Wednesday, 11 June 2025
TheStatesTimes

12 มิถุนายน พ.ศ. 2363 วันคล้ายวันเกิด ‘หม่อมราโชทัย’ ขุนนางคู่พระทัย ร.๔ ผู้ประพันธ์นิราศต่างแดนเรื่องแรกแห่งสยาม

วันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2363 ถือเป็นวันคล้ายวันประสูติของบุคคลสำคัญท่านหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ไทย นั่นคือ หม่อมราโชทัย หรือ ม.ร.ว. กระต่าย อิศรางกูล ณ อยุธยา ขุนนางผู้มีความสามารถรอบด้านแห่งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ท่านเป็นที่จดจำในฐานะล่ามหลวงคนสำคัญ ผู้บุกเบิกการทูตกับชาติตะวันตก อธิบดีผู้พิพากษาคนแรกของศาลต่างประเทศ และกวีผู้ประพันธ์วรรณกรรมชิ้นเอกที่เปิดโลกทัศน์ให้แก่ชาวสยามในยุคนั้น

หม่อมราโชทัยเป็นโอรสของกรมหมื่นเทวานุรักษ์ (หม่อมเจ้าชะอุ่ม) และได้ถวายตัวรับใช้ใกล้ชิดเจ้าฟ้ามงกุฎฯ (รัชกาลที่ ๔) ตั้งแต่ยังเยาว์วัย เมื่อเจ้าฟ้ามงกุฎฯ ทรงผนวชและสนพระราชหฤทัยในภาษาอังกฤษ หม่อมราชวงศ์กระต่ายก็ได้ศึกษาอย่างจริงจังกับคณะมิชชันนารีจนมีความรู้แตกฉาน เมื่อเจ้าฟ้ามงกุฎฯ เสด็จขึ้นครองราชย์ ความสามารถทางภาษาที่หาตัวจับยากนี้จึงทำให้ท่านได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณ และได้รับพระราชทานยศเป็น 'หม่อมราโชทัย' ในที่สุด

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตของหม่อมราโชทัยเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2400 เมื่อรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ท่านเป็นล่ามประจำคณะราชทูตที่เชิญพระราชสาส์นไปเจริญสัมพันธไมตรีกับสมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย ณ ประเทศอังกฤษ ระหว่างการเดินทางครั้งประวัติศาสตร์นี้ ท่านได้จดบันทึกเรื่องราวและประสบการณ์ต่างๆ ก่อนจะนำมาเรียบเรียงเป็นผลงานวรรณคดีล้ำค่าเรื่อง 'นิราศลอนดอน' ซึ่งนับเป็นนิราศเรื่องแรกของไทยที่พรรณนาถึงบ้านเมืองและวิถีชีวิตในโลกตะวันตกอย่างละเอียด

นิราศลอนดอนไม่เพียงแต่เป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์และวรรณคดีชิ้นเอก แต่ยังได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่วงการสิ่งพิมพ์ไทย เมื่อหม่อมราโชทัยขายลิขสิทธิ์ต้นฉบับให้แก่หมอบรัดเลย์ในราคา 400 บาท ซึ่งนับเป็นการขายกรรมสิทธิ์หนังสือครั้งแรกของประเทศ แม้หม่อมราโชทัยจะถึงแก่อนิจกรรมในวัยเพียง 43 ปี แต่คุณูปการที่ท่านได้สร้างไว้ ทั้งในด้านการทูต การศาล และโดยเฉพาะอย่างยิ่งวงการวรรณกรรม ยังคงเป็นที่จารึกและยกย่องมาจนถึงปัจจุบัน

รายงานพิเศษ 'RECON' รบพิเศษ แขนงการลาดตระเวนสะเทินน้ำสะเทินบกและจู่โจมนาวิกโยธิน พร้อมปฏิบัติภารกิจตลอดเวลา

แม้จะถูกต้านทานอย่างหนักจากศัตรูที่โหดเหี้ยม ภูมิประเทศและลมฟ้าอากาศจะเลวร้ายสักปานใดก็ตาม ก็หาทำให้ทหารหน่วยนี้เสียขวัญ จนเปลี่ยนความตั้งใจแต่อย่างใดไม่ เพราะเรายึดมั่นอยู่เสมอว่าภารกิจเหนือสิ่งอื่นใด แม้ชีวิต

คำปฏิญาณของ นักเรียนหลักสูตรการรบพิเศษ แขนงการลาดตระเวนสะเทินน้ำสะเทินบก และจู่โจม นาวิกโยธิน หรือ 'รีคอน' เป็นหลักสูตรการรบพิเศษที่ขึ้นชื่อว่า ทรหดอันดับต้น ๆ ของกองทัพไทย จนมีฉายาเป็นนักรบ 3 มิติ เพราะสามารถปฏิบัติการได้ทั้งน้ำ ฟ้า ฝั่ง และมักจะมีคำพูดอยู่เสมอว่า 'ซีล มีสัปดาห์นรก รีคอน มีนรกทุกสัปดาห์'

อุปสรรคครั้งนี้ คือไฟที่ร้อนระอุ เหล่า รีคอน ต้องฝ่าไป เมื่อในสถานการณ์จริงเกิดมีอุปสรรคแบบนี้ การปฏิบัติหน้าที่จริงจะมีทักษะในการฝ่าไป เพื่อปฏิบัติภาระกิจลุล่วงและปลอดภัย จงขอบคุณทุกช่วงเวลาที่ลำบากและเหนื่อยยาก เพราะเราจะได้รับใช้ชาติและตอบแทนคุณแผ่นดิน เมื่อถึงเวลา

ลักสูตรการรบพิเศษ แขนงการลาดตระเวนสะเทินน้ำสะเทินบกและจู่โจมนาวิกโยธิน หรือที่เรียกว่า 'RECON' จะเป็นหลักสูตรประจำหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กองทัพเรือ มีระยะเวลาในการฝึก 12 สัปดาห์ หลักสูตรนี้เป็นหลักสูตรเพิ่มขีดความสามารถให้กับกำลังพลของหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ซึ่งเป็นหลักสูตรที่มีชื่อเสียงและขึ้นชื่อว่า 'มีความโหดมาก' ตลอดการฝึกหลักสูตร เรียกได้ว่า 'นรกทุกสัปดาห์' แต่ก็ยังมีกำลังพลจากต่างเหล่าทัพให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก ที่จะมาเข้ารับการฝึก เนื้อหาหลักสูตรแบ่งออกเป็น 3 ภาค คือ ภาคที่ตั้ง ภาคทะเล และภาคป่าภูเขา มีเนื้อหาหลักสูตร เน้นไปทางการลาดตระเวน ทั้งการเดินลาดตระเวนทางบกและการใช้เรือยางในการลาดตระเวนทางน้ำ มีพื้นที่รับผิดชอบในการปฏิบัติภารกิจตั้งแต่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 18 ฟุตขึ้นมาจนถึงชายฝั่ง มีปัญหาการฝึกหนักๆ ที่ขึ้นชื่อ ได้แก่ ปัญหา 60 ชั่วโมง ปัญหาภาคทะเล และปัญหา 72 ชั่วโมง เฉลี่ยผู้สำเร็จการศึกษา อยู่ที่ 50 - 60 เปอร์เซ็นต์

‘หมอแอร์’ ใช้ชื่อคนตาย 370 คน รับยานอนหลับ คาดมี 6 หมอเอี่ยว พบเงินหมุนเวียนกว่า 400 ล้าน

(10 มิ.ย. 68) ‘หมอแอร์’ งานเข้าซ้ำ ชื่อคนตาย 370 คน โผล่รับยานอนหลับ คาดมี 6 หมอเอี่ยวด้วย อึ้งเงินหมุนเพิ่ม 400 ล้าน ลุยตรวจสอบคลินิก 11 แห่งพรุ่งนี้

จากกรณีตำรวจและ อย.เข้าตรวจสอบคลินิกสั่งซื้อยานอนหลับ ก่อนเชื่อมโยงถึง หมอแอร์ พ.ต.อ.พญ.อัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล พร้อมจับกุมชายรายหนึ่ง ซึ่งรับเป็นผู้ดูแลห้องพักภายในแฟลตตำรวจ พร้อมยึดของกลางกลุ่มยานอนหลับ ที่บรรจุอยู่ในกล่องลังกว่า 10 กล่อง เบื้องต้นพบเงินหมุนเงินกว่า 80 ล้านบาท โดยโรงพยาบาลตำรวจมีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน

ล่าสุดวันที่ 10 มิ.ย.68 ที่กระทรวงสาธารณสุข ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วย รมว.สาธารณสุข เปิดเผยว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับโรงพยาบาลตำรวจ เพียงแต่ หมอแอร์ เป็นหมอประจำโรงพยาบาลตำรวจ โดยโรงพยาบาลตำรวจมีคำสั่งให้ออกจากราชการแล้ว

ดร.ธนกฤต กล่าวว่า จากการตรวจสอบได้รับการรายงานว่า ผู้ป่วยที่มารับยาที่คลินิก มีสถานะเสียชีวิต ตามข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ก่อนที่จะรับยาตั้งแต่ปี 2567 จำนวน 250 คน และปี 2568 จำนวน 120 คน ช่วง 2 ปีนี้พบคนถูกสวมเอกสาร 370 คน

นอกจากนี้คาดว่าจะมีหมอที่เกี่ยวข้องไม่น้อยกว่า 5-6 ราย โดยในวันที่ 11 มิ.ย. จะเข้าตรวจค้นคลินิกเพิ่มเติมอีก 11 แห่ง ที่อาจเชื่อมโยง โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จะดำเนินการตรวจสอบ และจะแถลงข่าวการจับกุมเวลา 10.00 น. ที่กองบัญชาการปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.)

ดร.ธนกฤต กล่าวว่า สำหรับแพทย์หญิงคนนี้ถูกจับกุมตัวแล้วที่บ้านพักย่านราชดำริ กรุงเทพฯ เมื่อตรวจสอบพบเส้นทางการเงินพบมีความผิดปกติ โดยมีเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 80 ล้านบาทและไม่พบแหล่งที่มาชัดเจน อีกทั้งยังมีเส้นทางการเงินร่วมกับบุคคลอื่นอีกกว่า 400 ล้านบาท ซึ่งเข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงินและยาเสพติด

“เบื้องต้นพบว่าอาจมีการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดประเภท 2 และ 4 ซึ่งถือเป็นความผิดร้ายแรง และได้มีการประสานไปยังแพทยสภาเพื่อสอบสวนและดำเนินการตามขั้นตอน หากพบความผิดชัดเจน อาจนำไปสู่การเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแพทย์”

‘เจ็ทสตาร์เอเชีย’ ประกาศหยุดกิจการ 31 ก.ค.นี้ ปิดตำนานสายการบินโลว์คอสต์ ของสิงคโปร์

(11 มิ.ย. 68) เจ็ทสตาร์เอเชีย (3K/JSA) สายการบินต้นทุนต่ำแบรนด์เจ็ทสตาร์ (Jetstar) สัญชาติสิงคโปร์ ซึ่งมีการปฏิบัติการจากฐานการบินที่ท่าอากาศยานสิงคโปร์ชางงี (SIN) ไปยังจุดบินหลายแห่งในเอเชีย รวมถึงหลายจุดบินในประเทศไทย แจ้งว่าจะหยุดกิจการเป็นการถาวรตั้งแต่ 31 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป

สายการบินแจ้งว่าการตัดสินใจนี้เป็นไปด้วยความยากลำบาก และเกิดขึ้นหลังจากการทบทวนการทำการของสายการบินที่เผชิญความท้าทายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยต้นทุนในการปฏิบัติการในภูมิภาคที่เพิ่มสูงขึ้น

เจ็ทสตาร์เอเชียจะยังคงทำการบินโดยค่อย ๆ ลดความถี่ลงนับแต่นี้ไปจนถึง 31 กรกฎาคม 2568 และจะติดต่อผู้โดยสารที่ได้รับผลกระทบโดยตรง

การตัดสินใจนี้ ไม่มีผลกระทบกับเที่ยวบินของสายการบินเจ็ทสตาร์แอร์เวย์ส(JQ) และเจ็ทสตาร์เจแปน(GK)

เจ็ทสตาร์ เป็นแบรนด์สายการบินต้นทุนต่ำในกลุ่มแควนตัส กรุ๊ป ของออสเตรเลียโดยมีการตั้งสายการบินแบรนด์เจ็ทสตาร์ในประเทศต่าง ๆ ทั้ง เจ็ทสตาร์แอร์เวย์ส(JQ) ในออสเตรเลีย เจ็ทสตาร์เจแปน(GK) ในญี่ปุ่น และเจ็ทสตาร์เอเชีย(3K) ซึ่งมีสัญชาติสิงคโปร์

เจ็ทสตาร์เอเชีย(3K) ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 19 พฤศจิกายน 2547 และเริ่มปฏิบัติการเมื่อ 13 ธันวาคม 2547 หรือ 20 ปีมาแล้ว ปัจจุบันมีฝูงบินเป็นเครื่องบิน แอร์บัส เอ320 จำนวน 13 ลำ ให้บริการไปยังจุดบิน 18 แห่ง

สำหรับผู้โดยสารในตลาดประเทศไทย ปัจจุบันนั้นเจ็ทสตาร์เอเชียให้บริการเที่ยวบินระหว่างสิงคโปร์กับ กรุงเทพฯ สุวรรณภูมิ ภูเก็ต และกระบี่ โดยในอดีตเคยให้บริการมายังหาดใหญ่และอู่ตะเภาด้วย

กัมพูชาโกยรายได้จาก ‘คอลเซ็นเตอร์-สแกมเมอร์’ พุ่งแตะ 6.2 แสนล้านบาทต่อปี เพิ่มขึ้น 85% จากปี 67

(11 มิ.ย. 68) กรมสรรพากรของกัมพูชาเปิดเผยว่า รายได้จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์ในประเทศสูงถึง 60% ของ GDP หรือประมาณ 620,000 ล้านบาทต่อปี กลายเป็นแหล่งรายได้หลักของรัฐบาล แซงหน้าอุตสาหกรรมสิ่งทอซึ่งเคยเป็นรายได้หลักดั้งเดิมของประเทศ

ในปี 2024 กัมพูชาเก็บภาษีจากธุรกิจกาสิโนและการพนันรวม 63.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2,061 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 85% จากปีก่อนหน้า โดยมีกาสิโนที่ได้รับใบอนุญาต 195 แห่ง ส่วนใหญ่อยู่บริเวณชายแดน เช่น บาเวตและปอยเปต เพื่อรองรับนักพนันต่างชาติ โดยเฉพาะชาวไทย

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากองค์กรต่างประเทศชี้ว่า อุตสาหกรรมอาชญากรรมไซเบอร์ในกัมพูชามีผู้เกี่ยวข้องกว่า 150,000 คน และเชื่อมโยงกับการค้ามนุษย์ข้ามชาติจากกว่า 70 ประเทศ โดยมีการฟอกเงินผ่านธุรกิจพนัน ส่งผลให้รัฐบาลฮุน เซน ถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือได้รับผลประโยชน์ทางตรงและทางอ้อม

ทั้งนี้ ภายใต้แรงกดดันจากข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา กองทัพไทยได้ใช้มาตรการตัดไฟฟ้า สัญญาณอินเทอร์เน็ต และจำกัดการข้ามแดน เพื่อกดดันอุตสาหกรรมผิดกฎหมาย ซึ่งถือเป็นรายได้หลักของกัมพูชา แม้รัฐบาลจะปฏิเสธความเกี่ยวข้อง แต่รายงานระบุว่ารายได้จากกิจกรรมเหล่านี้อาจถูกนำไปใช้ในโครงการของรัฐและการควบคุมทางการเมืองภายในประเทศ

ผบช.ภ.2 สั่งเข้ม! คุม 3 จังหวัดชายแดน “สระแก้ว-จันทบุรี-ตราด” ตรึงกำลัง คัดกรองทุกจุด ป้องกันเหตุ

เมื่อวันที่ (9 มิ.ย. 68) พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) สั่งการด่วน! ถึงทุกสถานีตำรวจในพื้นที่ โดยเฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนตะวันออก ได้แก่ สระแก้ว จันทบุรี และตราด หลังเกิดสถานการณ์ด้านความมั่นคงในพื้นที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี โดยเน้นย้ำให้ “ตรึงกำลัง-คัดกรองเข้ม-บังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด” เพื่อปกป้องอธิปไตย คุ้มครองประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นในพื้นที่ชายแดน

พล.ต.ท.ยิ่งยศ เปิดเผยว่า ตามข้อสั่งการจาก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ตำรวจภูธรภาค 2 ทุกพื้นที่ เพิ่มความเข้มข้นในการเฝ้าระวังและสกัดกั้นเหตุร้าย โดยเฉพาะตามแนวชายแดนที่ติดกับประเทศกัมพูชา กำหนดให้พื้นที่เหล่านี้เป็น “พื้นที่เฝ้าระวังพิเศษ” พร้อมสั่งระดมกำลังจากหน่วยต่าง ๆ ทั้งตำรวจทางหลวง ตำรวจตระเวนชายแดน และหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ร่วมตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ตรวจสอบยานพาหนะ และบุคคลต้องสงสัยในเส้นทางหลัก เส้นทางรอง รวมถึงจุดพักคอยและที่พักอาศัยต้องสงสัย

“ต้องทำงานเชิงรุก สืบสวนหาข่าวในพื้นที่อย่างใกล้ชิด วางแผนเผชิญเหตุล่วงหน้า และสนับสนุนภารกิจของทุกหน่วยอย่างเป็นระบบ” พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าว

นอกจากนี้ ผบช.ภ.2 ยังสั่งให้จัดตั้ง “ชุดสืบสวน-เคลื่อนที่เร็ว-ยุทธวิธีพิเศษ” ปฏิบัติงานลงพื้นที่ทุกจุดสำคัญ อาทิ ตลาดนัด สถานีขนส่ง สถานที่ท่องเที่ยว และจุดที่มีประชาชนหนาแน่น เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชน พร้อมประสานความร่วมมือกับฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่ความมั่นคง และพนักงานรักษาความปลอดภัยในพื้นที่
  โดยกำชับเจ้าหน้าที่สายตรวจและจราจรทุกนายให้ “เปิดสัญญาณไฟวับวาบ” ขณะปฏิบัติหน้าที่ เพื่อแสดงตัวตนชัดเจน พร้อมใช้ยุทธวิธี “Stop-Walk-Talk” พบปะ พูดคุย ทำความเข้าใจ สร้างความร่วมมือกับประชาชนในชุมชนอย่างต่อเนื่อง  มาตรการครั้งนี้ถือเป็นการยกระดับความปลอดภัยเชิงรุก ป้องกันการลักลอบ กระทำผิด หรือก่อเหตุร้ายในพื้นที่อย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอยในรูปแบบใดอีก โดย ผบช.ภ.2 ย้ำว่า “เจ้าหน้าที่ทุกนายต้องปฏิบัติภารกิจด้วยความตั้งใจสูงสุด เพื่อประชาชนและประเทศชาติ”

📍ประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสหรือข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานได้ที่สถานีตำรวจใกล้บ้าน หรือสายด่วน 191 ตลอด 24 ชั่วโมง

ขอนแก่น - มข. ส่งมอบแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนสนับสนุนกองทัพ เสริมความมั่นคงชายแดน

(11 มิ.ย. 68) ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนที่ต้องการการเตรียมพร้อมด้านความมั่นคง มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) ได้แสดงจิตวิญญาณความเป็นไทยด้วยการส่งมอบเทคโนโลยีแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนล้ำสมัย เพื่อสนับสนุนภารกิจของกองทัพในพื้นที่ปฏิบัติการ

พิธีส่งมอบ จัดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน 2568 เวลา 12.00 น. ณ บริเวณด้านหน้าอาคารสิริคุณากร มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยมี รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดี เป็นประธานในการส่งมอบ  พร้อมด้วยศาสตราจารย์ธิดารัตน์ บุญมาศ รองอธิการบดีฝ่ายวิสาหกิจและสังคมยั่งยืน, รศ.นงลักษณ์ มีทอง ผู้อำนวยการโรงงานแบตเตอรี่และพลังงานยุคใหม่ และพลตรี กิตติพงษ์ เนื่องชมภู ผู้บัญชาการ มณฑลทหารบกที่ 23 ค่ายศรีพัชรินทร จ.ขอนแก่น เป็นผู้รับมอบ พร้อมด้วยคณะทหารมณฑลทหารบกที่ 23

การสนับสนุนแบตเตอรี่ เพื่อการปฏิบัติการทางทหารนั้น เป็นรูปแบบการให้ยืมเป็นระยะเวลาชั่วคราว ประกอบด้วย
1. แบตเตอรี่ชนิดลิเทียมไอออน 24V100Ah ซึ่งสามารถนำไปใช้งานสำหรับจั๊ม สตาร์ทเครื่องยนต์รถบรรทุก จำนวน 3 แพ็ก
2. แบตเตอรี่ชนิดลิเทียมไอออน 24V50Ah ซึ่งสามารถนำไปใช้งานสำหรับจั๊ม สตาร์ทเครื่อยนต์ตระกูลนาโต้ จำนวน 3 แพ็ก

รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดี กล่าวว่า มหาวิทยาลัยมีความร่วมมือยาวนานกับกองทัพ และมณฑลทหารบกที่ 23 โดยมีความร่วมมือทั้งในลักษณะกึ่งทางการและเป็นทางการ ผ่านบันทึกความเข้าใจ ซึ่งโรงงานแบตเตอรี่ มข. ไม่เพียงเป็นแหล่งพลังงานสำรองสำหรับภาคตะวันออกเฉียงเหนือเท่านั้น แต่ยังผลิตแบตเตอรี่เฉพาะทางสนับสนุนกองทัพ ทั้งสำหรับรถถัง ป้อมปืน และอุปกรณ์ Power Supply ต่างๆ” เพื่อสนับสนุนภารกิจด้านความมั่นคงของประเทศ

นอกจากสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กองทัพในภูมิภาคแล้ว โครงการนี้ยังเป็นตัวอย่างสำคัญ ของการแปลงงานวิจัยสู่การใช้งานจริง โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลที่ต้องการความต่อเนื่องของระบบไฟฟ้า “เป็นการร่วมสนับสนุนในฐานะประชาชน ทุกคนรวมใจเป็นหนึ่งเพื่อสนับสนุนภารกิจของกองทัพ” อธิการบดีเน้นย้ำ

พลตรี กิตติพงษ์ เนื่องชมภู ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 23 กล่าวขอบคุณ มข. ที่สนับสนุนภารกิจหน่วยงานด้านความมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สถานการณ์อ่อนไหวตามแนวชายแดน “แหล่งพลังงานสำรองนี้ช่วยให้กองทัพและหน่วยยานเกราะไม่ต้องกังวลเรื่องการส่งกำลังบำรุงหากเกิดการชะงักงัน”

พลตรี กิตติพงษ์ กล่าวย้ำว่า “การดำเนินการครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย กับภาคความมั่นคงเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติ และแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ในการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานอย่างยั่งยืน”

ทั้งนี้  โรงงานแบตเตอรี่และพลังงานยุคใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้มีการทดสอบการใช้งานแบตเตอรี่ร่วมกับระบบดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว และมีความพร้อมในการใช้เพื่อสนับสนุนภารกิจดังกล่าว

ที่สำคัญ การดำเนินการของมหาวิทยาลัยครั้งนี้เป็นการร่วมสนับสนุนภารกิจสำคัญของกองทัพ ในฐานะประชาชน “ทุกคนรวมใจเป็นหนึ่ง” เพื่อให้กองทัพสามารถปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันประเทศ ได้อย่างมั่นใจและต่อเนื่อง.

ข่าว : เบญจมาภรณ์ มามุข
ภาพ : ณัฐวุฒิ จารุวงศ์

ทูตจีนกล่าวอำลาไทย ยกเป็น 4 ปีแห่งมิตรภาพ ขอบคุณน้ำใจช่วงวิกฤต ย้ำ ‘จีนไทยพี่น้องกัน’

(11 มิ.ย. 68) นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ได้เผยแพร่บทความ 'จีนไทยพี่น้องกัน ร่วมกันมุ่งสู่อนาคต' ในหนังสือพิมพ์ไทยหลายฉบับ โดยกล่าวถึงความประทับใจตลอด 4 ปีของการทำหน้าที่ พร้อมแสดงความเชื่อมั่นในอนาคตอันสดใสของความสัมพันธ์จีน-ไทย

ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 เอกอัครราชทูตหานยกย่องน้ำใจของคนไทยและความช่วยเหลือที่สองประเทศมีให้กัน พร้อมระบุว่า “ความร่วมมือในยามยาก” ได้ทำให้มิตรภาพระหว่างประชาชนแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงพลังของความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง

นายหาน จื้อเฉียง ยังเน้นย้ำถึงการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว เช่น การจ้างงานในนิคมอุตสาหกรรม WHA และการส่งออกทุเรียนไทยไปจีน ซึ่งล้วนสะท้อนความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมและสร้างประโยชน์ให้กับทั้งสองประเทศ

ในด้านวัฒนธรรม นายหานชื่นชมการแลกเปลี่ยนที่เติบโตต่อเนื่อง ทั้งยุคฟรีวีซ่า ความนิยมของภาพยนตร์ไทยในจีน และการเรียนภาษาจีนในไทย ซึ่งมีนักเรียนกว่า 1 ล้านคน ถือเป็นรากฐานสำคัญในการเสริมสร้างความเข้าใจและความผูกพันของประชาชนทั้งสองชาติ

ทั้งนี้ ในวาระครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต หาน จื้อเฉียง ย้ำว่าจีน-ไทยยังคงเคารพ ไว้วางใจ และสนับสนุนกันอย่างมั่นคง พร้อมเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์นี้จะเดินหน้าสู่อนาคตที่สดใสและยั่งยืน ท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

3 สส. ชุมพร ยันยังอยู่กับ รทสช. เหตุฐานเสียงหนุน พีระพันธุ์-เอกนัฏ แจงที่มาลายเซ็นเป็นการลงชื่อเข้าร่วมประชุม ไม่ได้เซ็นให้ ปรับ ครม.

(11 มิ.ย.68) นายวิชัย สุดสวาสดิ์ สส.ชุมพร พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวภายหลังที่ก่อนหน้านี้ออกมาปฏิเสธกรณีมีลายเซ็นตนเองรวมอยู่ในรายชื่อ 21 สส.รทสช. ที่เสนอนายกรัฐมนตรีปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสัดส่วนของพรรค ลายเซ็นดังกล่าวมาได้อย่างไรว่า ปกติการเซ็นชื่อในพรรคจะมีการเซ็นเป็นปกติ เช่น เซ็นชื่อเข้าร่วมการประชุม หรือเซ็นชื่อรับของต่าง ๆ จากพรรค อย่างเช่นปฏิทิน ยืนยันตนไม่ได้เซ็นชื่อเสนอปรับครม. เพราะไม่ใช่หน้าที่ของตน และจะทำอะไรต้องถามประชาชนในพื้นที่ก่อน เพราะตนเป็นตัวแทนของประชาชน ไม่สามารถทำอะไรขัดกับประชาชนได้ ส่วนการเสนอปรับครม.เป็นหน้าที่ดำเนินการของหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และอำนาจตัดสินใจสูงสุดอยู่ที่นายกรัฐมนตรี และตนขอตั้งข้อสังเกตว่าทำไมเอกสารเสนอปรับ ครม.ถึงมี 2 ฉบับ ทำไมต้องมีชื่อแนบ ทำไมไม่อยู่ในฉบับเดียวกัน ขอยืนยันอีกครั้งตนไม่ได้เซ็นชื่อเสนอปรับครม. และตนยังอยู่กับพรรค รทสช.ไม่ไหวแน่นอน 

ทั้งนี้มีรายงานข่าวว่า จากกรณีปรากฏภาพ 3 สส.ชุมพร ไปดื่มกาแฟกับ นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ ในฐานะรองหัวหน้าพรรค รทสช. และนางพิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ สส.บัญชีรายชื่อ นั้น เป็นการไปพูดคุยเรื่องราคาปาล์มและราคายาง เนื่องจากนายสุชาติเป็น รมช.พาณิชย์ รายงานข่าวยืนยันว่า สส.ชุมพรทั้ง 3 คน ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความขัดแย้งภายในพรรค ซึ่งทั้ง 3 คน ยังยืนยันอยู่กับ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรค รทสช. อีกทั้งฐานเสียงในพื้นที่ยังให้การสนับสนุนนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯและรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค และนายเอกนัฏด้วย จึงทำให้ไม่สามารถเข้าร่วมกลุ่มของนายสุชาติได้ เพราะจะทำให้คะแนนเสียงที่จะใช้ในการเลือกตั้งครั้งหน้าหายไป ส่วนการเซ็นชื่อ เป็นการเซ็นชื่อเพื่อเข้าร่วมประชุม ไม่ได้มีเอกสารเสนอนายกรัฐมนตรีปรับ ครม. แนบท้ายในการเซ็นชื่อดังกล่าวแต่อย่างใด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสส.ชุมพร 3 คนประกอบด้วย นายวิชัย สุดสวาสดิ์ สส.เขต 1 , นายสันต์ แซ่ตั้ง สส.เขต2  และนายสุพล จุลใส สส.เขต 3 ซึ่งทั้ง 3 คนยืนยันอยู่กับพรรค รทสช. ทำให้กลุ่มสส.ในรายชื่อ 21 คน เหลือเพียง 18 คน

รัสเซีย-เกาหลีเหนือ กลับมาเดินรถไฟระยะไกลสุดในโลกอีกครั้งในรอบ 4 ปี ระหว่างกรุงเปียงยาง-มอสโก เริ่ม 17 มิ.ย.นี้

(11 มิ.ย. 68) รัสเซียและเกาหลีเหนือเตรียมกลับมาให้บริการ เดินทางด้วยรถไฟโดยสารที่ระยะไกลสุดในโลกระหว่างกรุงเปียงยาง-มอสโก เริ่ม 17 มิถุนายนนี้ หลังระงับไปกว่า 4 ปี จากมาตรการปิดพรมแดนช่วงโควิด-19

รถไฟสายตรงดังกล่าวใช้เวลาเดินทาง 8 วัน โดยขาไปจะออกจากกรุงเปียงยาง วันที่ 17 มิถุนายน ถึงมอสโก วันที่ 25 มิถุนายน ส่วนขากลับจะออกจากกรุงมอสโก วันที่ 26 มิถุนายน ถึงเปียงยางวันที่ 4 กรกฎาคม ให้บริการเดือนละ 2 ครั้ง ในวันที่ 3 และ 17 ของทุกเดือน

สำหรับรถไฟจะให้บริการแบบไม่แวะจอดนอกกำหนด โดยจะมีจุดจอดตามเมืองใหญ่ในรัสเซียประมาณ 12 เมือง เช่น อีร์คุตสค์ ครัสโนยาสค์ โนโวซีบีสค์และเยคาเตรินบุร์ก โดยทางการรถไฟเกาหลีเหนือจะเป็นผู้ดำเนินการตู้โดยสารของตนเอง

ขณะที่ในวันที่ 19 มิถุนายนนี้ จะมีการกลับมาเปิดเดินรถไฟระหว่างเปียงยาง-ฮาบารอฟสค์ แบบรายเดือนเพิ่มเติมด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่สะท้อนความสัมพันธ์แน่นแฟ้นระหว่างสองประเทศ

ทั้งนี้ ความร่วมมือรัสเซีย-เกาหลีเหนือแน่นแฟ้นขึ้นหลังสงครามยูเครน โดยมีรายงานว่า เกาหลีเหนือส่งกำลังสนับสนุนรัสเซียในแนวรบเมืองคูร์สก์ และได้ลงนามข้อตกลงความมั่นคงร่วมกันเมื่อปลายปี 2024


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top