เม.ย.67) กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ถูกหมอกสีส้มปกคลุมทั่วทั้งเมือง เนื่องจากเมฆฝุ่นที่ลอยมาจากทะเลทรายซาฮารา ซึ่งปรากฏการณ์นี้ถือเป็นหนึ่งในสภาพอากาศที่แย่ที่สุด ที่ส่งผลกระทบต่อกรีซ นับตั้งแต่ปี 2561

ทั้งนี้ สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า กรีซประสบกับสภาพอากาศย่ำแย่ โดยมีเมฆสีที่คล้ายกันนี้ปกคลุมเมืองตั้งแต่ช่วงปลายเดือน มี.ค. จนถึงต้นเดือนเม.ย. อีกทั้งยังครอบคลุมไปยังพื้นที่อื่น ๆ ของสวิตเซอร์แลนด์ และทางตอนใต้ของฝรั่งเศส

อย่างไรก็ตาม กรีซมีคุณภาพอากาศย่ำแย่ลงในหลายพื้นที่ และในช่วงเช้าที่ผ่านมาทิวทัศน์ในกรุงเอเธนส์ก็ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนอีกต่อไป เนื่องจากมีฝุ่นหนา และชั้นบรรยากาศ โดยเฉพาะทางตอนใต้ของกรีซมีความอบอ้าว เนื่องจากเผชิญทั้งฝุ่น และสภาพอากาศร้อน

ด้านรัฐบาลขอให้ประชาชนใช้เวลาข้างนอกอย่างจำกัด สวมใส่หน้ากากป้องกัน และหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายจนกว่าเมฆฝุ่นจะสลายไป

อย่างไรก็ดี กรมอุตุนิยมวิทยากรีซ คาดว่า ท้องฟ้าจะปลอดโปร่งในวันพุธ

ทั้งนี้ ทะเลทรายซาฮารามักปล่อยฝุ่นแร่สู่ชั้นบรรยากาศ 60-200 ล้านตันต่อปี

‘เต่าบิน’ ประกาศขึ้นราคาเมนูที่มีส่วนผสม ‘โกโก้’ 5 บาท ชี้!! มีผล 25 เม.ย.นี้ หลังเผชิญวิกฤติต้นทุนผลิตสูงขึ้น

(24 เม.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ‘เต่าบิน’ แบรนด์เครื่องดื่มชื่อดัง ออกมาขอแจ้งปรับราคาเมนูโกโก้ มีผล 25 เม.ย.นี้ โดยระบุว่า เนื่องจากปัจจุบันทั่วโลกพบกับวิกฤตการณ์เมล็ดโกโก้ขาดแคลนทำให้มีต้นทุนในการผลิตสูงขึ้น โดยระยะเวลาที่ผ่านมาทางบริษัทฯ ได้พยายามที่ยังคงซึ่งไว้ราคาเดิมเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อลูกค้าผู้มีอุปการคุณทุกท่าน

บริษัทฯ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะขอปรับราคาเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของโกโก้เพิ่มขึ้นเมนูละ 5 บาท โดยราคาที่ปรับขึ้นจะมีผลตั้งแต่วันที่ 25 เม.ย.67 เป็นต้นไป ทั้งนี้ บริษัทฯ ขออภัยสำหรับความไม่สะดวก และขอบพระคุณลูกค้าทุกท่านที่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น บริษัทฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณลูกค้าจะให้การสนับสนุนเต่าบินต่อไป บริษัทฯ ยังคงคุณภาพ รวมถึงบริการที่ดียิ่งขึ้น

'บิ๊กโจ๊ก' ลั่น!!! ใครอยากเป็น ผบ.ตร.ให้มาขอกันดีๆ พร้อมพาไปกราบ 'พล.ต.อ.เผ่า' อดีตอธิบดีกรมตำรวจ

(24 เม.ย.67) ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (อดีตรอง ผบ.ตร.) หรือ ‘บิ๊กโจ๊ก’ เดินทางมาเพื่อยื่นหนังสือคัดค้านการใช้หลักฐานการตรวจสอบเส้นทางการเงินของพนักงานสอบสวนเครือข่ายมินนี่ ของ สน.ทุ่งมหาเมฆ และ สน.เตาปูน ที่ส่งให้ ปปง.ไปก่อนหน้านี้ ว่าไม่สามารถนำมาประกอบสำนวนได้ เนื่องจากเป็นการสอบสวนโดยมิชอบ โดยมี นายวิทยา นีติธรรม โฆษกสำนักงาน ปปง.เป็นตัวแทนรับหนังสือ

โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ที่มายื่นหนังสือในวันนี้ เพราะต้องการให้ ปปง.ไปตรวจสอบว่าข้อเท็จจริงที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ และ สน.เตาปูน สอบสวนคดีความผิดที่มีมูลค่าเกินกว่า 300 ล้าน ตามหลักกฎหมายจะต้องส่งให้พนักงานสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ตำรวจจะสอบสวนเองไม่ได้ เมื่อสอบสวนโดยไม่มีอำนาจ การทำรายงานข้อเท็จจริงและความผิดฟอกเงินต่าง ๆ ส่งมาให้ ปปง.นั้นก็จะมิชอบด้วย ปปง.จะไม่สามารถนำเอาไปดำเนินการยึดอายัดทรัพย์สินต่าง ๆ หรือดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งได้ ดังนั้น กระบวนการทั้งหมดก็จะเป็นโมฆะทั้งหมด ต้องเริ่มกระบวนการสอบสวนใหม่อย่างเป็นธรรม คดีไหนเป็นความผิดเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐอำนาจสอบสวนต้องเป็นของ ปปช.ก็ต้องส่ง ปปช.ภายไหน 30 วัน คดีไหนเป็นอำนาจของดีเอสไอ ก็ต้องส่งดีเอสไอ ตนเองจึงได้มายื่นหนังสือคัดค้านและชี้แจงให้ ปปง.เล็งเห็นข้อเท็จจริงในส่วนนี้

ส่วนกระบวนการต่อไปของตนเอง จะเป็นการล่ารายชื่อ 20,000 รายชื่อ เพื่อส่งข้อมูลให้ประธานสภา เพื่อให้ดำเนินการยื่นสอบจริยธรรมและถอดถอน นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข กรรมการ ปปช.ต่อไป

ส่วนกรณีที่มีทนายคนดังออกมาแฉเส้นทางการเงินเว็บพนันออนไลน์ที่เชื่อมโยงไปถึงครอบครัวและคนใกล้ชิดของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า เป็นเพียงเรื่องเก่า เปิดมานานแล้ว ก็ให้ว่ากันไป ใครอยากเปิดก็เปิดไป ไม่เป็นไร เป็นเรื่องที่อยู่ในสำนวนทั้งหมดแล้ว ลูกน้องตนเองอยู่ในกระบวนการกระทำความผิดก็จริง แต่ตนเองไม่ได้อยู่ในกระบวนการกระทำความผิด เงินของลูกน้อง ไม่ใช่ของตนเอง เมื่อมีขบวนการพยายามโยงความผิดมาที่ตนเอง ก็ต้องต่อสู้กันไป สุดท้ายศาล หรือ ปปช.จะเป็นผู้ตัดสินเอง

ส่วนตนเองจะได้รับความชอบธรรม และกลับมาก่อนการแต่งตั้ง ผบ.ตร.ในเดือนกันยายนนี้หรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า เรื่องการแต่งตั้งก็ว่ากันไป เป็นคนละส่วนกัน แต่การสืบสอบสวนเรื่องคดีย้ำว่า ทุกอย่างต้องยึดหลักกฎหมาย ไม่งั้นบ้านเมืองก็เดินต่อไปไม่ได้ ก่อนจะบอกว่า ตนเองผิดหรือถูก การสืบสวนต้องชอบด้วยกฎหมายก่อน ไม่ใช่สอบสวนแบบอาญาเถื่อน พร้อมทั้งยืนยันทิ้งท้าย หากสุดท้ายตนเองได้กลับไปเข้ารับตำแหน่งหรือได้เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะไม่มีการเช็กผิดใคร ไม่ใช่คนอาฆาตแค้นใคร ทำบุญหมด

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้ (25 เม.ย.) เวลา 10.00 น.จะเดินทางไปยื่นหนังสือร้องเรียนกับคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรม ยื่นผ่านสำนักงาน ก.ตร.ขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้ออกจากราชการ ว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และหากได้พบกับ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. ก็ไม่มีอะไรอยากจะถาม แต่ถ้าใครอยากจะเป็น ผบ.ตร.ก็มาคุยกับตนเองได้ ตนเองยินดี ตนเองยอม เพราะยังอยู่อีกหลายปี และจะพาไปกราบรูปปั้น พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ และพาไปกราบนายกรัฐมนตรี ว่าอย่าไปหลอกท่านอีก

กลุ่มติดอาวุธ KNU ถอนกำลังออกจากเมียวดีชั่วคราว  หลังทหารฝ่ายรัฐกลับเข้าพื้นที่ และมีกองหนุนอาสาช่วย

(24 เม.ย.67) สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) ได้ถอนกำลังออกจากเมืองเมียวดีชั่วคราว โฆษกของกลุ่มระบุ หลังจากทหารฝ่ายรัฐบาลได้กลับเข้าไปยังพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญที่เป็นช่องทางการค้าต่างประเทศมูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี

“กองกำลังทหารของ KNLA จะทำลายทหารฝ่ายรัฐและกองหนุนของพวกเขาที่เคลื่อนพลไปยังเมืองเมียวดี” ซอ ตอ นี โฆษกของสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงกล่าว โดยอ้างถึงกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยงที่เป็นฝ่ายกองกำลังติดอาวุธของพวกเขา

แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ระบุว่าความเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของกลุ่มคืออะไร

ทั้งนี้ การต่อสู้ปะทุขึ้นเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาในเมืองเมียวดี ที่ส่งผลให้พลเรือนมากถึง 3,000 คน ต้องอพยพหลบหนีภายในวันเดียว ในขณะที่กลุ่มติดอาวุธต่อสู้เพื่อขับไล่ทหารฝ่ายรัฐที่ซ่อนตัวอยู่บริเวณเชิงสะพานมิตรภาพ

อย่างไรก็ตาม ในวันพุธ (24 เม.ย.) ไทยกล่าวว่า การต่อสู้คลี่คลายลงแล้ว และหวังว่าจะสามารถเปิดจุดผ่านแดนได้อีกครั้ง หลังจากการค้าได้รับผลกระทบจากการสู้รบ โดยระบุว่า พลเรือนส่วนใหญ่เดินทางกลับประเทศแล้ว และยังเหลืออยู่เพียง 650 คน

“สถานการณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่อย่างไรก็ตาม เรากำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งมีความไม่แน่นอนสูงและสามารถเปลี่ยนแปลงได้” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของไทยระบุ

ไทยได้รับรายงานว่าการเจรจาอาจกำลังเริ่มต้นขึ้นระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ในฝั่งพม่า และไทยได้เสนอให้ลาว ประธานสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) จัดการประชุมเพื่อหาข้อยุติวิกฤตพม่า

กองทัพพม่าเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เข้าควบคุมพม่าเป็นครั้งแรกในปี 2505 โดยติดอยู่กับความขัดแย้งในหลายแนวรบ และพยายามที่จะต่อสู้เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่พังลงนับตั้งแต่รัฐประหารในปี 2564 ที่ยุติการปกครองระบอบประชาธิปไตย และการปฏิรูปที่ดำเนินมาได้เพียงไม่นาน

ประเทศติดอยู่กับสงครามกลางเมืองระหว่างกองทัพฝ่ายหนึ่งและอีกฝ่ายหนึ่งคือพันธมิตรที่จับมือกันอย่างหลวม ๆ ของกองทัพชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์และขบวนการต่อต้านที่เกิดขึ้นจากการปราบปรามนองเลือดของรัฐบาลทหารต่อผู้เห็นต่างต่อต้านการรัฐประหาร

รัฐบาลทหารสูญเสียการควบคุมพื้นที่ชายแดนสำคัญให้กลุ่มติดอาวุธ และภาพถ่ายที่โพสต์ในกลุ่มโซเชียลมีเดียที่สนับสนุนรัฐบาลทหารบางกลุ่มเผยให้เห็นทหารจำนวนหนึ่งกำลังชูธงที่ฐานทหารแห่งหนึ่งซึ่ง KNU ควบคุมไว้เมื่อไม่กี่วันก่อนและได้ชูธงของตนเอง

ด้าน โฆษกของ KNU ระบุว่า รัฐบาลทหารที่ดำเนินการตอบโต้เพื่อยึดคืนเมืองเมียวดี ได้กลับเข้ามาในพื้นที่ด้วยความช่วยเหลือจากกองกำลังทหารอาสาในพื้นที่ ที่เคยเคียงข้าง KNU เมื่อครั้งเข้าปิดล้อมเมืองเมื่อต้นเดือน เม.ย.

รัฐบาลทหารและกองกำลังกะเหรี่ยงแห่งชาติ (KNA) ที่เคยเป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดนรัฐกะเหรี่ยง (หรือกะเหรี่ยงบีจีเอฟ- Karen BGF) ไม่ตอบรับโทรศัพท์ที่รอยเตอร์ติดต่อเพื่อขอความคิดเห็น

KNA ที่ก่อนหน้านี้เป็นฝ่ายเดียวกับรัฐบาลทหาร ได้ยืนยันที่จะแยกตัวออกจากกองทัพพม่าที่อ่อนแอลงในปีนี้ แต่ไม่ได้ให้คำมั่นต่อสาธารณะว่าจะเข้าพวกกับฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหาร

อดีตกองกำลังพิทักษ์ชายแดนรัฐกะเหรี่ยงกลุ่มนี้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ พ.อ.ซอ ชิด ตู่ และมีผลประโยชน์เชิงพาณิชย์อย่างมากในเมืองเมียวดีและพื้นที่โดยรอบ ที่รวมทั้งกาสิโน บ่อนการพนันออนไลน์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์

องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ลุยผสมเทียมช้างเลี้ยงครั้งแรกในโครงการคชอาณาจักร จังหวัดสุรินทร์

การดำเนินงานดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนานวัตกรรมทางการสืบพันธุ์และนำเทคนิคการผสมเทียมมาใช้ในช้างเลี้ยง ซึ่งนักวิชาการหลายท่านเชื่อว่าเริ่มประสบปัญหาเลือดชิดและอาจส่งผลถึงความหลากหลายทางพันธุกรรมของช้างเลี้ยงในประเทศไทยในอนาคต รวมทั้งแก้ไขปัญหาของช้างที่ไม่สามารถผสมพันธุ์ได้เองตามธรรมชาติอีกด้วย

โดยเริ่มจากการเก็บน้ำเชื้อช้างเลี้ยงเพศผู้ คือ พลายขนุนและพลายโจ้ เพื่อนำน้ำเชื้อมาแช่เย็น พร้อมตรวจประเมินคุณภาพ และนำมาผสมเทียมกับช้างเลี้ยงเพศเมีย คือ พังน้ำหวานและพังแสนหลวง ที่ได้มีการคำนวณวงรอบการตกไข่จากนักวิทยาศาสตร์สวนสัตว์แล้วพบว่าพร้อมผสมเทียมในระหว่างวันที่ 22 - 25 เมษายน 2567 นอกจากนี้ยังมีการใช้น้ำเชื้อช้างแช่แข็งของพลายเปี๊ยก พลายมงคล จากธนาคารทางพันธุกรรมสัตว์ป่าขององค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยมาใช้ผสมเทียมด้วย

ทั้งนี้ นายอรรถพร ศรีเหรัญ ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ได้มอบหมายให้สัตวแพทย์และนักวิทยาศาสตร์สวนสัตว์ ผู้เชี่ยวชาญ จากสถาบันอนุรักษ์และวิจัยสัตว์ สวนสัตว์เปิดเขาเขียว และโครงการคชอาณาจักร จังหวัดสุรินทร์ ดำเนินการโดยเร่งด่วนเพื่ออนุรักษ์ ฟื้นฟู และปกป้องการสูญเสียทรัพยากรสัตว์ป่าที่สำคัญของไทยในระยะยาว ตามแผนยุทธศาสตร์ฯ ขององค์กร

การดำเนินงานดังกล่าวได้รับการสนับสนุนสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องช้างจากศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จังหวัดลำปาง สถาบันคชบาลแห่งชาติ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ และคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม รวมถึงวัสดุอุปกรณ์ในการผสมเทียมจากบริษัท STORZ ประเทศไทย 

และได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากเจ้าของช้างภายในจังหวัดสุรินทร์ ได้แก่ นายนิมิต อินทร์สำราญ นายเกือง อินทร์สำราญ นางแดง งามสง่า และนายชาญชัย สมเจตนา ซึ่งทางคณะทำงานต้องขอขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างสูง

ร่วมเป็นกำลังใจและติดตามการดำเนินงานในระยะต่อไปได้ที่เพจ @สถาบันอนุรักษ์และวิจัยสัตว์ Animal Conservation and Research Institute

รองผู้บัญชาการทหารเรือรับการเยี่ยมคำนับจาก พล.ร.ต.Justin Jones , Deputy Chief joint operation (รองผู้บัญชาการหน่วยปฎิบัติการร่วม กองทัพออสเตรเลีย) ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทย

วันที่ 24 เม.ย. พล.ร.อ.สุวิน  แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นผู้แทนผู้บัญชาการทหารเรือ รับการเยี่ยมคำนับจาก พล.ร.ต.Justin  Jones , Deputy Chief joint operation (รองผู้บัญชาการหน่วยปฎิบัติการร่วม กองทัพออสเตรเลีย) ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทย เพื่อเข้าร่วมงานรวัน ANZAC DAY 2024 ณ กองบัญชาการกองทัพเรือ พื้นที่วังนันทอุทยาน เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร

ทั้งนี้ พล.ร.ต.Justin  Jones จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการหน่วยปฏิบัติการร่วม กองทัพออสเตรเลีย ตั้งแต่ ก.ค.67 ซึ่งการเข้าเยี่ยมคำนับในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเข้าหารือเป็นกรณีพิเศษ ประกอบด้วยหัวข้อ
- การฝึก Cobra Gold (การใช้พื้นที่สนามบินอู่ตะเภา) และการฝึกต่างๆ 
- การปฏิบัติงานในภูมิภาคของกองทัพออสเตรเลีย
- การสัมมนา Indo-Pacific Endeavour 2024 (หัวข้อกฎหมายทะเล)
- การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร

ไทยและออสเตรเลียสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตตั้งแต่ 19 ธ.ค.2495 โดยมีความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพเรือ กับกองทัพออสเตรเลียด้านต่างๆ อาทิ ด้านการแลกเปลี่ยนการเยือน , ด้านการศึกษา , ด้านการประชุม , ด้านการฝึก (ทั้งการฝึกผสมทวิภาคี และการฝึกผสมพหุภาคี) รวมถึงการเยือนในครั้งนี้จะเป็นการยืนยันถึงความสัมพันธ์ที่ดีให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในอนาคตต่อไป

สมนึก เชื้อสนุก รายงาน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top