Thursday, 12 June 2025
TheStatesTimes

‘แพ็ค กัง-ฮยุน’ เด็กอัจฉริยะ IQ204 แห่งเกาหลีใต้ ผู้ถูกคาดหวังสูงจากสังคม จนเข้ากับสังคมไม่ได้

(23 ส.ค. 66) ถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจทีเดียว สำหรับประเทศเกาหลีใต้ ที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นประเทศพัฒนาแล้วแถวหน้าของโลกได้ ส่วนหนึ่งเกิดจากการพัฒนาศักยภาพเยาวชนได้อย่างมีคุณภาพ ที่เป็นกำลังสำคัญในการสร้างชาติ 

แต่สิ่งที่ตามมา คือความกดดันในสังคมและครอบครัว ที่คาดหวังต่อพัฒนาการของเด็กคนหนึ่ง ที่อาจทำลายพรสวรรค์ที่เขามีโดยไม่รู้ตัวก็ได้

อย่างกรณีของ ‘เด็กชายแพ็ค กัง-ฮยุน’ เด็กอัจฉริยะวัย 10 ขวบ ที่เคยมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ ในความฉลาดอย่างน่าทึ่ง ทั้งด้านคณิตศาสตร์และดนตรี จนสื่อเกาหลีเคยตั้งฉายาให้เขาเป็น ‘โมซาร์ทน้อยแห่งเกาหลี’ มาแล้ว

แต่มาวันนี้ ชื่อ ‘แพ็ค กัง-ฮยุน’ กลับมาอยู่ในหน้าสื่อเกาหลีใต้อีกครั้ง ในฐานะเหยื่อที่ถูกรุมรังแกโดยเพื่อนร่วมชั้น และรุ่นพี่ในโรงเรียน จนมีอาการซึมเศร้า น้ำหนักลด ทำให้พ่อของเขาตัดสินใจพาลูกชายลาออกจากโรงเรียน 

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย ว่าเกิดอะไรขึ้นในโรงเรียน ‘Seoul Science High School’ โรงเรียนเฉพาะทางอันดับ 1 ของนักเรียนที่มีพรสวรรค์ด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ของประเทศ หรือแท้จริงแล้ว แพ็ค กัง-ฮยุน เป็นเพียงเด็กธรรมดา ที่ต้องการเพียงชั้นเรียนทั่วไปเท่านั้นเอง

เมื่อย้อนกลับไปช่วง 6 ปีก่อน แพ็ค กัง-ฮยุน ถือเป็นเซเลปเด็กชื่อดังไปทั่วประเทศในฐานะ เด็กชายสมองเพชรที่มีระดับ IQ สูงถึง 204 จากการประเมินของ ‘Mensa's IQ test’ มีความฉลาดเป็นเลิศอย่างมากในด้านดนตรี และคณิตศาสตร์ 

และในปี 2017 นี้เอง ที่แพ็ค กัง-ฮยุนได้ไปออกรายการ Einstein สารคดีด้านการศึกษาของช่อง SBS และได้แสดงความสามารถในการเล่นเปียโน และประพันธ์เป็นเพลงบรรเลงได้ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ และยังสามารถเขียนโน้ตเพลงตามที่ได้ยิน จากการบรรเลงของนักเปียโนมืออาชีพได้อย่างถูกต้อง ซึ่งความสามารถด้านดนตรีของเด็กชายแพ็ค กัง-ฮยุน ได้รับการประเมิน และตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรี ยืนยันว่าเป็นของจริง 

อีกทั้งยังมีความสามารถด้านคณิตศาสตร์เกินวัยมาก สามารถแก้โจทย์คณิตศาสตร์ในระดับชั้นมัธยมต้นได้แล้ว แม้เจ้าตัวจะอยู่ในวัยประถม 1 โดยมีการทดสอบแข่งทำข้อสอบคณิตศาสตร์กับเด็กมัธยมชั้น Year 9 ซึ่งแพ็ค กัง-ฮยุน ก็สามารถทำข้อสอบเสร็จครบ และถูกต้องภายใน 20 นาทีเท่านั้น ทั้งๆ ที่เด็กมัธยมทั้งช้้นที่มาแข่งด้วย ยังไม่มีใครทำเสร็จสักคน 

ทำให้ชื่อ ‘แพ็ค กัง-ฮยุน’ กลายเป็นที่จดจำของชาวเกาหลีใต้ทั่วประเทศ ในฐานะ ‘โมซาร์ทตัวน้อย’ และ ‘เด็กอัจฉริยะสมองเพชร’ และต่างจับตามองว่า เด็กชายแพ็ค กัง-ฮยุน จะโตขึ้นมาอย่างไรในอนาคตข้างหน้า

เมื่อหลายปีผ่านไป แพ็ค กัง-ฮยุน ก็ได้รับเข้าเรียนต่อในสถาบัน Seoul Science High School ที่ได้ชื่อว่าแหล่งรวมเด็กอัจฉริยะจากทั่วประเทศ มีหลักสูตรที่เข้มข้น จัดเต็มกว่าโรงเรียนทั่วไปมาก เพราะเด็กที่ได้เข้ามาเรียนล้วนมีพรสววรค์ที่ไม่ธรรมดา  

แต่ทว่า วันนี้ชื่อโรงเรียนนี้กลายเป็นข่าวฉาวบนหน้าสื่อเกาหลีใต้เสียแล้ว จากกรณีที่ แพ็ค กัง-ฮยุน ถูกเพื่อนร่วมชั้นบูลลี่ รังแก จนเรียนต่อไม่ได้

หลังจากที่พ่อของ กัง-ฮยุน พาลูกชายลาออกจากโรงเรียน ได้ออกมาสัมภาษณ์ผ่านสื่อถึงเหตุผลที่ลูกชายไม่สามารถเรียนต่อที่นี่ได้ เพราะเขาถูกเพื่อนในชั้น และรุ่นพี่ในโรงเรียน บูลลี่ ถากถาง โดนหมางเมิน ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน ไม่ยอมคุยด้วย ไม่ยอมแบ่งงานกลุ่มให้ทำ และยังพบข้อความดูถูก ถากถางอย่างรุนแรงที่พูดถึงแพ็ค กัง-ฮยุน จำนวนมากในสื่อออนไลน์ของโรงเรียน

พ่อของเขายังเล่าอีกว่า เมื่อเจอการบูลลี่จากสังคมในโรงเรียนอย่างต่อเนื่องทำให้แพ็ค กัง-ฮยุน มีอาการเครียดอย่างมาก ไม่มีความสุขในโรงเรียน ซึมเศร้า ไม่หัวเราะร่าเริงเหมือนแต่ก่อน และยังส่งผลต่อร่างกายด้วย น้ำหนักจากเดิม 27 กิโลกรัม ตอนนี้ลดลงเหลือแค่ 22 กิโลกรัมเท่านั้น

พ่อของแพ็ค กัง-ฮยุน เคยพยายามต่อรองกับทางโรงเรียน เรื่องปัญหาในการทำงานกลุ่มกับเพื่อนในชั้น อยากให้ทางโรงเรียนแก้ไข แต่ทางโรงเรียนปฏิเสธอย่างชัดเจนว่าจะไม่ยอมปรับเปลี่ยนหลักสูตร กฎเกณฑ์ให้เด็กนักเรียนเพียงคนเดียว นั่นจึงเป็นสาเหตุให้พ่อของกัง-ฮยุน ตัดสินใจพาลูกชายลาออก 

แต่ทว่า หลังจากที่พ่อของกัง-ฮยุน ให้สัมภาษณ์ออกสื่อเพียงวันเดียว พ่อของเขาก็ได้รับอีเมลจากผู้ปกครองนักเรียนคนอื่นเป็นจำนวนมาก ข่มขู่ให้พ่อของกัง-ฮยุน หยุดพูดออกสื่อว่า แพ็ค กัง-ฮยุนถูกรังแก มิฉะนั้น จะออกมาแฉถึงสาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมแพ็ค กัง-ฮยุน ถึงเรียนต่อที่ Seoul Science High School ไม่ได้

แต่สื่อเกาหลีใต้ก็ไม่วายขุดต่อ โดยแอบไปสอบถามผู้ปกครองของนักเรียนคนอื่นๆ ในโรงเรียน บางคนกล่าวว่า ที่แพ็ค กัง-ฮยุน ต้องออก เพราะเขาเรียนตามเพื่อนไม่ทัน และแก้โจทย์เลขได้เพียงข้อเดียวเท่านั้นจากการสอบกลางภาค

ผู้ปกครองจำนวนหนึ่งสงสัยว่า ทางโรงเรียนอาจให้แพ็ค กัง-ฮยุน เข้าเรียนด้วยช่องทางพิเศษ ที่ต่างจากเด็กนักเรียนคนอื่น ที่ต้องผ่านการสอบเข้าด้วยความยากลำบาก และบางคนยังบอกว่าไม่ต้องการให้พ่อของแพ็ค กัง-ฮยุน กล่าวหาให้โรงเรียนที่มีเกียรติแห่งนี้เสื่อมเสียชื่อเสียง 

สิ่งที่น่ากลัวมากกว่าการตั้งคำถามเรื่องความเป็นอัจฉริยะของแพ็ค กัง-ฮยุน ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ก็คือ หลายคนลืมไปว่า แพ็ค กัง-ฮยุน เป็นเพียงเด็กวัย 10 ขวบ ที่ควรมีพื้นที่ให้เขาสามารถเรียนรู้ และ ‘ลองผิด ลองถูก’ ได้อย่างเด็กวัยอื่นๆ 

แต่สิ่งที่ แพ็ค กัง-ฮยุน ต้องแบกรับตั้งแต่วัยเด็ก คือ ‘ชื่อเสียง’ ในการเป็นเซเลปเด็กอัจฉริยะ ที่ถูกกดดันจากครอบครัว และความคาดหวังของสังคม ถูกจับตามองในทุกเรื่องที่เขาทำ และแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ‘ผิดหวัง’ เมื่อความสามารถไปไม่ถึงระดับที่ถูกคาดหวัง ที่ตั้งบาร์ไว้สูงเสียด้วย 

แพ็ค กัง-ฮยุน เคยเล่าถึงการเรียนในโรงเรียนว่า เขารู้สึกผิดหวังในตัวเอง ที่สุดท้ายเขาเป็นได้แค่เครื่องจักรในการแก้โจทย์คณิตศาสตร์ 

ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา แพ็ค กัง-ฮยุน ถูกตีกรอบ ถูกกดดัน และถูกคาดหวัง มีพื้นที่ให้เขาเพียงแค่การ ‘ลองถูก’ เท่านั้น และสังคมรอบข้างมักตอบสนอง ‘การลองผิด’ ของเขาอย่างโหดร้ายเสมอ 

แพ็ค กัง-ฮยุน จึงเป็นกรณีศึกษาที่ดีสำหรับผู้ปกครอง ที่ไม่ว่าคุณจะมีลูกหลานเป็นเด็กอัจฉริยะหรือไม่ก็ตาม เพราะเด็กทุกคนล้วนมีพรสวรรค์อย่างใด อย่างหนึ่งในตัวเสมอ การเน้นแต่ผลักดัน ส่งเสริมศักยภาพด้านวิชาการของเด็กเพียงอย่างเดียว โดยละเลยการให้พื้นที่ในพัฒนาการด้านอื่นๆ ของเด็กอย่างสมวัย อาจทำให้ พรสวรรค์ของเขากลายเป็นทุกขลาภ และไปทำลายอัจฉริยภาพเหล่านั้นลงอย่างน่าเสียดายได้

26 สิงหาคม พ.ศ. 2461 ในหลวงรัชกาลที่ 7 ทรงอภิเษกสมรส กับสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี

วันนี้เมื่อ 105 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอภิเษกสมรส กับสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี 

พระราชพิธีอภิเษกสมรสพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2461 ณ พระที่นั่งวโรภาษพิมาน พระราชวังบางปะอิน ถือเป็นการอภิเษกสมรสครั้งแรกในสยาม ซึ่งได้นำแบบอย่างธรรมเนียมการสมรสของชาวตะวันตกมาปรับใช้ มีพิธีการจดทะเบียนสมรสเป็นคู่แรกของสยาม และมีการพระราชทานของชำร่วยเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สยาม ซึ่งเป็นแม่แบบพิธีแต่งงานของไทยที่สืบต่อกันมาจนถึงยุคปัจจุบัน

ย้อนไปเมื่อวันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2461 เวลา 14.00 น. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เมื่อครั้งยังดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนศุโขทัยธรรมราชา และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี หรือหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี สวัสดิวัตน์ พระอิสริยยศ ณ ขณะนั้น ณ พระที่นั่งวโรภาษพิมาน พระราชวังบางปะอิน ถือเป็น ‘พระราชพิธีอภิเษกสมรสครั้งแรกในสยาม’

หลังจากการตรากฎมณเฑียรบาลว่าด้วย การเศกสมรสแห่งเจ้านายในพระราชวงศ์ พุทธศักราช ๒๔๖๑ ความตอนหนึ่งว่า “ให้เจ้านายในพระราชวงศ์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไปจะทำการเศกสมรสกับผู้ใด ให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตก่อน เมื่อได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้วจึงจะทำการพิธีนั้นได้”

เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2461 สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนฯ ทำหนังสือกราบบังคมทูลพระกรุณาพระบาทสมเด็จพระมงกฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตอภิเษกสมรสกับ หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี ความตอนหนึ่งว่า

“บัดนี้ ข้าพระพุทธเจ้าได้ปฏิพัทธ์รักใคร่กับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี ธิดาแห่งเสด็จน้า และข้าพระพุทธเจ้าอยากจะใคร่ทำการสมรสกับเจ้าหญิงนั้น แต่เดิมข้าพระพุทธเจ้าได้ชอบพอกับหญิงรำไพพรรณี ฉันเด็กและผู้ใหญ่ และสมเด็จแม่ก็โปรดให้หญิงรำไพพรรณี มารับใช้ข้าพระพุทธเจ้าอยู่เสมอ ข้าพระพุทธเจ้าได้ กราบทูลสมเด็จแม่ว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะมีหนังสือกราบบังคมทูลใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเพื่อทราบพระราชปฏิบัติ ท่านก็ทรงเห็นด้วยกับข้าพระพุทธเจ้า ส่วนเสด็จน้านั้น ท่านรับสั่งว่าท่านไม่ทรงเกี่ยวข้องด้วย เพราะท่านได้ถวายหญิงรําไพไว้ขาดแด่สมเด็จแม่ตั้งแต่ยังเล็กๆ แล้ว…” (อ้างใน ราชเลขาธิการ 2531: 15)

ในพระราชพิธีอภิเษกสมรส สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนศุโขทัยธรรมราชา และหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี ทรงลงพระนามในสมุด ‘ทะเบียนแต่งงาน’ แล้วพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยเป็น ‘ผู้สู่ขอตกแต่ง’ และ ‘ผู้ทรงเป็นประธานและพยานในการแต่งงาน’ และโปรดเกล้าฯ ให้เจ้านายชั้นพระบรมวงศ์ลงพระนามเป็นพยาน รวม 12 พระองค์

นับว่าเป็น ‘ครั้งแรกที่มีการจดทะเบียนสมรสในพระราชวงศ์’ สะท้อนให้เห็นว่า สังคมไทยเริ่มมีการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและวัฒนธรรมการครองเรือนให้เป็นแบบตะวันตก และยังเป็นแม่แบบของพิธีแต่งงานของไทยยุคใหม่ที่มีการจดทะเบียนสมรส

ในเวลาค่ำ พระราชทานเลี้ยงพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการที่มาร่วมงาน และได้ทรงพระราชทานของชำร่วย เป็นแหวนทองคำลงยาประดับเพชร ถือเป็น ‘ของชำร่วยวันแต่งงานครั้งแรกในประวัติศาสตร์สยาม’

‘ลิซ่า BLACKPINK’ สวมชุดแบรนด์ไทยขึ้นคอนเสิร์ต เฉิดฉายที่ซานฟรานฯ อวดโฉมความปังไม่แพ้ชาติใดในโลก

(23 ส.ค.66) เรียกว่าดีไซเนอร์ไทยก็ปังไม่แพ้ชาติใด เพราะล่าสุดแบรนด์ KANAPOT ของ ‘คณาพจน์ อุ่นศร’ ดีไซเนอร์มากความสามารถชาวไทย กลายเป็นไวรัลดัง

หลังดีไซน์ชุดสีขาวสุดแซ่บ ที่ ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’ สมาชิกชาวไทยเกิร์ลกรุ๊ปวง ‘BLACKPINK’ สวมขึ้นโชว์โซโล่ในเพลง MONEY บนเวทีคอนเสิร์ต BORN PINK WORLD TOUR ที่ Oracle Park นครซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา ในค่ำคืนที่ผ่านมา (22 ส.ค.66)

โดยความพิเศษอยู่ที่ผสมผสานดีไซน์สปอร์ตเข้ากับความแหลมของเลื่อม และขนนกให้ได้ลุคที่ลงตัว และสะท้อนความเป็นลิซ่าได้ออกมาอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ท่ามกลางเสียงชื่นชมล้นหลาม

‘เบิร์ด ธงไชย’ ได้รับเลือกเป็น ‘ศิลปินแห่งชาติ’ สาขาศิลปะการแสดง ประจำปี 2565

(23 ส.ค.66) นับเป็นเรื่องยินดีอย่างยิ่ง หลังกรมส่งเสริมวัฒนธรรม แถลงข่าวประกาศผลการคัดเลือกศิลปินแห่งชาติ พุทธศักราช 2565 ผ่านเพจ ‘กรมส่งเสริมวัฒนธรรม’ ซึ่งมีบุคคลที่ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติ จำนวน 12 คน

โดยหนึ่งในนั้นมีรายชื่อซูเปอร์สตาร์เมืองไทย ‘เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์’ ได้รับการยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทยสากล-ขับร้อง)

ทั้งนี้ ‘เบิร์ด ธงไชย’ ได้ออกมาเผยความรู้สึกผ่านเฟซบุ๊กว่า “พี่เบิร์ดขอขอบคุณ สำหรับการได้รับเกียรติยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๖๕ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทยสากล-ขับร้อง) รางวัลนี้ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นได้เพราะแฟนเพลง ที่สนับสนุนผลงานของพี่เบิร์ดมาตลอดด้วยครับ พี่เบิร์ดขอบคุณมาก ๆ ครับ”

‘เชาว์ มีขวด’ ยกโมเดล พปชร. แก้วิกฤติพรรค หวังใช้แก้ปัญหาใน ปชป. หลังมี สส. แหกมิติพรรคโหวตนายกฯ

(24 ส.ค. 66) นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ‘ทนายเชาว์ มีขวด’ ระบุว่า…

ปล่อยมือเถอะครับ แล้วจากกันด้วยดี
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับพรรคประชาธิปัตย์ในการโหวตให้ความเห็นชอบนายเศรษฐา ทวีสิน จากพรรคเพื่อไทย ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวานนี้ กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกปากว่าประชาธิปัตย์เละเป็นโจ๊ก เนื่องจากมี สส.กลุ่มของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน อดีตเลขาธิการพรรค จำนวน 16 คน ได้โหวตสวนมติพรรคที่ให้งดออกเสียง เป็นเห็นชอบ

ที่ผมโฟกัสเฉพาะสส. 16 คน ไม่พูดถึง 2 อดีตหัวหน้าพรรคฯ ที่โหวตสวนมติเหมือนกัน แต่เป็นการลงคะแนนไม่เห็นชอบนั้น ก็เพราะทั้งคู่ได้แจ้งต่อที่ประชุมแล้วถึงจุดยืนที่ขอใช้เอกสิทธิ์ สส.ในกรณีนี้ แต่ สส. 16 คน ซึ่งเป็นจำนวนเดียวกับที่เคยตกเป็นข่าวว่า นายเดชอิศม์ ขาวทอง สส.สงขลา ใช้ต่อรองกับนายทักษิณ ชินวัตร ดีลร่วมรัฐบาลที่ฮ่องกง

เหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นสถาบันหลักในทางการเมืองมายาวนานกว่า 78 ปี และยังมีจุดยืนทางการเมืองคนละขั้วกับพรรคเพื่อไทยอย่างชัดเจนในการต่อต้านระบอบทักษิณต่อสู้ห้ำหั่นกันมากว่าสองทศวรรษ ถึงขนาดนายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรค กล่าวภายหลังการประชุมรัฐสภาว่า ไม่น่าเชื่อว่า สส.ของพรรคจะโหวตออกมาอย่างนี้ ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากสมาชิกพรรคที่มีความห่วงใย ในอนาคตของพรรคว่าถึงคราวจะสูญพันธุ์ตามที่หลายคนได้พูดถึงหรือไม่

จนถึงเวลานี้ ยังไม่มีคำชี้แจงจากกลุ่ม สส. ทั้ง 16 คน ถึงเหตุผลใดที่ให้พวกท่านตัดสินใจทำเช่นนั้น แต่ผมคิดว่าการฝ่าฝืนมติพรรคที่ตัวเองเป็นผู้กำหนดขึ้นเองคล้อยหลังเพียงหนึ่งวัน จากงดออกเสียงเป็นเห็นชอบ จะชี้แจงแก้ตัวอย่างไรคงฟังไม่ขึ้น เพราะการกระทำของพวกท่านหมดความชอบธรรมที่จะยกเหตุผลใดมาอธิบายนอกจากเห็นแก่ประโยชน์เฉพาะหน้าจากการเข้าร่วมรัฐบาล โดยที่พวกท่านลืมหลักการไปว่าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือในการแสวงหาอำนาจ โดยไม่คำนึงถึงอุดมการณ์และความรู้สึกของประชาชนที่เป็นผู้สนับสนุนพรรคมาอย่างยาวนาน

ผมเข้าใจดีว่าในวันที่พรรคอ่อนแอ หลายคนคิดแค่กอบโกยให้ได้มากที่สุด ทิ้งไว้เพียงซากปรักหักพัง เพราะไม่คิดที่จะอยู่ต่อแล้วในอนาคต แต่อยากให้ตระหนักสักนิดว่ายังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่คิดทิ้งพรรค หวังที่จะกอบกู้ สู้ไปด้วยกันแม้ในวันที่พรรคอ่อนล้าโรยแรง มีโมเดลที่พรรคพลังประชารัฐเคยทำ เมื่อครั้งมีความเห็นต่างจนไม่อาจหาข้อยุติได้ สุดท้ายร้อยเอกธรรมนัส เดินจากไป ปล่อยมือเถอะครับ แล้วจากกันด้วยดี”

States TOON EP.139

รักคุณเท่าฟ้า!! แต่ไหงพ่อม่ายรักฟ้า!!

***สงวนลิขสิทธิ์ภาพดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียนแบบ ดัดแปลง หรือนำส่วนใดส่วนหนึ่งไปใช้ แต่อนุญาตให้นำไปเผยแพร่ต่อได้ ตามต้นฉบับนี้ โดยไม่ต้องขออนุญาต

ติดตามการ์ตูนสนุกๆ เพิ่มเติมได้ที่ : https://thestatestimes.com/tag/statestoon

 

ด่วน!! เกิดเหตุเครื่องบินตก คร่าชีวิต ‘พริโกซิน’ ผู้นำวากเนอร์ ขณะเดินทางกลับกรุงมอสโก ทางการรัสเซียเร่งสืบหาสาเหตุ

‘เยฟเกนี พริโกซิน’ หัวหน้าทหารรับจ้างวากเนอร์ ผู้ก่อกบฎรัฐบาลปูติน เสียชีวิตแล้วจากเหตุเครื่องบินตกระหว่างเดินทางไปมอสโก กระทรวงสถานการณ์ฉุกเฉิน แถลง 10 ผู้โดยสารเสียชีวิตทุกคน ขณะเทเลแกรมอ้างเครื่องบินถูกยิงตก

(24 ส.ค. 66 ) สำนักข่าวอิศรา รายงานข่าวสถานการณ์ในประเทศรัสเซียว่า มีรายงานจากสื่อในประเทศรัสเซียว่า นายเยฟกินี พริโกซิน หัวหน้าทหารรับจ้างวากเนอร์ ที่ก่อเหตุกบฏต่อรัฐบาลรัสเซียของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้เสียชีวิตแล้วจากเหตุเครื่องบินตก ในระหว่างเที่ยวบินจากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กไปกรุงมอสโก

โดยเครื่องบินลำดังกล่าวมีผู้โดยสาร 10 คน ลูกเรือสามคน ซึ่งกระทรวงสถานการณ์ฉุกเฉินของรัสเซียได้รายงานว่า จากเหตุเครื่องบินตกพบว่าลูกเรือเสียชีวิตทั้งหมด

“บนเครื่องบินมีผู้โดยสาร 10 คน รวมทั้งลูกเรือ 3 คน ตามข้อมูลเบื้องต้นทั้งหมดบนเครื่องบินเสียชีวิต” กระทรวงระบุ โดยเครื่องบินตกในภูมิภาคตเวียร์ ตอนเหนือของมอสโก

ขณะที่สํานักงานขนส่งทางอากาศแห่งสหพันธรัฐของรัสเซียกล่าวว่า ได้เริ่มการสอบสวนอุบัติเหตุเครื่องบินตก และกล่าวต่อไปว่ามีชื่อของนายพริโกชินรวมอยู่ด้วย

“การสอบสวนอุบัติเหตุเครื่องบินรุ่นเอ็มบราเออร์ Embraer ในภูมิภาคตเวียร์เมื่อเย็นวานนี้ได้เริ่มต้นขึ้น ตามรายชื่อผู้โดยสารชื่อและนามสกุลของนายเยฟกินี พริโกซิน รวมอยู่ในรายชื่อนี้” สำนักข่าวในรัสเซียระบุ

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีรายงานจากโซเชียลมีเดียเทเลแกรมช่อง Grey Zone ซึ่งเป็นช่องของกลุ่มวากเนอร์ระบุว่าเครื่องบินลำดังกล่าวถูกยิงตก

‘วีรพัฒน์’ ติง!! ‘แฟนก้าวไกล’ ควรมีสติ-วุฒิภาวะ เพราะการเมืองคือการทำงานร่วมกันแบบมืออาชีพ

ผู้ใช้ TikTok บัญชี @missyoumt1368 แชร์คลิปวิดีโอของรายการ โหนกระแส โดยช่วงหนึ่ง ‘วีรพัฒน์ ปริยวงศ์’ นักกฎหมายอิสระ ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ ‘ด้อมส้ม’ บางคนที่คอมเมนต์ติติงและอาจไม่ค่อยคุ้นชินกับวิธีการทำงานแบบมืออาชีพในสภาฯ เพราะการเมืองนั้นมันต้องร่วมมือกัน โดยระบุว่า…

“ถ้าผมถามก้าวไกล แฟนก้าวไกลที่มาคอมเมนต์อะไรไม่ค่อยฉลาด ถ้าสมมุติเพื่อไทยเขาผลักดันกฎหมายที่คุณอยากได้ คุณจะบอกคุณพิธาไหมว่าไม่ต้องยกมือให้เพื่อไทย เขาจะผลักดันกฎหมายสุราก้าวหน้า กฎหมายไม่ต้องเกณฑ์ทหาร คุณจะให้คุณพิธาลุกขึ้นมาค้านเหรอ คุณพิธาค้านไม่ได้เพราะโดนสั่งยุติไปแล้วอีก เห็นไหมว่าการเมืองมันต้องร่วมมือกัน เพราะว่าตอนนี้แฟนคลับบางคนไม่มีสติแล้ว อะไรก็ตามที่เป็นการวิจารณ์ก้าวไกล เขารับไม่ได้เลย เหมือนพันธมิตรกับ กปปส. สมัยก่อนเลย ต้องพูดอย่างงี้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”

“เพราะฉะนั้น พวกคุณต้องโตขึ้นนิดนึง มีสติปัญญาที่พัฒนาขึ้นในระดับที่สูงขึ้น มิฉะนั้นแล้วการเมืองจะเป็นการเมืองน้ำเน่า นักการเมืองที่ฝ่ายค้านก็ต้องทะเลาะกับรัฐบาลหมด จริง ๆ ปัญหาอยู่ที่ตัว สว. และพรรคลุง นั่นคือปัญหา เพราะฉะนั้น ถ้าเกิดก้าวไกลกับเพื่อไทยยังมาเสียเวลาทะเลาะกัน คุณก็จะกลายเป็นการเมืองแบบน้ำเน่าสมัยก่อน เพื่อไทยจะโตในสภาฯ แต่รีบนอกสภา ส่วนก้าวไกลคุณโตนอกสภาฯ คุณก็ทําอะไรไม่ได้อยู่ดีถูกไหมครับ? ดังนั้น ต้องหาวิธีทํางานร่วมกันแบบมืออาชีพ อยู่คนละฝั่งก็ยังโหวตในสิ่งที่เห็นต้องตรงกันได้ และคุณก็ค้านเฉพาะในสิ่งที่คุณจะไม่เห็นด้วย นั่นคือการเมืองแบบมืออาชีพ”

“ผมเชื่อว่าคุณพิธากับแกนนําพรรคเขาเข้าใจ ปัญหาคือจะทําอย่างไรเพื่อให้การศึกษาแก่ฐานเสียงรุ่นใหม่บางคน ที่อาจจะยังไม่ค่อยคุ้นชินกับวิธีการทํางานแบบมืออาชีพในสภาฯ สักเท่าไหร่…”

‘สรรเพชญ’ ยินดี ‘เศรษฐา’ นั่งนายกรัฐมนตรี  ยืนยัน!! พร้อมทำหน้าที่ฝ่ายค้านสุดความสามารถ

(24 ส.ค. 66) นายสรรเพชญ บุญญามณี สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งยกมืองดออกเสียงในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีตามมติพรรค ได้ออกมาแสดงความยินดีกับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ และยืนยันพร้อมเป็นฝ่ายค้านอย่างเข้มแข็ง ไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐบาล

โดยสรรเพชญ ระบุว่า วันนี้ ประเทศไทยของเราได้มีนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 เป็นที่เรียบร้อย ผมขอแสดงความยินดีกับคุณเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศไทย และขอเป็นกำลังใจให้รัฐบาลชุดใหม่ที่จะต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อแก้ปัญหาที่รุมเร้าประเทศของเราอยู่ในขณะนี้ ทั้งปัญหาปากท้องของประชาชน และสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ ปัญหาสังคม และต่าง ๆ อีกมากมาย

อย่างไรก็ตาม นอกจากการมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพแล้ว ประเทศของเราจำเป็นต้องมีฝ่ายค้านที่เข้มแข็ง ที่จะคอยตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจของรัฐบาล ไม่ให้รัฐบาลใช้อำนาจในทางที่ผิด เอื้อประโยชน์เพื่อพวกพ้อง อันนำมาซึ่งการทุจริตคอร์รัปชัน จนกลายเป็นต้นเหตุทางการเมืองที่ผ่านมา และผมเชื่ออย่างยิ่งว่าหากฝ่ายค้านทำงานอย่างมีคุณภาพแล้วนั้น ก็จะสามารถสร้างประโยชน์ให้กับประเทศและประชาชนเช่นกัน ดังที่ผมเคยประกาศผ่านทางเฟซบุ๊กของผม เมื่อวันที่ 19 พ.ค.2566 ภายหลังการเลือกตั้ง และ ณ วินาทีนี้ ความเชื่อของผมก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

ดังนั้น ผมในฐานะ สส.ของพรรคประชาธิปัตย์ โดยส่วนตัวผมแล้วผมไม่เห็นถึงความจำเป็นใด ๆ ที่พรรคฯ จะต้องไปเข้าร่วมรัฐบาล เนื่องจากจำนวน สส.พรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน นั้นมีมากกว่า 314 เสียง แล้ว ซึ่งถือเป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพมาก ๆ และถือว่ามีจำนวน สส. มากกว่าชุดรัฐบาลที่ผ่านมาเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น จำนวนเสียง สส.ฝ่ายค้าน แทบจะไม่สามารถทำให้รัฐบาลสะดุดล้มได้เลย เว้นแต่รัฐบาลจะสะดุดขาตัวเอง

ด้วยเหตุผลที่กล่าวมานั้น ผมจึงอยากให้พรรคฯ เดินหน้าทำหน้าที่เป็น ‘ฝ่ายค้านอย่างเข้มแข็ง’ เหมือนกับที่ประชาธิปัตย์เคยพิสูจน์ผลงานมาแล้วในอดีต เพื่อรักษาผลประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชน สำคัญที่สุดคือการกอบกู้ศรัทธาของพรรคให้กลับคืนมา

แต่ถ้าหาก สส. ส่วนใหญ่ของพรรคฯ คิดว่าอุดมการณ์ของผมนั้น ขัดแย้งกับเสียงส่วนใหญ่ ที่ได้อ้างกันอยู่ในขณะนี้ และไม่สามารถร่วมอุดมการณ์เดียวกันได้แล้ว ผมยินดีที่จะให้พรรคประชาธิปัตย์ ขับออกจากพรรค โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ เพราะผมไม่สามารถหักหลังพี่น้องชาวสงขลาที่ได้ให้โอกาสผมมาได้ และผมยินดีที่จะตั้งใจทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านอย่างมีคุณภาพ ตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้น ในฐานะผู้แทนของราษฎร ตามอุดมการณ์ที่ผมยึดถือมาตลอดครับ

สุดท้ายนี้ สิ่งที่ผมยึดถือและยึดมั่นเป็นสำคัญ ก็คือ คำขวัญของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ชาวประชาธิปัตย์ ยึดมั่นมาตลอด 77 ปี คือ สจฺจํ เว อมตา วาจา ‘คำสัตย์แล เป็นวาจาไม่ตาย’

‘อินเดีย’ ส่งยาน ‘จันทรายาน-3’ ขึ้นสู่ห้วงอวกาศ ลงจอดที่ขั้วโลกใต้ของดวงจันทร์สำเร็จเป็นชาติแรก

เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 66 ยานสำรวจ จันทรายาน-3 ของ อินเดีย ลงจอดบริเวณขั้วโลกใต้ของดวงจันทร์เป็นผลสำเร็จแล้วเมื่อเวลาประมาณ 19.34 น.ของเมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา ตามเวลาในประเทศไทย ท่ามกลางการส่งเสียงเชียร์ด้วยความดีใจของบรรดานักวิทยาศาสตร์ขององค์การวิจัยอวกาศอินเดีย (ไอเอสอาร์โอ) และชาวอินเดียทั่วประเทศที่ลุ้นกันตัวโก่ง

ภารกิจในห้วงอวกาศครั้งประวัติศาสตร์นี้ ส่งผลให้อินเดียกลายเป็นชาติแรกที่ส่งยานอวกาศลงจอดขั้วโลกใต้ของดวงจันทร์เป็นผลสำเร็จ และเป็นประเทศที่ 4 ของโลกที่สามารถส่งยานอวกาศไปลงดวงจันทร์ได้ ต่อจากอดีตสหภาพโซเวียต สหรัฐอเมริกา และ จีน ซึ่งทำให้อินเดียผงาดสู่การเป็นมหาอำนาจอวกาศอีกชาติหนึ่ง

ภายหลังจากที่ยานจันทรายาน 3 ได้ลงจอดสำเร็จนั้น หน่วยงานอวกาศรอสคอส ของรัสเซีย ได้แสดงความยินดีกับอินเดีย ที่ประสบความสำเร็จในการลงจอดของยานอวกาศนี้ ผ่านแถลงการณ์ โดยระบุว่า การสำรวจดวงจันทร์มีความสำคัญต่อมนุษยชาติทั้งหมด ในอนาคต มันอาจกลายเป็นเวทีสำหรับการเรียนรู้อวกาศที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

นายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ซึ่งร่วมชมการถ่ายทอดสดขณะยานจันทรายาน-3 ลงจอดบนขั้วโลกใต้ของดวงจันทร์ด้วยในระหว่างที่เขาอยู่ในระหว่างร่วมการประชุมสุดยอดกลุ่มบริกส์อยู่ที่ประเทศแอฟริกาใต้ เขาได้โบกธงชาติอินเดียและกล่าวอย่างปลาบปลื้มในการประกาศความสำเร็จของภารกิจนี้ครั้งนี้ว่า นี่เป็นชัยชนะของอินเดีย

“แนวทางที่มีมนุษยชาติเป็นศูนย์กลางนี้… คือ โลกหนึ่งใบ หนึ่งครอบครัว อนาคตหนึ่งเดียวที่กำลังก้องกังวานไปทั่วโลก” เขาระบุ และยังสนับสนุนให้ประเทศอื่นๆ ได้เปิดภารกิจของตนเอง โดยกล่าวว่า ความสำเร็จของอินเดีย คือความสำเร็จของมวลมนุษยชาติ

“เราทุกคนสามารถปรารถนาถึงดวงจันทร์ และที่อื่นๆเหนือไปกว่านั้นได้”

“ท้องฟ้าไม่ใช่ขีดจำกัดอีกต่อไป” นเรนทรา โมดี กล่าว

ภารกิจจันทรายาน-3 ครั้งนี้ ซึ่งเป็นความพยายามครั้งที่ 2 ของอินเดียในความพยายามส่งยานอวกาศลงบนพื้นผิวดวงจันทร์นั้น มีขึ้นไม่ถึงสัปดาห์หลังจากยานลูนา-25 ของรัสเซีย ประสบความล้มเหลวที่จะลงจอดบนดวงจันทร์

ทั้งนี้ คาดว่าจันทรายาน-3 จะยังคงทำงานได้เป็นเวลา 2 สัปดาห์ โดยทำการทดลองหลายชุด รวมถึงการวิเคราะห์องค์ประกอบของแร่ธาตุบนพื้นผิวดวงจันทร์

ทั้งนี้ ภารกิจนี้เปิดตัวเมื่อเกือบ 6 สัปดาห์ที่ผ่านมาโดยมีผู้ชมหลายพันคนที่ส่งเสียงให้กำลังใจเป็นสักขีพยาน โดยเคลื่อนที่ไปตามวงโคจรของโลกเป็นเวลาราว 10 วัน และเข้าไปโคจรรอบดวงจันทร์ได้สำเร็จในวันที่ 6 สิงหาคม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top