Tuesday, 10 June 2025
TheStatesTimes

'รัดเกล้า' ยก!! 'รมว.ปุ้ย-ปธ.กมธ.อุตฯ' แก้ปัญหาเร็ว ปมกากแร่แคดเมียม ตอกย้ำ!! ภาพคน 'รทสช.' พรรคอนุรักษ์นิยมรุ่นใหม่ที่เน้นทำมากกว่าพูด

(6 เม.ย.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เผยว่า หลังจาก คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการลักลอบขน กากแร่แคดเมียมจากจังหวัดตาก มาที่โรงงานในจังหวัดสมุทรสาครตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 โดย นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ประธานคณะกรรมาธิการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎรและ สส.ราชบุรี ได้ดำเนินการสอบสวนเรื่องนี้อย่างจริงจัง

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา จึงได้ข้อสรุปอย่างเป็นทางการเป็นที่แน่ชัดว่า มีการขนกากแร่ที่มีอันตรายร้ายแรงโดยผิดกฎหมายจำนวนมากถึง 10,000 กว่าตัน มายังจังหวัดสมุทรสาคร จากนั้น กมธ.อุตสาหกรรม ได้แถลงข่าวเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงไปจัดการกากแร่มีพิษอันตรายดังกล่าวอย่างเร่งด่วน 

พร้อมกันนั้น ได้ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบชี้แจงพี่น้องประชาชน เพื่อให้เกิดความเข้าใจและเกิดความระมัดระวัง และในวันศุกร์ที่ 5 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ลงพื้นที่พร้อมกับผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงใน พื้นที่บริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงาน ในเขตอำเภอเมือง และเป็นที่กองเก็บถุงบิ๊กแบ๊กถึงประมาณ 1,400 ถุง ภายในมีกากเเร่แคดเมียมที่เป็นอันตรายร้ายแรงบรรจุอยู่ ซึ่งขัดต่อ พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2535 ฝ่าฝืนกฎหมายประกอบการหล่อหลอมแคดเมียมโดยไม่ได้รับอนุญาต  

โดยเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2567 ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครได้ประกาศห้ามมิให้บุคคลใดๆ เข้าไปอยู่อาศัยหรือดำเนินกิจการใดในพื้นที่โรงงานเป็นระยะเวลา 90 วัน เพื่อเป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยให้กับสุขภาพพี่น้องประชาชนเบื้องต้น

ทั้งนี้ สารแคดเมียมนั้น อันตรายมากหากเข้าสู่ร่างกายเพราะจะถูกนำไปเก็บสะสมไว้ใน ปอด ตับ และหมวกไต ทำให้เป็นหมัน กระทบต่อ ระบบเลือด ระบบประสาท กระดูกพรุน โรคต่อมลูกหมาก ความดันโลหิตสูง และมะเร็งชนิดต่างๆ ได้ด้วย โดยสารแคดเมียมนั่นสามารถเข้าสู่ร่างกายทางปาก โดยการบริโภคอาหารที่มีการปนเปื้อนของแคดเมียม เช่น อาหารทะเล พืชผัก และ ทางจมูก โดยการหายใจเอาควัน หรือ ฝุ่นของแคดเมียมเข้าไป เช่น ในเหมืองสังกะสี

ในระยะเวลาดังกล่าว ที่ กมธ. การอุตสาหกรรม มุ่งมั่นเดินหน้าค้นหาความจริงให้ปรากฏและผลักดันทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องให้ตระหนักถึงปัญหาที่อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อพี่น้องประชาชน และติดตามการทำงานของทุกฝ่ายให้เกิดการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน

ล่าสุด นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้สั่งระงับการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ห้ามนำกากแคดเมียมเข้าสู่กระบวนการผลิต พร้อมทั้งอายัดกากแคดเมียม และส่วนของอื่นๆ ไว้ เพื่อตรวจสอบและดำเนินการจัดการกากเเร่อันตรายให้เป็นไปตามกฎหมาย อีกทั้งยังได้ออกคำสั่งย้ายอุตสาหกรรมจังหวัดตากมาช่วยราชการ ที่สำนักงานกระทรวงอุตสาหกรรมอีกด้วย

"รทสช. เราภูมิใจที่ได้ยืนหยัดเป็นเสาหลักในการเป็นที่พึ่งของประชาชน เราทำงานแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยมาโดยตลอด และจะยังคงทำต่อไปอย่างไม่ลดละ พรรคเราคืออนุรักษ์นิยมรุ่นใหม่ที่ยึดแนวทางการทำงานแบบ Pragmatic คือเน้นทำมากกว่าพูด เน้นความจริงมากกว่าวาทกรรม ภายใต้สโลแกน สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง การทำงานของ รมว.พิมพ์ภัทรา และ สส.อัครเดช ในกรณีนี้ ต้องย้ำว่า เกิดขึ้นได้จากความร่วมมือของทุกๆ ฝ่าย ตั้งแต่ระดับบริหารไปจนถึงระดับปฏิบัติการ  รทสช. ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการปกป้อง ดูแล และคืนความเป็นธรรมให้กับประชนที่ได้รับผลกระทบ เรารู้สึกยินดีและภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทำหน้าที่ตรงนี้" รองโฆษกฯ รัดเกล้า กล่าวเสริม

🔎ส่องรายชื่อมหาเศรษฐีไทย ใครอยู่อันดับเท่าไหร่? ในทำเนียบมหาเศรษฐีโลก💸

เว็บไซต์นิตยสารฟอร์บส (Forbes) เปิดเผยการจัดอันดับ ‘มหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่สุดในโลกประจำปี 2567’ พบว่า ปีนี้ 10 อันดับมหาเศรษฐีของไทยแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากปีก่อน 

โดยอันดับ 1 ยังคงเป็น ‘เจ้าสัวธนินท์’ หรือนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส บริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (ซีพี) โดยมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 12,500 ล้านดอลลาร์ (ราว 4.58 แสนล้านบาท) ซึ่งคำนวณมูลค่าทรัพย์สินสุทธิจากราคาหุ้นและอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 8 มี.ค. 2567

สำหรับ 10 อันดับมหาเศรษฐีไทยที่มั่งคั่งที่สุดในปีนี้ มีเพียงนายสมโภชน์ อาหุนัย จากบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ที่หลุดออกจากโผ และมีมหาเศรษฐีหน้าใหม่เข้ามา 3 คนแทนในอันดับ 10 ร่วม คือนาย ‘ฮาราลด์ ลิงค์’ จากบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ / นาย ‘ทักษิณ ชินวัตร’ และนายวิชัย ทองแตง ซึ่ง Forbes ระบุถึงประเภทธุรกิจเอาไว้ว่าอยู่ในกลุ่มธุรกิจการเงินและการลงทุน โดยทั้ง 3 มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 2,100 ล้านดอลลาร์ (ราว 7.7 หมื่นล้านบาท)

อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่า 10 มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทยปีนี้ เกือบทั้งหมดมี ‘ความมั่งคั่งลดลง’ นำโดยนายธนินท์ ที่ลดลงราว 2,400 ล้านดอลลาร์ จากการจัดอันดับของ Forbes เมื่อเดือน เม.ย. 2566 ยกเว้นนายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ผู้ก่อตั้งบริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ หรือ BDMS ที่มีมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้นราว 200 ล้านดอลลาร์ อยู่ที่ 3,700 ล้านดอลลาร์ในอันดับที่ 7

มหาเศรษฐีไทยที่ติดการจัดอันดับมหาเศรษฐีโลกของ Forbes ในปี 2567 นี้ มีจำนวนทั้งหมด 26 คน โดยมีนายประจักษ์ ตั้งคารวคุณ อดีตประธานกรรมการแห่ง ทีโอเอ เพ้นท์ (TOA) อยู่ในลำดับสุดท้ายของไทยที่อันดับ 26 และเป็นอันดับ 2545 ของโลก โดยมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 1,100 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ นายประจักษ์เคยติด 10 อันดับมหาเศรษฐีไทยของ Forbes เมื่อปี 2565

ผู้โดยสารสุดกลั้น อุจจาระในรถไฟฟ้า MRT ชาวเน็ต ยืนยัน ห้องน้ำมีทุกสถานี ไม่ควรทำแบบนี้

(6 เม.ย. 67) ผู้ใช้ TikTok @pee_chean420 โพสต์คลิปชวนอ้วก หลังพบผู้โดยสารรายหนึ่งทิ้งอุจจาระไว้บนรถไฟฟ้า MRT ทำส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ไปทั่วทั้งขบวน โดยผู้โพสต์ได้ระบุข้อความว่า

“ข่าวด่วน ผู้โดยสารปล่อยวัตถุต้องสงสัย สงสัยจะไม่ไหวแล้ว 25 ปี มีครั้ง ขอสักหน่อย”

โดยภายในคลิปวิดีโอจะเห็นว่าแม่บ้านเข้ามาเก็บกวาดทำความสะอาดจุดเกิดเหตุอยู่ อย่างไรก็ตาม หลังโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไปก็ได้รับความสนใจจากชาวเน็ตเป็นอย่างมาก มีผู้เข้าชมแล้วกว่า 5 แสนครั้ง นอกจากนี้มีชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์วิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก ส่วนใหญ่มองว่า

“คือสถานีรถไฟฟ้า ควรมีห้องน้ำทุกสถานี” 

ผู้โพสต์ก็ได้เข้ามาตอบว่า 

“มีห้องน้ำครับ แต่ไม่มีสายชำระ ทิชชู่ต้องซื้อเอง หรือเตรียมมา ผมเคยสละถุงเท้ามาแล้ว”

ทั้งนี้ ชาวเน็ตส่วนใหญ่ยืนยันว่าสถานีรถไฟฟ้า มีห้องน้ำทุกสถานี สามารถใช้บริการได้

‘อัครเดช’ จี้ให้หาความจริง ‘สารแคดเมียม’ มีเท่าไร-อยู่ที่ไหน หวั่นฟุ้งกระจาย ย้ำ!! ต้องรอบคอบ-รัดกุม เพื่อความปลอดภัยของปชช.

(6 เม.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงการตรวจพบสารแคดเมียมในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร ว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้ามาสอบสวนให้เกิดความกระจ่างใน 2 ประเด็นคือ 1.จะจัดการกับสารแคดเมียมที่เหลืออยู่อย่างไร เพราะมีการแจ้งว่าขออนุญาตขนมา 15,000 ตัน แต่วันที่เจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาครเข้ามาชี้แจงต่อกมธ.แจ้งว่าพบมีกากแร่แคดเมียมประมาณหมื่นกว่าตัน ส่วนเมื่อวันที่ 6 เม.ย. กระทรวงอุตสาหกรรม บอกพบกากแร่ดังกล่าวแค่2,000กว่าตัน ทั้งในตัวอาคารและนอกอาคาร ดังนั้น เบื้องต้นต้องสรุปให้ได้ก่อนว่าระยะเวลานี้ผ่านมา 5-6 เดือนขนมากี่ตันแน่ และยังเหลืออยู่กี่ตัน ต้องบอกตัวเลขที่แท้จริงกับประชาชนให้ได้ก่อนเพื่อให้หายสงสัย

นายอัครเดช กล่าวว่า ต้องสอบสวนให้เกิดความชัดเจนเวลานี้สารแคดเมียมกระจายไปที่ไหนบ้าง และมีบางส่วนตามกลับมาแล้วหลังมีการเข้าไปตรวจสอบพบว่ามีการย้ายไปโรงงานอื่น แล้วตามกลับมา ตรงนี้เป็นปัญหาแน่นอน เพราะไม่อย่างนั้นจะไม่ทราบว่ากระจายไปที่ไหนบ้างจะได้จัดการกับกากแร่เหล่านั้นได้ถูกต้อง ที่สำคัญต้องมีการสืบสวนสอบสวนว่ามีการนำไปหลอมหรือไม่ตรงนี้ถือเป็นเรื่องอันตรายมาก เพราะ กระบวนการหลอมโลหะจะทำให้เกิดไอของสารแคดเมียม ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อพี่น้องประชาชนได้

ประเด็นที่ 2 เรื่องการขนย้ายต้องไม่โลกสวยการออกคำสั่งทางปกครอง ให้ขนย้ายแล้วเสร็จภายใน7วันในทางปฏิบัติทำได้หรือไม่ สารแคดเมียมเป็นสารอันตราย การขนย้ายต้องมีการวางแผนเตรียมการอย่างดี ทราบล่าสุดพบถุงบรรจุกากแคดเมี่ยมบางถุงที่กองเก็บนอกอาคารมีการชำรุดและเกิดการรั่วออกมาของกากแคดเมี่ยมบางส่วน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าโลกสวยต้องไปดูว่าในทางปฏิบัติจะควบคุมในการขนย้ายอย่างไรให้เกิดความปลอดภัยกับประชาชน ต้นทาง ระหว่างทาง และปลายทางได้ทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่หรือยัง เพราะสารแคดเมียมอันตรายมากเป็นสารก่อมะเร็งระหว่างขนย้ายมีการฟุ้งกระจายหรือมีน้ำฝนมาชะล้างก็ล้วนอันตราย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้ามาแก้ปัญหาอย่างรอบคอบรัดกุมเพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับประชาชนมากที่สุด

ประเด็นที่ 3 ต้องเร่งหาคนทำผิดมาลงโทษให้ได้ถือว่าสำคัญมาก เพราะในEIA ระบุชัดกากเเคดเมียมเหล่านี้ไม่สามารถขนย้ายได้ แต่กลับมีการขนย้ายทั้งที่กฎหมายไม่อนุญาต เรื่องนี้กมธ.จะติดตามอย่างใกล้ชิด ติดตามการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว ปลอดภัยสร้างความเข้าใจกับประชาชน

“กรรมาธิการจะตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง ไม่ได้ต้องการให้เกิดความตื่นตระหนก แต่ต้องการสร้างความตระหนัก ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าไปจัดการปัญหาอย่างจริงจัง ถ้าส่วนราชการบางหน่วยงานให้ความร่วมมือกับกมธ.อย่างจริงจังตั้งแต่แรกปัญหาคงจัดการได้ตั้งนานแล้ว แต่ที่ผ่านมาส่วนราชการก็เป็นอุปสรรคเสียเอง ในการสอบหาข้อเท็จจริงของกรรมาธิการอุตสาหกรรม เพิ่งมาให้ข้อมูลที่ชัดเจนเมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งล่าช้าไปมาก ดังนั้นส่วนราชการต้องตื่นตัวในการเข้ามาแก้ไขปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อพี่น้องประชาชนให้มากกว่านี้ การที่ส่วนราชการทำงานล่าช้าทำให้ประชาชนตกใจเพราะข่าวที่ออกมาไม่ชัดเจน จึงมีคำถามจากประชาชนมากมาย”นายอัครเดชกล่าว

นายอัครเดช กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้หน่วยงานเกี่ยวข้องออกมาชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ ทำไมไม่ประกาศเป็นเขตภัยพิบัติ แต่ประกาศเป็นเขตควบคุม มีความแตกต่างกันอย่างไร กมธ.ไม่ได้สนใจจะประกาศแบบไหน แต่ขอให้การแก้ปัญหาที่มีผลกระทบต่อประชาชนต้องมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และคุ้มครองสิทธิของประชาชนที่ได้รับผลกระทบทั้งในปัจจุบันและอนาคต การไม่ประกาศเป็นเขตภัยพิบัติจะกระทบต่อสิทธิของประชาชนในอนาคตหรือไม่ถ้าประชาชนเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาในภายภาคหน้า แล้วจะเรียกร้องจากใคร นี่ก็เป็นคำถามที่ประชาชนฝากถามมา

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 17 เมษายน กมธ.ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงอีกครั้ง ช่วงนี้ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการอย่างเร่งด่วน หวังว่าจะได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่จะมาชี้แจงต่อกมธ.เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับสาธารณชนร่วมกัน และขอขอบคุณนายกรัฐมนตรี และทุกภาคส่วนที่ได้ลงไปแก้ปัญหาให้ประชาชน

‘สภาทนายความฯ’ แต่งตั้ง ‘ท่านอ้น’ เป็นประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ นายกสภาฯ เพื่อใช้ความรู้ ทำประโยชน์ให้ปชช. สร้างความเท่าเทียม ในกระบวนการยุติธรรม

(6 เม.ย. 67) ที่ห้องประชุมชั้น 3 สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อวานนี้ นายวิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ ได้มอบหนังสือแต่งตั้งท่านชายวัชเรศร วิวัชรวงศ์ หรือ ท่านอ้น เป็นประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์นายกสภาทนายความ ปี พ.ศ. 2565-2568 โดยมีคณะกรรมการบริหารสภาทนายความ และกรรมการสภาทนายความ นายพงศ์พันธ์ ศรีเสวตร์ รองประธานกรรมการ พร้อมด้วยกรรมการสำนักงานคดีปกครอง ร่วมเป็นเกียรติแสดงความยินดี

ท่านชายวัชเรศร วิวัชรวงศ์ หรือ ท่านอ้น กล่าวขอบคุณนายกสภาทนายความที่ให้ความไว้วางใจแต่งตั้งให้เป็นประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์นายกสภาทนายความ

"รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง โดยจะทุ่มเทแรงกาย แรงใจ และให้ความรู้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับทุกคน และจะตั้งใจทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกัน ด้านความยุติธรรม"

นายวิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ กล่าวขอบคุณท่านชายวัชเรศร วิวัชรวงศ์ ที่ให้เกียรติเป็นประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์นายกสภาทนายความ ซึ่งเชื่อมั่นว่า ต่อจากนี้ไปจะเห็นบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปในการให้ความช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายของสภาทนายความอย่างแน่นอน

ผลสำรวจ เผย คนวัยผู้ใหญ่ 50% ในประเทศเศรษฐกิจใหญ่เครียดเรื่องเงิน ยอมรับการเงินรุ่นพ่อแม่แข็งแรงกว่า แถมห่วงการเงินลูกหลานในอนาคต

(6 เม.ย.67) BTimes เปิดเผยรายงานผลสำรวจความมั่นคงการเงินระหว่างประเทศ หรือ International Your Money Financial Security Survey จาก เซอร์เวย์มังกี้ (SurveyMonkey) ซึ่งรวบรวมข้อมูลจากการสำรวจผู้ใหญ่ทั้งหมด 4,342 คน ในช่วงเดือนมีนาคม 2024 พบว่า ประชากรวัยผู้ใหญ่มากกว่าครึ่งหนึ่งในกลุ่มประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ มีความเครียดด้านการเงินส่วนบุคคล สาเหตุจากภาวะเงินเฟ้อในระดับสูงเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ค่าเงินลดเสื่อมลง นอกจากนี้ มีสัดส่วนจำนวนมากยอมรับว่า ตนเองมีฐานะทางการเงินแย่กว่าพ่อแม่ และมีมุมมองด้านลบต่ออนาคตทางการเงินของลูกหลาน

ประชากรวัยผู้ใหญ่ที่อาศัยอยู่ใน สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย สเปน และเม็กซิโกในสัดส่วนราว 70% ยอมรับว่า มีความเครียดค่อนข้างมากถึงมากในเรื่องการเงิน ขณะที่สัดส่วนดังกล่าวมีที่ 63% ในประชากรวัยผู้ใหญ่ในสหราชอาณาจักร มีถึง 57% ในเยอรมนี มี 55 % ในสวิตเซอร์แลนด์ และมี 50% ในสิงคโปร์ และฝรั่งเศส

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความเครียดทางการเงิน ได้แก่ ภาวะเงินเฟ้อสูง ขาดแคลนเงินออม ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น

ผลสำรวจเปิดเผยว่า ชนชั้นกลางเป็นกลุ่มคนที่มีความสะดวกสบายทางการเงินในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม พบว่า 45%-62% ของผู้ตอบแบบสำรวจในครั้งนี้กลับยอมรับว่าเป็นชนชั้นกลางที่ใช้เงินแบบเดือนชนเดือน ในทำนองเดียวกัน สัดส่วนราวครึ่งหนึ่ง หรือ 50% ในออสเตรเลีย เยอรมนี และสหราชอาณาจักร ยอมรับว่าตนเองมีสถานะทางการเงินย่ำแย่กว่าเมื่อ 5 ปีที่แล้ว หรือตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่น่าสนใจ คือ ผู้ตอบแบบสำรวจในสิงคโปร์และเม็กซิโก ซึ่งเป็นเพียง 2 ประเทศเท่านั้น ที่ส่วนใหญ่ยอมรับว่าตนเองมีฐานะทางการเงินดีกว่าพ่อแม่

'สุทธิพงษ์' ชี้!! นำสิ่งเทียมพระเกี้ยว มาสร้างสื่อส่อเสียด แล้วบอกไม่พาดพิงผู้ใด ก็เหมือนการยกนิ้วกลางให้ใครสักคน แล้วบอกว่านี่ไม่ใช่การให้กล้วย

(7 เม.ย.67) จากกรณี 'เช็ค สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ' พิธีกร และผู้ผลิตสื่อชื่อดัง แห่งทีวีบูรพา ได้โพสต์ข้อความและภาพผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับการที่ 'จุฬาฯ' ปล่อยพระเกี้ยวถูกดึงต่ำ จากความต่ำของใจคน ที่กล้านำเอาของสูงมาลบหลู่นั้น (อ่านเนื้อหาก่อนหน้า: https://thestatestimes.com/post/2024040420)

ล่าสุดเจ้าตัวได้โพสต์ข้อความพร้อมภาพภาคต่อ โดยมีเนื้อหา ดังนี้ว่า...

เสือก 2

แต่ผมคิดว่า การเอาภาพเหล่านี้มาเผยแพร่ซ้ำ ในช่วงที่มีกระแสแห่พระเกี้ยว ไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริง ที่งานศิลปะชิ้นนี้ต้องการสื่อสะท้อน 

เป้าหมายที่แท้จริง ไม่ใช่แค่ตีกระทบงานประเพณีของสถาบัน 

ถ้ายังไม่ลืมวาทะกรรม ส่อเสียด กระทบกระเทียบเปรียบเปรย ของกลุ่มล้มเจ้า ต่อรัฐบาลชุดก่อนว่า เหมือนหมามีเจ้าของ

ผมคิดว่างานชิ้นนี้ มีความเชื่อมโยงกับความหมายนั้น 

เจ้าของหมาที่พูดถึงกันอย่างคึกคะนอง หมายถึงใคร ผมคงไม่ต้องบอก

ฉะนั้น ถ้าผมจะตีความแบบเขลาๆ ว่า สัญลักษณ์ (เทียม) พระเกี้ยว คือสัญญลักษณ์ที่ตั้งใจใช้แทนความหมาย ถึงผู้ซึ่งถูกเปรียบเปรยว่าเป็นเจ้าของหมา 

และอาหารหมา ก็คือผลประโยชน์ ลาภ ยศ ที่หว่านไว้ ทำให้บรรดาหมา ยอมเชื่องเชื่อ หมอบ กราบ เทิดทูน 

และบรรดาหมา กับกฎหมายที่เป็นเหมือนหมอนรองพระเกี้ยวเหล่านั้นแหละ 

ที่เป็นมือไม้หรือข้ารับใช้ คอยเห่า ขู่ กัด กดทับ หรือจำกัดอิสระ เสรี ทางความคิด ความเห็น การแสดงออก(ซึ่งก็คือเนื้อหาในกระดาษเหล่านั้น)ไว้ 

ถ้าผมงี่เง่า เพ้อเจ้อ เลื่อนเปื้อนไป ก็ขออภัยด้วย

ความคิด ความเข้าใจ ต่อประชาธิปไตยแบบมาม่าปลากระป๋อง ของคนหนุ่มสาว (ที่คิดว่าตัวเอง) หัวก้าวหน้า 

คือปลงใจเชื่อว่า ประชาธิปไตยเป็นที่สุดของความก้าวหน้าหรือความเจริญ ส่วนสมบูรณาญาสิทธิราชหรือเผด็จการ คือความล้าหลังหรือความเสื่อม

ชุดความคิดขาวดำ ของฝ่ายที่สถาปนาตนเป็นผู้อภิวัฒน์ ฝังใจว่าประเทศชาติล้าหลัง เพราะการก่อกบฏ รัฐประหาร 

ทั้งๆ ที่ว่าไปแล้ว 2475 ก็น่าจะมีส่วนเป็นต้นเหตุของความวุ่นวายของประเทศที่สำคัญ

เจ้า ซึ่งเป็นตัวแทนของสมบูรณาญาสิทธิราช ถูกทำให้คนรุ่นใหม่เข้าใจว่า คือผู้อยู่เบื้องหลังการรัฐประหารมาโดยตลอด

เพราะฉะนั้น เจ้าก็คือสาเหตุที่ทำให้ประเทศชาติไม่เจริญ

ความแย่ของสังคม ความยากลำบากและไร้อนาคตของพวกคนรุ่นใหม่ จึงโทษเจ้ากันเป็นหลัก มองไม่เห็นปัญหาจากตัวเองและสิ่งอื่นใดในวงวัฏ

ความเชื่อเหล่านี้มาจากการสร้างความเท็จ ที่ไม่มีหลักฐาน ใส่ร้ายเจ้า เล่าสู่กันมาอย่างต่อเนื่อง เป็นขบวนการ

ซึ่งหัวจิตหัวใจที่มีเลือดเนื้อของเจ้า คงขมขื่นน่าดู

โดยเฉพาะการบิดเบือน ล้างสมอง จากหนังสือสองเล่ม คือ 'ขุนศึก ศักดินา พญาอินทรี' และ 'ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ' ที่เอามาจากงานวิทยานิพนธ์ของอาจารย์จุฬาคนหนึ่ง

ซึ่งถูกตีแผ่ แฉโพยแล้วว่า หลักฐานที่อ้างอิงในวิทยานิพนธ์นั้น ล้วนเป็นเท็จ 

จนได้ชื่อว่าเป็นวิทยานิพนธ์ลวงโลก ถูกผู้เสียหายฟ้องเป็นคดี บัณฑิตวิทยาลัยจุฬาให้ระงับการเผยแพร่ แต่ไม่ให้แก้ไข

เหตุผลที่อ้าง คือไม่มีอำนาจ กฎเกณฑ์ไม่ได้เขียนไว้ให้ 

หมายถึงความฉิบหาย ปั่นป่วน แตกแยกของบ้านเมือง ความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์ ชีวิต อนาคตของคนหนุ่มสาวกี่คนที่ต้องสังเวย

ไม่มีความหมายเท่าความปกติสุขของมุสาจารย์คนนั้น

ความรับผิดชอบอย่างกล้าหาญของจุฬา แค่เก็บเชื้อไวรัสร้าย ที่ตัวเองเป็นต้นตอเผยแพร่ใส่หลอดแช่ตู้ 

ขณะที่เชื้อโรคร้ายนี้ระบาดลาม สร้างซอมบี้ไปทั่วแล้ว 

โคตรสง่างาม สมเกียรติภูมิมหาวิทยาลัย ที่เจ้าพระราชทานให้ทุกอย่าง แม้กระทั่งชื่อและหัวใจ

การเอาสิ่งเทียมพระเกี้ยว ที่อธิบายว่าเป็นของที่ซื้อจากสำเพ็ง มาสร้างสื่อส่อเสียด แล้วบอกว่าไม่ได้เจตนาสื่อถึงสถาบัน 

ก็เหมือนกับการที่ผมยกนิ้วกลางให้ใครสักคน แล้วบอกว่านี่ไม่ใช่การให้กล้วยนะ แต่ผมกำลังชมว่าคุณเป็นคนดีจังเลย 

คำอ้างของผม เปลี่ยนสามัญสำนึก ความรู้สึก ความเข้าใจของสังคมได้มั้ย

เพราะสัญญา หรือความจำได้หมายรู้ ที่คนทั้งโลกเข้าใจต่อการชูนิ้วกลางนั้น แปลว่าอะไร มันถูกฝังชิปไว้แล้ว

เหมือนพอเห็นสัญลักษณ์พระเกี้ยว ไม่ว่าของแท้ ของเทียม ของแทน ก็ระลึกได้ว่า สื่อหรือเชื่อมโยงถึงอะไร

ของอื่นมีตั้งเยอะ ที่จะเอามาสร้างสรรค์งาน และแสดงความปรารถนาดีต่อสังคมได้ ไม่เลือก

ถ้าแบบนี้ ผมก็มีสิทธิ์ที่จะคิดได้มั้ยวะ ว่า ที่อ้างนั้นฟังไม่ขึ้น ที่แท้ก็ตั้งใจแซะสถาบัน

แต่นั่นแหละ ถึงคิดผมก็ยังไม่เชื่อ ให้น้ำหนักว่า เป็นเพราะความอ่อนด้อยต่อโลก ไม่ใช่ความเลวร้ายของจิตใจมากกว่า

ไม่ว่าใครก็ตาม จะยกหางว่าตัวเองก้าวหน้าได้อย่างไร ถ้าสมาทานการบิดเบือน ใส่ร้าย และยังจมปลักกับอุปาทานว่าปัญหาทุกอย่าง มาจากสถาบัน

ลองใช้ปัญญา คิด-วิเคราะห์-แยกแยะ ดูหน่อยดีมั้ย

ปักเป้ากลางนาอย่างผม จึงอยากถาม (บาง) จุฬากลางเมืองว่า...

เชื่อกันจริงๆ เหรอครับ ว่าเจ้าคือต้นตอของความขัดหูขัดตาทั้งปวง ถ้าล้มเจ้าได้ ประเทศนี้จะอภิวัฒน์ทันตา เจริญก้าวหน้าทันที

‘ทบ.’ ชี้แจงกรณีมีคลิป ‘พลทหาร’ ถูกทำร้ายร่างกายในหน่วย ย้ำ กำลังสอบสวนอย่างเป็นธรรม เพื่อลงโทษผู้กระทำผิดวินัยทหาร

(7 เม.ย.67) ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์เป็น รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยถึงกรณีที่มีการเผยแพร่คลิปที่มีพลทหารโพสคลิปวิดีโอเหตุการณ์ในหน่วยทหารและกล่าวว่ามีพลทหารถูกทำร้ายร่างกาย กองทัพบกได้ตรวจสอบแล้วพบว่าตามคลิปวิดีโอเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 4 เม.ย.67 ในหน่วยทหารแห่งหนึ่งของกองทัพบก

เป็นเหตุการณ์ที่สิบเวรทำการลงโทษพลทหารที่กลับมาจากการหลบหนีออกนอกหน่วย และมีอาการเมาสุรา ในระหว่างการลงโทษ พลทหารนายหนึ่ง ได้แสดงอาการก้าวร้าวขัดขืนขึ้นสิบเวรจึงเกิดความโมโห และได้ถีบไปที่เอวของพลทหารนายนั้น หลังจากนั้นพลทหารที่เห็นเหตุการณ์จึงได้ไปรายงานให้ผู้บังคับกองร้อยทราบเรื่องในทันทีที่เกิดเหตุ และถ่ายวิดีโอไว้ดังที่ปรากฏในข่าว

ผู้บังคับกองร้อยได้แจ้งให้นายทหารเวรเข้าระงับเหตุในขั้นต้น พร้อมทั้งกักบริเวณสิบเวรดังกล่าว รวมถึงนำตัวพลทหารที่หลบหนีออกนอกหน่วยและมีอาการเมาสุรา ไปขัง ณ กองรักษาการณ์ เพื่อป้องกันการวิวาทและรอให้หายจากอาการมึนเมาจึงจะดำเนินการสอบสวน ปัจจุบันหน่วยอยู่ในระหว่างสอบสวนให้ได้ข้อเท็จจริง และจะดำเนินการลงโทษผู้กระทำผิดเมื่อได้ข้อสรุป ทั้งนี้กองทัพบกจะให้ความเป็นธรรมต่อทั้งสองฝ่าย โดยพิจารณาจากข้อเท็จจริง วินัยทหาร และระเบียบของทางราชการ โดยเมื่อการสอบสวนแล้วเสร็จจะแจ้งให้สังคมทราบต่อไป

(สุรินทร์) กองกำลังสุรนารี จัดกิจกรรม "สานสัมพันธ์ 3 ประเทศ ป้องกันภัยยาเสพติด" 

วันที่ 6 เมษายน 2567 ที่ ห้องประชุมบันทายศรี คณะวิทยาลัยการจัดการ ม.ราชภัฏสุรินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ กองกำลังสุรนารี โดย พลตรี ณัฎฐ์  ศรีอินทร์ ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี เป็นประธานในการจัดกิจกรรม "สานสัมพันธ์ 3 ประเทศป้องกันภัยยาเสพติด" และกล่าวต้อนรับ พลโท เจีย  โซะเพีย รองผู้บัญชาการทหารภูมิภาคที่ 4 และคณะฯจากประเทศกัมพูชา และ พันโท คำเฮ้า วงพม รองเสนาธิการ กองบัญชาการทหาร แขวงจำปาสัก และคณะฯ จาก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งมีวัตถุประสงค์การจัดกิจกรรม  เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์อันดี ในกลุ่มประเทศ ไทย ลาว และกัมพูชา ในระดับผู้นำเยาวชน เพื่อสร้างเครือข่ายในการประสานความร่วมมือและแก้ไขปัญหาในทุกมิติ

เพื่อให้เยาวชนรุ่นใหม่ได้ตระหนักถึงปัญหาของยาเสพติด และกำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาร่วมกันในอนาคต เพื่อให้ทั้ง 3 ประเทศ พัฒนาความสัมพันธ์ได้อย่าง โดยมี ผู้เข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 117 คน แยกเป็น มัธยมศึกษาตอนปลาย 31 คน อุดมศึกษา 76 คน เยาวชนจากกัมพูชา จำนวน 47 คน เยาวชนจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จำนวน 40 คน เยาวชนจากไทย จำนวน 30 คน ในห้วงที่ผ่านมา วันที่ 5 เมษายน 2567 เป็นการจัดกิจกรรมสันทนาการ

โดยวิทยากรจาก มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์  เพื่อสร้างความคุ้นเคยและทำความรู้จักกัน และดำเนินการการสัมมนาในหัวข้อ "อนาคตไทย ลาว กัมพูชา ในการจับมือแก้ไขปัญหายาเสพติดและการพัฒนาร่วมกัน ในมุมที่เยาวชน คนรุ่นใหม่อยากเห็น" การศึกษาดูงานโครงการทหารพันธุ์ดี กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 23 และในห้วงของวันที่ 6 เมษายน 2567 เป็นการเดินทางไปศึกษาดูงานศูนย์คชศึกษา และร่วมกันการแถลงผลการสัมมนา จากแต่ละประเทศ ให้ผู้นำแต่ละประเทศได้รับฟัง ในช่วงบ่ายได้มีการ จัดการแข่งขันกีฬา ประกอบไปด้วยกีฬา ตีกอล์ฟ VIP กีฬาฟุตบอล กีฬาวอลเลย์บอล และกีฬาเบตอง ในวันที่ 7 เมษายน 2567 ได้จัดกิจกรรม ตักบาตรร่วมกันก่อนเดินทางกลับภูมลำเนาแต่ละประเทศ 

ปุรุศักดิ์  แสนกล้า ข่าว//ภาพ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตือน 5 สิ่งที่จะต้องเจอ เมื่อรับจ้างเปิดบัญชีม้า

วันนี้ (7 เมษายน 2567) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมาพบว่ากลุ่มมิจฉาชีพมักใช้บัญชีม้าเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด เพื่อถ่วงเวลาเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสืบสวนและอายัดเงินที่ได้จากการกระทำความผิด

วิธีการได้มาซึ่งบัญชีม้าเหล่านี้ เกิดจากการที่มีผู้ที่หวังแต่ประโยชน์ส่วนตน เห็นว่าการขายบัญชีธนาคารเป็นวิธีการที่ได้เงินมาง่าย และไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย โดยไม่ได้คำนึงถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นหากบัญชีธนาคารดังกล่าวถูกนำไปใช้โดยกลุ่มมิจฉาชีพ ทำให้ปัจจุบันได้มีการออก พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองประชาชนผู้สุจริตซึ่งถูกหลอกลวงจนสูญเสียไปซึ่งทรัพย์สิน และกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยได้กำหนดโทษของการยินยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีเงินฝากฯ และหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตน โดยรู้หรือควรจะรู้ได้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิด หรือซิมผี บัญชีม้า

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขอเตือนที่น้องประชาชน ถึง 5 สิ่งที่จะเกิดขึ้น หากท่านรับจ้างเปิดบัญชีม้า ดังต่อไปนี้
1. ถูกดำเนินคดี ตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 มาตรา 9 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

2. ถูกดำเนินคดีตามฐานความผิดที่มิจฉาชีพนำบัญชีท่านไปใช้ ในฐานะเป็นตัวการร่วม หรือผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด

3. มีประวัติอาชญากรรรมติดตัว

4. ถูกดำเนินคดีหลายท้องที่ ตามที่มิจฉาชีพได้นำไปใช้หลอกลวงผู้เสียหาย

5. ถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งจากผู้เสียหาย

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนเคยหลงเชื่อขายบัญชีธนาคาร หรือซิมโทรศัพท์มือถือให้กับบุคคลอื่นไปแล้ว ให้รีบไปติดต่อกับธนาคารเพื่อขอปิดบัญชีธนาคารดังกล่าวโดยเร็ว เพื่อหยุดวงจรฉ้อโกงออนไลน์ ที่สร้างความเสียหายให้กับพี่น้องประชาชน 

สุดท้ายนี้ หากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ บนเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือสายด่วน 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top