Monday, 16 June 2025
TheStatesTimes

ช็อก!! ‘บริตนีย์ สเปียร์ส’ ถูกสามีฟ้องหย่า หลังทะเลาะกันรุนแรงว่านักร้องดังนอกใจ

(17 ส.ค. 66) สำนักข่าวเอพี รายงานข่าวช็อกวงการบันเทิงว่า ‘บริตนีย์ สเปียร์ส’ นักร้องดังชาวอเมริกันวัย 41 ปี ถูก ‘แซม แอสการี’ สามี เทรนเนอร์ส่วนตัวชาวอิหร่านวัย 29 ปี ฟ้องหย่าหลังแต่งงานกันมา 14 เดือน

ข่าวอ้างแหล่งข่าวงในเปิดเผย แอสการี ยื่นฟ้องหย่าภรรยานักร้องดังเมื่อเย็นวันพุธที่ 16 สิงหาคม หลังเกิดปากเสียงทะเลาะกันรุนแรงโดยแอสการีกล่าวหาว่าบริตนีย์ สเปียร์สแอบนอกใจ

เว็บทีเอ็มซี ยังอ้างแหล่งข่าวเปิดเผยว่า แอสการีย้ายออกจากบ้านที่ทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแล้ว

เอพี รายงานว่าได้ส่งอีเมลสอบถามไปยังตัวแทนของนักร้องดังถึงข่าวนี้ แต่ยังไม่ได้รับคำตอบกลับ และว่าจากบันทึกของศาลในลอสแอนเจลิส และเวนทูราไม่ได้แสดงว่าคดีนี้ถูกยื่นฟ้องที่ใด

ขณะที่นิตยสารพีเพิล อ้างแหล่งข่าวยืนยันว่า ทั้งสองแยกกันอยู่ และระบุว่า…

“พวกเขาทั้งสองไม่ลงรอยกันมานานแล้ว ชีวิตของพวกเขามีปัญหามานานหลายเดือน มีเรื่องดรามาเกิดขึ้นเป็นประจำ มันน่าเศร้า การหย่าร้างจะเป็นการทำลายล้างสำหรับบริตนีย์”

‘สเปียร์ส’ และ ‘แอสการี’ แต่งงานกันที่บ้านของสเปียร์สในเมืองเทาซันด์ โอ๊ก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2565 ท่ามกลางแขกร่วมงาน รวมทั้ง เซเลนา โกเมซ นักร้องดัง, ดรูว์ แบร์รีมอร์ นางเอกฮอลลีวูด, มาดอนนา, ปารีส ฮิลตัน หลังคบหาดูใจกันมา 5 ปี และแอสการี อยู่เคียงข้างสเปียร์สมาตลอด ระหว่างนักร้องสาวต่อสู้คดีให้ตัวเองหลุดพ้นจากการอยู่ในความพิทักษ์ดูแลทั้งชีวิตและทรัพย์สินจาก ‘นายเจมี สเปียร์ส’ พ่อแท้ๆ กระทั่งผู้พิพากษาเบรนดา เพนนี แห่งศาลสูงนครลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา มีคำพิพากษาเมื่อวันพุธที่ 29 กันยายน 2564 ยุติบทบาทการเป็นผู้พิทักษ์ของนายเจมี สเปียร์ส ที่ทำหน้าที่นี้มานาน 13 ปี

จากข่าวว่านี่เป็นการแต่งงานครั้งแรกของแอสการี แต่เป็นการแต่งงานครั้งที่ 3 ของนักร้องดัง ที่เคยแต่งงานครั้งแรกเมื่อปี 2547 กับ ‘เจสัน อเล็กซานเดอร์’ เพื่อนสมัยเด็ก แต่การแต่งงานเป็นโมฆะ หลังแต่งงานผ่านไปไม่ถึง 3 วัน จากนั้นสเปียร์สแต่งงานครั้งที่ 2 กับ ‘เควิน เฟเดอร์ไลน์’ แดนเซอร์หนุ่ม แต่อยู่กันได้ 3 ปีก็หย่า มีลูกชายด้วยกัน 2 คน

‘รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน’ กับโอกาสทางเศรษฐกิจ จิ๊กซอว์สำคัญสู่ศูนย์กลางระบบรางอาเซียน

วันนี้ (17 ส.ค.66) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ลงพื้นที่ จ.สระบุรี เพื่อตรวจเยี่ยมงานอุโมงค์มวกเหล็กและลำตะคอง ช่วงอุโมงค์มวกเหล็ก อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี ในโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา ระยะทางรวม 250.77 กม. ประกอบด้วยสถานีทั้งหมด 6 สถานี ได้แก่ สถานีกลางบางซื่อ ดอนเมือง อยุธยา สระบุรี ปากช่อง และนครราชสีมา)

โดยงานโยธาสัญญาที่ 3-2 งานอุโมงค์มวกเหล็กและลำตะคอง โดยตัวอุโมงค์มวกเหล็กอยู่ระหว่างสถานีรถไฟผาเสด็จและสถานีรถไฟหินลับ มีลักษณะเป็นอุโมงค์เดี่ยว รางคู่ รูปทรงเกือกม้า ความยาว 3.465 กิโลเมตร สูง 8.50 เมตร กว้าง 11.50 เมตร ขณะนี้มีความคืบหน้างานก่อสร้างอยู่ที่ 1.43 กิโลเมตร คิดเป็น 41.3 % และคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2570

โครงการนี้เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2560 เป็นรถไฟความเร็วสูงโครงการแรกของประเทศไทย ซึ่งหากดูตามระยะเวลาแล้ว อาจจะมองได้ว่าเป็นโครงการที่ใช้ระยะเวลาก่อสร้างยาวนาน ซึ่งหลายคนมักนำไปเปรียบเทียบกับโครงการรถไฟลาว-จีน ที่ใช้ระยะเวลาก่อสร้างเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น แต่อย่าลืมว่าโครงการนั้นทางประเทศจีนเป็นผู้รับผิดชอบภาระทางการเงินถึง 70% ส่วนลาวรับผิดชอบภาระทางการเงินเพียง 30% โดยทางจีนเป็นผู้ออกแบบ ก่อสร้าง วางระบบ ทั้งหมด และเป็นแบบทางเดี่ยวรถไฟไม่สามารถวิ่งสวนกันได้ 

ขณะที่รถไฟความเร็วสูง ไทย-จีน เฟส1 กรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทาง 253 กม. สร้างแบบทางคู่ตลอดเส้นทาง โดยงบประมาณทั้งหมด ไทยรับผิดชอบลงทุนและก่อสร้างงานโยธาทางรถไฟทั้งหมด 100% 

ดังนั้น เมื่อเทียบกับการให้สัมปทานประเทศจีนรับเหมาก่อสร้างแบบเบ็ดเสร็จที่อาจจะก่อสร้างได้เร็วกว่าก็ตาม แต่รัฐบาลไทยมุ่งมั่นที่จะดำเนินโครงการที่ส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจ และการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านระบบรางในระยะยาวที่ยั่งยืนมากกว่า ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลในการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่จะสนับสนุนการขยายตัวของเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจโดยรอบเส้นทางรถไฟฯ เพราะนอกจากจะช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้รวดเร็วขึ้นแล้ว ยังทำให้เกิดการจ้างงาน ส่งเสริมการท่องเที่ยว นำมาสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจในที่สุด

ยิ่งไปกว่านั้น รถไฟความเร็วสูงไทย-จีนถือเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญภายใต้ความริเริ่มหนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative: BRI) หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อโครงการเส้นทางสายไหม ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลจีนกับประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และยกระดับการเดินทางข้ามพรมแดน

โครงการดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะส่งผลดีต่อไทย โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับโครงการเส้นทางสายไหมอื่น ๆ ทั่วโลก จากการศึกษาโครงการเส้นทางสายไหมในประเทศต่าง ๆ ของไอเอ็มเอฟและธนาคารโลก พบว่า รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หนองคาย ซึ่งสามารถเชื่อมต่อไปยังนครหลวงเวียงจันทน์ จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทย ช่วยลดต้นทุนทางการค้าการขนส่ง และเพิ่มมูลค่าที่ดินตลอดเส้นทาง 

และแน่นอนว่า ด้วยภูมิศาสตร์ที่ตั้งของประเทศไทย ที่อยู่ระหว่างกลางจีนและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) หากจีนต้องการขยายเส้นทางรถไฟเชื่อมเศรษฐกิจมาสู่ภูมิภาคอาเซียนย่อมต้องอาศัยระบบรางของไทย และจะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางระบบรางของภูมิภาคนี้ได้อย่างแน่นอน

Torpenguin ผุดฟรีสัมมนา Restaurant Technology & Franchise 2023 ยกระดับธุรกิจร้านอาหารด้วยเทคโนโลยี 8-9 ธ.ค.นี้ ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี

Torpenguin สื่อผู้ให้บริการข้อมูลข่าวสารด้านการจัดการธุรกิจสำหรับร้านอาหาร เตรียมจัดงาน Restaurant Technology & Franchise 2023 งานอีเวนต์และสัมมนาด้านการจัดการเทคโนโลยีสำหรับธุรกิจร้านอาหาร งานที่จะช่วยยกระดับธุรกิจร้านอาหารให้ก้าวหน้าด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย พบกับบูธแสดงสินค้าและบริการด้านการจัดการร้านอาหาร จากบริษัทชั้นนำกว่า 150 บูท เช่น เทคโนโลยีสำหรับร้านอาหาร, อุปกรณ์ครัวสำหรับร้านอาหาร, เครื่องมือด้านการตลาด, ซัพพลายเออร์, เทคโนโลยีด้านการเงิน, แฟรนไชส์และพื้นที่เช่ากว่า 60 บูท และสัมมนาจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจ และตัวจริงในวงการร้านอาหารแถวหน้าของเมืองไทยกว่า 20 ชีวิต พร้อมกิจกรรมเวิร์กช็อปพิเศษจากกูรูคนดังในวงการ พร้อมแชร์ประสบการณ์ที่ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อน 

และไฮไลต์สุดพิเศษ ‘ตัวอย่างร้านอาหารแห่งอนาคต’ พร้อมสัมผัสประสบการณ์จริงที่จะรวบรวมเทคโนโลยีต่าง ๆ มารวมไว้ในร้านเดียว ทั้งหมดนี้ ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย พบกันในวันที่ 8-9 ธันวาคม 2566 ณ อาคาร 6 อิมแพ็ค เมืองทองธานี 

พอลล์ กาญจนพาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด “กล่าวว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ได้เห็นผู้จัดงานรุ่นใหม่เข้ามาในวงการจัดงาน Exhibition 

นอกจากจะมีในส่วนของงาน Exhibition ต่าง ๆ แล้ว ทางอิมแพ็คเองยังอยู่ในวงการร้านอาหารมามากกว่า 20 กว่าปี ซึ่งก็ได้เจอปัญหาอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ Operation ในร้าน Technology ในร้าน ปัญหาเรื่องของ Suppiler ซึ่งเราก็ได้เห็น Pain Point ของคนทำร้านอาหารมาค่อนข้างเยอะ ถึงแม้ว่าสถานการณ์ Covid-19 ได้ผ่านมาเรียบร้อย แต่พฤติกรรมลูกค้าก็ได้เปลี่ยนไปเยอะมาก เราก็หวังว่าในอนาคตอันใกล้ ด้วย Tool ใหม่ ๆ ที่เข้ามา จะสามารถช่วยให้เราปรับตัวไปตามโลกในยุคนี้ได้ 

ที่ผ่านมาเราได้เห็นหลาย ๆ งานเกิดจากผู้จัดที่เป็น Publisher มาก่อน ทำ Magazine เป็นนักข่าว แต่ยุคใหม่นี้จะเป็น Influencer ที่เริ่มปรับตัวมาเป็น Organizer ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการจัดงานแบบ Online หรือ Offline และเราเองก็ดีใจที่ได้ร่วมงานกับลูกค้ารุ่นใหม่อย่างคุณต่อ ที่จัด Restech 2023 ขึ้นมา ซึ่งเป็นงานที่มีจุดมุ่งหมายชัดเจนที่จะสร้าง Ecosystem คนทำร้านอาหาร หวังว่าจากการเข้าชมงานนี้ไม่ว่าจะเป็นทั้งในส่วนของ Exhibition และ Conference จะได้รับประโยชน์ และหวังว่างานนี้จะช่วยผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยได้ และช่วยยกระดับ Community คนทำร้านอาหารให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น”

ธนพงศ์ วงศ์ชินศรี เจ้าของเพจ Torpenguin สื่อผู้ให้บริการข้อมูลข่าวสารด้านการจัดการธุรกิจสำหรับร้านอาหาร กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการจัดงานครั้งนี้ว่า “SME ทุกคนคือปลาตัวเล็ก ๆ ไม่ว่าเราจะกินขนาดไหนก็ยังเป็นได้แค่ปลาตัวเล็ก ไม่นานก็จะโดนปลาตัวใหญ่กิน ซึ่งสิ่งที่เรากำลังทำอยู่คือ ‘การรวมปลาตัวเล็กให้กลายเป็นปลาฝูงใหญ่’ ที่ไม่ได้จะไปกินปลาตัวใหญ่ แต่จะเป็นภูมิคุ้มกัน เป็นเกราะกำบังไม่ให้ปลาตัวใหญ่มากินเราได้ Torpenguin เราจึงพยายามสร้าง Ecosystem สร้างระบบนิเวศที่ดีให้ปลาตัวเล็ก ๆ สามารถเติบโตต่อไปได้ มันก็เลยเป็นความพร้อมที่เราจะต้องจัดงานอีเวนต์บางอย่างขึ้นมา เลยเป็นที่มาของงาน Restech : Restaurant Technology & Franchise 2023

นั่นก็เพราะว่าน้อยคนในวงการร้านอาหารให้ความสำคัญในเรื่องนี้ ซึ่งถ้าคนทำร้านอาหารยังไม่ให้ความสำคัญ ในวันหนึ่งที่คนในธุรกิจอื่น ๆ ไปข้างหน้าหมดแล้ว ธุรกิจร้านอาหารกลายเป็นคนที่ถูกทิ้งอยู่เบื้องหลัง จึงรู้สึกว่าเราอยากจะเอาเรื่องร้านอาหารที่คนคิดว่าเป็นแค่การขายอาหารเพียงอย่างเดียว กับเรื่องเทคโนโลยีเรื่องยาก ๆ ที่ใครคิดว่าไกลตัว ให้กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น

สิ่งที่เราเห็นที่ผ่านมาก็คือ ต้นทุนค่าแรงของธุรกิจที่มันสูงขึ้นเรื่อย ๆ จาก 10% เป็น 15%-20% ของยอดขาย และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอีก และจากสภาพการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันเจ้าของร้านอาหารในเมืองไทยมีกว่า 700,000 ราย แต่ Market Size อยู่ที่ 4 แสนล้านบาทเท่าเดิม นั่นหมายความว่าไม่แปลกใจเลยถ้าร้านเรายอดขายจะตก เพราะเรามีคู่แข่งเพิ่มขึ้น

เมื่อก่อนเชนร้านอาหารอยู่แต่ในห้าง แต่ในตอนนี้เขาออกมาทำการตลาดนอกห้างมากขึ้น ซึ่งถ้าเราไม่รู้จักเทคโนโลยีไม่ปรับตัว เราก็คงสู้เขาไม่ได้ ผมจึงเชื่อว่า เทคโนโลยีนี่แหละที่จะเป็นจุดเปลี่ยนให้คนตัวเล็กมีศักยภาพแข่งขันสู้กับเจ้าใหญ่ได้

รวมไปถึงพฤติกรรมของลูกค้า เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าตั้งแต่สถานการณ์ Covid-19 ที่ผ่านมา ว่าทุกอย่างคือ ทุกอย่างจัดการอยู่บนโทรศัพท์มือถือ POS การทำ CRM ไม่รู้จักการทำระบบบัญชีออนไลน์ ไม่รู้วิธียิงแอด ไม่รู้วิธีการไลฟ์ แล้วเราจะไปสู้เจ้าใหญ่ได้อย่างไร

เทคโนโลยีพัฒนามากขึ้น แต่มีราคาที่ถูกลง นี่คือโอกาสที่ SME อย่างเราที่จะเข้าถึงเทคโนโลยีในราคาที่ถูกได้ 

เหล่านี้แหละคือทั้งหมดที่เราอยากทำเพื่อให้เจ้าของร้านอาหารทุกคนได้เรียนรู้ และเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของตัวเอง”

Restaurant Technology & Franchise 2023 งานอีเวนต์และสัมมนาด้านการจัดการเทคโนโลยีสำหรับธุรกิจร้านอาหารโดยเฉพาะ พบกันวันที่  8-9 ธันวาคม 2566 ณ อาคาร 6 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

ศาลอาญาฯ สั่งจำคุก 2 ทะลุแก๊ส ‘คเชนทร์-ขจรศักดิ์’ กว่า 10 ปี ‘ปาระเบิดปิงปอง-วางเพลิงป้อมจราจร’ #ม็อบ30กันยา64

(18 ส.ค. 66) เมื่อวันที่ 15 ส.ค. 66 ที่ศาลอาญา รัชดาฯ ทางศาลได้มีการนัดฟังคำพิพากษาในคดีของ ‘คเชนทร์’ (สงวนนามสกุล) อายุ 21 ปี และ ‘ขจรศักดิ์’ (สงวนนามสกุล) อายุ 20 ปี สมาชิกกลุ่มทะลุแก๊ส ในข้อหาหลัก คือ ฝ่าฝืนข้อกำหนดเรื่องเคอร์ฟิวของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ ร่วมกันมี / ใช้วัตถุระเบิดในครอบครอง ซึ่งสามารถทำอันตรายต่อชีวิตและวัตถุได้ฯ ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ จากกรณีเข้าร่วมชุมนุม #ม็อบ30กันยา64 และถูกกล่าวหาว่าปาระเบิดปิงปองและระเบิดขวดเข้าใส่อาคาร สน.พญาไท และวางเพลิงป้อมจราจรที่แยกพญาไท ในช่วงหลังเที่ยงคืน ล่วงเข้าสู่วันที่ 1 ต.ค. 2564

ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล และ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงข่าวตอนหนึ่งว่า…

“... ในเวลาประมาณ 02.00 น. ได้มีกลุ่มของผู้ชุมนุมรวมตัวกันและใช้วัตถุเพลิงขว้างปาบริเวณหน้า สน.พญาไท ซึ่งเจ้าหน้าที่ สน.พญาไท ได้แสดงกำลัง กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบก็ได้แยกย้ายกันบริเวณแยกพญาไท และใช้ระเบิดขวดปาไปที่ป้อมจราจรพญาไท แต่เจ้าหน้าที่ก็สามารถควบคุมเพลิงและดับไว้ทัน ไม่ได้เกิดความเสียหายต่อป้อมจราจรบริเวณแยกพญาไทแต่อย่างใด”

อย่างไรก็ตาม เช้าวันที่ 8 ต.ค. 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าจับกุมวัยรุ่นทั้ง 2 คน ที่บ้านพัก ตามหมายจับของศาลอาญา ลงวันที่ 7 ต.ค. 2564 พร้อมทั้งเข้าตรวจค้นที่พัก โดยไม่พบสิ่งผิดกฎหมายในห้องพักของคเชนทร์ ส่วนในห้องพักของขจรศักดิ์ ตำรวจพบระเบิดควัน (CS Smoke) 1 ลูก

นอกจากนี้ บันทึกการจับกุมยังระบุว่า คเชนทร์ได้ให้การเพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2564 เวลาประมาณ 02.00 น. ขณะตนกําลังชุมนุมกับพวกอยู่ที่บริเวณสามเหลี่ยมดินแดง ได้มีผู้ชักชวนไปหน้า สน.พญาไท จากนั้นได้รวมกลุ่มจักรยานยนต์ประมาณ 20 คัน มีเยาวชนไม่ทราบชื่อ นามสกุลจริง ซ้อนท้าย เมื่อไปถึง หน้า สน.พญาไท ตนได้เร่งคันเร่งรถ และบีบแตรเพื่อให้เกิดเสียงดัง และเยาวชนที่ซ้อนท้ายได้ลงจากรถไปดูเหตุการณ์ จากนั้นได้ใช้เส้นทางเดิมกลับไปที่สามเหลี่ยมดินแดง

พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาทั้งสองตามหมายจับ ได้แก่ ร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครอง, ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น, ร่วมกันทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใดๆ จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น, ร่วมกันกระทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตราย, ร่วมกันมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป, ร่วมกันพาอาวุธไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และออกนอกเคหสถานในเวลาห้าม (22.00 – 04.00 น.) และได้แจ้งข้อหาขจรศักดิ์เพิ่มเติมว่า มียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต

ชั้นสอบสวนทั้งให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ภายหลังการสอบปากคำทั้งสองถูกขังอยู่ที่ สน.พญาไท โดยพนักงานสอบสวนจะนำตัวฝากขังต่อศาลอาญาในวันรุ่งขึ้น (9 ต.ค. 2564) และไม่ได้รับการประกันตัวในชั้นสอบสวน โดยถูกคุมขังนาน 84 วัน ก่อนได้รับการประกันตัวในวันที่ 31 ธ.ค. 2564

ซึ่งในวันที่ 30 ธ.ค. 2564 พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 3 ได้ยื่นฟ้อง คเชนทร์ ในฐานะจำเลยที่ 1 และ ขจรศักดิ์ ในฐานะจำเลยที่ 2 ต่อศาลอาญา ในฐานความผิด ดังนี้

จำเลยที่ 1 ถูกกล่าวหาในข้อหาร่วมกันมี / ใช้วัตถุระเบิดในครอบครอง ซึ่งสามารถทำอันตรายต่อชีวิตและวัตถุได้ฯ, ร่วมกันมี / ใช้วัตถุระเบิดโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ, ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ฯ, ร่วมกันกระทำให้เกิดเพลิงไหม้ฯ, ร่วมกันทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายฯ, ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คน ขึ้นไป โดยผู้กระทำมีอาวุธฯ, ร่วมกันพกอาวุธไปในเมืองฯ, และฝ่าฝืนข้อกำหนดเรื่องเคอร์ฟิวของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

ในกรณีของจำเลยที่ 2 เขายังถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดเพิ่มจากจำเลยที่ 1 อีก 2 ข้อหา ได้แก่ มีวัตถุระเบิดที่ออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ในครอบครองฯ และมียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ เนื่องจากในขณะที่จับกุม ทางเจ้าหน้าที่อ้างว่าเจอวัตถุระเบิดและแก๊สน้ำตาที่จำเลยที่ 2

‘รวมไทยสร้างชาติ’ ตอบรับเข้าร่วมรัฐบาลเพื่อไทย หลังได้รับคำมั่น ไม่มีนโยบายขัดแย้งกันในเรื่อง ชาติ ศาสน์ กษัตริย์

เมื่อวานนี้ (17 ส.ค. 66) นายพีรพันธุ์ สารีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า ตนเองและเลขาธิการพรรคได้รับการติดต่อจากพรรคเพื่อไทย เรื่องการร่วมกันทำงานให้ชาติบ้านเมือง ซึ่งเราทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่าถึงเวลาที่บ้านเมืองควรจะมีความสามัคคีปรองดอง และร่วมกันนำพาประเทศชาติไปสู่ความสงบสุข และการพัฒนาอย่างยั่งยืน การพูดคุยกันวันนี้เป็นการพูดคุยในหลักการทำงานเพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นสำคัญเท่านั้น ไม่ได้มีการพูดคุยกันในรายละเอียดอื่น ๆ

ทั้งนี้ พรรครวมไทยสร้างชาติไม่มีข้อต่อรองหรือข้อเรียกร้องใด ๆ ทั้งสิ้น ขอเพียงให้ร่วมกันทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองและประชาชนอย่างแท้จริงเท่านั้น

ทางพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่าจะไม่มีนโยบายหรือการดำเนินการใดที่ขัดต่อเจตนารมณ์และแนวทางทางการเมืองของพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยเฉพาะในเรื่องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยจะช่วยกันสร้างความเข้มแข็งมั่นคงของสถาบันหลักทั้งสามต่อไป ขอบคุณพรรคเพื่อไทยที่ให้เกียรติและเห็นถึงศักยภาพของพรรครวมไทยสร้างชาติครับ


 

‘อดีตอาจารย์เศรษฐศาสตร์ มธ.’ ซูฮก!! ทีม ศก. รทสช. รวมกุนซือประสบการณ์สูง พร้อมแก้ปัญหาหนักระดับโลก

(18 ส.ค.66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Suvinai Pornavalai’ ว่า…

ถึงเวลาสลายขั้วเสียที
ข่าวดีมากๆ ครับ
ปัญหาเศรษฐกิจต่อจากนี้จะหนักมากและเป็นปัญหาระดับโลก

รทสช. มีกุนซือเศรษฐกิจเก่งหลายคน
เพราะ บริหารเศรษฐกิจเป็น ดูผลงานสมัยรัฐบาลลุงตู่เป็นเครื่องพิสูจน์ได้

โควตา รมต. ดูเหมือนจะได้ 4 คน… ขอให้ รทสช.ได้ดูแลกระทรวงเศรษฐกิจสักกระทรวง คงจะดีไม่น้อย

ประเทศชาติต้องมาก่อน!!

- อย่าชักศึกเข้าบ้าน
- ไม่แก้ ม.112 ที่มุ่งลดสถานะของสถาบันฯ
- ร่วมมือกันช่วยแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ


 

'สรรเพชญ' ซัด!! เหตุใด 'การกระจายอำนาจ' หลุดผังวาระประชุม กระทุ้ง!! หากยิ่งช้ายิ่งทำให้แผนปฏิรูปประเทศหลากด้านสะดุด

เมื่อวันที่ 17 ส.ค.66 ในการประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่อาคารรัฐสภา นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายรับทราบรายงานความคืบหน้าในแผนการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ ตามมาตรา 20 ของรัฐธรรมนูญฯ ครั้งที่ 18 (เดือนตุลาคม - ธันวาคม 2565)

นายสรรเพชญ ได้กล่าวว่า การรายงานแผนการปฏิรูปประเทศในครั้งนี้ เป็นการรายงานรอบสุดท้าย เนื่องจากระยะเวลาของแผนการปฏิรูปประเทศในครั้งนี้ได้สิ้นสุดลง เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2565 โดยนายสรรเพชญ ได้ถามถึงแผนการกระจายอำนาจในแผนการปฏิรูปประเทศ เนื่องจากไม่ปรากฎในรายงานที่เสนอต่อที่ประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงได้เสนอแนะหัวใจของการกระจายอำนาจ ที่ต้องกระจายทั้งงบประมาณและทรัพยากรที่เพียงพอควบคู่กับความพร้อมของพื้นที่เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

พร้อมทั้งยังได้หยิบยกประเด็น 'ความล่าช้าของโครงการก่อสร้างอควาเรียมหอยสังข์ จ.สงขลา' ที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติ ใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า 15 ปี ใช้งบประมาณแผ่นดินสูงถึง 1,400 ล้านบาท ซึ่งเป็นการผลาญเงินภาษีของประชาชนกว่าวันละ 70,000 บาท โดยกรณีนี้นายสรรเพชญ กล่าวว่า เป็นการสะท้อนถึงความต้องการในการปฏิรูปประเทศหลายด้าน ทั้งด้านกฎหมาย ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งในอนาคต นายสรรเพชญ เตรียมการอภิปรายในประเด็นนี้ ให้เห็นถึงต้นตอของปัญหาการก่อสร้างอควาเรียมหอยสังข์ฯ ต่อไป

เมื่อกล่าวถึงประเด็นในการปฏิรูปด้านกฎหมาย นายสรรเพชญ กล่าวว่า การปฏิรูปกฎหมายมีความล่าช้า ไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้เนื่องจากตามแผนจะปฏิรูปกฎหมาย 45 ฉบับ แต่ครบระยะเวลาตามกรอบ 5 ปี กลับทำสำเร็จ 10 ฉบับ "ท่านตั้งเป้าหมายไว้ถึง 45 ฉบับ แต่ทำจริงได้เพียง 10 ฉบับในกรอบระยะเวลาที่เรียกว่า Deadline หรือหมดเวลากำหนดส่งอย่างนี้ หากตนเป็นนักเรียนอยู่ ป่านนี้ผมเตรียมตัวได้เกรด F พร้อมไข่ต้มกลับไปกินที่บ้าน"

โซเชียลแห่แชร์คลิปรีวิวโรงแรมดังที่เขาใหญ่ พร้อมขอบคุณ 'เกรซ กาญจน์เกล้า' ที่เปิดวาร์ป ‘พี่กบ’

พลังแห่งโซเชียลมันน่ากลัว! เมื่อเรื่องนี้ยังเป็นที่สนใจจากชาวเน็ตจำนวนมาก กรณีหัวหน้างาน ‘พี่กบ’ โรงแรมหรูย่านเขาใหญ่ สั่งให้พนักงานกลับมาเขียนใบลาออก เมื่อเสร็จธุระจากการจัดงานศพคุณแม่ เรื่องนี้ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักรวมถึงทางเพจเฟซบุ๊กของโรงแรมหรู ถูกถามถึงศักยภาพพนักงานและความเห็นใจเพื่อนมนุษย์

ขณะที่ชาวเน็ตพากันตามหา ‘พี่กบ’ หัวหน้างานที่กำลังเป็นประเด็น ซึ่งเรื่องนี้ถูกพุ่งเป้าไปถึงดาราสาว ‘เกรซ กาญจน์เกล้า’ หลังจากมีคลิปที่สาวเกรซเคยไปรีวิวโรงแรมหรูแห่งนี้โดยมี ‘พี่กบ’ พาชมบางส่วนของสถานที่ด้วย

ล่าสุด ‘เกรซ กาญจน์เกล้า’ ได้เคลื่อนไหวโดยการโพสต์สตอรี่ ที่มีคอมเมนต์ในคลิป พร้อมระบุข้อความขำ ๆ ว่า "แต่ละวันที่ฉันต้องเจอ ไม่เกี่ยวกับฉันนะคะ" และสตอรี่ที่ ‘หญิง รฐา’ แท็กหาเธอ หลังจากมีคนเข้ามาขอบคุณเธอที่เปิดวาร์ปให้ โดยเกรซ ยังได้ระบุข้อความสั้นๆ ว่า "จะบ้าตายรายวัน" พร้อมกับอิโมจิขำจนน้ำตาไหล

Evergrand ยื่นล้มละลาย หลังผิดนัดชำระหนี้สูงถึง 12 ล้านลบ. เทียบเท่ากับ 2% ของ GDP จีน ส่อลุกลามทำ ศก.จีนถดถอย

Evergrand Group ยักษ์อสังหาฯ อันดับ 2 ของจีนประกาศล้มละลาย หลังผิดนัดชำระหนี้สูงถึง 12 ล้านล้านบาท เท่ากับ 2% ของ GDP จีน ส่อเกิดโดมิโน่วิกฤตอสังหาฯ ลุกลามทำเศรษฐกิจจีนถดถอย เพราะคิดเป็น 30% ของ GDP และบริษัทเหล่านี้หนี้สูงเกินกว่าจะชำระไหว

(18 ส.ค.66) Reporter Journey เผยว่า Evergrande Group บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อันดับ 2 ของจีน ถูกยื่นฟ้องล้มละลายในศาลนิวยอร์กเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

เนื่องจากประสบปัญหาจากการกู้ยืมอย่างหนักและผิดนัดชำระหนี้ในปี 2564 ทำให้เกิดวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ครั้งใหญ่ในระบบเศรษฐกิจของจีน ซึ่งยังคงได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง

Evergrande ยื่นขอความคุ้มครองการล้มละลายในบทที่ 15 ซึ่งอนุญาตให้ศาลล้มละลายของสหรัฐเข้ามาแทรกแซงเมื่อคดีล้มละลายเกี่ยวข้องกับประเทศอื่น บทที่ 15 การล้มละลายมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยส่งเสริมความร่วมมือระหว่างศาลสหรัฐ ลูกหนี้ และศาลของประเทศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินคดีล้มละลายข้ามพรมแดน

ผลกระทบจากกรณีของ Evergrande ต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญในเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกมาช้านาน และคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 30% ของ GDP ของประเทศ แต่การผิดนัดชำระหนี้ของ Evergrande ในปี 2564 ได้ส่งคลื่นกระแทกไปยังตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีน สร้างความเสียหายต่อภาคธุรกิจอสังหาฯ และระบบเศรษฐกิจ การเงินโดยรวมในประเทศ

การผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทเกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลจีนเริ่มปราบปรามการกู้ยืมเงินมากเกินไปโดยนักพัฒนาเพื่อพยายามควบคุมราคาที่อยู่อาศัยที่พุ่งสูงขึ้น

นับตั้งแต่การล่มสลายของ Evergrande ผู้พัฒนาอสังหาฯ รายใหญ่หลายรายในจีน รวมถึง Kasia, Fantasia และ Shimao Group ได้ผิดนัดชำระหนี้ ล่าสุด Country Garden ยักษ์ใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์ของจีนอีกราย เตือนว่าจะ “พิจารณานำมาตรการจัดการหนี้ต่างๆ มาใช้” ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการคาดเดาว่าบริษัทอาจเตรียมปรับโครงสร้างหนี้เนื่องจากประสบปัญหาในการระดมเงินสด

วิกฤตของภาคอสังหาฯ ของจีน กำลังส่งผลกระทบขยายตัวไปยังเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศจีน โดยเฉพาะ Evergrande เป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีโครงการอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 1,300 โครงการในกว่า 280 เมือง ตามข้อมูลบนเว็บไซต์ของบริษัท บริษัทยังมีธุรกิจที่ไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์อีกหลายแห่ง รวมถึงธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า ธุรกิจดูแลสุขภาพ และธุรกิจสวนสนุก

Evergrande ประสบปัญหาในการชำระหนี้เงินกู้หลังจากผิดนัดชำระหนี้อย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 2564 ภาระหนี้ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์สูงถึง 2.437 ล้านล้านหยวน หรือ 12 ล้านล้านบาท เมื่อสิ้นปีที่แล้ว นั่นคือประมาณ 2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศทั้งหมดของจีน

Evergrande ยังรายงานในตลาดหลักทรัพย์เมื่อเดือนที่แล้วว่าได้สูญเสียเงินของผู้ถือหุ้น 81,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2564 และ 2565

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดเผยแผนการปรับโครงสร้างหนี้ ที่รอคอยมายาวนาน ซึ่งใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ของจีน ผู้พัฒนากล่าวว่าได้บรรลุ "ข้อตกลงที่มีผลผูกพัน" กับผู้ถือหุ้นกู้ระหว่างประเทศในเงื่อนไขสำคัญของแผน

“การปรับโครงสร้างที่เสนอนี้จะช่วยบรรเทาแรงกดดันของบริษัทจากภาระหนี้นอกประเทศ และอำนวยความสะดวกในความพยายามของบริษัทในการกลับมาดำเนินการต่อและแก้ไขปัญหาบนภายใน”

ในฐานะส่วนหนึ่งของแผน Evergrande กล่าวว่า จะมุ่งเน้นไปที่การกลับมาดำเนินการตามปกติในอีก 3 ปีข้างหน้า แต่จะต้องมีการจัดหาเงินทุนเพิ่มเติม 36,400 ล้านดอลลาร์ถึง 43,700 ล้านดอลลาร์ บริษัทยังเตือนด้วยว่ารถยนต์ไฟฟ้าของบริษัทมีความเสี่ยงที่จะปิดตัวลงโดยไม่มีเงินทุนใหม่

ตั้งแต่นั้นมาก็มีการระดมทุนเข้ามาบ้าง โดยเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา NWTN บริษัทรถยนต์ในดูไบได้ประกาศการลงทุนเชิงกลยุทธ์มูลค่า 500 ล้านดอลลาร์ในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าของ Evergrande เพื่อแลกกับสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 28%

‘เบอร์เกอร์คิง อินเดีย’ ประกาศงดใส่มะเขือเทศในทุกเมนู หลังประเทศเผชิญฤดูมรสุม ทำพืชผักขาดแคลน-ราคาพุ่ง

เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 66 สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า ‘เบอร์เกอร์ คิง’ (Burger King) ฟาสต์ฟูดแบรนด์ดังที่มีสาขาทั่วโลก ประกาศงดใส่มะเขือเทศในทุกรายการอาหารที่มีอยู่ของร้านสาขาทั่วประเทศอินเดีย หลังจากมะเขือเทศมีราคาพุ่งสูงขึ้น เนื่องจากปัญหาสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบต่อการเก็บเกี่ยวพืชผล

ส่งผลให้‘เบอร์เกอร์ คิง เป็นเครือร้านขายเบอร์เกอร์ชื่อดังรายที่ 2 ต่อจากแมคโดนัลด์ ที่งดใส่มะเขือเทศในเมนูอาหารที่เครือร้านสาขาในอินเดียเป็นการชั่วคราวไปก่อนหน้า

เบอร์เกอร์ คิงให้เหตุผลถึงการตัดสินใจดำเนินการเช่นนี้ ว่าเป็นเพราะเงื่อนไขที่คาดเดาไม่ได้เกี่ยวกับคุณภาพและผลผลิตของมะเขือเทศ

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ความเสียหายของพืชผลเนื่องจากสภาพอากาศเลวร้าย เป็นสาเหตุให้เกิดการขาดแคลนในตลาด

เมื่อต้นสัปดาห์นี้ ‘ซับเวย์’ (Subway) เครือร้านขายแซนด์วิชชื่อดังสัญชาติอเมริกัน ก็ได้งดใช้มะเขือเทศเป็นส่วนประกอบในรายการอาหาร ที่ให้บริการในร้านสาขาในอินเดียเช่นกัน เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อด้านอาหารของอินเดียพุ่งสูงสุด นับตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2563 นอกจากนี้ ซับเวย์ยังยกเลิกการให้ชีสฟรี 3 แผ่นสำหรับเมนูแซนด์วิชที่ให้มาเป็นเวลาหลายปีอีกด้วย

ทั้งนี้ ราคาสินค้าจำเป็นในประเทศอินเดียพุ่งพรวดขึ้นอย่างรวดเร็วในไม่กี่เดือนมานี้ สำหรับมะเขือเทศมีราคาพุ่งขึ้นไปถึงกิโลกรัมละ 250 รูปี (ราว 100 บาท) ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หลังจากฝนฤดูมรสุมได้ส่งผลกระทบต่อพืชผลและห่วงโซ่อุปทาน

อย่างไรก็ดี ราคามะเขือเทศในตลาดอินเดียได้เริ่มลดลงเมื่อต้นนี้ หลังจากเริ่มมีการนำเข้ามะเขือเทศมาจากชาติเพื่อนบ้านอย่างเนปาล เพื่อบรรเทาวิกฤตอุปทานในอินเดีย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top