Thursday, 5 June 2025
TheStatesTimes

‘รัฐบาลเศรษฐา’ เตรียมแถลงนโยบายต่อรัฐสภาฯ 8 ก.ย.นี้ ภายใต้สโลแกน ‘1 กระตุ้น 3 เร่ง 3 สร้าง’ หวังคนไทยมีชีวิตดีขึ้น

(5 ก.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 8 กันยายน 2566 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมแถลง ‘นโยบายรัฐบาล’ ครม.เศรษฐา 1 ต่อรัฐสภา โดยการแถลงนโยบายของรัฐบาลในครั้งนี้ต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญมาตรา 162 ที่กำหนดให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภาให้สอดคล้องกับหน้าที่ของรัฐ แนวนโยบายแห่งรัฐ และยุทธศาสตร์ชาติ และต้องชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้ที่จะนํามาใช้จ่ายในการดําเนินนโยบาย โดยไม่มีการลงมติความไว้วางใจ ภายใน 15 วันนับแต่วันเข้ารับหน้าที่

แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า นโยบายรัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่จะแถลงต่อรัฐสภา มีนโยบายสำคัญภายใต้สโลแกน ‘1 กระตุ้น 3 เร่ง 3 สร้าง’ โดยมีความมุ่งหมายให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และสร้างโอกาสในการหารายได้ ดังนี้

>> นโยบายรัฐบาล 1 กระตุ้น 

นโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital Wallet) 10,000 บาท ให้คนไทยทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป สำหรับจับจ่ายใช้สอยสินค้าที่จำเป็นในการดำรงชีวิต ในร้านค้าชุมชนและบริการที่อยู่ในรัศมี 4 กิโลเมตร เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและกระจายรายได้สู่ชุมชน โดยกระเป๋าเงินดิจิทัลจะมีอายุการใช้งาน 6 เดือน เพื่อให้เกิดเงินหมุนเวียน กระตุ้นเศรษฐกิจใหญ่

>> นโยบายรัฐบาล 3 เร่ง

1. นโยบายเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยรัฐบาลยังคงรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยจะมีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนและผ่านขั้นตอนการออกเสียงลงประชามติโดยประชาชน

2. นโยบายเร่งลดหนี้ประชาชน ด้วยการพักหนี้เกษตรกร 3 ปี เพื่อลดภาระเกษตรกรในการชำระหนี้จากความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ 3 ปี และพักหนี้ธุรกิจที่เกิดร้อนจากโควิด 1 ปี รวมทั้งสนับสนุน Pico Finance เพื่อแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ

3. นโยบายเร่งลดราคาพลังงาน ลดค่าครองชีพประชาชน โดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ระบุว่า แนวทางการดำเนินการในเรื่องราคาพลังงานนั้นมีเรื่องหลัก ๆ ที่ต้องเร่งดำเนินการ คือ ราคาน้ำมัน และ ราคาไฟฟ้า เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและเป็นธรรมกับประชาชน อีกทั้งยังช่วยค่าครองชีพอื่น ๆ เพราะพลังงานเป็นต้นทุนการผลิตสินค้าเครื่องอุปโภคบริโภค 

>>นโยบายรัฐบาล 3 สร้าง

1. นโยบายสร้างรายได้ อาทิ การสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว ด้วยการขับเคลื่อนท่องเที่ยวในทุกมิติ อาทิ ฟรีวีซ่า, การบริหารจัดการ (Operations)ของสนามบินเอง, การจัดการเที่ยวบิน (Flight), การลำเลียงกระเป๋า และกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง โดยตั้งเป้าหมายประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจาก 1.9 ล้านล้านบาท เป็น 3.3 ล้านล้านบาท ภายในปี 2567

ขณะเดียวกันก็จะเร่งการสร้างรายได้จากการค้าการลงทุน ด้วยการใช้นโยบาย ‘การต่างประเทศเพื่อเศรษฐกิจ’ ดึงดูดนักลงทุนรายใหญ่ระดับโลกเข้ามาลงทุนในไทย เร่งเจรจาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ให้ได้มาซึ่งแหล่งก๊าซธรรมชาติราคาถูก

นอกจากยังมีนโยบายเพิ่มรายได้เกษตรกร และราคาสินค้าเกษตร ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการเกษตร แปรรูป ลดต้นทุน ปรับวิธีการผลิต ใช้ตลาดนำการผลิต ปรับเปลี่ยนการปลูกพืชที่ใช้น้ำมากที่จะได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญที่จะก่อให้เกิดปัญหาภัยแล้ง มาเป็นการปลูกพืชเพื่อการปศุสัตว์ หรือพืชเพื่อการเลี้ยงสัตว์ แทนการนำข้าจากต่างประเทศ ควบคู่กับการการสร้างโอกาสใหม่ ๆ เช่นการเลี้ยงโคเพื่อส่งออก รวมไปถึงนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท เงินเดือนคนจบปริญญาตรี 25,000 บาท

2. นโยบายสร้างโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำ เช่น การแจกโฉนดที่ดินให้แก่เกษตรกร แก้กฎหมายที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ให้นำไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันและเปลี่ยนมือได้ แต่ยังคงไว้ซึ่งวัตถุประสงค์ของการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตร เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าหาแหล่งทุนของเกษตรกร

ส่งเสริมการปลูกพืชยืนต้น เพื่อเป็นคาร์บอนด์เครดิต นโยบายส่งเสริม SME ด้วยการสนับสนุนและอุดหนุนภาระต้นทุนของผู้ประกอบการ ผลักดันแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ ลดการผูกขาดทางธุรกิจอันเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของ SME

นอกจากนี้จะมีการปรับปรุงระบบประกันสุขภาพ 30 บาท ด้วยการนำระบบเทคโนโลยีมายกระดับการให้บริการ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายแก่ประชาชนมากขึ้น รวมทั้งจะเร่งผลักดันรัฐบาลดิจิทัล ให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ประชาชนได้บริการที่ดีขึ้น ประหยัดเงิน ประหยัดเวลา

3. นโยบายสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เช่น การแก้ปัญหายาเสพติด ด้วยการจัดกลุ่มผู้เสพ คือ ผู้ป่วย ต้องดูแลรักษา ฟื้นฟูให้มีอาชีพกลับเข้าไปทำงานให้ได้ แต่จะจัดการกับผู้ค้า ผู้ผลิต ด้วยการนำกฎหมายยึดทรัพย์มาเป็นเครื่องมือสำคัญในการหยุดยั้งยาเสพติด รวมถึงนโยบายแก้ไขกฎหมายยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ให้เข้ารับราชการทหารโดยสมัครใจ

นอกจากนี้ยังมีนโยบายยกระดับคุณภาพการศึกษาทั้งระบบ ภายใต้หลักปรัชญา ‘เรียนรู้เพื่อรายได้’ ด้วยการปรับหลักสูตรต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับการสร้างรายได้ สร้างกลไกพิเศษให้ภาครัฐและเอกชนทำงานร่วมกัน ควบคู่กับการผลักดันนโยบาย soft power ในด้านต่าง ๆ

‘พาณิชย์’ เร่งแก้วิกฤต ‘มังคุด’ คุณภาพลด-ราคาตก กก.ละ 8 บาท พร้อมรับฟังปัญหาเกษตรกร-หารือผู้ประกอบการ ร่วมกันหาทางออก

(5 ก.ย. 66) ‘พาณิชย์’ ลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ติดตามสถานการณ์มังคุด และรับฟังข้อเรียกร้องจากเกษตรกร พร้อมประสานผู้ประกอบการ ผู้ส่งออก ผู้รวบรวม เข้ารับซื้อผลผลิตในช่วงนี้เพิ่มขึ้น และเร่งกระจายออกไปยังตลาดปลายทาง ทั้งห้างท้องถิ่น โมบายพาณิชย์ ช่วยระบายผลผลิตอีกทาง เผยช่วงนี้เป็นปลายฤดู ผลผลิตคุณภาพลด ดอกดำ หรือแข็ง มีมากขึ้น ด้านประธานแปลงใหญ่นครศรีธรรมราชยัน มังคุด กก.ละ 8 บาท เป็นเกรดคัดทิ้ง

นายกรนิจ โนนจุ้ย รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมได้ลงพื้นที่ กลุ่มมังคุดชะอวดพูนผล อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช เพื่อรับฟังปัญหากรณีเกษตรกรชาวสวนมังคุดได้รับความเดือดร้อน จากราคามังคุดตกต่ำ ว่า กรมยืนยันว่าไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด จึงได้ลงพื้นที่มาเพื่อติดตามสถานการณ์และรับฟังข้อเรียกร้องของพี่น้องเกษตรกร และยังได้ประสานผู้ประกอบการ ผู้ส่งออก ผู้รวบรวม เข้ารับซื้อผลผลิตในช่วงนี้เพิ่มขึ้น รวมถึงเร่งเปิดจุดปลายทางเพิ่มขึ้นทั้งห้างท้องถิ่น และโมบายพาณิชย์ เพื่อช่วยระบายผลผลิต และให้พี่น้องเกษตรกรมั่นใจว่าราคามังคุดจะมีเสถียรภาพจนจบฤดูกาล

ส่วนการตรวจสอบมังคุดที่เกษตรกรส่วนหนึ่งนำมาเททิ้งนั้น ได้รับรายงานจากสำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครศรีธรรมราชว่า เป็นมังคุดช่วงปลายฤดูกาลผลิต ที่ผลผลิตมีคุณภาพลดลง มังคุดตกเกรด ดอกดำ หรือแข็ง และเป็นเกรดที่ส่วนใหญ่ต้องคัดทิ้ง ซึ่งมีปริมาณมากขึ้น และส่งผลให้ราคาปรับตัวลดลง แต่กรมยืนยันว่าจะเข้าไปดูแลอย่างเต็มที่ต่อไป

ทั้งนี้ จากการเข้ามาดูแลพี่น้องเกษตรกร ส่งผลให้ราคารับซื้อมังคุดยังคงมีเสถียรภาพ โดยราคารับซื้อปัจจุบันราคานอกกลุ่มประมูล เกรดมันรวม 30-35 บาท/กิโลกรัม (กก.) เกรดคละ 20-25 บาท/กก. ขณะที่ราคากลุ่มประมูล เกรดมันใหญ่ 35-40 บาท/กก. เกรดมันเล็ก 20-28 บาท/กก. เกรดลายใหญ่ 25-30 บาท/กก. เกรดตกไซส์ บวกดอก 17-20 บาท/กก. และเกรดดำ 15-15.10 บาท/กก.

ก่อนหน้านี้ ในช่วงฤดูการผลิตมังคุดภาคใต้ กรมได้ดำเนินการประสานผู้ประกอบการ ผู้ส่งออก ผู้รวบรวม เข้ารับซื้อมังคุดใต้ผ่านกลไกต่าง ๆ ได้แก่ ทำสัญญาข้อตกลงปริมาณ 27,450 ตัน เปิดจุดจำหน่ายทั่วประเทศ 220 จุด ที่ห้างท้องถิ่น และ 100 จุดที่โมบายพาณิชย์ มีการรับซื้อปริมาณรวม 1,000 ตัน และในช่วงราคาปรับตัวลดลง ก็ได้ประสานผู้ประกอบการ ผู้รวบรวม และผู้ส่งออกเข้าไปรับซื้อมังคุดอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาระดับราคาในกลุ่มประมูลและจากเกษตรกรโดยตรง ซึ่งผลดำเนินการ ทำให้ราคามังคุดยังคงมีเสถียรภาพจนถึงปัจจุบัน

ร้อยตรีอรุณ บุญวงศ์ ประธานแปลงใหญ่มังคุดจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า ปีนี้คุณภาพมังคุดมีปัญหา จากสภาพลมฟ้าอากาศไม่เอื้ออำนวย อากาศแล้งมาก มังคุดที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะได้ลูกเกรด A B มาก กลายเป็นลูกมังคุดตกเกรด คิดเป็น 20% ของผลผลิตทั้งหมด จากเดิมมีเพียงแค่ 5% ซึ่งต้องขอบคุณกรมการค้าภายในที่พาผู้ประกอบการเข้ามาช่วยซื้อตั้งแต่แรกถึงตอนนี้ ถือว่าเป็นช่วงที่เลยช่วงระยะพีคแล้ว เป็นช่วงปลายฤดูสุดท้ายแล้ว

“ที่มีข่าวเกษตรกรที่ไปเทมังคุดทิ้ง เพราะเหลือ กก.ละ 8 บาท เป็นมังคุดตกเกรด คือ รวมลูกทุกชนิด คุณภาพไม่ได้ ถ้าคัดก็ได้แค่ครึ่งเดียว ซึ่งเคยเสนอไปแล้วให้ระมัดระวัง เพราะถ้ามีการนำมังคุดที่เก็บลูกหล่น หรือที่กินไม่ได้ ใส่ไปขายด้วย คนซื้อที่ซื้อไปส่งล้ง ก็โดนคัดออกเยอะ เมื่อคุณภาพไม่ได้ ราคามันก็ลง และพาราคาลูกที่ดีลงไปด้วย ส่วนราคาในกลุ่มประมูลตอนนี้ เกษตรกรยังรับได้ ส่วนที่ราคาต่ำลงบ้าง ก็เป็นไปตามกลไกตลาด ที่ตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดู ผลผลิตอาจคุณภาพไม่ดี โดยที่ประมูลในกลุ่มไม่มีปัญหา ส่วนที่มีปัญหาเป็นพ่อค้ารายย่อยที่ไม่เข้าร่วมกลุ่ม แต่กรมการค้าภายใน ก็พยายามเข้ามาช่วยตลอด ตอนนี้ก็เข้ามาช่วยดูแลแล้ว” ร้อยตรีอรุณ กล่าว

‘Universal Music Group’ โพสต์ภาพ ‘ลิซ่า’ ในไอจี ตอกย้ำกระแสข่าวลือ ‘ลิซ่า’ ไม่ต่อสัญญาต้นสังกัดเดิม

ยังคงเป็นประเด็นร้อนในวงการเคป็อป รวมถึงอุตสาหกรรมวงการบันเทิงทั่วโลกต่างจับตามองกันเป็นอย่างมาก หลังวงเกิร์ลกรุ๊ปไอคอนแห่งยุค BLACKPINK กำลังจะหมดสัญญากับทางค่าย YG Entertainment ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีประกาศอะไรอย่างเป็นทางการออกมา แต่คาดว่าน่าจะไม่เกินสิ้นเดือนนี้ ท่ามกลางกระแสข่าวการต่อสัญญาของเมมเบอร์แต่ละคน รวมไปถึงสมาชิกชาวไทย ลิซ่า ลลิษา มโนบาล ที่เป็นข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องสัญญาต่าง ๆ มากมาย

ล่าสุด ค่ายเพลงชื่อดังระดับโลก UMG หรือ Universal Music Group ได้ทำการโฟสต์รูปภาพของไอดอลสาวสุดฮอตที่กำลังเที่ยวทะเลอยู่ พร้อมระบุข้อความสั้น ๆ ว่า Lalisa พร้อมอิโมจิรูปหัวใจสีฟ้า ซึ่งหลังจากที่โพสต์ดังกลาวได้ปรากฏออกไปนั้น ได้กลายเป็นที่ถูกล่าวถึงทันที เพราะเหมือนเป็นการตอกย้ำกระแสข่าวลือว่า สาวลิซ่าอาจจะไม่ต่อสัญญากับค่าย YG Entertainment

ซึ่งหากใครไม่คุ้นชื่อค่ายนี้ แต่น่าจะรู้จักศิลปินระดับโลกอย่าง เทยเลย์ สวิฟต์, เลดี้ กาก้า, มารูนไฟว์ และ จัสติน บีเบอร์ ศิลปินระดับโลกเหล่านี้อยู่ค่ายนี้ทั้งหมด โดยค่าย UMG มีเจ้าของคือ Vivendi สื่อชั้นนำของประเทศฝรั่งเศส ที่ผลิตคอนเทนต์แบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นสื่อโทรทัศน์ โฆษณา เพลง และเกม

หากย้อนไปก่อนหน้านี้ ลิซ่า ยังเคยทำงานกับ Interscope Records ค่ายในเครือ Universal Music Group ที่เป็นผู้จัดจำหน่ายงานของ BLACKPINK นอกทวีปเอเชีย อย่างไรก็ตาม รูปที่โพสต์ไปนั้น นอกจากจะมีการแท็กไอจีลิซ่าแล้ว ยังมีการแท็กไอจีวง BLACKPINK อีกด้วย แถมที่ผ่านมาค่ายดังกล่าวก็ยังโพสต์ภาพของสาวลิซ่าอยู่เรื่อย ๆ ทั้งนี้อนาคตของสาวลิซ่า จะไปในทิศทางไหน คงต้องรอติดตามกันต่อไป

ผบ.ตร. เป็นประธานพิธีมอบทุนการศึกษาต่อเนื่องแก่บุตรข้าราชการตำรวจ ของสมาคมแม่บ้านตำรวจ และทุนการศึกษาของมูลนิธิสงเคราะห์ข้าราชการตำรวจและครอบครัว มากกว่า 1,200 ทุน มุ่งส่งเสริมการศึกษาให้เยาวชน และสร้างขวัญกำลังใจข้าราชการตำรวจ

วันนี้ (5 ก.ย.66) เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานพิธีมอบทุนการศึกษามูลนิธิสงเคราะห์ข้าราชการตำรวจและครอบครัว และทุนการศึกษาตามโครงการมอบทุนการศึกษาบุตรข้าราชการตำรวจ ของสมาคมแม่บ้านตำรวจ ประจำปี 2566 ณ ห้องประชุม ศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีคุณสุมนา กิตติประภัสร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ , ผู้บังคับบัญชาระดับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ ร่วมพิธี

สำหรับทุนการศึกษาตามโครงการมอบทุนการศึกษาบุตรข้าราชการตำรวจ ของสมาคมแม่บ้านตำรวจ ประจำปี 2566 ที่ ผบ.ตร.เป็นประธานมอบในวันนี้ ประกอบด้วย 2 ประเภททุนการศึกษา ได้แก่ทุนการศึกษาบุตรข้าราชการตำรวจเรียนดี สายวิชาชีพอนุปริญญา (ต่อเนื่องไม่เกิน 2 ปี) จำนวน 3 ทุนๆ ละ 25,000 บาท เป็นเงิน 150,000 บาท และทุนการศึกษาบุตรข้าราชการตำรวจเรียนดี ระดับอุดมศึกษา (ต่อเนื่องไม่เกิน 4 หรือ 6 ปี) จำนวน 113 ทุนๆ ละ 40,000 บาท เป็นเงิน 19,440,000 บาท 

ในปี 2566 นี้ สมาคมแม่บ้านตำรวจได้จัดทำโครงการมอบทุนการศึกษาบุตรข้าราชการตำรวจ ประจำปี 2566 เพื่อส่งเสริมการศึกษาให้กับเยาวชนซึ่งเป็นบุตรข้าราชการตำรวจ โดยแบ่งประเภททุนเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 
1. ทุนการศึกษาบุตรข้าราชการตำรวจที่เสียชีวิต บาดเจ็บ พิการ ทุพพลภาพ จากการปฏิบัติหน้าที่ จำนวน 10 ทุนๆ ละ 50,000 บาท เป็นเงิน 500,000 บาท
2. ทุนการศึกษาบุตรข้าราชการตำรวจประพฤติดี ขาดแคลนทุนทรัพย์ ซึ่งทุนประเภทนี้ จำนวน 2,201 ทุนๆ ละ 3,000 บาท เป็นเงิน 6,603,000 บาท
ซึ่งทุนการศึกษาประเภทที่ 1-2 ผบ.ตร.เป็นประธานมอบทุนการศึกษา เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2566 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมเป็นเงิน  7,103,000 บาท
3. ทุนการศึกษาบุตรข้าราชการตำรวจเรียนดี สายวิชาชีพอนุปริญญา (ต่อเนื่องไม่เกิน 2 ปี) จำนวน 3 ทุนๆ ละ 25,000 บาทต่อปี เป็นเงิน 150,000 บาท
4. ทุนการศึกษาบุตรข้าราชการตำรวจเรียนดี ระดับอุดมศึกษา (ต่อเนื่องไม่เกิน 4 หรือ 6 ปี) จำนวน 113 ทุนๆ ละ 40,000 บาทต่อปี เป็นเงิน 19,590,000 บาท 

ซึ่งทุนประเภทที่ 3 และ 4 มีการมอบในวันนี้ รวมเป็นเงิน  19,590,000 บาท โดยในปี 2566 นี้ ทางสมาคมแม่บ้านตำรวจได้เพิ่มทุนการศึกษา 2 ประเภทนี้ จากปี 2565 จำนวน 81 ทุน ปี 2566 เพิ่มอีกจำนวน 35 ทุน รวมเป็น 116 ทุน เพื่อเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาแก่บุตรข้าราชการตำรวจได้มากขึ้น โดยมีบุตรข้าราชการตำรวจได้รับทุนการศึกษา จำนวน 18 หน่วย 3 ลำดับแรกที่ได้รับทุนการศึกษา เป็นบุตรข้าราชการตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรภาค 3, กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน และตำรวจภูธรภาค 5 ทั้งนี้ รวมทั้ง 4 ประเภททุนการศึกษาที่สมาคมแม่บ้านตำรวจมอบให้กับบุตรข้าราชการตำรวจในปี 2566 จำนวน 2,327 ทุนรวมมูลค่า 26,693,000 บาท

นอกจากนี้ ในวันนี้ ผบ.ตร.ได้มอบทุนการศึกษามูลนิธิสงเคราะห์ข้าราชการตำรวจและครอบครัว ให้แก่บุตรข้าราชการตำรวจตั้งแต่ชั้นยศร้อยตำรวจเอกลงมา ที่กำลังศึกษาระดับประถมศึกษาถึงปริญญาตรี ประจำปีการศึกษา 2565 จำนวน 1,173 ทุน จำนวน 8,554,000 บาท โดยในวันนี้มีผู้แทนหน่วยงานที่รับทุนการศึกษา จำนวน 11 หน่วย และบุตรของข้าราชการที่กำลังศึกษาระดับปริญญาตรีในสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร เป็นตัวแทนรับทุนครั้งนี้ จำนวน 11 ราย ส่วนที่เหลือจะดำเนินการโอนเงินเข้าบัญชีของหน่วย จำนวน 37 หน่วยงาน ในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามจำนวนที่ได้รับจัดสรร เพื่อนำไปจ่ายให้แก่บุตรของข้าราชการตำรวจในสังกัดต่อไป 

คุณสุมนา กิตติประภัสร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ กล่าวว่า สมาคมแม่บ้านตำรวจดำเนินการตามนโยบายของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ให้ความสำคัญด้านสวัสดิการของข้าราชการตำรวจและครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การช่วยเหลือด้านการศึกษาบุตรข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อย ที่เป็นกำลังพลส่วนใหญ่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยสมาคมแม่บ้านตำรวจขอขอบคุณสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ให้การสนับสนุนเงินจากมูลนิธิสงเคราะห์ข้าราชการตำรวจและครอบครัว และมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ ที่เห็นคุณค่าของการศึกษา และมีเจตนารมณ์ที่จะให้การสนับสนุนทุนการศึกษาแก่บุตรข้าราชการตำรวจ 

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. กล่าวว่า  ขอขอบคุณคณะกรรมการบริหารมูลนิธิสงเคราะห์ข้าราชการตำรวจและครอบครัว สมาคมแม่บ้านตำรวจ และมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ ที่ร่วมสนับสนุนทุนการศึกษา และยินดีกับผู้ได้รับทุนการศึกษาและครอบครัวทุกท่าน ตนดีใจที่ได้เห็นความร่วมมือและน้ำใจจากทุกฝ่าย ที่สนับสนุนโอกาสทางการศึกษา เป็นการช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ข้าราชการตำรวจ นอกเหนือจากสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากทางราชการ พร้อมขอฝากถึงเด็กๆ ทุกคนว่า เมื่อได้รับโอกาสที่ดีนี้แล้ว ขอให้รักษาโอกาสนี้ไว้ ตั้งใจเรียน รักษามาตรฐานผลการเรียนให้สม่ำเสมอ ให้เป็นผู้ที่เรียนดีด้วย และประพฤติดีด้วย ฝักใฝ่ในสิ่งที่ดี ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทางที่ถูกที่ควร ให้เป็นที่ภาคภูมิใจว่า เราเป็นลูกตำรวจที่น่าชื่นชม เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพ เป็นอนาคตที่ดีของประเทศชาติ

OR เล็งธุรกิจโรงแรมในสถานีบริการน้ำมัน วางเฟสแรก 20 แห่ง รายได้ 1,000 บาท /ห้อง/คืน

เมื่อเช้านี้ มีกระแสข่าวว่า OR กำลังสนใจเข้าลงทุนในธุรกิจโรงแรมสไตล์ญี่ปุ่นเพื่อเปิดบริการในสถานีบริการน้ำมัน แบบราคาประหยัด 1,000 บาทต่อคืน

โดยผู้บริหารให้ข้อมูลว่าอยู่ระหว่างศึกษาธุรกิจโรงแรมขนาดเล็กในสถานีบริการน้ำมัน โดนคาดว่าระยะแรกจะเปิดให้บริการ 20 แห่ง แต่ละแห่งมีห้อง 60-80 ห้อง คาดว่า จะมีรายได้ราว 1,000 บาทต่อห้องต่อคืน

รวมถึงการเข้าลงทุนในธุรกิจ Health & Beauty โดยนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาขายในไทย

คำถาม คือ ถ้าเราเห็นธุรกิจโรงแรมในสถานีบริการน้ำมัน PTT จริงๆจะถือเป็น New S Curved มากแค่ไหนต่อกลุ่ม OR

คำตอบคือ ไม่ได้เยอะมาก ...

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์หยวนต้า มองว่าธุรกิจโรงแรมในช่วงระยะเริ่มต้น น่าจะสร้างรายได้ให้ OR ราว ๆ 200 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่า 1% ของรายได้ทั้งรวมทั้งหมด ทำให้ไม่มีนัยสำคัญอะไรมากนักในระยะสั้น จนถึงกลางต่อภาพรวมธุรกิจ

อีกทั้ง ธุรกิจนำเข้าสินค้าประเภท Health & Beauty ก็มีคู่แข่งจำนวนมาก ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นไม่สูง ไม่น่าจะสร้างกำไรที่มีนัยสำคัญอะไรให้กับ OR

ดังนั้น มีความเป็นไปได้ไหมที่เราจะเห็นโรงแรมในสถานีบริการน้ำมัน แต่ในภาพของธุรกิจ ไม่น่าจะส่งผลเชิงบวกมากนักในระยะแรก

‘โฆษกสภาความมั่นคง สหรัฐฯ’ ขู่คว่ำบาตรเกาหลีเหนือ หลัง ‘ผู้นำคิม’ จ่อพบ ‘ปูติน’ หารือหนุนอาวุธสู้ศึกยูเครน

(5 ก.ย. 66) สื่อสหรัฐฯ รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ‘นายคิม จอง อึน’ ผู้นำเกาหลีเหนือ มีแผนที่จะเดินทางเยือนรัสเซียในเดือนกันยายนนี้ เพื่อพบหารือกับประธานาธิบดี ‘วลาดิมีร์ ปูติน’ ของรัสเซีย เกี่ยวกับความเป็นไปได้ ที่เกาหลีเหนือจะจัดหาอาวุธให้รัสเซีย เพื่อสนับสนุนการทำสงครามในยูเครน

อย่างไรก็ดี บีบีซีระบุว่า ยังไม่มีการแสดงความเห็นใดๆ เกี่ยวกับรายงานข่าวดังกล่าว และสถานที่ของการพบกันที่แน่นอนก็ยังคงไม่มีความชัดเจนเช่นกัน แต่นิวยอร์กไทม์สรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า มีแนวโน้มสูงมากที่สุดที่ผู้นำคิมจะเดินทางด้วยรถไฟหุ้มเกราะ

นายจอห์น เคอร์บี โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติประจำทำเนียบขาว กล่าวว่า นายเซอร์เก ซอยกู รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย พยายามที่จะโน้มน้าวให้เกาหลีเหนือขายกระสุนปืนใหญ่ให้กับรัสเซีย ระหว่างที่เขาเดินทางเยือนเกาหลีเหนือครั้งล่าสุด

นายซอยกูซึ่งถือเป็นผู้แทนต่างชาติคนแรกที่นายคิม จอง อึน ให้การรับรองนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อเข้าชมการจัดงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ของเกาหลเหนือ ซึ่งรวมถึงขีปนาวุธฮวาซอง ซึ่งเชื่อว่าเป็นขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวปตัวแรกของเกาหลีเหนือ ที่ขับเคลื่อนโดยใช้เชื้อเพลิงแข็ง

เคอร์บีกล่าวว่า นับตั้งแต่การเยือนของซอยกู ผู้นำคิมและปูตินได้แลกเปี่ยนจดหมายกัน เพื่อให้คำมั่นที่จะเพิ่มความร่วมมือระหว่างสองประเทศ

“เราขอเรียกร้องให้เกาหลีเหนือยุติการเจรจาด้านอาวุธกับรัสเซีย และปฏิบัติตามคำมั่นสัญญานที่เคยประกาศไว้ว่าจะไม่จัดหาหรือขายอาวุธให้กับรัสเซีย” นายเคอร์บีกล่าว และเตือนว่า สหรัฐฯ จะดำเนินการต่างๆ ซึ่งรวมถึงการคว่ำบาตร หากเกาหลีเหนือจัดหาอาวุธให้กับรัสเซียด้วย

ขณะเดียวกันก็มีความกังวลทั้งในสหรัฐฯ และเกาหลีใต้เกี่ยวกับสิ่งตอบแทนที่เกาหลีเหนือจะได้รับจากข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งอาจส่งผลให้มีการเพิ่มความร่วมมือทางทหารระหว่างเกาหลีเหนือและรัสเซียมากขึ้น

ความกลัวอีกประการหนึ่งคือรัสเซียจะสามารถจัดหาอาวุธให้กับเกาหลีเหนือได้ในอนาคต ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกาหลีเหนือต้องการอาวุธเหล่านี้มากที่สุด และที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ ‘คิม จอง อึน’ อาจขอให้ปูตินจัดหาเทคโนโลยีหรือความรู้เกี่ยวกับอาวุธ ที่มีความก้าวหน้าสูงให้กับเกาหลีเหนือ เพื่อที่จะได้มีพัฒนาการสำคัญในโครงการอาวุธนิวเคลียร์

นิวยอร์กไทม์สรายงานว่า การพบกันระหว่างผู้นำทั้งสองอาจเกิดขึ้นที่เมืองวลาดิวอสต็อก ริมชายฝั่งทะเลทางตะวันออกของรัสเซีย โดยมีรายงานว่าเมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านา เจ้าหน้าที่ของเกาหลีเหนือได้เดินทางไปยังวลาดิวอสต็อกและมอสโก ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอภัยที่ดูแลเกี่ยวกับการเดินทางของผู้นำเกาหลีเหนือ จึงเป็นสัญญานที่ชัดเจนถึงการเตรียมการในเรื่องดังกล่าว

ก่อนหน้านี้ เกาหลีเหนือและรัสเซียเคยออกมาปฏิเสธอย่างชัดเจนว่า เปียงยางไม่ได้จัดหาอาวุธให้กับรัสเซียเพื่อใช้ในสงครามยูเครน

‘นิพนธ์ บุญญามณี’ รับเข็มเชิดชูเกียรติพระราชทาน  ผู้สนับสนุนฯ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ปี 58-60

(5 ก.ย. 66) ที่ห้องประชุมเพิ่มพูน โรงแรมเบญจพร แกรนด์วิว สงขลาในพิธีมอบเข็มเชิดชูเกียรติพระราชทานผู้สนับสนุนการดำเนินงานและกิจการของมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ปี 2560-2564 จังหวัดสงขลา นายเจษฎา จิตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เป็นประธานในพิธี โดยเป็นผู้เชิญเข็มพระราชทานวางบนพานหน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้ผู้เข้ารับแต่ละรายเข้ารับพระราชทานฯ

ทั้งนี้ นายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยได้รับเข็มเชิดชูเกียรติพระราชทานผู้สนับสนุนการดำเนินงานและกิจการของมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ในช่วงปี 2558 - 2560

นอกจากนี้ ยังมีผู้ได้รับเข็มเชิดชูเกียรติพระราชทานผู้สนับสนุนการดำเนินงานและกิจการของมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ปี 2560-2564 อีก 8 คน 

'บิ๊กลภ' ผู้การสมุทรปราการ จับมือ กต.ตร.จัดประชุม กต.ตร.สัญจร ​กระชับสัมพันธไมตรี ส่งเสริมพัฒนาข้าราชการตำรวจ ครั้งที่ 2

พล.ต.ต.ดร.พัลลภ แอร่มหล้า ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ ในฐานะรองประธานคณะกรรมการ (กต.ตร.) จังหวัดสมุทรปราการ จัดประชุม กต.ตร.สัญจร ครั้งที่ 2 ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นภายในร้านตลาดนัดเรือบิน ต.บางปลา อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระชับความสัมพันธไมตรีระหว่างคณะ กต.ตร.แต่ละ สภ.และเพื่อเป็นการส่งเสริมพัฒนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างข้าราชการตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ

ภายในงานประกอบด้วย นายสุดใจ จิรยาภากร ประธานที่ปรึกษา กต.ตร.จังหวัดสมุทรปราการ นายกิตติ ยงค์สงวนชัย นายเลิศศักดิ์ เลิศอริยานันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อริยะอีควิปเม้นท์ จำกัด และประธานที่ปรึกษา กต.ตร.สภ.บางพลี นายทรงพล ทองวิจิตร เจ้าของร้านอาหาร ลา คาแนล คาเฟ่ ตลอดจนคณะกรรมการ (กต.ตร.) ในสังกัดตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ ทั้ง 15 สถานี คณะแม่บ้านตำรวจ ตลอดจนนักธุรกิจ ผู้ประกอบการ และผู้กำกับการแต่ละ สภ. ร่วมในงานครั้งนี้ อีกทั้ง ยังได้รับการต้อนรับและเอื้อเฟื้อสถานที่จัดงาน โดยนายบัลลังก์ แตงอ่อน ประธานกรรมการบริหารตลาดนัดเรือบิน ที่เอื้อเฟื้อสถานที่จัดงาน

ด้าน พล.ต.ต.ดร.พัลลภ แอร่มหล้า ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ กล่าวว่า การประชุม กต.ตร.สัญจร ครั้งที่ 2 ที่จัดขึ้นในครั้งนี้ ถือเป็นการพบปะสังสรรค์ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น โดยเฉพาะทำความเข้าใจแนวทางการทำงานในยุคของการเปลี่ยนแปลง พร้อมยกระดับบริการประชาชน สร้างความปลอดภัยและลดปัญหาอาชญากรรม สนับสนุน และส่งเสริมการทำงานของข้าราชการตำรวจในสังกัดให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งข้าราชการตำรวจนั้นมีหน้าที่บำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้แก่พี่น้องประชาชนชาวสมุทรปราการ อีกทั้ง หน่วยงาน กต.ตร.เป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญ ที่ช่วยสนับสนุน ส่งเสริมการทำงานของข้าราชการตำรวจให้มีประสิทธิภาพอย่างสูงสุดต่อไป

จากนั้น พล.ต.ต.ดร.พัลลภ แอร่มหล้า ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ ได้มอบใบประกาศเกียรติคุณให้กับทางคณะกรรมการ (กต.ตร.) สภ.บางพลี เพื่อเป็นกำลังใจให้กับคณะ กต.ตร. ซึ่งบรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความอบอุ่น อีกทั้ง ภายในงานทาง กต.ตร.สภ.บางพลี ยังได้ออกมาร่วมร้องเพลงร่วมสร้างสีสันภายในงานได้ดีอีกด้วย โดยมี ร.ต.ต.หญิงพวงผกา สุขศรี ข้าราชการบำนาญ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย นายนรา ฟองเมือง โฆษก กต.ตร.สภ.สำโรงเหนือ มาร่วมเป็นพิธีกรภายในงานครั้งนี้ 

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บินตรงกัมพูชา ประสานงานกวาดล้างแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ต้นเหตุฆ่ายกครัวบางแก้ว

วันที่ (4 ก.ย. 66) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.พนัญชัย ชื่นใจธรรม ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.ศุภเศรษฐ์ โชคชัย รอง ผบช.ทท. และคณะ ได้เดินทางเยือนราชอาณาจักรกัมพูชา เพื่อประสานงานกับทางการกัมพูชา ในการประสานความร่วมมือเพื่อติดตามจับกุมกลุ่มผู้ต้องหาสมาชิกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับเหตุสลดฆ่ายกครัวในพื้นที่ สภ.บางแก้ว ภ.จว.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 28 ส.ค.66 ที่ผ่านมา เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายยังประเทศไทย

โดยในเวลา 11.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พร้อมคณะ ได้เดินทางเข้าพบ นายเชิดเกียรติ อรรถากร เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ เพื่อเข้าเยี่ยมคารวะในโอกาสเยือนราชอาณาจักรกัมพูชา และหารือเกี่ยวกับการช่วยเหลือคนไทยที่ถูกหลอกลวงให้เดินทางมาทำงานกับแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ในราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติไทยได้มีการปราบปรามแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์มาอย่างต่อเนื่อง และสามารถช่วยคนไทยที่ถูกหลอกลวงกลับไปได้เป็นจำนวนมาก ในการนี้ นายเชิดเกียรติ ได้แสดงความมั่นใจ และพร้อมตอบรับความมุ่งมั่นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการปราบปรามแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์อย่างจริงจัง และจะให้การสนับสนุนในการประสานงานช่วยเหลือคนไทยอย่างเต็มที่

ต่อมาเวลา 15.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พร้อมคณะ ได้เดินทางเข้าหารือร่วมกับ พล.ต.อ.ซอ เทต ผบ.ตร.กัมพูชา ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกัมพูชา เพื่อประสานความร่วมมือในการติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับของไทย ซึ่งกระทำผิดเกี่ยวกับแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ในการหลอกลวงคนไทยผ่านแอพเงินกู้ ซึ่ง พล.ต.อ.ซอ เทต พร้อมให้ความร่วมมือกับตำรวจไทยในการปราบปรามแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ อย่างที่ได้เคยประสานงานร่วมกันมาโดยตลอด ทั้งนี้จะได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกัมพูชาประสานข้อมูลกับเจ้าหน้าที่สืบสวนของไทยอย่างใกล้ชิด เพื่อติดตามจับกุมผู้ต้องหาทั้งชาวไทยและชาวจีนในขบวนการแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์นี้ให้ครบถ้วนทั้งหมด ซึ่งในคดีดังกล่าวได้มีการออกหมายจับผู้ต้องหารวมทั้งสิ้น 22 ราย ดำเนินการจับกุมและอายัดตัวแล้ว 11 ราย ยังหลบหนีอีก 11 ราย โดยในจำนวนนี้มีอยู่ 9 รายที่หลบหนีอยู่ที่ประเทศกัมพูชา ซึ่งจะอาศัยความร่วมมือกับทางการกัมพูชาในการจับกุมตัวมาดำเนินคดีในประเทศไทย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ในวันนี้ได้เดินทางมาประสานงานกับทางการกัมพูชา เพื่อแสวงหาความร่วมมือในการปราบปรามแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีฆ่ายกครัวของ สภ.บางแก้ว โดยวันนี้ได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะท่านเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ ซึ่งท่านพร้อมให้การสนับสนุนในการช่วยเหลือคนไทยที่ถูกหลอกลวงมาทำงานคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา นอกจากนี้ยังได้เข้าพบหารือร่วมกับ พล.ต.อ.ซอ เทต ผบ.ตร.กัมพูชา ซึ่งได้ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี รวมทั้งให้คำมั่นว่าจะประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับตำรวจไทย ในการติดตามจับกุมผู้ต้องหาแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ทั้งหมดทั้งชาวไทยและชาวจีน เพื่อร่วมมือกันปราบปรามปัญหาแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ให้หมดไป

มูลนิธิพระราหู โดย ดร.หิมาลัย และน้องชาย เข้าเยี่ยมครอบครัวส.ต.ท.สละชีพเพื่อชาติ มอบธงชาติ-เงินบำรุงขวัญ

เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 66 เวลา 14.00 น. ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ, พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.กมค. ในนามมูลนิธิพระราหู ร่วมกับ พล.ต.ต.อาชาน จันทร์ศิริ ผบก.ภ.จว.ปัตตานี, พ.ต.อ.พัฒนชัย ปาละสุวรรณ ผกก.สภ.หนองจิก จว.ปัตตานี ได้เดินทางเข้าพบ ครอบครัว ส.ต.ท. บุญกีนี ดือเระ ผบ.หมู (ป.) สภ.ยะรัง จว.ปัตตานี ผู้ปฏิบัติหน้าที่ สละชีพเพื่อชาติ ณ.บ้านเลขที่ 105 ม.3 ต.นาหว้า อ.จะนะ จว.สงขลา

เพื่อร่วมมอบธงชาติ เงินบำรุงขวัญ และพูดคุยให้กำลังใจ แก่ครอบครัว ส.ต.ท.บุญกีนี ดือเระ ที่เสียชีวิตจากเหตุระเบิด และยิงถล่มเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเหตุเกิดหน้าเทศบาลตำบลยะรัง จว.ปัตตานีเมื่อวันที่ 28 ส.ค.2566 ที่ผ่านมา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top