Sunday, 15 June 2025
TheStatesTimes

ต้นสังกัด ‘พีพี-บิวกิ้น’ โร่ชี้แจง หลังถูกแอบอ้างรับงานแทน ยืนยัน บริษัทยังไม่มีนโยบายรับงานผ่านบุคคลหรือเอเจนซี่

เรียกได้ว่าเป็นคู่หูนักแสดงสุดฮอตจริงๆ สำหรับ ‘บิวกิ้น พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล’ และ ‘พีพี กฤษฏ์ อำนวยเดชกร’ ที่ทั้งคู่มักจะมีงานต่างๆ ด้วยกันหรือคล้ายกันอยู่บ่อยๆ ล่าสุดทั้งคู่ก็ได้เจอผู้ไม่ประสงค์ดีฉวยโอกาสในการสวมรอยรับงานเหมือนกัน จนขนาดที่ทำให้ทั้ง 2 ต้นสังกัดต้องออกมาร่อนประกาศแถลงร่ายยาวกันเลยทีเดียว

ซึ่งทางต้นสังกัด Billkin Entertainment ของ บิวกิ้น ได้ออกประกาศชี้แจงผ่านทางสตอรี่ไอจี หลังตรวจสอบพบว่ามีกลุ่มบุคคลให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการรับงานของ หนุ่มบิวกิ้น จนทำให้เกิดความเสียหาย โดยมีเนื้อหาระบุว่า 'ประกาศชี้แจงเรื่องหลักการรับงานของศิลปิน ‘บิวกิ้น พุฒิพงศ์’ เนื่องจากมีผู้ใช้สื่อออนไลน์ให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับนโยบายการรับงานของศิลปิน ‘บิวกิ้น พุฒิพงศ์’ ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่าสามารถติดต่อเรื่องคิวงานของศิลปินผ่านเบอร์โทรศัพท์ 085-821-5119 หรือ LINE: @thai2music

ทางบริษัทฯ ขอชี้แจงให้ทราบว่าข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง โดยบริษัทฯ ไม่มีนโยบายการรับงานผ่านบุคคลหรือตัวแทนบริษัท (เอเจนซี่) ดังกล่าว ทั้งการทำงานในประเทศไทยและต่างประเทศ 

สามารถติดต่องานทุกประเภทของศิลปิน ‘บิวกิ้น พุฒิพงศ์’ กับทางบริษัทฯ โดยตรงผ่านช่องทาง [email protected] เท่านั้น'

ด้านต้นสังกัด PP Entertainment ของ พีพี ก็ได้ออกมาประกาศชี้แจงผ่านทางสตอรี่ไอจีเช่นกัน โดยระบุข้อความว่า 'ประกาศชี้แจงเรื่องหลักการรับงานของศิลปิน ‘พีพี กฤษฏ์'’ เนื่องจากมีผู้ใช้สื่อออนไลน์ให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับนโยบายการรับงานของศิลปิน ‘พีพี กฤษฏ์' ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่าสามารถติดต่อเรื่องคิวงานของศิลปินผ่านเบอร์โทรศัพท์ 085-821-5119 หรือ LINE: @thai2music

ทางบริษัทฯ ขอชี้แจงให้ทราบว่าข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง โดยบริษัทฯ ไม่มีนโยบายการรับงานผ่านบุคคลหรือตัวแทนบริษัท (เอเจนซี่) ดังกล่าว ทั้งการทำงานในประเทศไทยและต่างประเทศ 

สามารถติดต่องานทุกประเภทของศิลปิน ‘พีพี กฤษฏ์’ กับทางบริษัทฯ โดยตรงผ่านช่องทาง [email protected] เท่านั้น

'รองโฆษกรัฐบาล' เตือน นักลงทุน เช็ก 11 แอปฯ หลอกลงทุนเงินดิจิทัล-เทรดทอง-เทรดเหรียญ

(21 ส.ค. 66) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอย้ำเตือนประชาชนระวังถูกหลอก ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ได้สืบสวนสอบสวนจับกุมคนร้ายแก๊งหลอกลงทุนออนไลน์ ที่ชักชวนเหยื่อด้วยวิธีการต่างๆ อาทิ ปลอมโปรไฟล์เข้าไปตีสนิทก่อนชวนลงทุน หรือโฆษณาในสื่อโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ให้ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล อ้างได้รับผลตอบแทนสูง เป็นต้น ทำให้มีผู้เสียหายหลงเชื่อจำนวนมาก

นอกจากนี้ มิจฉาชีพยังสร้างแอปพลิเคชันลงทุนปลอมขึ้น โดยบางแอปแอบอ้างใช้ชื่อพ้องกับแอปที่มีอยู่จริง และสร้างกระดานเทรด โชว์ภาพตาราง หรือกราฟการเทรดเงินดิจิทัล เทรดเหรียญปลอมขึ้น เพื่อความสมจริง

น.ส.รัชดา กล่าวว่า หากมีผู้ชักชวนลงทุนเก็งกำไรสินทรัพย์ดิจิทัลใน 11 แอปพลิเคชันนี้ ขอให้ตรวจสอบด่วน อาจกำลังตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพได้ สำหรับ 11 แอปพลิเคชัน มีดังนี้ BChGlobal, OrangeX, NAGA, Cobo, SpotGlobal, Bitmox, Bitgo, BitcoinEX, EthMiner, Paxful, MATH ทั้งนี้ หากสงสัยถูกหลอกลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านแอป ขอให้รีบแจ้งผ่านสายด่วนตำรวจไซเบอร์ (บช.สอท.) โทร.1441 หากตกเป็นเหยื่อแล้ว สามารถแจ้งความออนไลน์ที่ www.thaipoliceonline.com

“รัฐบาลไม่ต้องการให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ โดยได้ทำการแจ้งเตือนผ่านช่องทางต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม มิจฉาชีพเหล่านี้พัฒนารูปแบบการหลอกลวงได้แยบยลมากขึ้นผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย จึงขอให้ประชาชนพึงระมัดระวังไว้เสมอ มีสติ อย่ารีบตัดสินใจ ศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วน หากบุคคลใดมีปัญหาการถูกหลอกลวงผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย สามารถร้องเรียนได้ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผ่านสายด่วน 1212” น.ส.รัชดา กล่าว

‘ลิซ่า BLACKPINK’ ติด Top 30 ที่มีผู้ติดตาม IG สูงสุดทั่วโลก แถมโพสต์โฆษณาลงแค่ครั้งเดียว สามารถทำเงินได้แบบถล่มทลาย

(21 ส.ค.66) ช่วงนี้มาแรงไม่มีแผ่วจริง ๆ สำหรับไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ‘ลิซ่า BLACKPINK’ หรือ ‘ลลิษา มโนบาล’ ที่ทางเว็บไซต์ Hopper HQ ได้มีการจัดอันดับคนดังที่มียอดผู้ติดตามสูงสุดทั่วโลก 100 อันดับ ซึ่งผลปรากฏว่าสาวลิซ่าติดแรงค์ Top 30 โดยเธออยู่อันดับที่ 26

สำหรับสาวลิซ่านั้นถูกจัดให้อยู่ในหมวดของ Celebrity ที่มียอดผู้ติดตามในแอปพลิเคชันอินสตาแกรม หรือ ไอจี เป็นจำนวนมากถึง 95,815,834 ผู้ติดตาม (ข้อมูล ณ วันที่ 21 ส.ค. 66) ซึ่งลิซ่าจะได้ค่าโฆษณาให้กับสินค้าต่าง ๆ ใน 1 โพสต์เป็นจำนวนเงิน 575,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 20,309,000 บาท

ทั้งนี้เหล่าคนดังที่มีผู้ติดตามลำดับก่อนหน้าลิซ่าทั้ง 25 อันดับ มีดังนี้

1. Cristiano Ronaldo
2. Lionel Messi
3. Selena Gomez
4. Kylie Jenner
5. Dwayne Johnson
6. Ariana Grande
7. Kim Kardashian
8. Beyonce Knowles
9. Khloe Kardashian
10. Justin Bieber
11. Kendall Jenner
12. Taylor Swift
13. Jennifer Lopez
14. Virat Kohli
15. Nicki Minaj
16. Kourtney Kardashian
17. Miley Cyrus
18. Katy Perry
19. Neymar da Silva Santos Junior
20. Kevin Hart
21. Belcalis ‘Cardi B’ Almánzar
22. Demi Lovato
23. Robyn ‘Rihanna’ Fenty
24. LeBron James
25. Billie Eilish

‘สนธิ’ บุกสรรพากรยื่นสอบ ‘ชูวิทย์’ ปมหมกเม็ดโอนที่เลี่ยงภาษี ชี้!! เป็นนิติกรรมอำพราง ทำรัฐเสียรายได้เข้าแผ่นดินเกือบพันล้าน

(21 ส.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้เดินทางเข้ายื่นเรื่องร้องเรียนต่อ นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร ให้ตรวจสอบการเสียภาษีอากร กรณีการซื้อขายที่ดินบริเวณหลังโรงแรมเดอะเดวิส บางกอก

นายสนธิ กล่าวด้วยว่า ที่มายื่นเรื่องเพราะมีคนร้องเรียนมาว่าคุณชูวิทย์ ขายที่เลี่ยงภาษีให้ตระกูลตัวเอง โดยเป็นการขายจากบริษัทของตัวเองไปให้ลูกๆ และลูกๆ นำไปขายต่อให้อีกบริษัทที่เป็นของตัวเองเช่นกัน โดยคิดราคาที่ดินในการโอนทอดแรกแก่ลูกวาละ 2 แสนบาท และนำไปโอนต่ออีกทอดหนึ่งที่เป็นบริษัทของครอบครัวเหมือนกัน

“บริษัทที่โอนมาเป็นของตัวเองแบ่งที่เป็น 4 แปลง โอนให้ลูก 4 คน หลังจากนั้นโอนต่อให้อีกบริษัทที่ลูกๆ เป็นเจ้าของ คนที่ส่งมาบอกว่าเป็นนิติกรรมอำพราง โอนครั้งแรกเสียภาษีแค่ 11 ล้าบาท แต่ถ้าเป็นนิติกรรมอำพรางคุณชูวิทย์ ต้องเสียภาษี 359 ล้านบาท ถ้าผิดจริงต้องโดนอีกเท่าตัว และรวมหมดตระกูลคุณชูวิทย์ต้องเสีย 900 กว่าล้าน ผมขี้เกียจทะเลาะกับคุณชูวิทย์ เขามั่นใจว่าเขาไม่ผิด เขาทำงานมาเขาเป็นนักบัญชี แต่ความจริงมีหนึ่งเดียว คนที่ชี้ขาดเรื่องนี้ได้น่าจะเป็นสรรพากร ผมจึงนำหลักฐานมาให้ และถ้าเป็นนิติกรรมอำพรางคุณชูวิทย์ ต้องเสียภาษี ถ้าไม่ใช่ก็จบไป ยุติธรรมมาก ไม่ต้องเถียงกัน นั่นคือสิ่งที่ผมมาวันนี้” นายสนธิ กล่าว

ทั้งนี้ ในหนังสือร้องเรียนมีการระบุว่า มีการสมรู้ร่วมคิดกันทำนิติกรรมอำพรางเพื่อหลบเลี่ยงภาษีอากรอันถึงชำระ อันเป็นความผิดตามประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2481 มาตรา 37 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83

สำหรับข้อมูลที่เข้าร้องเรียนในครั้งนี้ มีรายละเอียดบางส่วนระบุดังนี้

ข้าพเจ้า นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ตรวจพบหลักฐานการทำนิติกรรมการซื้อขายที่ดินและการชำระภาษีที่เกิดจากการซื้อขายที่ดินที่ผิดปกติและอาจมีการจงใจหลีกเสี่ยงการชำระภาษี กรณีการซื้อขายที่ดินบริเวณหลังโรงแรมเดวิส บางกอก โฉนดที่ดินเลขที่ 1778, 1779, 3538, 3539 ระหว่างบริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ผู้ขาย กับนายต้นตระกูล กมลวิศิษฏ์ นายเติมตระกูล กมลวิศิษฏ์ น.ส.ตระการตา กมลวิศิษฏ์ และนายต่อตระกูล กมลวิศิษฏ์ ผู้ซื้อ และการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 1778, 1779, 3538, 3539 ระหว่างนายต้นตระกูล กมลวิศิษฏ์ นายเติมตระกูล กมลวิศิษฏ์ น.ส.ตระการตา กมลวิศิษฏ์ และนายต่อตระกูล กมลวิศิษฏ์ ผู้ขาย กับบริษัท เดวิส ไรมอน แลนด์ ทเวนตี้โฟร์ จำกัด หรือบริษัท เดวิส 24 จำกัด ในปัจจุบัน เหตุเกิดระหว่างวันที่ 23 กันยายน 2562 ถึงวันที่ 27 กันยายน 2562 ณ สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาพระโขนง โดยมีรายละเอียดดังนี้

ช่วงปี 2542 บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทของครอบครัวนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ได้ครอบครองที่ดินบริเวณหลังโรงแรมเดวิส บางกอก จำนวน 2 แปลง เนื้อที่แปลงละ 278.5 ตารางวารวม 557 ตารางวา (ปัจจุบันเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 1778, 1779, 3538, 3539) ตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 1-4

เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2562 เวลา 09.00 น. บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ได้ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 3/2562 มีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม โดยมี น.ส.ตระการตา กมลวิศิษฏ์ และนายต่อตระกูล กมลวิศิษฏ์ เข้าร่วมประชุมด้วย นายชูวิทย์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัทแต่เพียงผู้เดียว อนุมัติให้บริษัทฯ ขายที่ดิน โฉนดเลขที่ 1778, 1779 ให้ผู้ถือหุ้นได้แก่ นายต้นตระกูล กมลวิศิษฏ์ และนายเติมตระกูล กมลวิศิษฏ์

และในวันเดียวกัน คือวันที่ 23 กันยายน 2562 เวลา 11.00 น. บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ได้ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 4/2562 มีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม โดยมีนายต้นตระกูล กมลวิศิษฏ์ และนายเติมตระกูล กมลวิศิษฏ์ เข้าร่วมประชุมด้วย นายชูวิทย์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัทแต่เพียงผู้เดียว อนุมัติให้บริษัทฯ ขายที่ดิน โฉนดเลขที่ 3538, 3539 ให้ผู้ถือหุ้นได้แก่ น.ส.ตระการตา กมลวิศิษฏ์ และนายต่อตระกูล กมลวิศิษฏ์ รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 5-8

ภายหลังจากที่ทำสัญญาซื้อขายกับผู้ซื้อรายเก่า เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2562 อีก 3 วันถัดมา คือวันที่ 27 กันยายน 2562 บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินขายให้ลูกของนายชูวิทย์ 4 คน ได้แก่ นายต้นตระกูล นายเติมตระกูล น.ส.ตระการตา และนายต่อตระกูล คนละ 1 แปลง ระบุราคาซื้อขายที่แปลงละ 27.86 ล้านบาท รวม 4 แปลง เป็นราคา 111.4 ล้านบาท คิดเป็นตารางวาละ 200,000 บาท รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 9-12

และในวันเดียวกันนั้น นายต้นตระกูล นายเติมตระกูล น.ส.ตระการตา และนายต่อตระกูล ลูกนายชูวิทย์ทั้ง 4 คน โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินขายต่อให้บริษัท เดวิส ไรมอน แลนด์ ทเวนตี้ โฟร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทตั้งไว้รอการร่วมทุนระหว่างครอบครัวกมลวิศิษฏ์ กับบริษัทไรมอน แลนด์ (มหาชน) จำกัด ระบุราคาขายที่แปลงละ 502,388,500 บาท รวม 4 แปลง ราคา 2,009,554,000 ล้านบาท คิดเป็นราคาตารางวาละ 3.6 ล้านบาทเศษ รายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 14-17 ซึ่งบริษัท เดวิส ไรมอน แลนด์ ทเวนตี้ โฟร์ จำกัดมีนายต้นตระกูล กมลวิศิษฏ์ นายเติมตระกูล กมลวิศิษฏ์ น.ส.ตระการตา กมลวิศิษฏ์ และนายต่อตระกูลกมลวิศิษฏ์ เป็นผู้ถือหุ้น รายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 18-19 การซื้อขายที่ดินดังกล่าวเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามูลค่าการทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินเป็นการโอนที่ดิน 2 ทอดในวันเดียวกันแต่กลับซื้อขายในราคาที่ต่างกันถึง 18 เท่าตัว โดยการโอนที่ดินทอดแรกจาก ‘บริษัทกงสี’ ให้ ‘ทายาท’ ในราคา ‘ต่ำเป็นพิเศษ’ ซึ่งในวงการอสังหาฯ รู้ดีว่าเป็น ‘นิติกรรมอำพราง’ เพื่อเลี่ยงภาษีเงินได้ของบริษัทจำกัด ในที่นี้คือ บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด บริษัทกงสีของตระกูลกมลวิศิษฏ์ ซึ่งตามแนวปฏิบัติของกรมสรรพากร ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 65 ทวิ(4) ที่เกี่ยวกับ ‘ภาษีเงินได้นิติบุคคล’ สาระสำคัญความว่า บริษัทจำกัดจะต้องโอนขายทรัพย์สินในราคาไม่ต่ำกว่าราคาตลาด มิฉะนั้น เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินค่าตอบแทน ‘ตามราคาตลาดในวันที่โอน’ ได้ตาม ‘ข้อเท็จจริง’ จึงถือว่าราคา 2,009 พันล้านบาทเศษ เป็น ‘ราคาตลาดในวันโอน’ ทำให้บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ต้องถูกประเมินให้มีกำไรในทางภาษีราว 1,900 ล้านบาท (หักจากราคาที่ขายให้กับนายต้นตระกูล นายเติมตระกูล น.ส.ตระการตา และนายต่อตระกูล ลูกๆ นายชูวิทย์ 111.4 ล้านบาท) และต้องเสียภาษีเงินได้ 380 ล้านบาท หรือ (1,900x20%) ซึ่งไม่สามารถยึดราคาขายให้แก่นายต้นตระกูล นายเติมตระกูล น.ส.ตระการตา และนายต่อตระกูล ลูกๆ ของ นายชูวิทย์ 4 คน เพื่อชำระภาษีเพียง 11.4 ล้านบาทเศษได้ รายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 20

ซึ่งหากคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลที่บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ต้องชำระตาม "ข้อเท็จจริง" คือ ภาษีเงินได้ 380 ล้านบาท บวกด้วยเบี้ยปรับ 1 เท่าตัว หรือ 380 ล้านบาท และเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือน (ตั้งแต่ มิถุนายน 2563-กรกฎาคม 2566) หรือราว 205 ล้านบาท รวมภาษีที่นายต้นตระกูล นายเติมตระกูล น.ส.ตระการตา และนายต่อตระกูล ลูกทั้ง 4 คนของชูวิทย์ ต้องจ่ายรวมประมาณ 965 ล้านบาท หัก 11.4 ล้านบาทที่ได้ชำระไปแล้ว เท่ากับว่าการโอนที่ดินกรณีดังกล่าวอาจมีการหลบเลี่ยงภาษีอย่างชัดเจน และทำให้รัฐเสียรายได้เข้าแผ่นดินถึง 954 ล้านบาท รายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย

'เด็กจีน' ผนึกกำลังจัดงาน China Fair ครั้งแรกในไทย สานสัมพันธ์ไทย-จีนรอบทิศ 'การศึกษา-โอกาสธุรกิจ'

เมื่อวันที่ 19 - 20 ส.ค. ที่ผ่านมา  สมาคมนักเรียนไทย-จีน ได้จัดงานกิจกรรม China Fair 2023 by TCSA : Study - Work - Travel : The 10th anniversary of BRI โดยการจัดงานในครั้งนี้ เป็นการทำงานของคนรุ่นใหม่ ที่เป็นนักเรียนนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยในประเทศจีน ร่วมกับ ฝ่ายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง , CAS INNOVATION COOPERATION CENTER (BANGKOK) (CAS-ICCB) และได้รับการสนับสนุนโดย สถานเอกอัครราชทูตเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําราชอาณาจักรไทย

ภายในงาน ได้มีการจัดแสดงบูธส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาสำหรับผู้ที่สนใจไปศึกษาต่อที่ประเทศจีน รวมทั้งการเปิดรับสมัครงานจากบริษัทต่าง ๆ ที่ต้องการบุคคลากรที่มีความสามารถด้านภาษาจีน รวมถึงกิจกรรมส่งเสริมการขายสำหรับบริษัทในภาคบริการการท่องเที่ยว อาทิ สายการบิน ประกันภัย และบริการด้านเอกสารวีซ่า

ภายในงาน China Fair 2023 นอกจากการออกบูธโดยองค์กรและบริษัทต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ยังมีการจัด Session การบรรยาย และการเสวนาในหัวข้อต่าง ๆ ตั้งแต่การปฐมนิเทศผู้ที่กำลังเตรียมตัวไปศึกษาต่อที่ประเทศจีน การให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการยื่นเอกสาร การใช้จ่ายแบบไร้เงินสด การเตรียมตัวในเบื้องต้น การใช้ชีวิต และการแนะแนวเกี่ยวกับคณะและสาขาที่น่าสนใจในมหาวิทยาลัยในประเทศจีน

นอกจากในประเด็นการศึกษาแล้ว ยังมี Session การแชร์ประสบการณ์การทำงานจากผู้นำระดับประเทศ และผู้บริหารระดับ CEO ชั้นนำในวงการการค้าขายไทย-จีน ไม่ว่าจะเป็น คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของประเทศไทย , ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน , คุณปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์ , คุณคมสันต์ แซ่ลี CEO of Flash Express และ คุณบุญชัย ลิ่มอติบูลย์ ผู้ก่อตั้ง Moomall และ PUNDAI

สำหรับพิธีเปิดในช่วงเช้าของวันที่ 19 ส.ค. 66 นั้น ทางสมาคมฯ ได้รับเกียรติจาก นางเฝิง จวิ้นอิง อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายการศึกษา สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําราชอาณาจักรไทย ม รองศาสตราจารย์ ดร.โภคิน พลกุล นายกสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน และ ศ.ดร.ริชาร์ด หวัง ผู้อํานวยการสํานักงานนวัตกรรมและความร่วมมือสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์แห่งประเทศจีน กล่าวสุนทรพจน์ และร่วมทำพิธีเปิดงาน China Fair ครั้งแรกในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ

บรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างคึกคัก เกิดกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อนักเรียนนักศึกษา และการ matching ทางธุรกิจขององค์กรบริษัท และบุคคลต่าง ๆ ที่มาเข้าร่วม ทั้งยังมีการจัดการแสดงด้านวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นการแสดงกังฟูเส้าหลินโดยเยาวชน การรำไทย และการร้องเพลงฉ่อยด้วยภาษาจีน เป็นภาพของการรวมตัวกันในหมู่คนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษา และจะเป็น “อนาคตของความสัมพันธ์ไทย-จีน” ตรงกับวัตถุประสงค์ของการจัดงาน China Fair และวัตถุประสงค์ของสมาคมนักเรียนไทย-จีน ในการรวมนักเรียนนักศึกษาไทยในจีน และจีนในไทยเป็นหนึ่ง เพื่ออนาคตความสัมพันธ์ไทย-จีน

22 สิงหาคม พ.ศ. 2407  วันก่อตั้งกาชาดสากล หลัง 12 ชาติยุโรป ลงนามในอนุสัญญาเจนีวา

วันนี้เมื่อ 159 ปีก่อน เป็นวันที่สภากาชาดสากลก่อตั้งขึ้นครั้งแรกที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ หลังจากประเทศในยุโรป 12 ชาติ ลงนามในอนุสัญญาเจนีวา

ย้อนกลับไปในวันนี้ เมื่อ 159 ปีที่แล้ว (22 สิงหาคม พ.ศ. 2407) อองรี ดูนังต์ (Henri Dunant) นักธุรกิจชาวสวิสเซอร์แลนด์ ได้ทำการร่างสัญญาฉบับหนึ่งขึ้นมา เพื่อร่วมลงนามกับประเทศต่าง ๆ ในทวีปยุโรปเป็นจำนวน 12 ประเทศ เพื่อเสนอให้มีการก่อตั้งองค์กรกลางเพื่อดูแลทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากสงคราม ซึ่งถูกเรียกว่า อนุสัญญาเจนิวา (Geneva Conventions) ฉบับที่ 1 และเกิดเป็นการก่อตั้ง ‘กาชาดสากล’ ขึ้น

โดยสัญลักษณ์ที่หลาย ๆ คนน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี คือจะใช้เป็นรูปกากบาทสีแดงบนพื้นที่มีสีขาว ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ของธงประจำชาติสวิตเซอร์แลนด์นั่นเอง

และด้วยการทำงานขององค์กรกาชาดนี้ ที่เข้ามามีบทบาทในการให้ความช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เป็นอย่างดี ส่งผลให้ นายอังรี ดูนังต์ ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพครั้งแรกของโลกในปี พ.ศ. 2444 อีกด้วย

‘เจี๊ยบ กนกพร’ อดีตนักร้องลูกทุ่ง ชีวิตพลิกผันถูกรางวัลที่ 1 ล่าสุดออร่าเศรษฐีนีจับ สลัดลุคเป็นคุณนายไปซื้อทองให้แม่

(21 ส.ค. 66) เรียกได้ว่าก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดี เมื่อ ‘เจี๊ยบ กนกพร’ อดีตนักร้องดัง ฟ้ามีตาพลิกชีวิต ถูกหวยรางวัลที่ 1 งวด 16 สิงหาคม 2566 ซึ่งเธอนั้นตั้งใจจะนำเงินไว้รักษาตัวเองที่ป่วยเรื้อรังมานานหลายปี

เเละในเวลาต่อมา ‘เจี๊ยบ กนกพร’ นั้นก็ได้โพสต์คลิปวิดีโอ หลังเจอกับตัวเต็มๆ ผลของการถูกรางวัลที่ 1 ซึ่งเธอนั้นก็ได้โพสต์ระบุข้อความว่า “ตั้งแต่วันที่ถูกรางวัลที่ 1 จนถึงวันนี้ก็ 2 วัน 3 คืน ฉันยังไม่ได้นอนหลับเต็มตาเลยทุกคน โทรศัพท์ฉันทำไมถึงมีพี่น้องเยอะจัง (ขยี้ตาหาว) พี่น้องทั่วประเทศ คนไม่เคยรู้จักก็บอกว่าเป็นพี่น้องกัน ก็โทรมาเต็มเลย มีแต่คนลำบาก ไม่ลำบากก็มีเเต่ฉันคนเดียวเนาะ โอ้ย อย่าเพิ่งโทรมากันนะพี่น้องเอ๊ย รอให้ฉันใช้หนี้ใช้สินให้มันเสร็จก่อน หนี้สินฉันก็เยอะอยู่ค่ะ อย่าเพิ่งโทรมานะ”

วันนี้เราจะพาทุกท่านมา เปิดภาพล่าสุด ชีวิตใหม่ ‘เจี๊ยบ กนกพร’ หลังถูกรางวัลที่1 ออร่าเศรษฐีนีจับ โดยงานนี้เธอได้โพสต์เฟซบุ๊กระบุข้อความว่า “ซื้อทองให้แม่ค่ะ” ซึ่งงานนี้ก็สะดุดตาด้วยใบหน้าที่ดูสวยสดใสขึ้นเเละการเเต่งกายที่ออร่าจับเปลี่ยนแบบคนละคนเลยทีเดียว

‘ชัยวุฒิ’ ขีดเส้น 1 เดือน ปิดกั้น ‘เฟซบุ๊ก’ ไม่ให้บริการในไทย หลังตรวจพบ ‘รับเงินยิงโฆษณา’ จากเพจหลอกลวง ปชช.

(21 ส.ค. 66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า ดีอีเอส จะดำเนินการฟ้องต่อศาล เพื่อขอคำสั่งปิดกั้นแพลตฟอร์ม เฟซบุ๊ก ไม่ให้บริการในไทย หลังจากที่ผ่านมา เฟซบุ๊ก ได้มีการรับเงินโฆษณาจากเพจปลอมเพื่อเป็นสปอนเซอร์ที่หลอกชักชวนลงทุน จนเกิดความเสียหายต่อคนไทยจำนวนมาก โดยมีมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท โดยจากสถิติการหลอกลวงลงทุนผ่านโซเซียลมีเดียกว่า 70% เป็นการหลอกลวงผ่าน เฟซบุ๊ก และจำนวน 90% เป็นการหลอกขายของออนไลน์ผ่านเฟซบุ๊ก

“ที่ผ่านมาเฟซบุ๊กมีการรับเงินจากเพจเหล่านี้ ซึ่งถือเป็นรายได้เข้าบริษัท แต่กลับไม่มีการตรวจสอบ และสกรีน ว่าเป็นเพจที่หลอกลวงหรือไม่ แต่กลับปล่อยให้เพจเหล่านี้มาหลอกลวงคนไทยจำนวนมาก แม้ที่ผ่านมา ดีอีเอส จะรวบรวมเสนอศาลขอคำสั่งปิดแต่เพจเหล่านี้ก็จะไปเปิดใหม่ เหมือนแมวไล่จับหนู ไม่จบสิ้น”

นายชัยวุฒิ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้จะมีการแนะนำให้ผู้เสียหายแจ้งความดำเนินคดีกับแพลตฟอร์มด้วย ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญาด้วย ขณะที่ทางดีอีเอสจะประสานกับทางตำรวจทำการรวบรวมหลักฐานเพื่อฟ้องต่อศาลเพื่อปิดกั้นแพลตฟอร์มเฟซบุ๊กไม่ให้บริการในไทย เนื่องจากผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ในการสมคบกับผู้กระทำผิด โดยการรับเงินโฆษณาจากมิจฉาชีพเหล่านี้ ซึ่งจะขออำนาจศาลปิดภายใน 1 เดือน 

“เป็นการทำตามหน้าที่ ที่ต้องเสนอปิดกั้น ที่ผ่านมาพบการซื้อโฆษณามาหลอกลวงคนไทยจำนวนมาก โดยจะดำเนินการภายในเดือนนี้ แล้วก็มีดุลยพินิจของศาลว่าจะมีคำสั่งปิดกั้นหรือไม่ เป็นอำนาจของศาล และแพลตฟอร์มก็มีสิทธิร้องคัดค้าน ส่วนจะเป็นการกระทบสิทธิของผู้ใช้งานทั่วไปหรือไม่นั้น ก็คงต้องให้ศาลเป็นผู้พิจารณา และก็ไม่กลัวทัวร์ลง โดยตนจะขอทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรีคนแรกที่ฟ้องเฟซบุ๊กเป็นผู้ร่วมกระทำความผิด ถือเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายก่อนลงจากตำแหน่ง”

ด้าน พล.อ.ต. อมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการ การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) เปิดเผยว่า สกมช.ได้ทำการสำรวจ เรื่อง เฟก แอด ในโซเชียลมีเดีย หรือสื่อสังคมออนไลน์ ที่เป็นการหลอกลวง พบว่า คนไทยกว่า 70% พบโฆษณาหลอกลวง บนโซเซียลมีเดีย มากกว่า 50% ของโฆษณาทั้งหมดในแต่ละวัน โดยโฆษณาหลอกลวง ที่พบมากที่สุดเป็นเรื่อง หลอกให้ลงทุนกว่า 52% รองลงมา ชักชวนเล่นพนัน 43% หลอกขายของถูกเกินจริง 40% หลอกทำงาน 24% และอื่น ๆ 14%

ปัจจุบันมีโฆษณาหลอกลวงบนโซเซียลมีเดียจำนวนมาก ทั้งที่ซื้อโฆษณา และที่โฆษณาแฝง เช่น ชักชวนเล่นพนัน และหลอกลวงลงทุน จึงอยากเตือนประชาชน ได้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือ ของโฆษณาต่าง ๆ บนโซเซียล มีเดีย อย่าหลงเชื่อง่าย ๆ และหากพบเห็นขอให้ช่วยรายงาน ไปที่ เจ้าของแพลตฟอร์มโซเซียลมีเดียที่ให้บริการในไทย ซึ่งผู้ให้บริการเหล่านี้ก็พร้อมที่จะตรวจสอบ และทำการแก้ไข ระงับ เพื่อไม่ให้ผู้ใช้งานหลงเชื่อ หรือตกเป็นเหยื่อโฆษณาเหล่านี้

'วิโรจน์' ยินดีร่วมงาน ‘ณัฐวุฒิ’ เดินหน้าผ่านร่างกฎหมาย คืนความยุติธรรมให้คนเสื้อแดง-ทำงานเพื่อ ปชช.ด้วยกัน

(21 ส.ค. 66) จากกรณีที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เปิดเผยผ่านรายการคุยนอกจอ ของ สรยุทธ สุทัศนะจินดา ยุติบทบาทผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย (พท.) แล้ว โดยเรื่องนี้บอกผู้ใหญ่ของพรรคเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม

ในช่วงหนึ่ง นายณัฐวุฒิกล่าวว่า เอาใจช่วยพรรคเพื่อไทย (พท.) อยากให้พรรคทำสำเร็จในสิ่งที่ประกาศไว้กับประชาชน อยากให้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ทั้งฉบับ อยากให้มีการผ่าน พ.ร.ป.ป.ป.ช. ซึ่งจะส่งผลให้ญาติของผู้เสียชีวิตในคดีสลายการชุมนุม 2553 ที่ราชประสงค์และแยกคอกวัว สามารถฟ้องศาลได้โดยตรง

นายณัฐวุฒิระบุว่า ผมได้ฝากฝังกับเพื่อน ๆ น้อง ๆ ส.ส.ว่าถ้าพรรคจะเสนอกฎหมายนี้ ซึ่งต้องเสนอ และต้องเสนอเป็นลำดับต้น ๆ ด้วย ถ้าไม่เสนอเจอผมแน่ แต่ถ้าเสนอกฎหมายนี้ผมขอทั้ง 141 เสียงของพรรค พท. เข้าเสนอชื่อ ผลักดันกฎหมายนี้สำเร็จ และจะขอ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้ช่วยด้วย

ล่าสุด เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ทวีตข้อความทางทวิตเตอร์ถึงกรณีดังกล่าวว่า สำหรับการเรียกร้องความยุติธรรมให้กับคนเสื้อแดงนั้นเป็นความมุ่งมั่นที่อยู่ในหัวใจของผมอยู่แล้ว พี่เต้นประสานผมมาได้ทุกเมื่อครับ ผมพร้อมร่วมมือกับพี่เต้นอย่างเต็มที่

ยินดีที่จะได้ร่วมกันกับพี่เต้นนะครับ

ยินดีต้อนรับครับพี่ แล้วเรามาทำงานเพื่อประชาชนร่วมกันครับ

‘ก้อง ห้วยไร่’ เปิดทิปหน้าเวทีคอนเสิร์ต 5 เดือน 17 ล้านบาท ตัดสินใจนำไปทำบุญทั้งหมด แฟนๆ ร่วมอนุโมทนาบุญกันยกใหญ่

(21 ส.ค. 66) ตำนานพวงมาลัยหน้าเวทีสารพัดความแปลก ลูกวัวก็ได้มาแล้ว วัวหัน จระเข้หันก็ยังเจอมาแล้วเช่นกัน แต่ที่เซอร์ไพรส์มากกับยอดเงินทิปที่ได้ โดยวันที่ 20 ส.ค.66 ‘ก้อง ห้วยไร่’ ได้โพสต์เผยยอดเงินทิปจากแฟนเพลง คนให้หน้าเวทีตลอด 5 เดือนที่ผ่านมา เป็นเงินทำบุญกว่า 17 ล้านบาท โดยเผยภาพพร้อมระบุข้อความว่า

“รายได้ที่ชัดเจน คือการพัฒนาอย่างยั่งยืน 5 เดือนที่ผ่านมาเรา ชาวหน้าเวทีทำบุญไปแล้วกว่า 17 ล้านบาท สาคู #ไม่มีเงินกูแม้แต่บาทเดียว” พร้อมบอกอีกว่า “เดือนที่ใส่ชุดลิเวอร์พูลเล่นคอนเสิร์ต เป็นเดือนที่เงินบริจาคเยอะมากครับ ต้องขอบคุณแฟนบอลลิเวอร์พูลด้วยนะครับ เงินหนักจริ๊งง”

ด้านแฟนคลับ ชาวเน็ตต่างเข้ามาคอมเมนต์ชื่นชม พร้อมอนุโมทนาสาธุบุญกันอย่างมากมาย อาทิ โคตรสุดยอดเลยครับ, ถือว่าคุณเป็นสะพานบุญที่ยิ่งใหญ่ได้บุญครับคุณก้อง, สุดยอดสิ่งที่เขาให้คุณ แต่คุณให้สิ่งต่างๆ ต่อสังคม แล้วย้อนมาถึงผู้ให้ เป็นต้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top