Sunday, 15 June 2025
TheStatesTimes

สืบนครบาล และสืบ111 รวบ 'ไบร์ทบางโพ' นักย่องเบากลางคืนขโมยน้ำกระท่อม 50 ขวด

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เร่งรัดปราบปรามแก๊งโจรกรรมลักทรัพย์ประชาชนบริเวณที่พักอาศัยและแหล่งชุมชนในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลอย่างหนัก สร้างความเดือดร้อนและกระทบการดำรงชีวิตของประชาชนอย่างรุนแรงเป็นวงกว้าง โดยชุดลาดตระเวนออนไลน์ สืบนครบาล IDMB และ นักเรียนสืบสวน111 ได้รับแจ้งเรื่องร้องเรียนจากภาคประชาชนในพื้นที่ กรุงเทพฯ ว่ามีโจรย่องเบาร้านขายกระท่อมลักเงินสดประมาณ 5,000 บาท นํ้ากระท่อมบรรจุขวด ปริมาณ 1.5 ลิตร จำนวน 50 ขวด รวมความเสียหายเป็นเงิน 7,520 บาท

เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 2566 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น , พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย , พ.ต.อ.ธัญญพัทธ์ บุญสุข  ผกก.สส.2 บก.สส.บช.น. , พ.ต.ท ณัฐวุฒิ สีเสมอ , พ.ต.ท.นิติกรณ์ ระวัง รอง ผกก.สส.2 บก.สส.บช.น สั่งการให้ชุดจับกุม นำโดย  พ.ต.ท.มาโนชย์  ทองแก้ว , พ.ต.ท.วุฒิพันธ์  ผอบทอง , พ.ต.ต.สมพร คำเกตุ , พ.ต.ต.กิติพัฒน์ ใจอารีรอบ สว.กก.สส.2 บก.สส.บช.น. พร้อม นักเรียนสืบสวนคดีอาญา รุ่น 111 ทำการจับกุมตัว นาย ฐิติวัฒน์ หรือไบร์ท ทองอยู่ อายุ 23 ปี ที่อยู่บ้านเลขที่ 9 เชิงสะพานพิบูล (ฝั่งซ้าย) แขวงบางชื่อ เขตบางชื่อ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ จ 2519/2566 ลง 8 สิงหาคม 2566 ข้อหา ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ หรือโดยผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไปด้วยประการใด ๆ

โดยพฤติการณ์ในการกระทำความผิดคือ ผู้เสียหายได้มาเช่าร้านค้า ซึ่งตั้งอยู่ ภายในซอยรัชดาภิเษก 36 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ เพื่อใช้สำหรับเปิดร้านขายกระท่อม และผู้เสียหายได้ขายกระท่อมเรื่อยมา ต่อมาวันที่ 16 มีนาคม 2566 เวลาประมาณ 03.15 น. ผู้กล่าวหาได้ทำการปิดร้านค้า เพื่อกลับไปพักผ่อนที่พักอาศัยอยู่ที่คอนโด ต่อมาเวลาประมาณ 12.00 น. (ของวันเดียวกัน) ผู้เสียหายได้มาเปิดร้านค้าเพื่อขายกระท่อม ปรากฎว่าเมื่อเข้าไปภายในร้านค้าพบว่า ทรัพย์สินภายในร้านค้าได้หายไป ประกอบด้วย  เงินสดประมาณ 5,000 บาท นํ้ากระท่อมบรรจุขวด ปริมาณ 1.5 ลิตร จำนวน 50 ขวด ราคาประมาณ 2,500 บาท ใบกระท่อมสด 1 ถุง ราคา 20 บาท รวมทรัพย์สินที่หายไปจำนวน 3 รายการ รวมความเสียหายเป็นเงิน 7,520 บาท และตรวจพบว่าปลั๊กกล้องวงจรปิดได้ถูกดึงออก จากนั้นผู้เสียหายจึงได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่เชื่อมไว้กับโทรศัพท์ของผู้เสียหาย จากการตรวจสอบพบว่าเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2566 เวลาประมาณ 03.57 น. มีผู้ชาย สวมเสื้อแจ๊คเก็ต สวมกางเกงขายาว  และสวมรองเท้าผ้าใบ โดยผู้ก่อเหตุทราบชื่อ นายฐิติวัฒน์ ซึ่งเป็นลูกค้าที่เคยมาซื้อกระท่อมกับทางร้าน โดยเข้ามาภายในร้านและทำการรื้อค้นทรัพย์สินภายในร้าน และลักทรัพย์ของผู้เสียหายไป ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหายจึงมาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน ให้ดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุตามกฎหมายจนกว่าคดีถึงที่สุด

จากการตรวจสอบประวัติคดีอาญา พบมีประวัติ ดังนี้ 
1.ปี 2558 มีคดีข้อหา พาอาวุธปืนไปในเมืองฯ
2.ปี 2561 มีคดีข้อหา เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 5
3.ปี 2564 มีคดีข้อหา ครอบครองยาเสพติดประเภท 5
4.ปี 2566 ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยว่า นโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ให้จัดชุดลาดตระเวนออนไลน์สืบสวนติดตามจับกุมคนร้ายที่เป็นภัยต่อสังคม สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนทุกประเภท ซึ่งมีผลกระทบกับการดำเนินชีวิตปกติของประชาชน

'กลุ่มคนเสื้อแดง' ให้กำลังใจ ‘พท.’ ตั้งรัฐบาล พร้อมเรียกร้อง 9 ข้อสำคัญแก้ปัญหาประเทศ

(18 ส.ค. 66) นายชัชวาล กาญจนะหุต ประธานชมรมสื่อมวลชน เพื่อประชาธิปไตย (เสื้อแดง) และนายจุติพงษ์ พุ่มมูล เลขาธิการชมรมฯ และคณะเดินทางมาให้กำลังใจพรรคเพื่อไทย และยื่นหนังสือสนับสนุนพรรคเพื่อไทยหลังจากเลือกนายกรัฐมนตรีแล้วก็ขอให้รีบจัดตั้งรัฐบาลพร้อมข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาชาติและประชาชน โดยมี นายนิคม บุญวิเศษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็นตัวแทนพรรคเพื่อไทยรับมอบแถลงการณ์

โดยจุติพงษ์ ได้อ่านแถลงการณ์ จากคณะสื่อมวลชน เพื่อประชาธิปไตย (เสื้อแดง) ว่า

ด้วยขณะนี้การฟอร์มทีมจัดตั้งรัฐบาล ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย พอเห็นเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ในโอกาสนี้ ทางคณะสื่อฯ เล็งเห็นว่าควรจะเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาของชาติและประชาชน โดยเรียงลำดับความสำคัญ ดังนี้...

1.ขอให้พรรคเพื่อไทย เดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลและคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว ในทันทีที่มีการโหวตนายกรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว โดยเน้นให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวง ใช้คนตรงกับงาน เพื่อแก้ไขปัญหาปากท้องประชาชนคนไทยเป็นการเร่งด่วน และประกาศพันธสัญญาในพรรคร่วมด้วยกัน ว่าจะไม่แก้ไข ม.112

2.ขอความร่วมมือจากบุคคล ผู้ที่เห็นต่างในการจัดตั้งรัฐบาล เคลื่อนไหวทำกิจกรรมในกรอบของกฎหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งกับฝ้ายสนับสนุน ซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชนแต่อย่างใด

3.ให้พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วม ได้โฟกัสแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง เป็นกรณีเร่งด่วน โดย การจัดลำดับดังนี้...

3.1 การยืนยันจะมอบเงินเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาทดิจิทัล ให้กับคนไทยทุกคนที่มีอายุเกิน 16 ปีขึ้นไปโดยเร็ว โดยหลีกเสี่ยงเงื่อนไขอุปสรรคที่เป็นเรื่องปลีกย่อย

3.2 คืนความชอบธรรม ให้กับผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป โดยไม่มีข้อกำหนด ในการจัดชั้นคนจน-คนรวย ที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้

3.3 ดูแลเอาใจใส่ผู้ประกอบการ SME, ภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศ, สินเชื่อรายบุคคล ในเรื่องการบรรเทาการชำระหนี้ และการสนับสนุนด้านการลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

3.4 ประกาศเจตนารมณ์ชัดเจน เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นของประชาชนโดยแท้จริงผ่าน สสร.ให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด

3.5 ดูแลลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานทุกประเภททันที ทั้ง ค่าไฟฟ้า, น้ำมัน, น้ำประปา, ก๊าชภาคขนส่งและก็าซหุงต้ม เป็นต้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ค่าใช้จ่ายที่เป็นต้นทุนการประกอบการด้านการเกษตรและอุตสาหกรรมภายในประเทศ

3.6 เปิดโอกาสให้ผู้ลี้ภัยทางการเมือง ที่ไม่ใช่คดี 112 ได้กลับ ในฐานะผู้บริสุทธิ์ประเทศอำนวยความสะดวกในการเดินทางกลับประเทศ

3.7 การแก้ไขกฎหมายอื่น ๆ ที่ยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนต่อปัญหาปากท้องพี่น้องประชาชน ให้จัดลำดับไปอยู่ท้าย ๆ อาทิเช่น เรื่อง สุราก้าวหน้า, สมรสเท่าเทียม เป็นต้น แต่ขอให้ไปสนับสนุนด้านการท่องเที่ยว, การนำเงินตราเข้าประเทศ, การส่งแรงงานไปต่างประเทศ เป็นต้น

3.8 เอาจริงเอาจังกับการแก้ไขปัญหายาเสพติด เหมือนในยุคอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร

รวมทั้งเข้าไปดูแล ปัญหาการแบ่งแยกดินแดนจริงจัง

3.9 ขอความกรุณานักปั่นข่าวทั้งหลาย และเกรียนคีย์บอร์ด เพื่อเห็นแก่พี่น้องประชาชน กรุณาลดการวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่ตนเองคาดการณ์ สิ่งที่ไม่มีความจริง เพราะทำให้ประเทศบอบช้ำมามาก และร้องขอไปยังพรรคเพื่อไทย ให้ดำเนินการกับนักปั่นข่าวพวกนี้เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป

ด้าน นายนิคม บุญวิเศษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็นตัวแทนพรรคฯ รับเรื่อง พร้อมระบุว่า จะพยายามเร่งดำเนินการตามนโยบายที่พรรคฯ หาเสียงไว้อย่างเต็มที่เพื่อให้สำเร็จโดยเร็ว และจะพิสูจน์ให้เห็นว่าการที่พรรคเพื่อไทยร่วมมือกับพรรคอื่น ๆ เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพื่อลดความขัดแย้ง สร้างความปองดองสมานฉันท์ ให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนจึงขอวิงวอนกลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมือง หลายกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับพรรคเพื่อไทยขอให้ทำการเมืองอย่างสร้างสรรค์เพื่อเดินหน้าประเทศไทยไปด้วยกัน

นอกจากนี้ กลุ่มคนเสื้อแดงได้แสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ด้วยการนำข้าวต้มมัดใหญ่จำลอง ที่ประดิษฐ์จากโฟมมัดด้วยเชือกไนลอน พร้อมแกะให้เห็นภายใน ว่าทุกอย่างมีสองด้าน เพราะข้าวต้มมัดมีสองซีก โดยหนึ่งเป็นข้อความที่มีความเกี่ยวเนื่องกับ นโยบายต่าง ๆ ที่ขอให้เร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วน

ตร.ไซเบอร์จับอดีต รปภ. ผันตัวรับบท ผกก.เมืองเชียงราย โทรหลอกคุณหมอโอนเงินกว่า 101 ล้าน

สืบเนื่องจากกรณีอดีตแพทย์อายุรกรรม และ อดีต ผอ.ศูนย์แพทยศาสตร์ศึกษาเกษียณราชการได้ถูกหลอกโอนเงินจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งสร้างความเสียหายกว่า 101 ล้านบาท โดยมิจฉาชีพหลอกว่ามีพัสดุผิดกฎหมายแล้วปลอมตัวเป็น ผกก.สภ.เมืองเชียงราย สนทนาเพื่อให้ผู้เสียหายเกิดความกลัว จนสามารถหลอกให้โอนเงินไปทั้งสิ้น 101,871,381 บาท โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อประมาณ เดือน ก.ย.65 ที่ผ่านมา

พล.ต.ท.วรวัฒน์  วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ออกสืบสวนเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานกลุ่มขบวนการที่เกี่ยวข้อง จนสามารถออกหมายจับและจับกุมไปได้แล้วหลายราย

ต่อมา เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3 ลงพื้นที่สืบสวนหาข้อมูลจนทราบว่ามีผู้ต้องหาสำคัญในขบวนการดังกล่าวและยังเป็นบุคคลตามประกาศสืบจับของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 (ลำดับที่ 249) มาหลบซ่อนตัวอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง ในพื้นที่ ม.5 ต.ท่าด้วง อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ จึงวางแผนเข้าจับกุมและสามารถจับกุมตัว นายชลวิชา อายุ 33 ปี ชาวสมุทรสาคร ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงเป็นคนอื่น, ร่วมกันเป็นอั้งยี่, ร่วมกันเป็นซ่องโจร, ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือ และร่วมกันฟอกเงิน”

โดยผู้ต้องหาให้ข้อมูลว่า เดิมเคยประกอบอาชีพเป็น รปภ. แต่มีปัญหาทางการเงินจึงสมัครงานผ่านเพจหางานคาสิโนในเฟชบุ๊ก โดยแอดมินเพจแจ้งเพียงว่ามีลักษณะการทำงานเป็นแอดมินตอบโต้ลูกค้า จึงเดินทางข้ามชายแดนทางพื้นที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว แล้วมีคนมารับข้ามไปยังประเทศกัมพูชา

เมื่อไปถึงกลับพบว่าเป็นการทำงานในแก๊งคอลเซ็นเตอร์เพื่อหลอกลวงเหยื่อโอนเงิน โดยจะมีคนสอนให้พูดตามสคริปต์ให้รับบทเป็น ผกก.สภ.เมืองเชียงราย มีสัญญาการทำงาน 6 เดือน มีค่าตอบแทน 30,000 บาทต่อเดือน และจะได้รับค่าคอมมิสชั่นเพิ่มหากทำงานถึงยอดตามเป้า เมื่อครบกำหนด 6 เดือน จึงเดินทางกลับมาประเทศไทยและถูกจับกุมในที่สุด    

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 และ พ.ต.อ.พงศ์นริทร์ 
เหล่าเขตกิจ ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3, ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.ภาคภูมิ บุญเจริญพานิช รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.3, พ.ต.ท.นฤภัทร เทียนชัยทัศน์, พ.ต.ท.เลอศักดิ์ พิเชษฐไพบูลย์, 
พ.ต.ต.รุ่งเรือง มีสติ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ และ พ.ต.ต.ธวัช ทุเครือ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม

แฟนคลับหวั่นใจ!! ‘เจษ-วิว’ รักร้าว หลังฝ่ายหญิงโพสต์เศร้า ฝ่ายชายไม่กดไลก์

ก่อนหน้านี้คู่รักนางเอกสาว วิว วรรณรท และพระเอกหนุ่ม เจษ เจษฎ์พิพัฒ เคยถูกจับตาเรื่องความสัมพันธ์มาแล้วครั้งหนึ่ง จนล่าสุดก็ทำเอาถูกสงสัยอีกครั้ง เมื่อวิวออกมาลงคลิปวิดีโอนั่งเล่นท่ามกลางธรรมชาติ พร้อมใส่แคปชั่น ‘Life is too short to waste my time 🙂 Let’s fly~🕊️ (ชีวิตสั้นเกินกว่าจะเสียเวลา ไปบินกันเถอะ)’

การนี้มีแฟน ๆ ต่างเข้ามาคอมเมนต์ให้กำลังใจว่า ‘ขอให้พี่วิวมีความสุขในชีวิตของพี่เยอะๆนะคะ ร้อยยิ้มของพี่วิวอาจเป็นกำลังใจของใครหลายคน รวมทั้งตัวของพี่วิวเช่นกัน ไม่ว่าเจอเรื่องอะไรก็ตามหนูเชื่อว่าพี่ผ่านมันมาได้เสมอ มีครอบครัวของพี่วิว และแฟนคลับที่รักพี่วิวอย่างเช่นหนู รักและสนับสนุนพี่ตลอดไปนะคะพี่วิว ♥️🕊️’ ซึ่งวิวก็ได้เข้ามาส่งหัวใจรัว ๆ ให้

ขณะที่บางคนก็ถามว่า ‘แคปชันพาให้คิดว่าเลิกกับเจษ ไม่ใช่ใช่มั้ยครับ’, ‘ทำไมพี่เจตไม่เห็นกดไลก์คะ ใจไม่ดีเลย ยังรักกันดีอยู่ใช่มั้ยคะ รักทั้งคู่’ บ้างก็ว่า ‘นี้คิดว่าไม่ได้เลิก มันเป็นช่วงเจษโปรโมทละคร กับปราง’ ฯลฯ อย่างไรก็ตามต้องรอฟังจากปากของทั้งคู่

ครบรอบ 22 ปี ภาพยนตร์ ‘สุริโยไท’ เข้าฉายครั้งแรก เผยเบื้องหลังกองถ่าย ที่หลายคนไม่เคยรู้มาก่อน

ล่วงเลยมาถึง 22 ปีแล้ว หลังจากภาพยนตร์ไทยที่ตราตรึงใจคนทั้งประเทศอย่าง ‘สุริโยไท’ เข้าฉายวันแรก (17 สิงหาคม 2544) โดยวาระนี้ ‘ปิติรัชต์ จูช่วย’ แห่ง ‘สำนักพิมพ์สยาม เรเนซองส์’ ถือโอกาสเล่าเกร็ดเรื่องเล่า ‘ภาพยนตร์แห่งสยามประเทศ’ จากบท ‘แม่หยัวศรีสุดาจันทร์’ หรือ ‘ท้าวศรีสุดาจันทร์’

ปิติรัชต์เปิดเผยทางเฟซบุ๊ก ‘Pitirach Joochoy’ ว่า ประชุมยาววันนี้เสร็จ ออกมาแล้วเห็น Notification Facebook เยอะ นึกว่าทัวร์ลงอะไรเรา อ๋อ Post ครบรอบสุริโยไท 555+

อ่ะ วันนี้ 22 ปี สุริโยไท เข้าฉายวันแรก

ขอเอาเกร็ดเรื่องเล่า ‘ภาพยนตร์แห่งสยามประเทศ’ จากบทแม่หยัวศรีสุดาจันทร์มาฝากกัน

- บทนี้เป็นหนึ่งในสองบทที่ไม่ได้แคสนักแสดง เลือกมาเลยว่าให้คนนี้แสดง อีกบทคือคุณต้นในบทพระสุริโยทัย

- ผู้เลือกนักแสดงสองบทนี้คือท่านเดียวกัน

- เดิมที่ชื่อ Project ในภาษาอังกฤษจะใช้ว่า ‘The Sun and The Moon’ ตามพระสุริโยทัยและท้าวศรีสุดาจันทร์

- ฉากตามพระยอดฟ้าไปทรงพระอักษร บรีฟคือให้แม่หยัวตบพระหัตถ์ แต่นักแสดงยังไม่เก็ตว่าตบมือสั่งมันยังไง ก็ออกมาเป็นปรบมือรัวจ้า จนโดนท่านผู้กำกับขำแล้วแซวว่า “เฮ้ย เอ็งเป็นมาทาดอร์เราะ”

- ฉากเข้าพระเข้านางของขุนวรวงศากับแม่หยัวฯ นักแสดงเกร็งมาก แต่ไม่ได้เกร็งเพราะเล่น Love Scene แต่เกร็งเพราะมีเจ้านายพระองค์หนึ่งเสด็จมาทรงเยี่ยมกองถ่าย แล้วประทับดูการถ่ายทำหน้ามอนิเตอร์พอดี

- ฉากแม่หยัวฯ อาละวาด ปาดคออีสร้อย นักแสดงต้องเล่น Long Take ครั้งเดียวตลอด Take ให้ผ่านตั้งแต่กริ้วหลวงจงรัก “หากมียาพิษเหตุใดเจ้าจึงไม่เป็นอะไร” ยาวไปจนถึงปาดคอเสร็จ “มันวางยาพิษพ่ออยู่หัว สมควรตายตามโทษานุโทษ”

- ก่อนหน้าฉากนั้นเป็นอันรู้กันว่าถ้าเป็นฉากเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินสิ้นต้องมีเรื่องอะไรสักอย่าง ทางสมเด็จพระไชยราชาต้องยาพิษก็เช่นกัน กว่าจะถ่ายได้ มีทั้งไฟดับ วิกพี่อ๊อฟหลุม มุมถ่ายใด ๆ ไม่ได้ ต้องถ่ายใหม่

- เลือดของอีสร้อยที่พุ่งจากคอตอนแม่หยัวปาดคอ ใช้ความช่วยเหลือทางนวัตกรรมของพี่อ้อย (อีปริก) ด้วยการบีบเลือดปลอมผ่านท่อที่แต่ง Effect พิเศษตรงคอของนักแสดงอีสร้อย

- ฉากขบวนเสร็จคลองสระบัวของขุนวรวงศาธิราช ในฉากกระบวนเรือ จะมีเพียงเสียงสองเสียงคือ เสียงเห่เรือ กับเสียงแม่หยัวกล่อมลูก

- บรีฟเสียงแม่หยัวกล่อมลูกคือไม่มีบท แต่ให้นักแสดง improvise ตามความรู้สึกเอาเลยว่าอารมณ์ตอนนั้นเป็นอย่างไร กังวลใจ ห่วงลูกห่วงผัวอย่างไรให้ปล่อยไปตามนั้น

- แต่ในภาพยนตร์จริงตัดเสียงกล่อมลูกของแม่หยัวออกเพราะ ‘ทรงพลังเกินไป’ ดูแม่หยัวเป็นนักร้องอาชีพเกิ้น

- ฉากสิ้นของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินจะมีอะไรสักอย่าง แม่หยัวก็เช่นกัน ต้องถ่ายทั้งที่อยุธยาและสุรินทร์กว่าจะผ่าน จนรอบสุดท้ายที่จะถ่ายได้คือถ่ายที่อยุธยา ฝนก็ตกหนักมาก แม่หยัวและพระสุริโยทัยที่แต่งองค์พร้อมถ่าย ต้องไปกลับโรงแรมหลายรอบ เพราะพอจะออกไปถ่ายฝนก็ลง กลับก็หยุด ออกไปก็ตกใหม่แบบนี้ จนต้องบวงสรวงย่อย

- สุดท้ายแบบจริงๆ แล้ว มันต้องถ่ายแล้วแม่หยัวก็จูงมือพระสุริโยทัย แล้วลั่นว่า “ไปพี่ ไปตายกัน” แล้วก็ออกมาถ่ายพร้อมฝนที่เพิ่งหยุด

- จุดที่แม่หยัวต้องปืนล้ม ทีมงานก็เตรียมการให้ด้วยการขุดหลุมแล้วเอาเบาะรอง เอาใบไม้กลบ แต่นักแสดงเห็นแล้วก็รู้สึกว่า ไม่เป็นไร ให้มันจริงไปเลยดีกว่า ก็เลยบอกทีมงานว่า “เอาผ้าออกเถอะค่ะ เดี๋ยวใหม่นอนในหลุมเอง”

- ที่ว่ามันต้องถ่ายให้ได้แล้วจริง ๆ เพราะเสร็จฉากแม่หยัวสิ้น นักแสดงคนนึงต้องตามเสด็จเยือนจีน อีกคนต้องไปทัวร์คอนเสิร์ต

- ภาพเบื้องหลังนี้ที่เอามาลง จิ๊กศิลปินมา Scan เช่นเคย 555+

ผบ.ตร.รวมเหล่าดารา นักแสดงศิษย์เก่าลูกบดินทร ออกเตือนภัยไซเบอร์ให้กับนักเรียนรุ่นน้อง รร.บดินทรเดชา(สิงห์ สิงหเสนี) หวั่นตกเป็นเหยื่อ

วันนี้ (18 ส.ค.66) เวลา 09.30 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เป็นประธานเปิดโครงการ “เสริมสร้างภูมิคุ้มกันภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี : เยาวชนรุ่นใหม่ รู้เท่าทันภัยไซเบอร์” ณ หอประชุมอาคารบดินทรพัฒน์ โรงเรียนบดินทรเดชา(สิงห์ สิงหเสนี) ซึ่งเป็นโครงการของ บก.น.4 โดย สน.วังทองหลาง ได้นำร่องอบรมนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 3 รุ่น โดยวันนี้ได้อบรมรุ่นแรกเป็นนักเรียนชั้น ม.6 เข้ารับการอบรมจำนวน 600 คน โดย พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว รอง ผบช.น./ผอ.ศปอส.บช.น. ,พ.ต.อ.สุพล ค้ำชู รอง ผบก.น.4 และ พ.ต.อ.เจษฎา ยางนอก ผกก.สน.วังทองหลาง พร้อมด้วยคณะวิทยากรจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งยังมีศิษย์เก่าบดินทรเดชาร่วมให้ความรู้แก่คณะครู บุคคลากร และนักเรียนโรงเรียนบดินทรเดชาฯ อาทิ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ศิษย์เก่ารุ่น 9 ,พล.ต.ท.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบช.สยศ. ศิษย์เก่ารุ่น 11 ,พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร./โฆษก ตร. ศิษย์เก่ารุ่น 16 พร้อมด้วยดารานักแสดงศิษย์เก่า บุ๋ม ปนัดดา วงษ์ผู้ดี ศิษย์เก่ารุ่น 22 ,เชน ณัฐวัฒน์ เปล่งศิริวัธน์ และอีฟ พุทธธิดา ศิระฉายา ศิษย์เก่ารุ่น 29 

ผบ.ตร. กล่าวว่า ปัจจุบันนี้ อาชญากรรมทางเทคโนโลยี ถือเป็นอาชญากรรมรูปแบบใหม่ที่ส่งผล กระทบต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ทั้งรูปแบบการประทุษกรรมของ คนร้ายนั้นมีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในการหลอกลวงผู้เสียหาย เช่น การหลอกให้ติดตั้งโปรแกรมควบคุมระบบในโทรศัพท์มือถือ เพื่อเข้าไปดูดเงินในบัญชี หรือแอปพลิเคชั่นดูดเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ให้ความสำคัญในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี มาโดยตลอด และร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและ เอกชนมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายในการเพิ่มประสิทธิภาพในการปราบปราม และติดตามดำเนินคดีกับกลุ่มคนร้าย อย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตามพบว่ายังคงมีประชาชนตกเป็นเหยื่อจากการหลอกลวง อยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน

ซึ่งมีการใช้สื่อโซเชียลมีเดียในชีวิตประจำวันอยู่เสมอจึงมีความเสี่ยงที่จะเจอกลลวงของคนร้ายได้ การป้องกันอาชญากรรมออนไลน์ได้ดีที่สุดนั้น คือ การสร้างความรู้ การประชาสัมพันธ์ให้เยาวชนและประชาชนได้รู้เท่าทันอย่างทั่วถึง ไม่ตกเป็นเหยื่อ กลโกงของคนร้ายบนโลกออนไลน์ จึงเป็นที่มาของการจัดทำโครงการ เสริมสร้าง ภูมิคุ้มกันภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในครั้งนี้ โดยการให้ความรู้กับกลุ่มนักเรียน ซึ่งเป็นเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้มีภูมิคุ้มกัน รู้เท่าทัน และสามารถถ่ายทอดส่งต่อความรู้ หรือภูมิคุ้มกันนี้ไปยังคนในครอบครัว ญาติมิตร และคนใกล้ชิด เพื่อให้ขยายเครือข่ายของภูมิคุ้มกันเป็นวงกว้าง เพื่อป้องกันการหลอกหลวงจากกลุ่มคนร้ายทุกรูปแบบ

นอกจากนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังได้จัดทำข้อสอบวัคซีนไซเบอร์ จำนวน 40 ข้อ สำหรับภาคประชาชน เป็นลักษณะข้อสอบความรู้ เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาทำข้อสอบได้รู้เท่าทันกลโกงคนร้าย และทราบถึงวิธีการปฏิบัติตนหากถูกหลอกลวง และมีรางวัลให้กับผู้ที่สอบได้คะแนนตั้งแต่ 35 คะแนนขึ้นไปมีสิทธิ์ได้รับรางวัลเป็น Iphone 14 จำนวน 60 เครื่อง เดือนละ 20 รางวัล ซึ่งมีการมอบรางวัลไปขอบเดือน ก.ค. ไปแล้ว เมื่อวันที่ 8 ส.ค. ที่ผ่านมา จึงขอประชาสัมพันธ์เชิญชวนประชาชนร่วมทำแบบทดสอบเพื่อเป็นภูมิคุ้มกันให้กับตนเอง ครอบครัว และคนรอบตัวต่อไป

‘เจ้าของเพจท่องเที่ยวดัง’ แชร์ประสบการณ์นั่ง Subway นิวยอร์ก ไร้สัญญาณมือถือ-รถไฟเสียบ่อย-ไม่สะอาด-ความปลอดภัยต่ำ

เมื่อไม่นานนี้ ‘คุณแม็กซ์’ เจ้าของเพจเฟสบุ๊ก ‘เพื่อนพาเที่ยว นิวยอร์ก’ ได้โพสต์คลิปวิดีโอ ‘แชร์ 5 เรื่องล้าหลังของ ‘Subway’ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ควรมาดูงานที่ประเทศไทย’ โดยระบุว่า…

ตอนนี้แม็กซ์อยู่ที่นิวยอร์ก จะพาไปเปิดโลก 5 เรื่อง Culture Shock ที่ Subway ของนครนิวยอร์กกัน!!

เรื่องที่ 1 ไม่มีสัญญาโทรศัพท์มือถือ ที่ประเทศไทย เราสามารถเล่นโทรศัพท์มือถือได้ตลอดเวลา แต่ที่นิวยอร์ก หากเราจะใช้บริการรถไฟใต้ดิน เราจะสามารถใช้โทรศัพท์ได้แค่ตอนที่อยู่ในสถานีเท่านั้น แต่เวลาที่ขบวนรถไฟกำลังวิ่งระหว่างสถานี สัญญาณโทรศัพท์จะไม่มีเลย เราจะไม่สามารถติดต่อสื่อสาร หรือเล่นอะไรได้เลย

เรื่องที่ 2 Subway ที่นิวยอร์ก ซ่อมบ่อยมาก โดยเฉพาะช่วงดึกๆ หรือช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ผู้โดยสารต้องคอยอ่านป้ายประกาศที่ติดเตือนไว้ล่วงหน้า ตรงข้างหน้าสถานี เพื่อคอยเช็กการเดินรถอยู่ตลอด

เรื่องที่ 3 ไม่มีประตูกั้นระหว่างรถไฟกับชานชาลา มีเพียงคำแนะนำให้ผู้โดยสารยืนหลังเส้นสีเหลืองเท่านั้น ซึ่งตรงนี้เราต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะมีโอกาสสูงมากที่จะโดนคนดันจนตกลงไปที่รางรถไฟ จึงแนะนำให้ยืนพิงกำแพง เพื่อความปลอดภัย และอุ่นใจในขณะที่กำลังรอรถไฟ

เรื่องที่ 4 ความสะอาด รวมถึงเรื่องกลิ่นภายในสถานีรถไฟใต้ดินจะค่อนข้างแรงมาก โดยเฉพาะในช่วงซัมเมอร์ แต่สถานีรถไฟที่เพิ่งสร้างใหม่ และสะอาดๆ เขาก็มีเหมือนเช่นกัน

เรื่องที่ 5 ภายใน Subway มีเจ้าหน้าที่และตำรวจค่อนข้างน้อยมาก หลายคนจึงมีความรู้สึกไม่ปลอดภัย และกลัวคนไร้บ้าน (Homeless) ที่มาใช้บริการ แต่เราก็ไม่สามารถไปกีดกันใครไม่ให้ใช้บริการได้ เพราะด้วยความที่ราคาค่าโดยสารของ Subway นั้นไม่ได้แพงมาก ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้บริการได้ ดังนั้น คนไร้บ้านเขาก็อาจจะเสียเงินซื้อตั๋วโดยสารเหมือนกับพวกเรานี่แหละ หากรู้สึกไม่ไว้วางใจ เราก็ต้องมีความช่างสังเกตอยู่ตลอดเวลา

‘น้องณะโม’ เด็ก 9 ขวบ ทักษะด้านศิลปะยอดเยี่ยม ชอบ ‘วาดภาพ - ปั้นพระพุทธรูป - ขับบทหนังตะลุง’

(18 ส.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้านเลขที่ 32/2 หมู่ที่ 4 บ้านเขากอบ ต.เขากอบ อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ซึ่งเป็นบ้านของ ด.ช. สุวิจักขณ์ คงรอด หรือน้องณะโม อายุ 9 ขวบ นักเรียนชั้น ป.3 โรงเรียนรัตนศึกษา อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช น้องณะโมกำลังโชว์ฝีมือการปั้นพระพุทธรูปจากดินน้ำมัน ขนาดความสูง 1.5 ฟุต พร้อมวาดภาพพระพุทธรูปต่าง ๆ ที่ชื่นชอบ ก่อนจะลงสีให้เหมือนต้นฉบับ ซึ่งได้ศึกษามาจากยูทูบเป็นหลัก นอกจากนี้ ยังนำมาต่อเป็นเลโกอีกหลายชิ้น

ล่าสุดนายพงศ์ชิตพล คงรอด อายุ 40 ปีซึ่งเป็นคุณพ่อและเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนวิเชียรมาตุ 3 จ.ตรัง กับนางนิรมล คงรอด อายุ 38 ปี คุณแม่ ซึ่งเป็นคุณครูอยู่ที่โรงเรียนทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช ได้นำภาพพระพุทธรูปที่น้องณะโมวาด ไปทำเป็นเสื้อยืดคอกลมและคอวี นำออกจำหน่ายทางเพจ/เฟซบุ๊กที่ชื่อว่า สอนศิลป์กับพิมพ์ไทย, เพจเด็กปั้น และเพจ niramol sommai ขายราคาตัวละ 300 บาท โดยเพิ่งวางขายไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่ขายได้แล้วกว่า 10 ตัว ส่วนเงินรายได้นำไปเป็นทุนการศึกษาและซื้ออุปกรณ์การวาดภาพ ระบายสี เพื่อให้น้องณะโมมีกำลังใจในการสานฝันของตัวเอง ควบคู่ไปกับการได้อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทยให้คงอยู่อย่างยั่งยืนต่อไป

สำหรับน้องณะโม เริ่มวาดภาพพระพุทธรูปและปั้นดินน้ำมันเป็นรูปพระพุทธรูปองค์ต่าง ๆ พร้อมทั้งฝึกเล่นหนังตะลุงมาตั้งแต่อายุ 3 ขวบแล้ว ส่วนหนึ่งมาจากครอบครัวที่ชอบศิลปวัฒนธรรม โบราณสถาน การไหว้พระ สวดมนต์ ซึ่งคุณพ่อเคยนำนักเรียนไปแข่งขันสวดมนต์ทำนองสรภัญญะและทำกิจกรรมส่งเสริมผู้เรียนด้านพระพุทธศาสนา จนได้รับรางวัลชนะเลิศระดับประเทศมาแล้วหลายรางวัล เช่นเดียวกับคุณแม่ของน้องณะโมที่ชอบแนวเดียวกัน โดยจะพาน้องณะโมไปด้วยทุกที่ จึงทำให้น้องณะโมซึมซับสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ จนกลายเป็นความชอบและหมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ทั้งจากยูทูบและจากคุณครูสอนศิลปะ จนสามารถวาดภาพพระพุทธรูปและปั้นดินน้ำมันได้อย่างคล่องแคล่ว ล่าสุดได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดวาดภาพที่ จ.นครศรีธรรมราช เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

สำหรับชื่อ ‘ณะโม’ คุณพ่อเป็นคนตั้งให้ เพราะมีความหมายว่าผู้นอบน้อม ส่วนการเล่นหนังตะลุง เกิดจากการที่คุณพ่อซื้อรูปหนังตะลุงมาให้ น้องจึงหัดเล่นจากยูทูบ จนสามารถขับหนังตะลุงได้ โดยมีคุณพ่อเป็นลูกคู่หรือเป็นผู้ช่วยนายหนัง ซึ่งน้องณะโมได้ใช้เวลาว่างไปกับการวาดภาพพระพุทธรูปและการท่องเที่ยวไปตามโบราณสถานหลายแห่งทั้งในจ.ตรัง และ จ.นครศรีธรรมราช แต่ที่ชอบมากที่สุดคือศิลปะลาวล้านช้าง

ซึ่งปัจจุบัน น้องณะโมตามคุณแม่ที่เป็นคุณครูไปเรียนอยู่ที่อำเภอทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช ผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ดี มีสมาธิ และรู้จักความอดทนอดกลั้นได้มากกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน โตขึ้นน้องณะโมฝันอยากเป็นเกมเมอร์และวาดภาพพระพุทธรูปที่ชื่นชอบทั่วไทย ส่วนใครสนใจสามารถติดตามได้ทางเพจเด็กปั้น,เฟซบุ๊ก niramol sommai และเพจสอนศิลป์กับพิมพ์ไทย หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 081-370-0192

โดย ด.ช. สุวิจักขณ์ คงรอด หรือน้องณะโม เปิดเผยว่า ตนเป็นคนที่ชอบพระศิลปะลาวล้านช้าง เห็นแล้วรู้สึกชอบและศรัทธา ตอนนี้วาดและปั้นได้ ส่วนความสามารถในการขับหนัง มาจากการที่พ่อซื้อหนังตะลุงมาให้แล้วเอามาเล่นกับพ่อ ต่อมาจึงเปิดดูในยูทูบแล้วหัดพากย์ แต่ยังไม่ได้เคยไปเล่นโชว์ที่ไหนมาก่อน

อนาคตฝันอยากเป็นเกมเมอร์และวาดภาพต่อ โดยการปั้นไม่มีใครสอนปั้นเองดูจากยูทูบตอนอายุ 3 ขวบ ตอนนี้อายุ 9 ขวบแล้ว ปั้นมาเรื่อย ๆ ผลงานนำไปโชว์ที่ตลาดชุมทาง ที่ได้ขายคือทำเป็นเสื้อขายตัวละ 300 บาท ส่วนใครสนใจสามารถซื้อได้จากเพจเด็กปั้น

ด้านนายพงศ์ชิตพล และนางนิรมล คงรอด คุณพ่อกับคุณแม่ของน้องณะโม กล่าวว่า เริ่มต้นชอบของลักษณะอย่างนี้ตอนอายุประมาณ 3 ขวบ แต่ก่อนหน้านั้นก็มีแววชื่นชอบเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมและโบราณสถานต่าง ๆ และได้ฝึกวาด ฝึกปั้นจนถึงตอนนี้อายุ 9 ขวบ ส่วนพ่อแม่เองก็ชอบด้านนี้มาตลอด และจะชอบไปโบราณสถานต่าง ๆ และไปไหว้พระทำบุญกันอยู่ตลอด โดยพาณะโมไปด้วย ทำให้ลูกซึมซับและจดจำมาตลอด อย่างหนึ่งที่ได้คือลูกได้สืบทอดพระพุทธศาสนา มีภูมิต้านทานทางด้านจิตใจที่กระแสสังคมเข้ามากระทบ แต่สิ่งเหล่านี้เข้ามาหล่อเลี้ยงจิตใจให้เขาเป็นคนดีได้

งานทุกชิ้นของเขาจะพูดกับเขาว่า เราจะปลูกฝังคุณค่าในตัวเองให้เขาได้มองเห็นว่าจากชิ้นงานศิลปะตรงนี้ พอลูกเอามาทำเสื้อหรือทำอย่างอื่นเอามาต่อยอดทำให้ซาบซึ้งคุณค่าในตัวเอง อยากให้เด็กรุ่นใหม่ได้มีตรงนี้ ได้ตระหนักคุณค่าในตนเอง เพราะเรามองว่าจะเป็นการสร้างเกราะในจิตใจเขาในการอยู่ในสังคมในวันข้างหน้า ให้เขาเข้มแข็งจากตัวเขาจากคุณค่าของตัวเอง ซึ่งได้งานศิลปะเป็นตัวช่วย

'ซาบีน่า' เปิดภารกิจเพื่อสังคม เปลี่ยนชุดชั้นในเก่าเป็น 'พลังงานสะอาด' พร้อมเติมเต็มส่วนที่ขาดหายให้กับผู้ป่วยหลังการผ่าตัดมะเร็ง

จากรายการ THE TOMORROW ทางสำนักข่าวออนไลน์ THE TOMORROW สัปดาห์นี้ ได้พูดคุยกับ แขกพิเศษ คุณดวงดาว มหะนาวานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตชุดชั้นใน ซาบีน่า แบรนด์ไทยที่กำลังก้าวสู่ปีที่ 60 ตอกย้ำการเป็นแบรนด์ชั้นนำระดับภูมิภาคด้วยพันธกิจใหม่

ซาบีน่า เริ่มต้นโดยคุณแม่จินตนา ที่เริ่มขายชุดชั้นใน บริเวณตลาดพลู เย็บด้วยมือ ถือหิ้วตระกร้าเดินขาย จนสามารถแตกไลน์จากชุดชั้นในจินตนามาสู่แบรนด์ซาบีน่า ที่ขึ้นแท่นเบอร์ 2 ของประเทศ ไว้อย่างน่าสนใจ

อย่างไรก็ตาม สาระสำคัญในปีที่จะก้าวสู่วัย 60 อยู่ที่พันธกิจที่เหนือกว่าการผลิตสินค้าและการขายของแบรนด์ ซาบีน่า ภายใต้มุมคิดที่จะทำธุรกิจอย่างไรให้เกิดผลกระทบต่อโลกให้น้อยที่สุด และสร้างประโยชน์ต่อผู้คนให้มากที่สุด

คุณดวงดาว กล่าวว่า "ปัจจุบันซาบีน่าให้ความสำคัญกับความยั่งยืน (Sustainability) เพราะชุดชั้นใน เสื้อผ้า ไม่สามารถย่อยสลายเองได้ ยิ่งเมื่อไหร่ที่มียอดขายสูงขึ้น แปลว่าเรากำลังสร้างขยะออกมาในโลกนี้มากขึ้นเท่านั้น นั่นจึงให้เราเริ่มหาวิธีการที่จะจัดการปัญหาเหล่านี้

"โดยในปีที่แล้ว เราได้มีส่วนสำคัญในการรับผิดชอบขยะให้ถูกนำไปทำลายอย่างถูกวิธี ภายใต้แคมเปญ 'โละแล้วไปไหน' หรือก็คือ ชุดชั้นใน ไม่ว่าจะเป็นของคุณเอง หรือคนในครอบครัว คุณเก็บใส่ถุงให้ดีแล้วนำมาให้เรา เพื่อนำไปเปลี่ยนเป็นพลังงานสะอาด ช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก โดยสามารถนำมาใส่กล่องรับชุดชั้นในเก่า ที่จุดขาย หรือ Shop ของเรา ซึ่งที่กล่องจะมี QR CODE ให้สแกนเก็บไว้ และทุก ๆ 1 สแกนเราจะบริจาคสินค้าใหม่ให้กับคนที่ต้องการ 1 ชิ้นอีกด้วย"

ต่อมากับ โครงการเต้านมเทียม Sabina Sewing Cup Sewing Heart เย็บเต้ารวมใจ สู้ภัยมะเร็งเต้านม แคมเปญนี้ถูกคิดขึ้นเพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาดหายให้กับผู้ป่วยหลังการผ่าตัดมะเร็ง สำหรับผู้ป่วย หรือผู้ที่ประสงค์ติดต่อขอรับเต้านมเทียมเพื่อส่งต่อให้กับผู้ป่วย สามารถติดต่อขอรับเต้านมเทียม ได้ผ่านทาง Line@ : @SabinaThailand หรือทาง www.sabina.co.th

โดยซาบีน่าจะจัดส่งเต้านมเทียมให้ถึงมือผู้ป่วยฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Sabina Call Center โทร. 02-422-9430 บริษัทหรือหน่วยงานแจ้งความประสงค์ผ่านทาง [email protected] ซาบีน่าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเต้านมเทียมเหล่านี้ จะช่วยเติมเต็มพลังใจให้กับผู้ป่วย หลังการรักษาโรคมะเร็งเต้านมด้วยวิธีตัดเต้า ให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข

เรียกว่าเป็นอีกพันธกิจเพื่อสังคม ที่เดินหน้าควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจของ

ซาบีน่า ที่เราต้องขอปรบมือให้จริง ๆ

เรื่อง: วสันต์ มนต์ประเสริฐ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top