Wednesday, 11 June 2025
TheStatesTimes

‘แอร์ ภัณฑิลา’ คลอด ‘น้องฑิลาร์’ แล้ว พร้อมอวดความน่ารัก เหล่าคนบันเทิง-แฟนคลับ แห่คอมเมนต์ร่วมแสดงความยินดี

เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 66 พิธีกรสาวร่างเล็ก ‘แอร์-ภัณฑิลา ฟูกลิ่น’ คลอด ‘น้องฑิลาร์’ ลูกสาวคนแรก เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดย สาวแอร์ ได้เผยโฉมให้เห็นกันเป็นครั้งแรกผ่านไอจีส่วนด้วย ระบุว่า…

“𝐃𝐀𝐘𝟏 : เบบี๋ ฑิลาร์ รายงานตัวค้าาาา…🐰💖
#bunnytila🐰 #babytila🍼
#อ่อแอร์เอง #bunnyaire”

ในภาพจะเห็นคุณแม่มือใหม่ นอนอยู่บนเตียง พร้อมกับลูกสาวสุดน่ารักน่าชัง และมีสามี ‘ไอซ์-รัชชสิทธิ์ มั่นคงธนทรัพย์’ นักธุรกิจหนุ่มอยู่คอยเฝ้าให้กำลังใจไม่ห่าง

หลังจากโพสต์ไปไม่นาน มีดารา นักแสดง และแฟนคลับเข้ามาให้กำลังใจจำนวนมาก เช่น

- โยชิ รินรดา เข้ามาคอมเมนต์ว่า “ยินดีด้วยนะค้า”
- ปุ้มปุ้ย พรรณทิพา เข้ามาแสดงความคิดเห็นว่า “ยินดีด้วยน้าาาค้า”
- ดิว อริสรา เข้ามาแสดงความคิดเห็นว่า “On the rainy afternoon Tequila came to the world! มีคนแถวนี้พูด Soooooo Cute!”
- คิมเบอร์ลี่ นางเอกดัง เข้ามาแสดงความคิดเห็นว่า “Congratulations naka sisss” เป็นต้น

'สรยุทธ' หยิบภาพประสานใจ 'พิธา-หมอชลน่าน' โปรโมตละคร 'เกมรักทรยศ' เพราะใช้ภาพจริงไม่ได้

(24 ส.ค. 66) รายการ 'กรรมกรข่าว คุยนอกจอ' ดำเนินรายการโดย นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ต้องโปรโมตละคร 'เกมรักทรยศ' แต่ไม่สามารถใช้ภาพจากละครได้ เนื่องจากอาจโดนเรื่องลิขสิทธิ์ จึงใช้ภาพ ‘พิธา-หมอชลน่าน’ แทนในการโปรโมตละคร พร้อมกับโดยระบุว่า…

“ภาพประกอบก็ไม่มี แต่ก็อยากโปรโมตให้เหลือเกิน จำเป็นต้องโปรโมต เกมรักทรยศ เป็นเรื่องราวของชีวิตคู่ที่สงบสุข และสมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้าน ของหมอเจน (รับบทโดยแอน ทองประสม) จิตแพทย์ชื่อดัง กับสามีรูปหล่อชื่ออธิน (รับบทโดยอนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม) เจ้าของโรงแรมที่กำลังขาดทุน โดยหมอเจนเกิดความสงสัยว่าสามีจะมีชู้ เพราะเห็นเส้นผมปริศนาจากผ้าพันคอ และความจริงก็คือคนรอบตัวรู้เห็นเป็นใจให้สามีนอกใจหมอเจน”

นายสรยุทธกล่าวต่อว่า “ขอเดาว่า จะต้องมีการเอาคืน จะประมาณว่า ‘อย่าเพิ่งรีบตาย’ อย่าเพิ่งรีบเป็นอะไรไปนะ จริง ๆ เราจำเป็นต้องโปรโมตละครเรื่องนี้นะ”

ทั้งนี้ภาพที่นำขึ้นมาประกอบละคร ‘เกมรักทรยศ’ เป็นภาพ 8 พรรคร่วมรัฐบาลนำโดยพรรคก้าวไกล จัดแถลงข่าวที่พรรคประชาชาติ โดยในครั้งนั้นนายพิธาและหมอชลน่านได้ทำท่าประสานมือเป็นรูปหัวใจถ่ายรูปต่อหน้าสื่อมวลชน

ต่อมาเป็นภาพวันที่ก้าวไกลแถลงส่งไม้ต่อให้พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล และภาพเหตุการณ์วันที่พรรคภูมิใจไทย รวมไทยสร้างชาติ มาเยือนพรรคเพื่อไทย และดื่มเครื่องดื่ม ‘ช็อกมิ้นต์’ ด้วยกัน โดยตลอดช่วงที่โปรโมตละครใช้เพลง ‘คืนความสุขให้ประชาชน’ ก่อนที่จะมีคอมเมนต์ขอให้ปิดเพลง

‘บิ๊กตู่’ ถก ‘เศรษฐา’ ส่วนตัวกว่า 45 นาที พร้อมพาเยี่ยมชม ‘ตึกไทยคู่ฟ้า-เก้าอี้นายกฯ’

(24 ส.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการพูดคุย เสร็จสิ้น เมื่อเวลา 11.45 น. พล.อ.ประยุทธ์ได้พา นายเศรษฐา ทวีสิน เยี่ยมชมบริเวณภายในตึกไทยคู่ฟ้า โดยขึ้นชั้นสองไปดูห้องทำงาน เก้าอี้นายกฯ, ห้องสีงาช้าง แวะชม ภาพถ่ายอดีตนายกรัฐมนตรี และที่ตึกภักดีบดินทร์ อย่างอารมณ์ดีและยิ้มแย้มแจ่มใสทั้งสองคน

จากนั้นเวลา 11.55 น. ที่หน้าตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนที 30 ได้เดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาลด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส โดยมี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเดินมาส่ง เพื่อขึ้นรถบริเวณประตูด้านหน้าตึกไทยคู่ฟ้า โดยนายเศรษฐาได้ยกมือไหว้ขอบคุณพลเอกประยุทธ์ และพลเอกประยุทธ์ได้ยกมือรับไหว้ ซึ่งทั้งสองคนมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และไม่ได้ให้สัมภาษณ์ใด ๆ กับสื่อมวลชน เป็นการใช้เวลาพบปะพูดคุยกันรวม 45 นาที

ทั้งนี้การพูดคุยโดยใช้เวลาประมาณ 45 นาทีนั้นเป็นการพูดคุยระหว่างพลเอกประยุทธ์ และนายเศรษฐา เพียงสองคนเท่านั้นไม่มีนายพีระพันธุ์

‘มาย-อาโป’ ขึ้นแท่นนักแสดงฮอตระดับโลก สร้างมูลค่าสื่อให้แบรนด์หรูรวมกว่า 159 ลบ.

‘มาย-ภาคภูมิ ร่มไทรทอง’ และ ‘อาโป-ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์’ สองนักแสดงสุดฮอต เปิดเส้นทางในวงการบันเทิงนานกว่า 10 ปี จนกลายเป็นนักแสดงแถวหน้า สร้างมูลค่าสื่อให้กับแบรนด์ระดับโลก ได้มากกว่า 159.9 ล้านบาท ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ช่อง One31

>>ซีรีส์ที่เล่นชื่อว่าคินน์พอร์ชเดอะซีรีส์ ดังทั่วโลก กว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้ ทั้งคู่ไม่เคยใฝ่ฝันเลยว่าจะเป็นดารา ตอนวัยเด็กอยากเป็นอะไร?

มาย : ตอนเด็กอยากเป็นวิศวโยธา ตอนเด็กผมเคยมีญาติ ญาติพาไปเที่ยว เห็นเขาทำฝาย ผมก็มีความใฝ่ฝันอยากทำฝาย ดูเท่

อาโป : ผมโนไอเดียเลย ไม่รู้เลยว่าจะทำอะไร อยากเป็นอะไร พ่อแม่การศึกษาไม่ได้สูง เขาก็แค่อยากให้ลูกเรียนในสิ่งที่คิดว่ามันมั่นคง เป็นหมอหรืออะไรแบบนี้ เราก็รู้ลึก ๆ ว่ามันไม่น่าเหมาะกับเรา มันก็เลยเคว้ง เหมือนอยู่ในครอบครัวที่เขาคาดหวัง เราก็งงอยู่พักใหญ่ ๆ

>>มาเป็นนักแสดงได้ยังไง?

อาโป : พอดีช่วงที่ค้นหาชีวิต เราบังเอิญเจอผู้จัดการคนเก่า คือพี่เบิ้ม เขาก็พาไปเดินแบบ เดินอยู่สักพัก ตอนนั้นเขาให้ไปแคสที่ช่อง 3 บังเอิญแคสไม่ผ่าน เขาก็เลยบังเอิญไปเจออีกคน คือพี่หนุ่ม กฤษณ์ ตอนนั้นกำลังจะถ่ายสุดแค้นแสนรัก เขาให้ไปแคสเรื่องนั้น ที่เล่นกับพี่เบนซ์ด้วย นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ได้เป็นนักแสดง นั่นคือเรื่องแรก แคสกับช่องไม่ผ่าน แต่แคสกับพี่หนุ่ม พี่หนุ่มบอกว่าต้องเป็นบทคู่แฝด แล้วโปดันไปคล้ายกับอีกคนนึง เขาก็เลยให้มาลองดู แล้วส่งไปเรียนการแสดง ซึ่งผ่านมา 10 ปีพอดี พี่เบนซ์ยังสวยเหมือนเดิม (เบนซ์บอกว่าอาโปมีแววอยู่แล้ว เป็นคนขี้สงสัยแล้วก็จะถามเลย เด็กบางคนไม่ได้ถาม บอกมาก็เล่นตามนั้น แต่อาโปเป็นเด็กขี้สงสัย ซึ่งเป็นข้อดีเพราะพอถามแล้วได้ความรู้ กว่าจะจบเขาก็เล่นเก่งเลย

>>หลังเรื่องสุดแค้นก็ได้เล่นอีกหลายเรื่อง แล้วอะไรทำให้ตัดสินใจออกไปใช้ชีวิตใหม่ ก้าวใหม่ของชีวิต?

อาโป : ต้องย้อนกลับไปก่อนว่าตอนนั้นพอเล่นสุดแค้นเสร็จ บังเอิญได้ไปเล่นกับพี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ เรื่องเลือดมังกร แล้วเล่นกับพี่นก ฉัตรชัย พี่นกเขามีแพชชั่นทางด้านแสดง ทำให้เราฉุกคิดขึ้นมาว่าถ้าเราจะเอาอันนี้เป็นอาชีพ เราต้องทำยังไงกับมันบ้าง ต้องตั้งคำถามยังไง ต้องศึกษายังไงกับการเป็นตัวละคร เลยเป็นจุดเริ่มต้นว่าเราจะเอาดีด้านนี้แล้วนะ เราทำมาเรื่อย ๆ ก็คิดว่าการละครไม่ตอบโจทย์เรา สมมติปีนึงมีพีเรียดนึง มี 3 พาร์ต เขาถ่ายพาร์ตละ 2-3 เรื่อง มันทำให้เราไม่มีเวลาไปใช้ชีวิตอย่างอื่น ตอนนั้นอยู่มา 2-3 ปีแล้ว ช่วงที่ผ่านมาเราถ่ายแต่ละคร ไม่ได้ทำอะไรเลย เราก็คิดว่าเฮ้ย ชีวิตเรามีแค่นี้เองเหรอ เราอยากออกไปเจอโลกบ้าง ได้เรียนรู้มุมอื่นบ้าง อยากไปทำงานที่ทุกคนทำงานอย่างละเอียดอ่อน เราเป็นเด็กช่างสงสัย ก็จะถามตัวเองตลอด ทำไมถึงเป็นอันนี้ไม่ได้ ทำไมถึงได้แค่นี้ นี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ตัดสินใจว่าที่นี่ไม่เหมาะกับเรา เราก็เลยย้ายไป ตอนนั้นตัดสินใจออก เก็บของ ขายทุกอย่างทิ้งที่เมืองไทย แล้วไปอยู่ที่นิวยอร์ก

>>มายเข้าวงการได้ยังไง?
มาย : พอเรียนวารสารเราก็เปิดใจว่าจริงๆ ต้องหาอะไรทำ ระหว่างเรียน เราจะได้เรียนรู้หน้างานด้วยนอกจากวิชาการ การไปคุยกับคนต่าง ๆ ก็ได้มายด์เซตว่าเราควรเปิดใจกับทุกอย่างที่เข้ามา เพราะโลกกว้างมาก ก็เริ่มไปเป็นดีเจคลื่นวิทยุคลื่นนึงตอน 18 เราก็คุยหมดเลย ช่างแต่งหน้าวันนั้นก็ยังแต่งหน้าวันนี้ คนแรกกับปัจจุบันก็เป็นคนเดียวกัน เราก็รู้สึกว่าวงการบันเทิงมีหลากหลาย พอมีอะไรมาก็ไปแคส บวกกับความใจดีของเรามั้ง เวลาใครบอกไปทำนี่ให้หน่อยสิ เราก็ไปทำ โดยเราไม่ได้คาดหวังว่าจะดังหรือได้เงิน เพราะเราทำโดยไม่ได้ต้องการเรื่องตรงนั้นสักเท่าไหร่ เหมือนคินน์พอร์ชเหมือนกัน เราก็แค่ไปช่วยเขา เพราะเขาบอกว่าบทนี้มาจากบุคลิกเราบางอย่าง เพราะนักเขียนรู้จักเรา ก่อนรู้จักนักเขียนก็เป็นโปรดิวเซอร์รายการ เขาก็ชวนเราไปออกรายการเขา แล้วเขาก็เห็นแค่นั้นเอง เราก็ไปสิ แต่ไม่มีใครรู้จักพี่นะ ไปได้มั้ย ก็ไปช่วยกัน หลังจากนั้นสองเดือนเขาก็ติดต่อมาอีก ว่ามีนิยายที่เขาเขียน เขาอยากทำเป็นซีรีส์ เขาเขียนจากตัวมายประมาณใหญ่ ๆ เลยแหละ ลองไปแคสให้ดู แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะเล่นหรือเปล่านะ เพราะไม่รู้แอ็กติ้งได้ดีขนาดไหน ก็ลองดู แล้วก็ลุย มาถึงตอนนี้

>>อาโปไปทำอะไรอยู่อเมริกา?

อาโป : เราอยากเปลี่ยนมุมมองใหม่ทั้งหมด ตอนเล่นละครมา ก็จะมีระบบที่เขาบอกว่าคุณต้องวางตัวแบบนี้ คุณต้องเป็นแบบนี้ ตอนนั้นรู้สึกว่าไม่ จริง ๆ เราคือมนุษย์ เราควรทรีตทุกคนเท่ากัน เราควรใช้ชีวิตปกติได้สิ เราก็เลยตั้งใจไปที่นั่น แล้วขาดการติดต่อกับคนฝั่งนี้ เมื่อก่อนเรามีผู้จัดการ แต่ ณ วันนี้เราต้องดีลทุกอย่างด้วยตัวเอง เวลาเราอยากได้อะไร มันเลยเหมือนต้องคิดเป็นระบบมากขึ้น พอไปปั๊บก็คิดว่าถ้าวันนึงเราประสบอุบัติเหตุ เราเป็นนักแสดงไม่ได้ เราทำอะไรได้บ้าง ณ วันนั้นฉุกคิดมาว่าเราทำอะไรไม่เป็นเลยนี่หว่า เราเป็นนักแสดงได้อย่างเดียว เราก็เริ่มค้นหาว่าเราเป็นอะไรได้บ้าง เราเลยไปลองถูพื้น เป็นแคชเชียร์ เป็นบาร์เทนเดอร์ ก็คิดว่าเป็นชีวิตอีกแบบนึง นี่คือมนุษย์จริง ๆ เพราะเรื่องภาพลักษณ์ที่เรามี เรื่องหน้าตาที่อื่นเขาไม่รู้จักเรา เขาไม่แคร์เราเลย เขาทรีตเราเป็นมนุษย์คนนึง ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าจริง ๆ มนุษย์คืออะไร ซึ่งสิ่งนั้นแหละทำให้เราอยากลองไปแคสเป็นนักแสดงที่นั่น ต่อให้เวิร์กหรือไม่เวิร์กอย่างน้อยเราได้ลองทำ บังเอิญโควิดเข้า เสน่ห์นิวยอร์กคือคนพลุกพล่าน พอทุกคนหยุดแล้วหายหมดเลย เราก็เฮ้ย เสน่ห์หายไป เราไปทำอย่างอื่นดีกว่า ก็คิดว่ากลับมาที่เมืองไทยดีกว่า บังเอิญตอนนั้นมีคินน์พอร์ชเปิดให้แคส เราก็เลยไปแคส แล้วบังเอิญได้เล่น จนทุกวันนี้

>>เหมือนเส้นทางชีวิตต้องมาทางนี้ เขาดังมากจริง ๆ คินน์พอร์ชเดอะซีรีส์ โด่งดังถึงขนาดไปเล่นคอนเสิร์ตเวิลด์ทัวร์?
อาโป : ไปหลายเมือง มีไทเป สิงคโปร์ เกาหลี ฮ่องกง ฟิลิปปินส์

>>เวลามีตติ้งแฟนคลับจะเป็นแบบนึง แต่นี่คอนเสิร์ตยิ่งใหญ่อลังการ รู้สึกยังไงบ้างที่วันนั้นพี่เขาชวนเรา เราลองดู อีกคนโควิดกลับมาเมืองไทย จนความสำเร็จเวอร์วังขนาดนี้ รู้สึกยังไงบ้าง?

มาย : จริง ๆ ผมมีความสุขมาก เพราะคลิกสุดท้ายที่เราเลือกว่ามาทำบันเทิงเต็มตัวดีกว่า ให้เวลาโดยทิ้งงานอื่นไปเลย คือเราอยากสร้างความสุขให้คน ส่งต่อความสุขให้คนผ่านงานบันเทิง เราชอบกีตาร์ เราชอบร้องเพลง แอ็กติ้งได้บ้าง มาผนวกรวมกัน พอไปคอนเสิร์ตเราได้เจอคนหลากหลายประเทศ หลากหลายเมือง หลากหลายโลเกชั่น เราเห็นแววตาของความสุข เสียงกรีดร้องที่ไพเราะต่าง ๆ นานา มันเป็นเอเนอร์จี้ที่เรามีความสุขจากงานที่พวกเราทำ นั่นคือทำให้ผมโอเคมาก ๆ กับเป้าหมายในวงการบันเทิง

อาโป : โปภูมิใจมาก ในฐานะนักแสดง สิ่งที่เราทำ คือเราเป็นตัวแทนในการเล่าประสบการณ์ชีวิตตัวละคร ให้คนดูได้กำลังใจ ได้เรียนรู้ชีวิต แต่พอเราได้ทำคอนเสิร์ต เราส่งไปปั๊บเราเห็นเลยว่าเขามีความสุข มันเลยเป็นอีกเวย์ที่เรารู้สึกว่ามันเจ๋ง เราแค่เต็มที่แล้วเขาก็มีความสุขขึ้นมาโดยเราไม่ได้ทำอะไรมากเลย ทำให้รู้ว่าหลาย ๆ ที่ในโลก สิ่งเชื่อมกันคือความสุข

>>การสร้างมูลค่าทางสื่อ 160 ล้าน ไปทำอะไรมา?
มาย : จริง ๆ เราสองคนเป็น House Ambassador ของดิออร์ ของประเทศไทย ไปร่วมงานที่ฝรั่งเศส
อาโป : พลังของแฟน ๆ ทั่วโลกเขาซัปพอร์ตกันลงโซเชียล มันเลยทำให้ยอดสื่อไปถึงขนาดนั้น ก็ขอบคุณแฟน ๆ มาก ๆ

>>หนึ่งโพสต์ ทำให้ยอดซื้อสินค้าพุ่งทะยานเพิ่มมากขึ้น สองคนรวมกัน 160 ล้านถือว่าเยอะมาก ๆ ล่าสุดมายเป็นอะไร?
มาย : เฟรนด์ ออฟ เกอร์แลง ต้องขอบคุณแบรนด์ด้วย ผมเป็นในพาร์ตของน้ำหอม เดือนที่แล้วไปฝรั่งเศสมา ไปดูของเกอร์แลง ทั้งเกอร์แลง ทั้งดิออร์ การทำงานเขาเจ๋งมากในทุกส่วนจริง ๆ แล้วโปรดักส์เขาดีมาก ๆ

นับถอยหลัง 'อาคม เติมพิทยาไพสิฐ' ขุนคลังแห่งสยาม  เบื้องหลัง ‘โครงสร้างพื้นฐาน-เงินสำรอง-ทองคำ-คนละครึ่ง’

ภาพตอกย้ำของประเทศไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ถึงการเป็นประเทศที่สะสมความมั่งคั่งและมั่นคงอยู่ในระดับแนวหน้าของโลก เช่นในปี 2565 ไทยอยู่ในอันดับที่ 12 ของโลก จากจำนวนสะสมเงินสำรองระหว่างประเทศ หรือแม้แต่กระทั่งการซื้อทองคำเข้าทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มมากที่สุดในเอเชีย ซึ่งในรอบ 10 ปีที่ผ่านมามีทองคำเพิ่มจาก 152.41 ตันมาอยู่ที่ 244.16 ตัน ทำให้ทุนสำรองที่เป็นทองคำเพิ่มขึ้นถึง 60.20%

ส่วนอันดับความน่าเชื่อถือของประทศไทยจากการจัดอันดับของทั้ง Fitch Moody’s และ S&P ให้มุมมองความน่าเชื่อถือ 'ระดับมีเสถียรภาพ' และคงความน่าเชื่อถือไทย BBB+ สำหรับ Fitch และ S&P และ Baa1 สำหรับ Moody’s อย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน ประเทศไทยมีมาตรการช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนจากโควิด-19 จนนำมาสู่โครงการคนละครึ่ง, โครงการเราเที่ยวด้วยกัน และสารพัดโครงการที่นำมาช่วยเหลือเยียวยาคนไทย อีกทั้งยังออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ อาทิ มาตรการชดเชยรายให้แก่แรงงานลูกจ้าง ลูกจ้างชั่วคราว อาชีพอิสระที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม, โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจไทยไม่ให้ทรุดหนัก

อันที่จริงยังผลงานในการบริหารจัดการด้านการเงินอีกมาก ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการเงิน-การคลังอันดีของประเทศในช่วงของรัฐบาลประยุทธ์ 2 ภายใต้ขุนคลังอย่าง 'อาคม เติมพิทยาไพสิฐ'

ความยอดเยี่ยมที่ว่านี้ ไม่ได้มีแค่เสถียรภาพทางการเงินการ-คลังไทยเป็นตัวการันตี แต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา 'นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ' รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ของไทย ได้รับรางวัล ‘Finance Minister of the Year 2023’ ของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จากนิตยสาร The Banker ยกย่องบริหารงานผ่าน มาตรการการเงิน-การคลังได้ดี จนช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวด้วย

แน่นอนว่า ในวาระที่รัฐบาลใหม่กำลังจะก้าวเข้ามา และคงจะได้เห็นหน้าตาขุนคลังคนใหม่นั้น ก็อดไม่ได้ที่จะต้องจารึกถึงสิ่ง 'นายอาคม' ได้ทำไว้ ในฐานะขุนคลัง 'ผู้ปิดทองหลังพระ' ตัวจริง!! ที่ทำให้การเงิน-การคลังของไทยมีความมั่นคงอย่างสูงในปัจจุบัน

#ประวัติ
สำหรับประวัตินายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ ปัจจุบันอายุ 67 ปี เกิดเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2499 ที่จังหวัดศรีสะเกษ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อปี พ.ศ. 2520 และระดับปริญญาโทสาขาเศรษฐศาสตร์ จากวิทยาลัยวิลเลียม ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2526

- เข้ารับราชการในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
- เป็นผู้อำนวยการกองวิเคราะห์และประมาณการเศรษฐกิจ ในระหว่างปี พ.ศ. 2539-2542
- เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายและแผน (เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน ระดับ 9 ชช.) ในปี พ.ศ. 2542-2543
- เป็นผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) (2543-2546)
- เป็นที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน (2546-2547)
- เป็นรองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2547 
- เป็นเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2553

- เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ต่อมาในเดือนสิงหาคมของปีเดียวกัน ได้ลาออกจาก สนช. เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งดำรงตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญ และตำแหน่งทางการเมืองควบคู่กัน ในปี พ.ศ. 2557
- เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แทนพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2558 (ยื่นลาออกจากข้าราชการในตำแหน่ง เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในเดือน ตุลาคม 2558)
- เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยเริ่มดำรงตำแหน่งตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปดูผลงานของนายอาคม ในยุครัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 1 จะพบว่าตั้งแต่ปี 2558 ที่นายอาคม ได้ก้าวขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมนั้น เขาได้สร้างผลงานไว้หลายด้าน...

#รั้วคมนาคม
ผลงานแรกที่สำคัญคือ การแก้ไขปัญหาด้านการบินพลเรือน ปลดธงแดง องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization: ICAO) โดยได้ดำเนินการปฏิรูปกฎหมายด้านการบินที่ล้าสมัยด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2597 ในประเด็นที่เป็นข้อบกพร่อง

นอกจากนี้ยังได้ผลักดันโครงการลงทุนขนาดใหญ่หลายโครงการ, เดินหน้าการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล, ผลักดันการก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่ 8 เส้นทาง, มาตรการป้องกันฝุ่นพิษ PM 2.5, การจัดทำระบบตั๋วร่วม และแผนฟื้นฟูองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ฯลฯ

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีส่วนช่วยในการผลักดันให้รัฐบาลประยุทธ์สามารถอนุมัติโครงการลงทุนขนาดใหญ่ต่าง ๆ ได้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนระบบราง ช่วยทำให้เกิดการลงทุนในการก่อสร้างและงานระบบกว่า 2 แสนล้านบาทต่อปีแบบต่อเนื่องในอนาคต

เรียกได้ว่า ตลอด 1,775 วันในการทำงานนั้น มีหลายโครงการที่มีการขับเคลื่อนไปมาก บางโครงการได้มีการเริ่มต้น ถึงแม้จะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ 100% แต่ถือเป็นก้าวแรกของความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้ของกระทรวงคมนาคม

#ขุนคลัง
ทั้งนี้ ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม 'อาคม' ยังอยู่ในรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ 'นอกทีมสมคิด' ทว่าเป็น 1 ในรัฐมนตรี 'โควตากลาง-สายตรง' ของนายกรัฐมนตรีตลอด 4 ปี และด้วยผลงานที่เข้าตา ก็นำมาสู่ภาคต่อของอาคมในรัฐบาลประยุทธ์ 2 ด้วยบทบาทใหม่ในการเป็น 'ขุนคลังแห่งสยาม'

อันที่จริง จนถึงตอนนี้ ประเทศไทยเคยมีรัฐมนตรีว่าการกระทวงการคลัง (รมว.) มาแล้วถึง 54 คน โดยมี 'อาคม เต็มพิทยาไพสิฐ' ดำรงตำแหน่งเป็น รมว.คลังคนปัจจุบัน ซึ่งเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจคนหนึ่งของประเทศไทย จากการเป็นข้าราชการในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สคช.) มาอย่างยาวนาน

และด้วยคุณสมบัติของ นายอาคม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และรัฐมนตรีช่วย ในรัฐบาลยุค 'ประยุทธ์ 1' เป็นบุคคลที่นายกรัฐมนตรีไว้วางใจในการสอบทานข้อมูล-ตัวเลขด้านเศรษฐกิจ มาตั้งแต่ยังดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เส้นทางสู่ขุนคลังของ 'อาคม' จึงเรียกว่ามาเพราะฝีมือและความเชื่อใจของผู้ใหญ่ในบ้านเมืองจริง ๆ 

โดยตัวเขาเองพิสูจน์ผลงานแบบเข้าตาผู้ใหญ่มาตลอด ระหว่างเริ่มจากข้ามคลองผดุงกรุงเกษม ไปยังย่านราชดำเนินใน ช่วงขึ้นแท่นเป็น รัฐมนตรีช่วยฯ แล้วต่อด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในสมัยรัฐบาล คสช. โดยระหว่างนั้นเขายังได้สังกัดทีมเศรษฐกิจ ที่ขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี และทีมตึกไทยคู่ฟ้า จนได้รับความไว้วางใจให้ดูแลกระทรวงเศรษฐกิจเกรดเออีกครั้ง ในฐานะ 'ขุนคลัง' ในรัฐบาล 'ประยุทธ์ 2/3'

ส่วนผลงานในการเป็นขุนคลัง ก็อย่างที่ได้กล่าวไปตอนเปิดหัวต้นเรื่อง ซึ่งต้องถือว่า อาคมมฝีมือ 'ฉกาจ' อย่างยิ่งภายใต้เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทย ปัญหาโรคภัย ที่ท้าทาย แต่ก็พาไทยมีสถานะทางการเงิน-การคลังได้อย่างมีเสถียรภาพ

#สไตล์
'อาคม' มีสไตล์การทำงานที่หามรุ่ง-หามค่ำ ตอบทุกคำถามของนายกรัฐมนตรีและคณะได้ทุกแพลตฟอร์ม ทั้งรูปแบบข้อมูลดิบ อินโฟกราฟิก หรือพาวเวอร์พอยต์ ที่เข้าใจง่าย เป็นระบบ-ระเบียบ

ทั้งเมนูแผนการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ทั้งระยะสั้น-ยาว แนวทางการวิเคราะห์โครงการของรัฐวิสาหกิจ การลงทุนเชื่อมกับประเทศเพื่อนบ้าน 'อาคม' มักเตรียมข้อมูลและทางเลือกให้รัฐบาลตัดสินใจไม่พลาดทิศ แม้อาจจะล่าช้าไม่ทันใจฝ่ายการเมืองนัก

'อาคม' มีคุณสมบัติสำคัญตรงกับที่นายกรัฐมนตรี เปิดเผยเป็นญัตติสาธารณะ อย่างน้อยก็ 1 ข้อ คือ “เป็นคนที่ที่บ้านไม่ห่วงเกินไปมากนัก” เพราะเขาครองตัวเป็นโสดหลังจากภรรยาเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน

#ปิดทองหลังพระ
ทั้งนี้ หากย้อนไปเมื่อปี 2560 'นายอาคม' เคยเปิดเผยถึง 3 หลักการทรงงานของในหลวง รัชกาลที่ 9 ที่เขายึดเป็นแรงบันดาลใจรวมถึงเป็นต้นแบบในการใช้ชีวิตและทำงานในชีวิตมาโดยตลอด คือ...

'การปิดทองหลังพระ' - ทำงานไม่จำเป็นต้องออกหน้า ถ้าคิดว่างานที่เราทำเป็นประโยชน์ส่วนรวมอยู่เบื้องหลัง เป็นฟันเฟืองของกลไกทั้งหมด ถ้าฟันเฟืองเล็กไม่เดิน ฟันเฟืองใหญ่ก็ไปไม่ได้

'ความเพียรพยายาม' - แม้ว่างานจะยากแค่ไหนก็ต้องทำ เมื่อเราเห็นเป้าหมาย ซึ่งอาจจะอยู่ใกล้ หรืออยู่ไกล ถ้าไม่มีความพยายามในการฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ก็ทำไม่สำเร็จ

'ความเรียบง่าย' - ได้จากพระราชจริยวัตรของพระองค์ท่าน สอนให้คนรู้จักประหยัด ใช้ในสิ่งที่จำเป็น ไม่ฟุ่มเฟือย ความเรียบง่าย ชีวิตพระองค์ท่านเหมือนคนธรรมดา เราเองต้องทำตัวไม่มียศ ไม่มีศักดิ์ ทำงานให้ติดดิน

ตำแหน่งไม่คงคน...แต่ตำนานจะยังคงสืบต่อไป...

นี่คือเรื่องราวของชายผู้ปิดทองหลังพระ ผู้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทย การเงิน-การคลังไทย ยังคงมีความมั่นคงอย่างสูง จนพร้อมส่งไม้ต่อให้รัฐบาลชุดถัดไปได้เข้ามาทำงานได้อย่างราบรื่น...

จำชื่อเขาไว้ 'อาคม เติมพิทยาไพสิฐ' อีกหนึ่งขุนคลังแห่งสยามคนสำคัญของไทย...

‘หนุ่ม กรรชัย’ ยัน!! ไม่เคยเรียกเก็บเงินแขกออกรายการ หลังถูกแอบอ้างบ่อย ชี้!! ตนเป็นสื่อ ต้องมีจรรยาบรรณ

(24 ส.ค. 66) สำหรับพิธีกรคนเก่งอย่าง ‘หนุ่ม กรรชัย’ ที่วันนี้จะมาเคลียร์ชัด ๆ ในรายการ มิสเปรียญ 9 ในประเด็นที่คนเม้าท์ว่า เรียกเก็บเงินแขกรับเชิญ พร้อมตอบข้อสงสัยกำลังทำเกินหน้าที่สื่อหรือไม่?

“ถามว่าเคยโดนข่มขู่ไหม มีบ้าง เพราะการทำงานจะมี 2 มุม มีทั้งคนได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ ส่วนตัวเชื่อว่ารายการฮาร์ดทอล์คอะไรแบบนี้ ความเป็นกลางมันไม่มีหรอก มันมีแต่ ความเป็นธรรม”

>> กำลังทำเกินหน้าที่สื่อหรือไม่ ?

“เคยมีคนพูดกับพี่เหมือนกัน ช่วงทำรายการแรก ๆ ก็มีสื่อด้วยกันเองบางคนพูดว่า "สื่อไม่ได้มีหน้าที่ไปช่วยเหลือใครแบบนี้ สื่อมีหน้าที่แค่อยู่ตรงกลาง และนำเสนอเท่านั้น" ตอนนั้นเรื่องแพรวา 9 ศพ พี่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ เหยื่อทุกคนขอบคุณพี่หมด ผมอาจไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นสื่อ แต่การเป็นสื่อมันต้องมีเรื่องของจริยธรรม จรรยาบรรณ และความเป็นมนุษย์ด้วย ผมแค่ใช้โอกาสในการเป็นสื่อ เพื่อที่จะช่วยเหลือคนอื่นที่ลำบาก มันคือความเป็นมนุษย์”

>> ส่วนเรื่องเรียกเก็บเงินแขกรับเชิญที่มาออกรายการ?

กรรชัย ยืนยันชัดว่า “ไม่เคยเรียกเก็บเงินเลย ให้ตายจริง ๆ ส่วนเรื่องเงิน 3 แสนบาท เป็นเคสทนายความไปเรียกเงินลูกความแล้วบอกจะพามาออกรายการ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับรายการ รายการมีแต่ให้เงิน แต่ผมก็เคยได้ยินมาเหมือนกันว่า บางพื้นที่ไปพูดกับชาวบ้านประมาณว่า เอามา 3,000-5,000 บาท จะพาไปออกโหนกระแส ถ้าพี่รู้พี่ก็จะโทรไปคุยเลย โดนแอบอ้างบ่อยมาก”

'ณัฐชา' เชื่อ สว.หนุน 'เศรษฐา' ฉลุยนายกฯ มีเบื้องหลัง  งง!! ทะเลาะกันมาสิบปี คงมีข้อเจรจาที่ตกลงกันได้

(24 ส.ค. 66) ที่รัฐสภา นายณัฐชา บุญอินไชยสวัสดิ์ สส.กทม. พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ว่ามีนัยทางการเมืองหรือไม่ ว่า ไม่ได้เป็นเรื่องผิดแปลกอะไรกับการส่งมอบอำนาจ เป็นอำนาจใหม่ที่ประชาชนมีข้อเคลือบแคลงสงสัย เพราะพล.อ.ประยุทธ์ยึดอำนาจจากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ  ซึ่งเป็นรัฐบาลจากพรรคเพื่อไทย (พท.) ซึ่งยึดอำนาจมาเกือบ 9 ปี สุดท้ายมาส่งมอบอำนาจให้กับพรรค เพื่อไทยซึ่งเป็นสิ่งที่เราสงสัยในหลายประเด็น

ส่วนการเข้าพบในครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับการที่ สว. โหวตให้นายเศรษฐาหรือไม่นั้น นายณัฐชากล่าวว่า หลังจากพรรคเพื่อไทย จับมือกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ก็ต้องมีเสียงของ สว. เกี่ยวข้องด้วยแน่นอน เพราะเช้าวันที่โหวตนายกฯ (22 ส.ค.) ตนได้พูดคุยกับสว.ที่รู้จักกัน ก็ยังไม่มีสัญญาณมา แต่โค้งสุดท้าย ก็มีการส่งสัญญาณไฟเขียวโหวตให้นายเศรษฐา ช่วงเวลาระหว่างนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง แน่นอนว่าต้องมีการเจรจากับนอกรอบอย่างแน่นอน

เมื่อถามว่า การพูดคุยของนายกฯ จาก 2 ขั้วอำนาจ จะถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีหรือไม่สำหรับพรรคก้าวไกล นายณัฐชากล่าวว่า คำว่า สมานฉันท์ปรองดอง ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่เบื้องหลังมีการกระทำอะไรบ้าง ที่มีผลกระทบกับประชาชน นี่เป็นเรื่องสำคัญ เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ให้ได้ว่า เบื้องหลังของคนที่ขัดแย้งกันมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี สุดท้ายมาจับมือกัน และบอกว่าเป็นการทลายความขัดแย้งที่ยาวนาน

“อยู่ดี ๆ คนมีปัญหากันมาเป็นสิบปี มาจับมือกัน มันต้องมีข้อเจรจาที่ตกลงกันได้ สิ่งที่ตกลงกันนั้นคืออะไร ประชาชนยังไม่ทราบเท่านั้นเอง” นายณัฐชากล่าว

เมื่อถามว่า มีอะไรอยากจะฝากถึงคณะรัฐมนตรีใหม่หรือไม่ นายณัฐชากล่าวว่า “หน้าตารัฐมนตรีที่ออกมาทั้ง 35 คน จะทำให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น ว่าภายใต้การเจรจา เบื้องหลังเบื้องลึกนั้นมีการเจรจาต่อรองตำแหน่งใดไว้บ้าง และทิศทางที่เจรจาส่งผลกระทบอะไรต่อประชาชน หน้าตาของครม. ก็จะเป็นคำตอบให้กับประชาชนว่า สุดท้ายแล้วรัฐบาลนี้วางอยู่บนความไว้วางใจของประชาชนได้หรือไม่”

เมื่อถามว่า เห็นหน้าตาครม. และนายกฯ แล้ว คิดว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับยังเป็นไปได้หรือไม่ นายณัฐชากล่าวว่า “จากการที่นายเศรษฐาระบุว่า จะนำเรื่องดังกล่าวเข้า ครม. ในวาระแรก ตนมองว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญแก้ไขได้อย่างแน่นอน ถ้านายกฯ มีความตั้งใจ แต่ความจริงใจนั้นต้องพิสูจน์ว่า ที่มาที่ไปของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) จะมาด้วยวิธีการใด ก่อนเลือกตั้งเราพูดเป็นเสียงเดียวกัน ว่าสสร. ต้องมาจากการเลือกตั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ เรื่องนี้คือประเด็นหลัก ไม่ใช่ว่าจะแก้ได้หรือไม่ได้” 

ส่วนจะร่างรัฐธรรมนูญควบคู่ไปด้วยหรือไม่ นายณัฐชากล่าวว่า “ต้องทำอย่างแน่นอน”

‘พีช พชร’ กับท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนใส่ ‘พิธา’ หลังเปิดธุรกิจใหม่วันแรก ทำชาวเน็ตเอ็นดูมาก

เมื่อวานนี้ (23 ส.ค. 66) ทำธุรกิจประสบความสำเร็จไปหลายอย่างแล้ว สำหรับ ‘พีช พชร จิราธิวัฒน์’ ล่าสุดเปิดตัวธุรกิจใหม่ร่วมเป็นหุ้นส่วนร้านอาหาร Khao-So-i ข้าวโซอิ หรือก็คือร้านข้าวซอย โดยยกข้าวซอยของขึ้นชื่อทางภาคเหนือมาไว้ใจกลางกรุงเทพฯ เปิดตัวเมื่อวันที่ 21 ส.ค. ที่ผ่านมา โดยวันแรกมีคนดังมาร่วมแสดงความยินดีหลายราย หนึ่งในนั้นคือ ‘ทิม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่ง ‘ทิม พิธา’ ได้โพสต์รีวิวไว้ในติ๊กต็อกส่วนตัว ระบุว่า…

“เมื่อวานได้ไปทานข้าวซอยที่ร้าน Khao-So-i ข้าวโซอิ ที่มาเปิดสาขาใหม่ที่กรุงเทพฯ เมนูสร้างสรรค์และอร่อยมาก ๆ ครับ อาหารไทยที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว ใส่ความสร้างสรรค์ไปเพิ่ม จะไปได้ไกลกว่านี้อีกมากครับ”

โดยในคลิปดังกล่าว มีช่วงที่ ‘พีช พชร’ ได้เดินมาพูดคุยกับ ‘ทิม พิธา’ ซึ่งเจ้าตัวมีอาการสำรวมและนอบน้อม ทำชาวเน็ตต่างพากันเอ็นดู เข้าไปเมนต์แซวกันกระจายเลยทีเดียว

อีอีซี โชว์หมุดหมายศูนย์กลางลงทุนโลก  ตั้งเป้า 5 ปี ปั๊มเงินกว่า 2.2 ล้านล้าน

(24 ส.ค. 66) นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กล่าวถึงการพัฒนาพื้นที่ EEC ยึดหลักสอดรับกับบริบทโลกของอุตสาหกรรมในอนาคต เพื่อดึงดูดและรองรับการลงทุนจากทั่วโลกในพื้นที่เศรษฐกิจนี้ ก้าวแรกที่สำคัญของเป้าหมาย 5 ปีต่อจากนี้ คือ เริ่มจากพื้นฐานที่สำคัญได้แก่ ที่ดินผ่านการจัดสรรให้เกิดการลงทุนเฉพาะแต่ละกลุ่มธุรกิจ การพัฒนาทักษะแรงงานขั้นสูง รวมทั้งการปรับปรุงกลไกทางกฎหมายและระเบียบให้ง่ายแก่การเข้ามาลงทุน ตลอดจนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ ซึ่งทาง อีอีซี ได้ตั้งเป้าดึงเม็ดเงินลงทุนเข้าประเทศให้ได้กว่า 2.2 ล้านล้านบาท ภายในช่วงปี 2565-2570

โดยขณะนี้ได้เดินหน้าผลักดันการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ด้วยแผนงานการสร้างการรับรู้นโยบายในวงกว้าง ด้วยการจัดกิจกรรมชักจูงการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายหรือการจัดโรดโชว์ต่าง ๆ เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการ ผู้ขายในพื้นที่ ได้เชื่อมต่อกับผู้ซื้อทั้งจากไทยและต่างชาติ โดยการขับเคลื่อนแผนงานดังกล่าว จะดำเนินการในเชิงบูรณาการกับภาคีเครือข่ายธุรกิจชั้นนำของไทยและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง จนเป็นที่มาของการจัดงาน EEC Cluster Fair 2023 ครั้งแรก! ในพื้นที่ อีอีซี มีเป้าหมายที่สำคัญ คือ พัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ให้กลายเป็นหมุดหมายใหม่แห่งการลงทุนของประเทศ

‘ศรีสุวรรณ’ ยื่น ป.ป.ช. สอบ ‘กรมราชทัณฑ์’ หลังส่อเอื้อ ‘นช.ทักษิณ’ ได้สิทธิเกินขอบเขต

(24 ส.ค. 66) ที่สำนักงานใหญ่ ป.ป.ช.นนทบุรี นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อขอให้ไต่สวนและวินิจฉัยว่า ผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ทั้งระบบ มีส่วนช่วยนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ที่ต้องโทษจำคุก 8 ปีตามคำพิพากษาของศาลอาญาทุจริตฯให้ไม่ต้องนอนคุกแม้แต่วันเดียว แต่กลับอนุมัติให้ไปนอน รพ.ตำรวจแทน แค่เป็นโรคความดันขี้ประติว ชี้อาจเป็นทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดกัน เข้าข่ายร่วมกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือไม่

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า หลังจากที่ นช.ทักษิณถูกนำเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทำการตรวจสุขภาพตามระเบียบแล้วเพียงไม่กี่นาที กรมราชทัณฑ์ก็ออกมาตั้งโต๊ะแถลงว่านายทักษิณจัดให้อยู่ในกลุ่มเปราะบาง เพราะอายุเกิน 70 ปี และดูแค่ประวัติทางการรักษาที่ผ่านมาป่วยถึง 4 โรค คือ โรคกล้ามเนื้อขาดเลือด, โรคปอดอักเสบเนื่องมาจากติดเชื้อโควิด-19, โรคความดันโลหิตสูง และโรคกระดูกสันหลังเสื่อม ดังนั้น ต้องเฝ้าระวังรักษาอย่างต่อเนื่องหลายโรค ที่ต้องดูแลโดยแพทย์เฉพาะทาง

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การอ้างสุขภาพยาวเหยียดดังกล่าว ขัดหรือแย้งต่อพฤติกรรมของนายทักษิณก่อนหน้านี้ ที่ขณะอยู่ต่างประเทศออกมาโชว์ฟิตปั๋งไม่มีปัญหาสุขภาพแต่อย่างใด บินเดินทางไปประเทศต่างๆ ทั่วโลกเป็นว่าเล่น ไม่เห็นแสดงอาการของคนป่วยหรือมีปัญหาสุขภาพแต่อย่างใด แต่พอเข้าไปในรั้วของเรือนจำกลับเป็นชายแก่อมโรค ที่กรมราชทัณฑ์ต้องทะนุถนอม แยกขังเดี่ยว และยังไม่ทันข้ามคืนก็อนุมัติให้ไปนอนรักษาตัวบนเตียงนอนนุ่มๆ ของ รพ.ตำรวจ ด้วยเหตุผลมีอาการความดันขึ้นสูง รพ.ราชทัณฑ์ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ดีพอรักษาได้ ซึ่งเป็นที่ครหาของสังคมและญาติผู้ต้องขังอื่น ที่ส่วนใหญ่ก็มักเป็นโรคความดันโลหิตสูงกันส่วนใหญ่ว่า ได้รับการทะนุถนอมเหมือน นช.ทักษิณหรือไม่

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ในส่วนของทรงผม นช.ทักษิณนั้นอ้างว่าไม่ต้องตัด ไม่ต้องกล้อนผมอย่างนักโทษทั่วไป เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่และเป็นผู้สูงอายุนั้น ถือได้ว่าเป็นการใช้ดุลยพินิจที่ขัดต่อระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการตัดผมผู้ต้องขัง พ.ศ.2565 ที่บังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค.65 เป็นต้นมาแล้ว โดยในระเบียบดังกล่าวกำหนดไว้ชัดเจนในข้อ 9 ว่า “นักโทษเด็ดขาดชายให้ไว้ผมสั้น ด้านหน้าและด้านกลางศีรษะยาวไม่เกิน 5 ซม. ชายผมรอบศีรษะเกรียนชิดผิวหนัง” และระเบียบดังกล่าวไม่ได้มีข้อกำหนดเป็นข้อยกเว้นไว้ให้เทวดาคนใด จะเลี่ยงไม่ตัดไม่ได้

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า พฤติการณ์และการกระทำของผู้บริหารของกรมราชทัณฑ์ มีข้อพิรุธอีกมากมายที่สังคมไทยไม่ควรปล่อยให้ระบบราชการของรัฐใช้อำนาจหรือดุลยพินิจที่อาจขัดต่อระเบียบ กฎหมาย และรัฐธรรมนูญ 2560 ม.27 ประกอบ ปอ.ม.157 อันเกี่ยวกับการห้ามการเลือกปฏิบัติอันเกี่ยวกับสภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคมได้ องค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน จึงต้องนำความพร้อมพยานหลักฐานมายื่นร้องต่อ ป.ป.ช.เพื่อขอให้ใช้อำนาจตามกฎหมายในการไต่สวนและวินิจฉัยเอาผิดผู้บริหารของกรมราชทัณฑ์ทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top